ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 2 ราชโอการสะเทือนแผ่นดิน(1/2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.89K
      7
      24 ต.ค. 66

    บทที่2 

    ราชโองการสะเทือนแผ่นดิน  

     

    ด้านอันเจี๋ยนั้นมิได้รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่าโดนผู้ยิ่งใหญ่มากมายหลายคนหมายหัวนางอยู่ จึงได้เตรียมตัวไปเมืองเฟิงโดยไม่ทุกข์ร้อนใด ๆ นางอยู่ในชุดพร้อมเดินทางเรียบ ๆ สีดำ ด้านหลังมีท่านอ๋องรูปงามที่บัดนี้ใบหน้างดงามแสนน่ารักงอง้ำอย่างไม่สบอารมณ์กับชุดเดินทางที่สุดแสนธรรมดาที่สวมใส่อยู่

    ที่กล่าวกันว่าเว่ยอ๋องเป็นบุรุษช่างเลือก รักในความฉูดฉาด จู้จี้ จุกจิกดั่งสตรีนั้นไม่เกินไปเลยแม้แต่นิด สำหรับคนผู้นี้ทุกสิ่งสำหรับเขาต้องดีที่สุด จะไปที่แห่งใดต้องเอิกเกริก ยิ่งโดดเด่นสะดุดตาเท่าไหร่คนผู้นี้ก็คล้ายจะมีความสุขมากเท่านั้น อาหารต้องเลิศรสที่สุด อาภรณ์ต้องงดงามเนื้อดีที่สุด การที่ต้องสวมใส่อาภรณ์เนื้อผ้าธรรมดา ๆ ที่ออกจะธรรมดาเกินไปเช่นนี้จึงทำให้เว่ยอ๋องเจ็บปวดใจอยู่บ้าง

    “อะไรของเจ้า ใบหน้าเสียอกเสียใจนั่นมันอะไรกันน่ะ”

    “ข้าชิงชังความธรรมดาแบบนี้นัก” กล่าวพร้อมเบะหน้าคล้ายจะร้องไห้ออกมาอย่างน่าหมั่นไส้จนคู่สนทนาต้องกรอกตาไปมา

    “ไม่พอใจก็ไม่ต้องตามมา ไม่ได้ร้องขอเสียหน่อย” เว่ยอ๋องบ่นออกมาอีกหลายคำนัก ทว่าอันเจี๋ยคร้านจะใส่ใจสหายของตนเอง การเป็นสหายกับคนผู้นี้มาทั้งชีวิต นางทราบถึงความเอาแต่ใจของเขาดีที่สุด เวลาไม่พอใจหรือไม่ได้ดั่งใจทะเลาะด้วยอย่างไรก็ไม่ชนะ เสียเวลาโดยใช่เหตุ อะไรที่ปล่อยได้ก็ปล่อยเถิด เพราะท้ายที่สุดเว่ยอ๋องก็ทำได้มากที่สุดเพียงบ่นกระปอดกระแปดตลอดการเดินทางเท่านั้น 

    ถึงเวลานั้นหากนางรำคาญใจก็ค่อยหาอะไรมาอุดปากเขาก็ยังมินับว่าสาย 

    เรือนจื่อเถิงของอันเจี๋ยนั้นเป็นเรือนใหญ่ที่มีประตูออกนอกจวนเป็นของตนเองและเป็นส่วนตัวเนื่องจากเขาด้านหลังนั้นเป็นพื้นที่เพาะปลูกพืชและพิษนานาชนิดของนาง ประตูเรือนของนางจึงเปิดสำหรับช่วงเวลาเก็บเกี่ยวพืชพิษและสมุนไพรที่มีการเก็บเกี่ยวทุกวัน

    นางและเหล่าบ่าวไพร่ของนางจึงใช้ประตูนี้จนชินไปด้วยแทนที่จะใช้ประตูหน้าจวน ซึ่งแน่นอนว่าผู้คนในเมืองหลวงส่วนใหญ่ต่างไม่ทราบเรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นเหตุให้ในช่วงเวลาสามสี่ปีที่นางกลับเข้ามาเมืองหลวงนี้ชาวเมืองจึงไม่ได้พบเห็นใบหน้าของคุณหนูใหญ่ตระกูลอันผู้มั่งคั่ง 

    กลับได้ยินเพียงเรื่องราวของนางเท่านั้น ดีบ้าง แย่บ้างปะปนกันไป ยิ่งข่าวคราวด้านดีของนางมีมาก ข่าวคราวด้านเสียก็จะออกมามากเท่ากัน เมื่อมีข่าวคราวด้านแย่ออกมามากขึ้นข่าวด้านดีก็จะโหมกระหน่ำมากขึ้นเป็นวัฏจักรไม่รู้จบ จนนางรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าผู้คนหลายสายคอยปั่นอยู่อย่างสนุกสนาน ทว่านางก็คร้านจะใส่ใจแล้ว

    “อาเจี๋ยเจ้าจะ...” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยอะไร คนทั้งคู่ก็รับรู้ได้ถึงพลังปราณที่เข้มข้นสายหนึ่งที่กำลังเข้ามาใกล้เรือนของนางอย่างรวดเร็ว ทั้งสองมองไปตามทิศทางของพลังปราณที่สัมผัสได้ 

    เว่ยอ๋องมีสีหน้าสนอกสนใจ ขณะที่ผู้เป็นเจ้าของเรือนดาวตาทอประกายวาววับด้วยความโกรธจัด

    ลมหอบใหญ่ปะทะเข้ากับร่างของผู้ที่เตรียมเดินทาง ทั้งเร็วและรุนแรง ทั้งยังพัดพาฝุ่น เศษไม้ กระทั่งเศษอิฐและเศษกระเบื้องหลังคามาด้วย 

    แต่ทั้งอันเจี๋ย เว่ยอ๋องและจิ่วเหมยก็ยังคงยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง

    “สุดยอด! ยอดเยี่ยมไปเลย ! ” เว่ยอ๋องกู่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ก่อนจะมองไปยังเหนือกำแพงของประตูท้ายเรือน

    ชายผู้หนึ่งยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงนั้น ชายผู้นี้มีกลิ่นอายของความสูงศักดิ์และอำนาจแผ่ออกมาอย่างชัดเจน แรงกดดันที่แผ่ออกมาอย่างไม่ตั้งใจนั้นชวนให้รู้สึกขนลุกอยู่ตลอดเวลา แม้จะอยู่ในชุดสีดำเรียบ ๆ ทั้งยังสวมหน้ากากสีเงินปิดบังใบหน้าของตนอยู่ก็ไม่อาจกลบกลิ่นอายที่พิเศษเหนือผู้อื่นออกไปได้

    ชายที่แข็งแกร่งและเก่งกาจขนาดที่ต่อให้มีเว่ยอ๋องสิบคนและนางอีกสิบคนรวมกันก็ต่อกรกับคนผู้นี้ไม่ได้

    “เสด็จพี่ ! ” สายตาของเยี่ยนเว่ยอ๋องนั้นทั้งเทิดทูนและเคารพเป็นอย่างยิ่ง เห็นดังนั้นอันเจี๋ยยิ่งเจ็บใจจนสบถคำหยาบไปมาก

    “ให้ตายสิ! ค่ายกลของข้า!” 

