คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : หนึ่งวิวาห์สะเทือนหกตำหนัก6(จบตอน)
“คนเกลียดกันที่ใดจะอยู่ร่วมกันได้ยี่สิบสามสิบปี ขุนนางเฒ่าก็ช่างโง่เขลาเชื่อได้ลง โดนสตรีสี่นางหลอกตั้งแต่พวกนางหัวดำจนตอนนี้ผมเริ่มขวากันแล้วก็ยังรู้ไม่เท่าทัน ” อันเจี๋ยทอดสายตามองเยี่ยนเว่ยอ๋องอย่างเบื่อหน่าย
“เจ้ากับข้าเกลียดขี้หน้ากันยิ่งกว่าอะไรยังอยู่ด้วยกันได้ร่วมกันได้นับสิบ ๆ ปี ” เว่ยอ๋องกลับเอ่ยออกมาหน้าตาเฉย
มารดาของเขาก็เป็นเช่นนี้ ใครพลาดจะอย่างไรก็ช่างต้องเยาะเย้ยถากถางกันก่อน แต่ท้ายสุดกลับมานั่งรวมกลุ่มช่วยกันอยู่ดี เป็นมานานตั้งแต่เว่ยอ๋องจำความได้ใบหน้างามที่เจือความเกียจคร้านนอนพัดในมือบนเตียงนอนของอันเจ๋ยอย่างเกียจคร้านราวกับอยู่ในเรือนของตนให้เจ้าของเรือนตัวจริงนั้นรำคาญใจจนเขวี้ยงจอกชาออกไป ทว่าเว่ยอ๋องก็สามารถหลบได้พ้นจึงได้ส่งสายตาไม่พอใจมาให้นาง
“ไม่ต้องมามอง ไสหัวไปได้แล้ว ” เจ้าคนหน้าด้านหน้าทนคนนี้ไม่ออกจากเรือนนางเสียที ว่างงานเสียเหลือเกิน ใต้หล้านี้ใครจะว่างงานและสุขสบายเท่าเจ้าอัปลักษณ์คนนี้ ไม่มีเงินใช้ก็แค่บากหน้าออดอ้อนฮองเฮาก็ได้เงินทองของมีค่าติดมือออกมาเป็นหีบ ๆ ไม่ต้องมาลำบากทำงานจนหน้ามันเมือกเช่นนาง
“ไม่ไป เว้นแต่...เจ้ารับปากจะแต่งให้ข้า ” ท่านอ๋องคนงามยังคงกล่าวอย่างสงบนิ่ง เป็นผู้ฟังเสียเองที่หงุดหงิดจนทึ้งผมตนให้อีกคนให้ห้องต้องผงะ
“เสียสติหรือ ลำพังยามปกติยังน่ากลัวไม่พอรึอย่างไรถึงได้ดึงทึ้งผมตนเองเช่นนั้น ”
“เจ้าน่ะสิที่เสียสติ ตอนนี้เจ้าเป็นใคร บิดาเจ้าเป็นใคร มารดาเจ้าเป็นใคร ท่านย่าเจ้าเล่าเป็นใคร แล้วพี่พี่ชายพี่สาวเจ้าเล่าเป็นใคร งานวิวาห์เดียวสะเทือนหกตำหนัก นั่งในตำแหน่งชายาเจ้าต้องรับศึกรอบด้าน ข้ายังหวงแหนชีวิตแสนสั้นของข้าอยู่ ยังมีเรื่องให้ทำอีกมากมาย เจ้าเองก็น่าจะประเมินได้มิใช่หรือ ”
“นั่นเพราะข้าประเมินแล้วมิใช่หรือ มันถึงต้องเป็นเจ้าเท่านั้น ” อันเจี๋ยได้ยินดังนั้นก้ได้ชะงักไปหนึ่งจังหวะ
“อาเว่ย…”
“อาเจี๋ย มันต้องเป็นเจ้าจริง ๆ ”
“เยี่ยนเว่ย...เจ้าคิดว่าข้าเป็นภรรยาผู้ใดได้หรืออย่างไร ”
อันเจี๋ยมองหน้าสหายผู้สูงศักดิ์ด้วยความสายตาเจ็บปวดอย่างสุดซึ้ง
“ข้าแต่งไม่ได้ แต่งให้เจ้ายิ่งไม่ได้ ”
“เจ้าไม่มีทางเลือกแล้ว ” ครานี้น้ำเสียงของท่านอ๋องรูปงามจริงจังขึ้น
“หลังจากเสด็จพี่รัชทายาทกลับจากปราบกบฏทางใต้ วังหลวงจะมีการคัดเลือกสตรีเข้าวังอีกครั้ง ”
“โอ้ย อายุข้าเกินจะคัดตัวแล้ว” นางบอกปัดพลันวัล
“ฟังก่อนสิ” ท่านอ๋องส่งสายตามองค้อน
