ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #4 : หนึ่งวิวาห์สะเทือนหกตำหนัก2

    • อัปเดตล่าสุด 21 ต.ค. 66


    ตอนนี้คุณหนูทำอะไรอยู่ ” นางหันไปถามสาวใช้ที่ยืนอยู่ไม่ไกล

    “เรียนฮูหยิน คุณหนูใหญ่อยู่ที่เรือนเพาะชำเจ้าค่ะ ” สาวใช้ใบหน้าหมดจดผู้หนึ่งตอบอย่างสงบเสงี่ยม”

    “เช่นนั้นก็อย่าพึ่งไปยุ่งกับนางเลยแล้วกัน ดูท่าจะอารมณ์ไม่ดีนัก ”

    ดูเอาเถอะว่าตามใจบุตรสาวเพียงไหนเพียงแค่จะเรียกหายังต้องดูอารมณ์และท่าทีของผู้เป็นบุตรก่อน จวนอื่นบ้านไหนมาเห็นล้วนตกใจกับแนวปฏิบัติของคนสกุลนี้ยิ่งนัก

     ...นับว่าเลี้ยงบุตรได้ผิดประเพณียิ่ง 

    หรือว่าบรรยากาศที่คุกรุ่นจวนอยู่นี้จะเป็นพายุอารมรณ์ของคุณหนูใหญ่กันนะ

    จวนสกุลอันอยู่ห่างจากวังหลวงพอสมควร  ทว่าทิวทัศน์งามด้วยเบื้องหลังติดภูเขาลำธาร มาตรว่านายท่านอันนั้นเป็นดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองประวัติศาสตร์ไม่นับต่ำแต่ไม่นับว่าโดดเด่นนัก สกุลอันแต่ไหนแต่ไร งานในส่วนราชการจะไม่โดนเด่น เห็นจะมีเพียงอดีตนายท่านใหญ่ที่เคยดำรงตำแหน่งเจ้ากรมการคลังที่นับว่าสูงที่สุดในบรรดาคนสกุลอันที่เคยรับราชการมา

    แต่เงินทองความมั่งคั่งของจวนสกุลอันนับว่ามองข้ามมิได้ด้วยทำการค้ามาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคนเงินทองเหลือกินเหลือใช้ จวนสกุลอันจึงใหญ่โตโอ่อ่าเทียบเท่าได้กับจวนเสนาบดี หรืออาจจะใหญ่โตมากกว่าจวนเสนาบดีบางคน และนับวันจะยิ่งขยับขยายใหญ่โตไปเรื่อย จวบจนในตอนนี้จวนสกุลอันประกอบไปด้วยเรือนชานต่าง ๆ มากกว่า 6 เรือนทั้งที่มิได้มีเจ้านายมากนัก 

    นายท่านอันมีอนุภรรยาเพียงสองนาง อาจด้วยฤทฺธิ์เดชของเซียวซื่อพวกนางจึงต่างไร้บุตร ทำให้จวนนี้มีทายาทเพียงสอง เท่านั้น ในบรรดาเรือนต่าง ๆ ของสกุลนี้ เรือนจื่อเถิง เรือนนี้นับว่างดงามที่สุดในจวนสกุลอัน ยิ่งย้ำให้ชาวบ้านร้านตลาดเห็นว่าสกุลอันรักและถนอมคุณหนูใหญ่เพียงใด  


    ท่ามกลางหมู่มวลบุปผางามที่แข่งขันชูช่อผลิบานสะพรั้งทั้งจื่อเถิงหลัวต้นใหญ่ที่โดดเด่นเป็นสง่ากลางเรือนผลิดอกออกช่อสีม่วงบ้างชมพูมีเสน่ห์ล่ำ หลายกลีบเกสรบ้างก็ร่วงหล่นระผิวเต็มสระน้ำที่อยู่ด้านหน้า เป็นภาพงดงามบาดจิตราวกับภาพฝัน ชวนให้หัวใจสงบนิ่ง เย็นในหัวใจ