    นางและพรรคพวกสู้อุตส่าห์ใช้เวลาร่วมเดือนกว่าจะสร้างค่ายกลที่สมบูรณ์แบบแยบยลเพื่อปกป้องจวนขึ้นมาได้ แต่คนผู้นี้กลับทะลวงค่ายกลมาได้อย่างง่ายดาย 

    เจ็บใจนัก ! หนอยแน่!

    “เสด็จพี่ทรงพระปรีชา! ค่ายกลอันใหม่นี้ข้าเองก็พยายามทะลวงมาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จซักที ฝีมือของอาเจี๋ยและทัพหน้าล้ำหน้าไปทุกที แต่เสด็จพี่ก็ยังเก่งกาจกว่าพวกเขานัก!”

    ไอ้เจ้าคนสอพลอนี่!

    ทัพหน้าอย่างจิ่วเหมยนั้นคิ้วกระตุกไปครั้งหนึ่ง แต่นายหญิงของนางนั้นก็ได้ระบายโทสะด้วยการขว้างกินก้อนน้อย ๆ ไปยังผู้ที่ยืนเด่นบนกำแพงจวนนางแล้ว ก้อนหินนั้นกระทบกับหน้ากากสีเงินเข้าเต็ม ๆ เยี่ยนเว่ยอ๋องตกใจตนหน้าตื่น แต่ผู้โดนกระทำกลับยังคงนิ่งเฉย 

    “อันเจี๋ยเจ้าคนสามหาว! นี่เจ้าจะลอบปลงพระชนม์องค์รัชทายาทแห่งแว่นแคว้นรึ ! บังอาจยิ่งนักมีกี่หัวถึงจะชดใช้ได้หา! ”  

    “อย่ามาเล่นงิ้วให้มาก คนเช่นนี้หรือจะมาตายเพราะก้อนหิน ! คนเช่นนี้น่ะหรือ!” อันเจี๋ยชี้นิ้วไปที่รัชทายาทแห่งแคว้นอย่างไม่เกรงกลัว ตาจ้องมองคู่สนทนาถลน ปากยังพร่ำระบายไม่หยุด  

    “ตั้งแต่ข้ากลับมาอยู่เมืองหลวงเจ้าคนผู้นี้พังค่ายกลข้าไปแล้วกี่ค่าย เจ้ารู้ไหมค่าใช้จ่ายมันมากมายแค่ไหน! แล้วเจ้ายังจะมีหน้ามาพูดทำนองว่าคนเช่นนี้ ! จะมาเจ็บมาปวดกับก้อนหินก้อนเดียวอีกหรือ !” นางรู้สึกดว่าอากาศถ่ายเทไม่สะดวก นางโมโหจวนจะเป็นลมเสียให้ได้ จนต้องหอบหายใจเข้าแรง ๆ ให้เต็มปอดหลาย ๆ ครั้ง  

    “แล้วเห็นบ้านข้าเป็นอะไร เดี๋ยวคนนั้นปีนเข้า เดี๋ยวคนนี้ปีนออก ทั้งที่กลไกบ้านข้านั้นซับซ้อนยิ่งแท้ ๆ แบบนี้จงใจดูถูกกันรึ!”  

    “เพ้อเจ้อ” หนึ่งคำที่หลุดออกมาจากปากผู้สูงศักดิ์ที่สุด ณ ที่นี้ทำให้อันเจี๋ยดวงตาวาววับตั้งท่าจะซัดบางอย่างใส่รัชทายาท ทว่าเว่ยอ๋องรวบมือทั้งสองข้างของนางได้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะไต่ถามด้วยสายตาเป็นประกายเจิดจ้า 

    “ว่าแต่ว่าเสด็จพี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่พะยะค่ะ หรือแค่แวะผ่านมาชั่วคราว?”  

    “แค่แวะผ่านมา เดี๋ยวก็กลับ ”  

    “หึ ! แน่นอนว่าต้อง ’ผ่านมา’ อยู่แล้ว รัชทายาทผู้แสนดีน่ะหรือจะทิ้งพระชายาคนงามไว้ชายแดนทางใต้แล้วกลับมาคนเดียว” นางยืนกอดอกค่อนขอดอย่างถือดี  

    ชายแดนทางใต้มิใช่ว่าจะเดินทางเพียงวันสองวันจะสามารถถึงเมืองหลวงได้ เดินทางด้วยรถม้าใช้เวลาร่วมเดือน เดินทางด้วยม้าเร็วโดยไม่หยุดพักยังใช้เวลาร่วมอาทิตย์ ต่อให้เป็นเยี่ยนซือรัชทายาทผู้ปรีชาผู้นี้แล้วยังต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าสามวันกว่าจะเดินทางถึงเมืองหลวงแน่นอน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่รัชทายาทจะผ่านมาด้วยความบังเอิญดังคำของพระองค์อย่างแน่นอน  

    ไม่มีคำกล่าวใดหลุดออกมาจากองค์รัชทายาท สายพระเนตรคมกริบจ้องใบหน้าของสตรีถือดีและเย่อหยิ่งผู้นี้แน่นิ่ง อันเจี๋ยรู้สึกหนาว ๆร้อน ๆ กับสายตาแบบนั้นของรัชทายาทไม่น้อย เพราะสายตาเช่นนี้ของรัชทายาททำนางเดือดร้อนมานักต่อนักแล้ว แต่ด้วยความไม่อยากยอมแพ้นางจึงยืนกอดอกจ้องมองรัชทายาทกลับอย่างจองหอง ไม่กลัวตาย เว่ยอ๋องเพียงไพล่มือทั้งสองข้างไว้ที่หลัง มองต้นไม้และใบหญ้าเรียบร้อยแล้ว ไม่ต่างจากจิ่วเหมยที่ยืนก้มหน้าประสานมืออย่างสำรวมไม่เอ่ยคำใดแม้ครึ่งคำตั้งแต่ออกจากตัวเรือนมา  