“เจ้าน่ะ...คิดว่าตัวเองมีสถานะเหมือนคนทั่วไปหรือ จริงอยู่ว่าพ่อเจ้าเป็นขุนนางกองประวัติศาสตร์แม้ไม่ใช่ขุมอำนาจใหญ่ แต่ทรัพย์สมบัติบ้านเจ้าดูแคลนได้หรือแต่นับตั้งแต่เจ้าเข้ามาคุมกิจการก็มีแต่ความก้าวหน้าและยิ่งขยายใหญ่จนตอนนี้ไปสะดุดตาใครหลายคนเข้าจนได้ พวกขุนนางผู้ใหญ่เริ่มสืบประวัติเจ้ากันเยอะขึ้นเสียแล้วอีกไม่นานคงรู้ว่าเจ้าเป็นคนเดียวกับเซียวจื่อเถิง”
อันเจี๋ยที่ได้ยินเช่นนั้นก็มีสีหน้ามืดครึ้มลง
“ไม่ต้องถึงกับรู้เรื่องเซียวจื่อเถิง เอาเพียงกิจการในแค้วนและกิจการที่ผูกไว้กับต่างแคว้นก็เพียงพอให้‘ละเว้น’กฎเกณฑ์ได้แล้ว ไหนจะอำนาจของ‘แม่’เจ้าเล่า คิดว่าจะปิดคนทั้งใต้หล้าได้นานเพียงใดเชียว ”
เป็นเรื่องจริงที่ตระกูลอันนับวันจะยิ่งจะโดนเด่นไปหน้า นับตั้งแต่อันเจี๋ยเริ่มเติบใหญ่จนสามารถควบคุมกิจการของตระกูลได้ เหล่าผู้อาวุโสและนายท่านอันก็รีบเร่งในการถ่ายโอนอำนาจและกิจการต่าง ๆ ให้นาง เพียงไม่กี่ปีเท่านั้นที่นางควบคุมกิจการของตระกูลอันกลับทำให้ตระกูลอันมั่นคงในเมืองหลวงได้มากถึงเพียงนี้ ทั้งตัวนางเองพึ่งจะอายุเพียงเท่านี้จะไม่นับว่าเป็นสตรีที่น่าจับตามองได้หรือ
ยิ่งหากหากนางมีอำนาจอื่นหนุนหลังนางอยู่ ครานั้นก็จะไม่เพียงแค่ความมั่งคั่งเพียงอย่างเดียวแล้ว
ไม่งดงามโดดเด่นแล้วอย่างไร สิ่งที่นางมีอยู่ในมือนั้นสำคัญกว่ามากนัก
อันเจี๋ยเป็นคนมองเห็นเป้าหมายสำคัญที่สุด นางฉลาดและนางสามารถทำทุกอย่างเพื่อให้เป้าหมายของนางบรรลุ แต่เป็นคนไม่ค่อยระวังหลัง เก็บกวาดไม่หมดจด นางต้องการขยายกิจการตระกลูอันนางก็เริ่มแผ่กิ่งก้านสาขากิจการของตระกูลอันไปทั่ว จนนางไม่ทันคิดไปว่าเพียงไม่กี่ปีมานี้ตระกูลอันเติบโตรวดเร็วเกินไป...เกินกว่าที่ตระกูลขุนนางที่มีเพียงทรัพย์สินตระกูลหนึ่งจะสามารถทำได้
“เรื่องสมรส หลังบิดาเจ้ากลับออกมาจากวัง เจ้าก็อย่าลืมพูดคุยก็แล้วกัน ส่วนที่เจ้าส่งถงชาง กับชงหลิงไปสืบนั้นได้ความว่าอย่างไรบ้าง ”
อันเจี๋ยมีผู้ที่เป็นกำลังหลักอยู่สี่คน เป็นสตรีสองนาง หนึ่งคือเจียวลู่นางเป็นผู้มีสถานะพิเศษหากไม่มีเรื่องราวสำคัญจะไม่ปรากฏตัว สองคือ จิ่วเหมยที่จะรั้งข้างตัวนางอยู่ตลอดเวลา ส่วนอีกสองนั้นเป็นบุรุษคือถงชางและชงหลินที่มักจะได้รับงานที่เสียงอันตรายและไม่สามารถเปิดเผยได้อยู่เสมอ
หลายวันก่อนนางส่งคนทั้งคู่ในติดตามเรื่องหนึ่งมิได้เป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็นับว่าอันตรายเกินกว่าจะให้ผู้อื่นสืบเรื่องนี้ นางจึงส่งพวกเขาไป นับเวลาก็ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว เมื่อฉุกคิดถึงระยะเวลานี้เองนางถึงชะงักงัน จิ่วเหมยที่อยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้นใบหน้าที่ปกติจะเรียบเฉยของนางก็ได้ซีดเผือดไปแล้ว
“พวกเขายังไม่กลับมา...”