    ช่างไม่เข้ากันเสียเลยบรรยากาศอบอวนราวกับมีบางสิ่งกดทับให้อากาศบางเบา จนเหล่าบ่าวไพร่รู้สึกหายใจไม่คล่อยนัก หากว่าเรือนใหญ่ไม่ดีแล้ว เห็นทีเรือนจื่อเถิงจะไม่ดีเสียยิ่งกว่า เสียงจอแจไม่สมกับเป็นบ่าวไพร่จวนขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักแต่เป็นเอกลักษณ์ของคนเรือนจื่อเถิงดังไปทั่วเรือน ทั้งยังวิ่งวุ่น หยิบนู่นจับนี่ โยกย้ายจากจุดนั้นมาจุดนี่ หมุนวนพันตู เห็นแล้วชวนปวดขมับ เหล่าบ่าวไพร่ไม่มีเวลาแม้เพียงนิดให้ซับเหงื่อที่รินรดหน้าตน ด้วยกลัวจะเสียเวลาผู้เป็นนายให้นางหงุดหงิดรำคาญจนลงโทษพวกตนด้วยวิธีการแปลก ๆ  นางมักโมโหร้ายเช่นนี้เมื่อเข้าเรือนเพาะชำ

    “อาซิ่ว ! ข้าบอกให้ย้ายเสี่ยวกุยให้โดนแดด เอาออกไปไว้นอกตัวเรือนเพาะ ! แค่ย้ายไปไว้ใต้เสี่ยวไป๋ ข้าจะให้เจ้าช่วยข้าขนออกทำไม !  ” ไม่เพียงว่ากล่าวนางยันหลังซิ่วเหอบ่าวชายชุดแดงขาวเสียหน้าคะมำ มือสองข้างโอบอุ้มกระถางต้นตังกุยที่นางเรียกเสี่ยวกุยอย่างถนอมก่อนโน้มตัวลงไปลูบเสี่ยวไป๋หรือไป๋เหอฮวาขาวนวลตาอย่างรักใคร่ ก่อนหันไปเห็น      ซิ่วเหอที่คลำหลังตนเองป้อย ๆ ก็นึกรำคาญตาจึงเตะไปอีกครั้งหนึ่งเดินออกไปนอกตัวเรือนเพาะชำ  ครั้นวางเสี่ยวกุยไว้ในที่ที่นางต้องการแล้ว พลันสายตาดันไปปะทะเข้ากับสาวใช้นางหนึ่งเข้า

    “อาหลิว ! บอกกี่ครั้งแล้วว่าฤดูนี้ห้ามเอาชาขายออกมาตากที่เรือน จะให้เกสรพิษปลิวใส่หรือ หรือจะให้ข้าปรุงชาพิษให้เจ้าลิ้มลองก่อน ถึงจะจำได้ หรืออย่างไร ! ” ครั้งนี้ก็มิเพียงว่ากล่าวนางยังคว้าก้อนหินขนาดเล็กปาใส่อาหลิว สาวน้อยวัยแรกรุ่นชุดแดงขาวหน้าตาจิ้มลิ้มให้นางได้คลำหัวน้ำตาเล็ดด้วยความเจ็บ

    “ผิดไปแล้วเจ้าค่ะ”

    “ยังไม่รีบเก็บกลับเข้าไปอีก ! ” อาหลิวน้อยจึงตะลีตะลานเก็บชาเช่นเดิม บ่าวคนอื่นพยายามทำงานในส่วนของตนให้ดีและพยายามทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดที่คาดว่าจะรอดพ้นสายตาอันเจี๋ย แต่ก็ยังไม่วายมีผู้ถูกนางด่าลั่นเรือนจวนเจียนร้องไห้เสียหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเหล่าบ่าวชุดแดงทั้งสิ้น

    “มันยังไงกันนัก ถึงโง่เง่ากันนัก บ้างพิษกับยายังแยกกันไม่ออก บ้างก็ตากยาผิด บ้างรึก็บดยาไม่เป็น  รู้หรือไม่ว่าสาวใช้เรือนข้าพวกเจ้ายังเทียบฝีมือพวกนางไม่ได้เลย  ไม่ต้องเรียนมันแล้ว กลับขึ้นเขาไปลาออกจากสำนักซะ!”

    ซิ่วเหอได้ยินเช่นนั้นก็น้ำตาร่วงแหมะหลังจากวางตังกุยอีกต้นลงข้าง ๆ ต้นที่อันเจี๋ยวางไว้ ใช้หลังมือปาดน้ำตาป้อย ๆ เดินคอตกจะออกไปทางเรือนหลัก

    “เจ้าจะไปไหน ! ”นายของเรือนตะโกนร้องลั่นเสียงดังจนบ่าวคนอื่นสะดุ้ง แต่ก็ก้มหน้างุดทำงานต่อ

    “ป...ไปลาออกขอรับ ศ..ศิษย์...พี่บอกให้ ฮึก..ไปลา ออก ”

    ครานี้อันเจี๋ยคว้าก้อนหินขนาดใหญ่ขว้างไปโดนหัวซิ่วเหออย่างจังจนอีกฝ่ายล้มลงแน่นิ่ง

    “มารดาเจ้าเถิด ! ”

    ข้าประชดยังไม่รู้ความอีกรึ! 