    หนึ่งรัชทายาทและหนึ่งคุณหนูเล่นสงครามประสาทได้ไม่ถึงอึดใจ ลมหอบหนึ่งพร้อมทั้งปราณสองสายกำลังพุ่งมาทางที่พวกนางอยู่ ซึ่งมาจากทิศทางเดียวกับที่รัชทายาทมา เพียงหนึ่งลมหายใจจึงปรากฏภาพชายชุดดำสองคน พวกเขาพุ่งมาขนาบข้างองค์รัชทายาท ทำให้แน่ชัดขึ้นมาว่าพวกเขานั้นเป็นคนของรัชทายาท 

    ทว่าสิ่งที่สะดุดตาของผู้ที่ยืนอยู่เบื้องล่างทั้งสามนั้น คือสิ่งที่พวกเขาแบกมาด้วย 

    เป็นชงหลินและถงชาง!

    พวกเขาบาดเจ็บ! 

    “ท่านทำพวกเขาหรือ !” อันเจี๋ยถามอย่างโกรธจัด

    “ใช่” พระองค์ไม่ปฏิเสธ  

    “จิ่วเหมย ! ”  

    ทันใดนั้นเองจิ่วเหมยก็ได้ทะยานขึ้นไปยังทิศที่ผู้บุกรุกยืนอยู่ โดยที่ไม่ทันตั้งตัว นางวาดเท้าเตะองค์รักษ์ผู้หนึ่งลอยขึ้นฟ้าและใช้ความเร็วและรุนแรงระดับเดียวกันเตะองค์รักษ์อีกผู้หนึ่งให้ร่วงหล่นจากกำแพง ก่อนที่นางจะทะยานกลับมายืนอยู่ด้านหลังของอันเจี๋ยอย่างสงบพร้อมกับประคองร่างของชงหลินและถงชางที่ไม่ทราบว่านางนางฉวยพวกเขามาจากมือองค์รักษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่ ความรุนแรงจากแรงแตะของนางนั้นทำให้ใต้ร่างขององค์รักษ์ที่ร่วงกระทบพื้นนั้นปรากฏรอยแตกละเอียดของแผ่นหินปูทางเดิน  

    จิ่งเหมยโค้งหัวให้อันเจี๋ยแล้วนางจึงย่อตัวเองดันร่างของบุรุษสูงใหญ่สองร่างพาดบ่าเล็กทั้งสองข้างของนางแล้วใช้วรยุทธ์พาพวกเขาเร้นหายไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นจนจบจิ่วเหมยไม่แสดงสีหน้าใดเลยนอกจากใบหน้าเรียบเฉยแสนเย็นชาอันเป็นเอกลักษณ์ของนาง  

    เยี่ยนเว่ยลอบจดท่าทีการต่อสู้เมื่อครู่ไว้ในใจ ความสามารถของ ‘ทัพหน้า’ ของอันเจี๋ยนั้นเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาของพวกเขามานาน แต่ดูเหมือนว่าช่วงนี้พวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากนัก โดยเฉพาะขุนพลทัพหน้าทั้งสี่ของอังเจี๋ยที่แต่เดิมก็เก่งพร้อมทั้งพละกำลัง สติปัญญาและวรยุทธ์สูงส่งอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งดูแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อครู่หากองค์รักษ์ของรัชทายาทเดินปราณป้องกันไว้ได้ไม่ทัน เกรงว่าพวกเขาคงไม่มีลมหายใจไปแล้ว ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุใดสองในสี่จึงพลาดท่าให้รัชทายาทเสียได้ก็ตาม แต่นั้นก็ประมาทพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด 

    มากกว่าความแข็งแกร่งคือความจงรักภักดีดีที่มีให้อันเจี๋ยต่างหากที่สำคัญที่สุด  

    อืม... งั้นช่วงนี้งดกวนใจอาเจี๋ยลงบ้างดีกว่า ไม่อย่างนั้นน่ากลัวเหลือเกินว่าจะมีชะตาไม่ต่างกับองค์รักษ์เหล่านี้เท่าไหร่ 

    “ท่านทำร้ายคนของข้าทำไม !”  

    “เรื่องเข้าใจผิด”  

    “หา!!”  

    องค์รัชทายาทโฉบลงมาจากบนกำแพงด้วยความรวดเร็ว พระองค์ไม่สนใจเสียงหวีดร้องและคำด่าทอหยาบคายของอันเจี๋ย เยี่ยนซือเดินมาหยุดตรงหน้าเยี่ยนเว่ย พระองค์ตบบ่าน้องชายที่โค้งคารวะเบา ๆ สองสามครั้ง แล้วเดินเข้าไปยังตัวเรือนชั้นในราวกับเรือนของตนเอง เยี่ยนเว่ยจึงได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ และเกาแก้มเบา ๆ เท่านั้น ไม่นานท่านอ๋องคนงามจึงรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างผิดปกติ จึงหันไปมองสหายสนิทก็พบว่านางกำลังเตะลมชกอากาศอยู่ทั้งยังโกรธจนไอพิษแผ่กระจายออกมาจากร่าง ซ้ำยังเป็นไอพิษระดับเข้มข้นด้วย 

     อ้อ หายใจลำบากเพราะเหตุนี้เอง!   

    “ อาเจี๋ยใจเย็นๆก่อนสิ! พิษกระจายหมดแล้ว! เดี๋ยวก็ตายกันหมดเรือนหรอก ! ”  

    “เอ้อ! ตายให้หมดเลย! โดยเฉพาะมังกรน่ารำคาญอย่างพวกเจ้า ! เขากล้าดียังไงมาทำร้ายคนของข้า !” 

    เว่ยอ๋องทั้งปลอบทั้งลากนางเข้าเรือน ฟังนางบ่นจนหูชา ทั้งทนแรงทุบตีจากนาง ให้ปวดหัวจนเดินลับเข้าไปยังตัวเรือน  

    ไม่ไกลจากจุดที่เหล่าผู้สูงศักดิ์เคยยืนอยู่นั้น บนต้นจื่อเถิงต้นใหญ่ต้นหนึ่ง บุคคคลสองคนกำลังสนทนากันอย่างคิดไม่ตก  

    “ วันสถานการณ์ไม่สู้ดีเลย นางดูโมโหยิ่ง เจ้าว่าข้าเข้าไปดีไหม?” 