ต้องโทษที่ช่วงนี้นางกำง่วนอยู่กับการปรุงยาตัวใหม่จึงลืมเรื่องที่ส่งสองคนนั้นออกไปทำการบางอย่างเสียสนิท
“ไม่แปลกใจหรือว่าห้าวันกับแค่เรื่องที่เจ้าต้องการรู้เรื่องกิจการเมืองเฟิงของตระกูลหลิว ระยะทางหรือความสามารถของพวกเขาและลูกน้อง สามวันยังนับว่าช้าเสียด้วยซ้ำ คงจะเจอกับบางอย่างและสะดุดอะไรเข้าจึงล่าช้า คิดว่าคงจะเกี่ยวกับเจ้าเพราะคนของข้าที่แฝงตัวเข้าไปรายงานว่าใต้เท้าหลิวและพรรคพวกกำลังตามสืบเรื่องของเจ้าอยู่ และไม่แน่ว่าอาจะมีอีกหลายฝ่ายก็ได้ หากพวกเขาต้องการส่งสตรีตระกูลต่าง ๆ เข้ามายังจวนของข้าเพื่อเสริมอำนาจตนเอง ย่อมไม่แคล้วต้องตามสืบเรื่องเจ้าอยู่ดี ที่เจ้าอยู่รอดมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะหลายปีก่อนเจ้าธรรมดาเกินไป” ที่จริงแล้วเพราะเขาเป็นคน ‘เก็บกวาด’ต่างหาก นางจึงยังคงมีวันเวลาอันสงบสุขต่ออีกหน่อย
“แต่เวลานี้มันมิใช่แล้ว ใครใช้ให้เจ้าขยายกิจการออกไปไกลขนาดนั้นในเวลาไม่กี่ปีเล่า” เยี่ยนเว่ยกล่าวออกมาราวเล่านิทานเรื่องหนึ่งซึ่งมิได้สลักสำคัญอะไรมาก
“พูดอย่างกับว่าไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในกิจการของข้าและตระกูลอย่างนั้นแหล่ะ ” นางพยายามระงับโทสะทั้งที่มือทั้งมองข้างกำแน่น ตวัดหางตามองท่านอ๋องรูปงามอย่างขุ่นเคือง ก่อนเข่นเขี้ยวฟันรำพึง
“มหาเสนาบดีหลิวรึ...”
“ตอนนี้ขุนนางของเสด็จพ่อก็ต้องการดึงเจ้าเข้ามาเสริมอำนาจราชวงศ์ ส่วนขุนที่คิดส่งบุตรสาวมาเป็นบันไดอำนาจให้กับตนเอง จะในวังหลังก็ดี จวนรัชทายาทก็ดี หรือจวนอ๋องอย่างข้า น้องเจ็ดและน้องแปดย่อมต้องหาทางกำจัดเจ้า เกรงว่าหลังจากนี้เจ้าคงต้องเจอเรื่องปวดหัวมากมายเสียแล้ว แต่ถ้าเจ้าแต่งให้ข้าปัญหาย่อมหมดไปแน่นอน ”
“....”