    “ข้าไม่น่ามีศิษย์น้องซื่อบื้อเช่นเจ้า!” นางพรูดลมหายใจระบายโทสะ เหลือบมองศิษย์น้องเล็กที่โดนสหายคนอื่น ๆ หิ้วปีกกลับที่พักไปแล้ว ครั้นเมื่อดีขึ้นจึงกู่ร้องสั่งการไปยังอาหลิวน้อย 

    “อาหลิวเสร็จงานไปเตรียมยาที่หอปรุงยา ”สั่งการเสร็จก็หมุนตัวกลับเข้าไปยังโรงเพาะชำ 

    ได้ยินคำว่า ‘เตรียมยาที่หอปรุงยา’อาหลิวน้อยก็พลันแข้งขาอ่อนแรง สูดน้ำมูก ปาดน้ำตาป้อย ๆ ค่อย ๆ เก็บชา

    โดยทั่วไปแล้วบ่าวในจวนใต้เท้าอันจะสวมชุดสาวใช้สีเขียวอ่อน ทว่าในจวนของอันเจี๋ยนั้นพิเศษมากขึ้น เนื่องจากจะมีสาวใช้และบ่าวชายในชุดสีแดงเพิ่มเข้ามาล้วนแล้วแต่เป็นบ่าวที่อายุยังน้อยทั้งนั้น แท้จริงแล้วเหล่าบ่าวชายอายุน้อยล้วนเป็นศิษย์ร่วมสำนักที่ถูกส่งลงมาทำโทษทั้งสิ้น 

    อันว่าความสามารถอันเลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นของคุณหนูใหญ่สกุลอันนั้นหาได้กล่าวเกินจริง อาจจะกล่าวน้อยเกินความเป็นจริงไปเสียด้วยซ้ำ ศาสตร์ศิลป์ของสตรีที่ว่าสามารถรึก็ไม่เท่าศาสตร์แพทย์ที่โด่ดเด่นมาตั้งแต่ไหรแต่ไร อายุไม่กี่หนาวก็เริ่มจับงานในโรงหมอตระกูลอันแล้ว นอกจากนี้ยังมีความสามารถด้านการค้า ในตระกูลอันทั้งสายหลักและสายรองรุ่นหลังอันเจี๋ยนับว่ามีความสามารถในทางการค้ามากที่สุด ว่ากันว่ายามเมื่อนางทำการค้านางไม่ยอมขาดทุนแม้แต่อีแปะเดียว กิจการใดที่สกุลอันถือครองนางล้วนสามารถทั้งสิ้น หากนายท่านอันเกิดพิกลยกนางขึ้นเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปนั่นก็ไม่อาจนับว่าไม่เหมาะสมได้ แต่ไหนแต่ไรตระกูลอันก็หาได้สนธรรมเนียมอันใดอยู่แล้วและในยามนี้แม้วัยจะผ่านวัยปักปิ่นมานานยังมิมีท่าทีจะออกเรือน น้ำหนักที่ว่านางจะได้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไปยิ่งมากนัก ชาวเมืองต่างคาดเดาว่าไม่แน่ว่าเห็นทีอาจจะได้เห็นตระกูลอันแต่งเขยเข้าตระกูลก็เป็นได้

                ความสามารถของคุณหนูใหญ่ตระกูลอันชาวต้าเยี่ยนล้วนรับรู้ ทว่าที่ไม่รู้ก็มีอยู่อีกมากเช่นกัน เช่นว่า แท้ที่จริงแล้วนางมีทักษะด้านการปรุงพิษเสียยิ่งกว่าปรุงยา  หรือจะเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าแล้วอันเจี๋ยเป็นศิษย์สายตรงของสำนักชื่อดังสำนักหนึ่งในยุทธภพ เป็นที่รักและเป็นความหวังของเจ้าสำนัก เรื่องเหล่านี้ชาวต้าเยี่ยนล้วนไม่เคยรับรู้