    “เมื่อครู่นางพึ่งบ่นไปว่าเห็นบ้านนางเป็นอะไรคิดจะเข้าจะออกก็ได้อย่างนั้นหรือพ่ะยะค่ะ เกรงว่าตอนนี้ไม่เหมาะยิ่ง กระหม่อมว่ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ให้รัชทายาทเจรจาเสียก่อน หากไม่เข้าทีพระองค์ค่อยออกตัวมาช่วยดีหรือไม่” 

     “...เห้อ” ผู้บรรดาศักดิ์สูงกว่าได้แต่รู้สึกจนใจ 

    ยามนี้เรือนพักชั้นในของอันเจี๋ยถูกปิดสนิท ห้ามผู้ใดเข้าออกยกเว้นเพียงสาวใช้ลำดับหนึ่งเพียงไม่กี่คนเท่านั้น  ในห้องหนังสือของอันเจี๋ย รัชทายาท นั่งลงบนโต๊ะชาซึ่งตั้งอยู่ข้างหน้าต่าง เว่ยอ๋องเอนตัวนอนเท้าคางมองพี่ชายและสหายอยู่มุมหลังห้อง ส่วนอันเจี๋ยนั้นยืนกอดอกพิงโต๊ะหนังสือของตน ดวงตาที่ยามปกติก็มักจะแฝงความเจ้าอารมณ์และเอาแต่ใจอยู่เป็นทุนเดิม บัดนี้ยิ่งทวีความเจ้าอารมณ์เข้าไปใหญ่ 

    “ท่านต้องมีคำตอบให้ข้าเรื่องที่ท่านทำร้ายคนของข้า” 

    “บอกไปแล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ” รัชทายาทเยี่ยนซือแห่งแคว้นเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนักพลางยกชาขึ้นจิบ ก่อนปลดหน้ากากสีเงินออกปรากฏภาพชายรูปโฉมงดงามผู้หนึ่งมีลักษณะคมคายกว่าเว่ยอ๋องและกลิ่นอายดุดััน น่าเกรงขามมากกว่า แฝงเสน่ห์ล้ำลึก

    เป็นจริงดังทีี่ ‘บันทึกเรื่องเล่าสิบราชวงศ์’ ที่บรรยายไว้ว่า อันคนสกุลเยี่ยนนั้นรูปงามดุจปีศาจ งดงามราวกับพรากวิญญาณของผู้คนได้

    ชั่วขณะหนึ่งที่อันเจี๋ยมองความงามของคนบ้านนี้ความท้อใจพร้อมทั้งก่นด่าถึงความไม่ยุติธรรมของสวรรค์ คนบ้านนี้จะโกรธใบหน้าก็ยังงดงาม จะร้องไห้ใบหน้าก็ยังคงงดงาม จะเศร้าใจใบหน้าก็ยังน่ามอง 

    นางน่ะหรือ เพียงขมวดคิ้วผู้คนก็เข้าใจว่านางจะเผาเรือนแล้ว  นางสะบัดหน้าไล่ความฟุ้งซ่านในใจเล็กในใจ ก่อนทอดถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด 

    “แล้วมันความผิดอันใดท่านถึงต้องทำร้ายพวกเขาถึงเพียงนั้น คงไม่ใช่พวกเขาเผลอล่วงเกินของสำคัญนางหรอกใช่ไหม ข้ายอมยกเสาหลักทัพหน้าที่เก่งที่สุดของข้าถึงสองคนไปจัดการเรื่องเล็กน้อยของสตรีนางนั้นให้ท่านถึงเมืองเฟิง ถ้าคนของข้ายังต้องมาเจ็บตัวเพราะนาง มันคงจะไม่ยุติธรรมสำหรับข้าและคนของข้าไม่น้อย” อันเจี๋ยขมวดคิ้วและพูดนำไปเรื่อยตามนิสัยของนาง 

    ทว่ารัชทายาทแค้วนเยี่ยนเพียงเสมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่มีคำกล่าวอธิบายอะไร 

    อันเจี๋ยจึงให้ชะงักไป  แม้แต่เว่ยอ๋องที่ฟังอย่างเงียบ ๆ ราวคนนอกยังเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ 

    “นี่ท่าน !…” 

    “เสด็จพี่ ! นี่มันออกจะ… ” 

    สตรีตระกูลหลิวนางนั้นมีน้ำหนักในพระทัยของรัชทายาทมากเสียจนน่ากลัวไปแล้ว   

     บรรยากาศของห้องหนังสือหนักอึ้งผสมปนเปกันจนแยกไม่ออก ด้านเรือนพักของจิ่วเหมยและทัพหน้าสาวใช้หลายนางกำลังวุ่นกับการเช็ดตัวและดูแลถงชางและชงหลิน ทั้งหมอประจำจวนและกลุ่มผู้ช่วยยังเข้ามาดูอาการของคนทั้งคู่ ผู้คนผลัดกันเปลี่ยนหมุนเวียนทั้งเรือนพักจึงมีความวุ่นวายนัก 

    "เป็นอย่างไรบ้าง” จิ่วเหมยหันไปถามท่านหมอประจำจวนวัยกลางคน

                “เรียนแม่นางเหมย ท่านทั้งสองนี้วรยุทธ์สูงส่งเบื้องต้นจึงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนักเพียงบอบช้ำภายในเล็กน้อย ทานยาตามเทียบยาที่ข้าเขียนให้ไม่เกินสามวันก็จะดีขึ้น พวกเขาสลบไปนานแล้วคิดว่าอีกซักสองสามชั่วยามก็จะฟื้นได้เอง แต่หากแม่นางอยากพูดคุยกับพวกเขายาของสำนักสามารถทำให้พวกเขาฟื้นขึ้นมาได้ทันที ” 

    “ขอบคุณท่านหมอ” นางยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง 

    “ข้าน้อยขอตัว” ท่านหมอเองก็สงบนิ่งเช่นกัน เมื่อเสร็จงานจึงขอตัวกลับไปทันที 

    จิ่วเหมยให้สาวใช้ออกไปด้านนอกให้หมด ส่วนนางหยิบยาขวดเล็ก ๆ ขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ เปิดจุกออกแล้วค่อย ๆ สลับจ่อที่จมูกคนทั้งสอง  