“เพราะอ๋องอย่างข้าย่อมช่วยเจ้าตัดตอนปัญหาได้แน่นอนอยู่แล้ว ชีวิตของเจ้าก็จะสุขสบายดังเดิม ” ท่านอ๋องยังกางพัดและฉีกยิ้มอย่างเริงร่าเช่นเดิม ขณะที่อีกคนหนึ่งนั้นถูกแรงโทสะบีบคั้นจนต้องยกมือทั้งสองข้างกุมขมับของตนเองเอาไว้
“มันจะเป็นอย่างนั้นไปได้ยังไงเล่า ! เห็นอยู่เต็มตาว่าแต่งให้เจ้านั่นแหล่ะคือจุดเริ่มต้นของปัญหาที่แท้จริง อาเว่ยเอ๋ย... ในชีวิตนี้ข้ามีสิ่งมากมายที่ต้องสะสาง ไม่มีเวลาว่างมานั่งเล่นละครกับเจ้าเหมือนบรรดาสนมในวังของพ่อเจ้าหรอกนะ หรือข้าอาจจะมีเวลา แต่ ยังมิใช่ตอนนี้”
“ข้าก็ไม่ได้คิดจะเล่นเสียหน่อย นี่ข้าพูดจริงจังเป็นเรื่องเป็นราวอยู่นะ ” แม้เว่ยอ๋องจะปรับท่าทีเป็นจริงจังขึงขังแต่สหายหญิงเพียงไม่กี่คนในชีวิตของเขาก็คร้านจะฟัง
“พอ ๆ ๆ ข้าไม่ชอบดูงิ้ว และยิ่งไม่ชอบเป็นผู้แสดงงิ้วเองด้วย ไปหานางละครเก่ง ๆ ซักนางเอาเองเถิด ” ชัดแจ้งแก่ใจแล้วว่านางมองว่าการแต่งงานนั้นเป็นเรื่องไร้สาระจริง ๆ เพราะนางมองเป็นเพียงละครหนึ่งฉากเท่านั้น และนางก็คร้านจะร่วมวงแสดงด้วย
“กรรมอะไรของข้าถึงต้องมานั่งแก้ปัญหาพวกนี้ให้พวกเจ้าปีเว้นปีเช่นนี้กัน กลับไปได้แล้ว ” ทั้งที่นางเอ่ยปากไล่ แต่เป็นเจ้าของเรือนเสียเองที่ลุกจากโต๊ะนั่งและตั้งท่าจะออกไป
“นั่นเจ้าจะไปไหน” นางไม่ตอบเขา แต่สั่งไปยังคนที่อยู่หน้าห้องแทน
“ส่งเทียบเชิญเจียวลู่มาหาข้า แล้วเพิ่ม‘ทับเงา’ไปยังจวนขุนนางทั้งเมืองหลวงอีก บอกสาวใช้เตรียมชุดเดินทางด้วย ข้าจะไปเมืองเฟิง”
“เจ้าค่ะ นายหญิง”
“เมืองเฟิงรึ นางจะไปทำไม ”
“องค์รักษ์ลับรายงานว่า ‘ทัพหลัก’ มือหนึ่งของนางที่ส่งไปสืบเรื่องกิจการของตระกูลหลิวที่เมืองเฟิงนั้นทำงานล้าช้าผิดสังเกตุ เกรงว่าจะมีบางอย่างผิดปกติจึงจะไปดูด้วยตนเองพะย่ะค่ะ ”
“หึ ขนาดข่าวลือเรื่องการวิวาห์ของตนเองแท้ๆ นางยังไม่มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจเลย กลับกันพอเป็นเรื่องเงินทองแม้เพียงไม่กี่ตำลึงทอง นางถึงกับจะไปถึงเมืองเฟิง” สุระเสียงทุ้มกังวาร ทรงอำนาจของ เยี่ยนหลงฮ่องเต้ เอ่ยขึ้นเนิบนาบ ไร้ร่องรอยของอารมณ์ทั้งที่ยามปกตินั้นฮ่องเต้ผู้นี้มักจะมีบรรยากาศของความอ่อนโยนอยู่รอบกาย ทั้งรอยยิ้มมิเคยหายไปจากใบหน้า
“นางรักเงินทองถึงเพียงนั้นแต่กลับเมินเฉยการผูกวาสนากับคนบ้านเรา หึ...สงสัยเงินทองบ้านเราคงไม่พอสำหรับความต้องการของนาง” พระองค์แย้มยิ้มที่มุมปาก คลับคล้ายว่าจะเป็นรอยยิ้มเย้ยหยันเสียมากกว่า
“หามิได้พะยะค่ะฝ่าบาท!”