     ไม่นานผู้สลบไสลทั้งสองก็รู้สึกตัว พวกเขาร้องออกมาเบา ๆ ด้วยความเจ็บปวดก่อนทำท่าจะลุกขึ้น 

    “พวกท่านอยู่ที่เรือนแล้ว ไม่ต้องลุกหรอก ” เป็นจิ่วเหมยที่ห้ามไว้ 

    “อาเหมย?" เป็นชงหลินเอ่ยขึ้นทั้งยังมีท่าทีงุนงงอยู่ 

    “รัชทายาทและองค์รักษ์พวกพวกเจ้ากลับมา ทั้งยังเอ่ยปากเองว่าเป็นคนทำร้ายพวกเจ้าด้วยความเข้าใจผิด พี่หลิน พี่ชาง พวกท่านมีอะไรจะเอ่ยหรือไม่" 

    นางสงบนิ่ง ทว่าไอความกดดันแผ่ออกมาเรื่อย ๆ การที่ถงชางและชงหลินทัพหน้าที่เก่งที่สุดของนายหญิงถูกทำร้ายสลบไสลซ้ำยังโดยหิ้วกลับมาด้วยเช่นนี้ สำหรับนางนั่นยิ่งเสียกว่าการเหยียบหน้าเป็นไหน ๆ  

    “เข้าใจผิดที่ไหน จงใจชัด ๆ ”ถงชางบ่นอุบเบา ๆ นางจึงขมวดคิ้วน้อยๆด้วยความคาใจในคำกล่าวนั้น 

    “ใจเย็นน่าอาเหมย คนที่ทำร้ายพวกข้าคือรัชทายาท พวกข้าไม่มีทางสู้ได้อยู่แล้ว อีกอย่างเหตุการณ์รวดเร็วนัก สกัดจุดต้านทานวรยุทธ์ของรัชทายาทได้ก็นับว่าเก่งแล้ว  ”  

    “เรื่องเป็นมาอย่างไร” 

    "ตอนที่ไปสืบเรื่องของสกุลหลิว ข้ากับอาชางพลัดหลงขึ้นไปยังหุบเขาด้านหลังโรงทอผ้าของสกุลหลิว พวกเราไปพบหญ้าเพลิงเข้า”

    “หญ้าเพลิงอย่างนั้นหรอ ! ” แม้แต่จิ่วเหมยยังเสียอาการหลุดโพล่งออกมาอย่างแตกตื่น แล้วพวกเขาสองคนที่พบหญ้าเพลิงเป็น ๆ เล่า พวกเขาดีใจแทบสิ้นสติ

    “ถึงจะรู้สึกแปลกใจอยู่ แต่เมื่อคิดว่าหากได้มานายหญิงต้องดีใจแน่ ๆ จึงไม่ทันคิดให้ถี่ถ้วน จังหวะที่กำลังจะถอนหญ้าเพลิงขึ้นมารัชทายาทไม่รู้โผล่มาจากไหน พวกข้ายังไม่ทันตั้งตัวก็สลบไปแล้ว” 

    คิดไม่ถึงว่าจะเป็นของแม่นางผู้นั้นไม่ทันคิดด้วยซ้ำว่าของบนเขานั้นรัชทายาทให้คนรักษาไว้ไม่ให้มีอะไรสึกหลอหรือเสื่อมสภาพ 

    “รัชทายาทรักนางมากเหลือเกิน รู้ทั้งรู้ว่าคุณหนูต้องการหญ้าเพลิงขนาดไหน นางทิ้งไว้ต่างหน้าไม่มีความจำเป็นต่อนางด้วยซ้ำยังไม่ยอมยกให้นายหญิง ” ถงชางบ่นออกมาอย่างเลื่อนลอย    

    “นอกจากนี้พวกข้ายังเจออะไรต่อมิอะไรที่สตรีผู้นั้นซ่อนเอาไว้อีกมากมายเลย…ความดำมืดของตระกูลหลิว อาเหมย ข้าคิดว่าเร็ว ๆ นี้จะมีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ...ข้าคิดว่าเราให้นายหญิงส่งเทียบเชิญลู่เจี่ยเจียกลับมาดีหรือไม่ ”

    “นายหญิงพึ่งมีคำสั่งให้เรียกตัวเจี่ยเจียกลับมา ” 

    “หืม” คนทั้งสองร้องอย่างแปลกใจ  

    “เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่แน่ ๆ เร็ว ๆ นี้  ยังไม่แน่ชัดนักทว่าพวกท่านก็เตรียมการเถอะ ”   

    “เหตุใดจึงกล่าวเช่นนั้น ” ถงชางฝืนลุงขึ้นมาถามนางด้วยความแปลกใจ

    “เหตุใดจังหวะเหตุการณ์จึงเหมาะเจาะนักเล่า” ชงหลินมุ่นคิ้ว ทั้งงุนงง ทั้งสับสน จิ่วเหมยไม่ได้แสดงความเห็นอันใดออกไป ทว่าในใจเห็นด้วยกับทั้งคน

    ใช้แล้ว จังหวะเหมาะเจาะยิ่งนัก ดั่งมีการเตรียมการไว้เนิ่นนานแล้ว 

    ด้านห้องหนังสือของเรือนจื่อเถิง เสี่ยวอันเจี๋ยมีสีหน้าย่ำแย่นักแม้นางยังไม่ทราบที่ไปที่มาแน่ชัดนักก็ตาม

    “นี่มันเกินไปแล้วนะ! ” 

    “บทลงโทษสำหรับการขโมยในจวนเจ้าน่าจะหนักกว่านั้นมากนัก ” อันเจี๋ยชะงักไปแม้แต่เว่ยอ๋องยังแปลกใจจนหุบพัดแล้วฟังด้วยความสนใจ 

    โดยปกติแล้วคนของอันเจี๋ยมักจะถือตนและรักศักดิ์ศรียิ่ง ทั้งยังไม่คล้ายว่าจะมีผู้ใดที่มีนิสัยชอบหยิบฉวย ยิ่งเป็นคนสนิทของนางแล้วคนพวกนั้นถือตนว่าเป็นนักรบผู้มีเกียรติ เว่ยอ๋องและอันเจี๋ยนั้นเคยเดินทางกับทัพหน้าบ่อยครั้ง พวกเขาต่างพบของมีค่าควรเมืองมากมาย ยังไม่มีท่าทีสนใจแต่อย่างใด ครานี้กลับริคิดขโมยสมบัติของสตรีที่รัชทายาทรักอย่างหัวปักหัวปำอย่างนั้นหรือ ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย  

    เว่ยอ๋องหันไปมองอันเจี๋ยที่มีสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก ว่าไปแล้ว สิ่งที่จะทำให้คนระดับทัพหน้าริขโมยสิ่งของ สิ่ง ๆ นั้นคงจะเป็นสิ่งที่มีค่ามากสำหรับอันเจี๋ย 

    “สิ่งที่พวกเขาจะขโมยโดยไม่ลังเล เห็นทีคงจะมีแต่สิ่งของระดับผลึกเหมัันต์หรือระดับหญ้าเพลิงขึ้นไปเท่านั้นแหล่ะ ของที่แม้แต่ข้ายังปลูกไม่ขึ้น คนสกุลหลิวจะปลูกขึ้นได้อย่างไรเล่า” นางบ่นงึมงำ 

    “เข้าเรื่องเลยดีกว่า ” รัชทายาทโพล่งขึ้นด้วยเสียงราบเรียบตรงประเด็นซึ่งเรียกความสนใจจากคนทั้งคู่ได้เป็นอย่างดี   

    “ข้ามีการค้ามาแลกเปลี่ยน ” ได้ยินดังนั้นอันเจี๋ยก็ใคร่ถอนหายใจนัก 

    “ทำการค้ากับท่านข้าไม่เคยได้กำไรซักนิด ข้าไม่สนใจแล้ว ” 

    “รีบกล่าวเช่นนั้นแน่ใจแล้วหรือ ” 

    “หืม… ” ทั้งอันเจี๋ยและเยี่ยนเว่ยอ๋องร้องด้วยความแปลกใจพร้อมๆกัน มิบ่อยครั้งที่รัชทายาทจะกล่าวยั้งผู้อื่น ครานี้จึงนับว่าน่าสนใจไม่น้อย 

    เยี่ยนหมิงกล่าวอันใดมาก เขาล้วงเข้าไปในชายเสื้อ หยิบขวดยาขนาดเล็กมาวางไว้ตรงหน้าตน อันเจี๋ยมิรอช้า คว้าขวดยานั้นขึ้นมา เปิดจุกยาแล้วดมกลิ่น นางมีอาการคล้ายไม่เชื่อ นางดมกลิ่นอีกครั้งแล้วเทยาปริศนานั้นออกมาเพียงเล็กน้อย ตัวยามีลักษณะเป็นเกล็ดใสละเอียด

    ครั้นเมื่อแจ้งแก่ใจแล้ว นางตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนแผดเสียงหัวเราะดังลั่น ดวงตาวาววับทั้งยังมีประกายและสมใจทั้งยังเจือด้วยความสาแกใจอยู่จาง ๆ 

    “น่าสนใจมากจริงๆ” ทั้งตัวยาทั้งการที่รัชทายาทได้ยานี้มาด้วย 

    “อะไรหรืออาเจี๋ย”เยี่ยนเว่ยอ๋องเห็นอาการของสหายคล้ายนางมารผู้ชั่วร้ายที่มีความสุขหลังจากก่อการชั่วสำเร็จ ก็เกิดความสนใจมากนัก คนงามจึงลุกขึ้นปรี่ตรงมาหาสหายของตน 

    “อาเว่ย เจ้าดูนี่สิสิบสองเหมันต์ล่ะ! ฮ่า ๆ ๆ ” 

    “หา ! เสด็จพี่ไปได้มาอย่างไร ท่านลงไปทางใต้มิใช่หรือ ! ”      เว่ยอ๋องร้องออกมาด้วยความแตกตื่น

    สิบสองเหมันต์ คือผลึกของยาฤทธิ์เย็นหายากสิบสองชนิดรวมกันซึ่งทำได้จากการทำให้พืชเหมันต์ทั้งสิบสองชนิดชนิดกลายเป็นผลึกเสียก่อนและนำมาผลิตเป็นยาหายากตัวนี้ได้ที่ สำคัญ ยาขนานนี้ไม่สามารถใช้พื้นที่ทางใต้ปรุงขึ้นมาได้อย่างแน่นอน 

         การปรุงยาชนิดนี้ทำได้ยากมาก ตั้งแต่การรวบรวมพืชเหมันต์ทัั้งสิบสองชนิดนี้ก็ยากแล้ว เนื่องจากสภาพอากาศมีผลอย่างยิ่งต่อพืชเหล่านั้นอีกทั้งพืชทุกชนิดก็เปราะบางไวต่อโรคและแมลงอย่างยิ่ง พืชบางชนิดก็จวนเจียนสูญพันธุ์ไปแล้ว อันเจี๋ยใช้เวลาถึงสี่ปีเต็ม ใช้ทุกเส้นสายที่นางมีกว่าจะสามารถรวบรวมพืชเหมันต์สิบสองชนิดนี้จนครบ ใช้เวลาอีกสองปีกว่าจะเพาะพันธ์ุพืชเหมันต์ครึ่งหนึ่งเอาไว้ได้ 

    เมื่อรวบรวมจนครบต้องใช้เวลานับกว่าสองปีจึงจะเพาะเลี้ยงจนพืชแต่ละชนิดหลายออกผลเป็นผลึกใส นำผลึกเหล่านั้นมาบด หลัังจากนั้นจึงจะนำไปปรุงยาซึ่งต้องใช้ความละเอียดและสัดส่วนที่ถูกต้องแม่นยำเท่านั้นจึงจะสำเร็จ

    อันเจี๋ยทำสำเร็จถึงขั้นสกัดผลึกใสออกมาได้เท่านั้น นางล้มเหลวในการปรุงยาขั้นสุดท้ายมานับไม่ถ้วน ทั้งวัตถุดิบนางยังมีอย่างจำกัด นางเหลือผลึกเหมันต์เพียงอย่างละหนึ่งเหลี่ยง (ห้าสิบกรัม) 

    แม้แต่วันนี้นางก็ล้มเหลวในการปรุงยาทำให้ผลึกเหมันต์ชนิดที่แปด เก้า และ สิบสองของนางหมดเกลี้ยง และสำคัญยิ่งคือ พืชชนิดที่ แปด และชนิดที่สิบสอง นั้นเป็นหนึ่งในพืชที่นางไม่สามารถเพาะพันธ์ได้ 

     นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าเหตุใดวันนี้อันเจี๋ยถึงได้อารมณ์เสียอย่างรุนแรงเช่นนี้   

    ยามที่เห็นผลว่ายาล้มเหลว นึกถึงยามที่ตนเองต้องดั้นด้นหาวัตถุดิบอีกครั้ง นางทั้งหงุดหงิด หดหู่และสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน ทว่าดูสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางยามนี้สิ !           