อันหย่งสือรู้สึกเหมือนโดนเข็มเล่มเล็กๆนับพันทิ่มแทงไปทั่วร่างใต้กรอบหน้าเกลี้ยงเกลาสุภาพของอดีตบัณฑิตผู้ทรงภูมิ มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆเกาะพราวอยู่ทั่วหน้า ดวงตาฉายแววร้อนรน อยู่ไม่สุข จนบังเกิดความรู้สึกน่าขบขันอยู่ไม่น้อย
“ทุกสิ่งอย่างที่ตระกูลของกระหม่อมได้มาทุกวันนี้ก็ด้วยพระเมตตาของฝ่าบาททั้งสิ้น พระกรุณาอันล้นพ้นของฝ่าบาทสกุลอันย่อมต้องตอบแทนด้วยชีวิต”
“เราจะเอาชีวิตของพวกเจ้ามาทำไมกัน เราไม่ได้ต้องการเลย ทั้งเจ้าก็รู้ดีว่าเราต้องการอะไรมากที่สุด” สุระเสียงทุ้มกังวานนั้นมีความอ่อนโยนอยู่ในที ทว่าอันหย่งสือมิใช่รับใช้ฮ่องเต้ผู้นี้เพียงวันสองวัน เหตุใดจะไม่เข้าใจว่าในสุระเสียงอันอ่อนโยนนี้กำลังข่มขู่เขาอยู่
ฮ่องเต้กำลังข่มขู่เขาเพราะบุตรสาวของเขา!
ฮูหยินช่วยข้าด้วย!
“มาพูดคุยกันอย่างเปิดอกเถิดหย่งสือ”
“...”
“เดิมทีเมื่ออันเจี๋ยถือกำเนิดขึ้นมา ตระกูลอันก็เตรียมหันหลังให้กับราชสำนัก เป็นข้าที่รั้งและยัดอำนาจต่อรองต่าง ๆ ให้สกุลเจ้า ทั้งที่รู้ดีกว่าใครว่าเจ้าปรารถนาเพียงอยู่อย่างสงบ ข้ารั้งให้เจ้าทำงานในราชสำนัก เจ้าก็ประชดข้าโดยการไม่ไขว่คว้าเลื่อนตำแหน่ง หนทางที่โรยไปด้วยเงินทองที่ข้ายัดใส่มือของเจ้าและครอบครัวเจ้าก็เตรียมการยื่นมันคืนให้เยี่ยนเว่ย หนทางที่เจ้าและครอบครัวเลือกไม่ใช่ราชวงศ์ของข้าหรือราชวงศ์ไหน”
....
“....เพราะกระหม่อมรู้ดีหนทางข้างหน้าหากต้องแต่งเข้าราชวงศ์นั้นมืดมนแค่ไหน ฝ่าบาทก็ทราบความทรมานนั้นดีมิใช่หรือพะยะค่ะ”เป็นนานกว่าอันหย่งสือจะเอ่ยประโยคยาวเหยียดจี้ใจดำขึ้น
“เจ้ามิไว้ใจข้าและคนบ้านข้าเช่นนั้นหรือ” น้ำเสียงของผู้เป็นใหญ่ฉายแววผิดหวัง
“หามิได้พะยะค่ะ”
“ช่วงเวลาที่คบหากันมายังมิพอให้พวกเจ้าแจ้งแก่ใจเช่นนั้นหรือว่าคนบ้านข้ามิใช่พวกใช้ผู้อื่นเป็นสะพานอำนาจให้กับตนเอง !”
“กระหม่อมสมควรตาย!” อันหย่งสือทรุดลงคุกเข่าศีรษะแนบพื้น
“จะหักหาญน้ำใจข้าไปถึงเมื่อไหร่กัน”
“กระหม่อมและตระกูลย่อมซึ้งพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์อย่างหาที่สุดไม่ได้ กระหม่อมและตระกูลภักดิ์ดีต่อฝ่าบาท... ฝ่าบาท...กระหม่อมรั้งอยู่ที่นี่มิใช่เพียงเพราะหน้าที่ แต่กระหม่อมอยู่ด้วยเพราะเป็นห่วงพระองค์ เมตตาที่ฝ่าบาทมีให้พวกเรา...พวกเราไม่ลืม และยิ่งไม่ลืมว่าสมบัติทุกชิ้น ก้อนดินทุกก้อน แม้แต่ข้าวทุกเม็ดล้วนเป็นของฝ่าบาท หาใช่ของพวกเราอย่างแท้จริง”
“...”