    “เช่นนี้ข้าก็ร่นระยะเวลาทำยาถอนพิษได้มากกว่าครึ่งแล้ว ฮ่าๆๆ ” ยามนี้นางแทบจะหุบยิ้มไม่ลงเสียด้วยซ้ำ  

    “พอจะสนใจการค้าครั้งนี้แล้วหรือยัง ”  

    “แน่นอน! จะให้ข้าแลกเปลี่ยนสิ่งใด”

    “จงแต่งเข้าจวนเว่ยอ๋องซะ”

     

    .           ชาวเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนมีเรื่องให้ฮือฮาอีกแล้ว เมื่อขบวนนางกำนัลและขันทีขบวนใหญ่เร่งฝีเท้าออกนอกกำแพงวังหลวงอย่างเอิกเริก หัวขบวนนำโดยฉีกงกงขันทีขั้นสูงผู้เป็นขันทีคู่พระทัยของฮ่องเต้ ในมือของฉีกงกงประคองราชโองการสีทองอร่ามไว้อย่างระวังทว่ามั่นคง  

    “นั่น…บ้านไหนมีเรื่องอะไรหรือ” 

    “ไม่รู้สิ ราชโองการอะไรหรือนั่น”

    “นั่นน่ะสิ” เสียงซุบซิบอย่างสนใจใครรู่ดังตลอดทางจนกระทั่งขบวนผู้มาจากวังหลวงหยุดอยู่ที่หน้าจวนสกุลอัน ทุกอย่างจึงบังเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ 

    “จวนใต้เท้าอันหรอกหรือ” 

    “มีเรื่องอะไรกันหรือ” 

    “เจ้าก็รอชมกันไปก่อนสิ !"

    ที่หน้าจวนสกุลอัน ขบวนเจ้านายและบ่าวไพร่ยืนรอรับกงกงอาวุโสด้วยความนอบน้อม…เว้นแต่แม่นางผู้หนึ่ง ที่มีสีหน้าคล้ายไม่สบอารมรณ์  

    “นั่นคุณหนูใหญ่รึ คล้ายไม่เห็นหน้าข้าตานางเสียนาน ”

    “นั่นสิ แต่นางก็ยังดูโมโหร้ายเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย”

    ดวงตาสวยเฉี่ยวคมคู่นั้นดุดันเป็นทุนอยู่แล้ว ยิ่งใบหน้าของนางไร้รอยยิ้มอ่อนโยนดังบิดามารดายิ่งทำให้ใบหน้าของนางนั้นดูเจ้าอารมณ์ขึ้นไปอีก

    “เสียดายว่าใต้เท้าอันกับเซียวซื่อ บิดามารดานั้นก็ออกจะอ่อนโยน ช่างเจรจา น้องชายนางรึก็น่าเอ็นดู ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงผ่าเหล่าผ่ากอนัก” 

    “ว่าไปแล้วหน้าตานางก็ไม่คล้ายบิดา มารดาเหมือนนะ ”

    “ท่านป้า ! ท่านเก็บปากไว้กินข้าวเถอะ !” ประสาทการรับรู้นางเฉียบคมกว่าคนทั่วไปมาก อาจจะมากกว่าผู้ฝึกยุทธ์บางคนเสียด้วยซ้ำ  ดังนั้นเสียงวิจารณ์เลื่อนลอยไร้จึงมารยาทดังลอยมาเข้าหูของอันเจี๋ยอย่างช่วยไม่ได้ นางได้ยินเสียงนั้นดังชัดเจน นางถึงแหวออกไปอย่างไม่สำรวมกิริยานัก  

    ฉีกงกงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ใต้ท้าอันเพียงยิ้มรับ ทว่าใบหน้านั้นขาวซีดไปเรียบร้อนแล้ว ส่วนเซียวซื่อผู้เป็นมารดานั้นตกใจจนเผลอหยิกเอวบุตรสาว

    “โฮ้ย ๆ เจ็บเจ้าค่ะ ” 

    “เงียบเลยนะ แสดงกิริยาแบบนั้นออกไปได้อย่างไร ” เซียวซื่อเอ็ดบุตรสาวเบา ๆ ทว่าเสียงเขียว อันเจี๋ยจึงได้แต่ทำหน้างอง้ำบ่นงึมงำ

    “ทีท่านป้าพวกนั้นยังเสียมารยาทกับข้าเลย ”

    “เอ๊ะ ! เจ้าคนนี้นี่!” 

    “ฮูหยิน” ใต้เท้าอันรีบห้ามฮูหยินของตน ด้วยกลัวว่าสองแม่ลูกจะแสดงกิริยาเสียมารยาทต่อหน้าฉีกงกง

    “อะแฮ่ม !!” ฉีกงกงกระแอมเสียงดังเรียกความสนใจจากคนสกุลอัน

    “อันเจี๋ยรับโองการ” บังเกิดความเงียบขึ้น ณ บริเวณหน้าจวนสกุลอัน   คนจวนใต้เท้าอันต่างคุกเข่า รอฟังราชโองการ เซียวซื่อเหลือบตามองสามีและบุตรสาว คนทั้งคู่มีท่าทางเป็นปกติ แต่นางนั้นใจหล่นไปอยู่แทบเท้าเสียแล้ว 

    “คุณหนูใหญ่แซ่อัน นามเจี๋ย งามพร้อมรูปโฉมและจริยวัตร เพียบพร้อมความรู้ความสามารถอย่างบุตรีภรรยาเอกขุนนางขั้นสาม คุณหนูใหญ่แซ่อัน นามเจี๋ย เป็นที่รู้กันว่าเป็นสหายวัยเยาว์แก่เว่ยอ๋องแห่งวังประจิม เว่ยอ๋องและคุณหนูใหญ่แซ่อันนามเจี๋ยมีความคุ้นเคยและมีสัมพันธ์อันดีต่อกันมาช้านาน บัดนี้ต่างไร้ซึ่งคู่หยวนยาง ด้วยพระบารมีแห่งโอรสสวรรค์ เล็งเห็นถึงความใกล้ชิดสนิทแน่นแก่เยี่ยนเว่ยอ๋องและแม่นางอันเจี๋ยดั่งคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ มีพระราชโองการให้คุณใหญ่แซ่อัน นามเจี๋ย แต่งเข้าวังประจิมแก่เว่ยอ๋อง ดำรงตำแหน่งหวางเฟย ในอีกหนึ่งเดือน จบราชโองการ ” 

    “ ไอ้หยา ! ตายแล้ว” ชาวเมืองบางคนที่ลอบสังเหตุการณ์อยู่เผลอหวีดร้องขึ้นมาอย่างลืมตัว

    “เรื่องจริงหรือนี่ ” 

    “ไม่อยากจะเชื่อ”  เสียงซุบซิบยังคนดังอย่างเซ็งแซ่ ขณะที่หน้าจวนสกุลอันนั้นเกิดบรรยากาศกระอักกระอ่วนเล็กน้อยเมื่อคุณหนูใหญ่ผู้พึ่งได้รับพระราชทานสมรสหมาด ๆ ยังคงนิ่งเฉย

    “เอ่อ...คุณหนูอันเจี๋ย โปรดรับราชโองการด้วย ” 

    “อันเจี๋ยรับราชโองการ เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี ”

    เมื่อเจ้าตัวรับราชโองการไปแล้ว ฉีกงกงก็รีบนำคณะเดินทางกลับไปทันที ใต้เท้าอันจะเรียกมอบค่าน้ำชาให้ก็ไม่ทันเสียแล้ว ทำได้เพียงถอนหายใจแล้วพาภรรยาและบุตรีเข้าบ้านทันที ขณะที่นอกจวนนั้นก็ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ เพียงครึ่งค่อนวันข่าวคราวก็แพร่ไปทั่วแผ่นดิน  และยังไม่ครบวันดี ข่าวการสมรสครั้งนี้ก็ดังไกลไปถึงต่างแคว้นแปดทิศสิบสองแคว้นเป็นที่เรียบแล้ว 

    ภายในจวนสกุลอัน อันเจี๋ยเมื่อรับราชโองการนั้นมาแล้วก็ดิ่งกลับเรือนตนเองทันที ผู้มีสถานะเป็นบิดา มารดา ก็มิกล้าทักท้วงหรือเรียกคุยแต่อย่างใด ด้วยเข้าใจดีว่า ยามนี้นางต้องรับ “แขก” ที่รอนางอยู่ที่เรือน  

    เซียวซื่อมีสีหน้าอัดอั้นตันใจ ในชีวิตที่เหลือของนาง ปรารถนาของนางคือ ปรารถนาให้อันเจี๋ยอยู่ห่างจากราชวงศ์ทั้งปวง ทว่าความผิดพลาดในอดีตของคนรุ่นนางทำให้เด็กคนนี้เติบโตมาท่ามกลางเหล่าเชื้อพระวงศ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   แต่นางก็ยังคงหวังจากหัวใจว่าบุตรีของนางคนนี้จะหลีกหนีจากการเกี่ยวดองกับราชวงศ์ได้

    แต่ทันทีที่มีราชโองการปล่อยออกมาเช่นนี้ ก็ปิดประตูปรารถนาในใจของนางเสียแล้ว   

    นางเซียวซื่อมองสามีที่ยังคงอยู่ในชุดขุนนางแล้วยิ่งอัดอั้นนัก

    แบบนี้ไม่นับว่ามัดมือชกหรือหรือ อันหย่งสือพึ่งกลับถึงจวนยังไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ยังมิทันจะได้ผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ดีด้วยซ้ำ ราชโองการสมรสพระราชทานก็มาจ่อรออยู่ที่หน้าประตูเสียแล้ว 

    “ฮูหยิน...” ใต้เท้าอันเรียกภรรยาด้วยความเห็นใจ 

    “ข้าน่ะ มักจะคิดเสมอเลยว่าตัดสินใจถูกหรือไม่ที่อยู่กับท่านที่นี่”

    “ฮูหยิน...ข้า”

    “ตลอดเวลาที่ผ่านมาใจของข้าปราณาพาท่าน พาอาเจี๋ยและอาเล่อหนีไปให้พ้นจากเมืองหลวงแห่งนี้ หรือหนีหายไปจากแคว้นนี้ได้ก็ยิ่งดี ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่มีผู้ใดรู้จัก ไม่มีความแค้น ไม่มีอัตตาใด ๆ ทั้งนั้น  แต่ที่ทนอยู่ในสถานที่แห่งนี้เพราะข้ารักท่าน” ยามเห็นภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากพยายามกลั้นก้อนสะอื้นใจของอันหย่งสือให้ปวดใจนัก เขาประคองภรรยาลงนั่งแล้วโอบประคองทั้งลูบหลังนางอย่างปลอบโยน ไร้ซึ่งคำกล่าว 

                “ข้าเข้าใจในความภักดีที่ท่านมีให้กับฮ่องเต้ มันเป็นห่วงที่ผูกท่านไว้ที่นี่ ข้าเข้าใจท่านเป็นอย่างดี เข้าใจด้วยว่าฮ่องเต้ก็มิได้มีความผิดอะไร ...แต่ว่านะหย่งสือ เพื่อบัลลังก์ที่มั่นคงของคนผู้นั้น ตระกูลเซียวของข้าถึงกับต้องล่มสลาย ข้าเฝ้ามองคนที่ข้ารักตายตกตามกันไปต่อหน้าต่อตา คนแล้วคนเล่า “เซียว”เหลือแต่ชื่อ “เยี่ยน”กลับยิ่งมั่นคง เพียงเห็นเท่านี้ ข้าไม่อาจสลัดความแค้นออกไปจากใจของข้าได้หมด แล้วท่านดูยามนี้สิ  พวกเขายังจะมาพรากอาเจี๋ยไปจากข้าอีกแล้ว ”

    เป็นคนบ้านนั้น...อีกแล้ว

    ตระกูลที่ดับฝันของนางครั้งแล้วครั้งเล่า 

    เป็นครอบครัวนั้นที่พรากเอาสิ่งที่นางรักไปจากนางทุกอย่าง ทั้งยังทิ้งบาดแผลของความเจ็บปวดไว้ในใจนางอีกมากมาย

    ...

    มากมายเหลือเกิน 

    …………………………………………………………………………….

    มาอีกทีตอนเช้าเลยค่ะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×