“สมบัติอันล้ำค่าสิ่งเดียวของตระกูลอันก็คืออันเจี๋ย”
“เพราะนางคือสมบัติอันล้ำค่า ข้าจึงต้องการนางมากกว่าความภักดีที่ประจักษ์แจ้งอยู่แล้ว”
“เรื่องของอันเจี๋ยมิใช่เรื่องที่กระหม่อมจะตัดสินใจเองได้พะยะค่ะ เซียวฮูหยินรักถนอมนางมากกว่าสิ่งอื่นใดและนางมิปรารถนาเกี่ยวข้องกับราชวงศ์อีกแล้ว” หากยอมให้แต่งฮูหยินคงฆ่าเขาแน่ แต่หากปฏิเสธเกรงว่าหัวเขาคงหลุดออกจากบ่าไม่มีโอกาสได้ก้าวเท้าออกจากห้องทรงอักษรนี้แน่ ๆ
“สตรีผู้นั้นคงจะเกลียดเรามากจริง ๆ แต่นั่นก็ช่วยไม่ได้ มันคนละส่วนกัน” เยี่ยนหลงฮ่องเต้หัวเราะเสียงขืน
“ประการต่อมา อันเจี๋ยมิใช่ผู้ที่จะถูกควบคุมได้โดยง่าย ลูกคนนี้แต่ไหนแต่ไรนางคิดอ่านการใดกระหม่อมและฮูหยินก็ยากจะคาดเดา หากบีบคั้นนาง...นางอาจจะทำเรื่องที่ไม่คาดฝันอีกก็เป็นได้ กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทควรไต่ถามนางเองเสียพะยะค่ะ !”
อยากแต่งผู้ใดเข้าบ้านก็ไปถามผู้นั้นเอาเถอะ !
เสี่ยวเจี๋ย เสี่ยวเจี๋ยช่วยบิดาด้วย !
ฉีกงกงที่หลบฉากอยู่นั้นได้ยินก็หางคิ้วกระตุก
ไอหยา ! มีผู้มาทาบทามบุตรสาว แต่ผู้เป็นบิดากลับไล่ให้ไปถามบุตรสาว สวรรค์ ! สกุลอันเลี้ยงลูกตามใจนัก
แล้วผู้ที่มาทาบทาบนั้นเล่า ฮ่องเต้แคว้นเยียนเชียวนา มิเท่ากับว่าใต้เท้าอันไล่ให้ฝ่าบาทไปสู่ขอคุณหนูอันด้วยตนเองหรอกหรือ
ไอหยา ! หมิ่นเบื้องสูง !
“หึ ๆ ๆ เจ้ากับฮูหยินคงจะรักถนอมนางมากถึงได้มอบสิทธิการตัดสินใจให้นางแต่เพียงผู้เดียว” เยี่ยนหลงฮ่องเต้ระบายยิ้มออกมาเต็มหน้า รอยยิ้มนั้นให้ความรู้สึกดุจเดียวกับเว่ยอ๋องท่านอ๋องสูงศักดิ์ผู้งดงามเป็นหนึ่งในแผ่นดิน
อ๋องผู้สูงศักดิ์ที่ชอบมาปีนรั้วบ้านข้า !
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ทีไร ผู้เป็นพ่อก็รู้สึกคันยุบยิบ ๆ ขึ้นมาในใจ แต่มิอาจเอ่ยอะไรออกมาได้แม้แต่ครึ่งคำ
“ถ้าใต้เท้าอันต้องการให้เราทำเช่นนั้นก็ย่อมได้ อาจจะง่ายกว่าเดิมด้วยซ้ำ เจ้าและฮูหยินไม่ปรารถนาลาภยศ เงินทองแต่มิใช่ว่าบุตรสาวของเจ้าจะไม่ต้องการ”
ระ เรื่องนั้นมัน
เป็นใต้เท้าอันที่ตื่นตะลึง อ้าปากค้างจนพูดไม่เป็นคำ
“เรายังมีสิ่งล่อใจนางอีกมาย ถึงเวลานั้นก็หวังว่าเจ้าและฮูหยินจะเคารพการตัดสินใจของนาง”
“ฝ ฝ่าบาท”
“อีกอย่างหนึ่งที่ข้าอยากบอกแก่เจ้าและคนสกุลอันหากวาดหวังชีวิตอันสงบสุข ชะตานางก็ถูกกำหนดแล้วว่าต้องแต่งเข้าบ้านข้า แต่หากหาไม่แล้ว...”
“....”
“อันเจี๋ยนางต้องตายไปเท่านั้น”
…………………………………………………………………………………………………………………………
ตอนใหม่มาดึกๆเลยจ้าาาา
ความคิดเห็น