    เพราะแต่ยังเล็กก็ติดตามอยู่ข้างตัวกายเจ้าสำนักมาโดยตลอด อีกทั้งความสามารถที่ล้ำเลิศนั้นยังส่งเสริมให้นางมีฐานะสูงส่งเหนือใคร ยามเมื่ออยู่ที่สำนักรับผิดชอบงานน้อยใหญ่ในสำนักมากมาย เป็นแขน เป็นขา เป็นเส้นเลือดใหญ่ของสำนักไปเสียแล้ว ดังนั้นยามเมื่อลากลับบ้านจึงไม่วายที่เจ้าสำนักจะส่งลูกศิษย์ที่ไม่ได้ความ หรือศิษย์ที่ทำผิดกฎสำนักมาให้นางสั่งสอนแทน ด้วยจนใจจะสอนสั่ง หรือจะด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจในลูกศิษย์คนนี้ก็ตาม 

    ดังนั้นเรือนจื่อเถิงจวนสกุลอันจึงมีบรรดาสาวใช้และบ่าวชายชุดแดงที่ถูกส่งมาจากเขาเซียวซานมากมายด้วยประการนี้

                “นายหญิงก็เป็นเช่นนี้แหล่ะ เจ้าอย่าได้คิดมาก” จิ่วเหมยสาวใช้ที่แต่งกายแตกต่างจากผู้อื่นอื่นบ่งบอกสถานะที่พิเศษกว่าผู้ใดในเรือนนี้เข้ามาช่วยอาหลิวเก็บชาและพูดปลอบใจหญิงสาววัยแรกรุ่นที่มีน้ำตาคลอหน่วยอยู่จวนเจียนจะไหล ทว่ายิ่งปลอบน้ำตาของอาหลิวก็ยิ่งไหลออกมาจากหน่วยมากกว่าเดิม 

                “ จ เจ้าค่ะพี่เหมย ” แต่กระนั้นก็ยังมีใจตอบกลับสาวใช้คนสนิทคุณหนูใหญ่

                “เช็ดน้ำตา แล้วรีบไปเตรียมงานที่หอปรุงยาเสีย ” จิ่วเหมยเป็นสตรีที่มีทั้งใบหน้าและกิริยาสงบนิ่ง...ออกจะนิ่งเกินไป ผิดกับผู้เป็นนาย ในบรรดาสาวใช้ขั้นหนึ่งทั้งสี่ที่เป็นมือเท้าสำคัญของอันเจี๋ย นางคือผู้ที่สุขุมและเป็นที่น่าเกรงขามทั้งยังใกล้ชิดกับอันเจี๋ยมากที่สุด   

                “พ พี่เหมย...อาหลิวไม่รู้ว่าศิษย์พี่เข้มงวดได้ถึงเพียงนี้  ” แม้ดรุณีน้อยจะพูดเสียงเบา แต่เหล่าคนเรือนจื่อเถิงที่หูดีกว่าชาวบ้านทั่วไปก็ได้ยินชัด จึงเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ 

                “รู้อย่างนี้ข้าจะไม่หนีเที่ยวบ่อย ๆ อีกแล้ว ” ดรุณีน้อยน้ำตาร่วงเผาะ มือหนึ่งเก็บชาใส่ตระกร้า มือหนึ่งปาดน้ำตาป้อย ๆ 

    เพราะเบื่อหน่ายกับการอยู่บนเขา นางจึงแอบอาจารย์ลงมาเที่ยวเล่นในเมืองบ้างไม่บ่อยครั้ง แรก ๆ อาจารย์ต่างหลับหูหลับตาบ้าง เพียงแต่ครั้งสุดท้ายที่นางหนีเที่ยวนั้น นางบังเอิญหลงทางอยู่ในเมืองเสียพักใหญ่กลับไปยังสำนักไม่ทันก่อนพระอาทิตย์ตกดิน เป็นที่วุ่นวายให้ศิษย์ร่วมสำนักต้องตามหา คราแรกคิดว่าอาจารย์คงจะลงโทษให้คิดตำรายา หรือทำความสะอาดลานฝึกยุทธ์ คาดไม่ถึงว่าอาจารย์จะโกรธมากจนถึงขั้นส่งนางกลับเข้ามายังเมืองหลวง มาอาศัยเป็นบ่าวเรียนวิชากับศิษย์พี่ที่ล่ำลือกันว่านางอารมณ์ร้ายเป็นที่สุด ยามนี้นางเหมือนอยู่ในนรกก็ไม่ปาน อยากกลับบ้านเหลือเกิน ทั้งที่บ้านของนางอยู่ห่างจวนนี้ไปเพียงไม่กี่หัวถนน แต่อย่าว่าแต่กลับบ้านเลยเพียงแค่แจ้งคนที่บ้านว่ายามนี้ตนอยู่เมืองหลวงยังทำมิได้ด้วยซ้ำ 

                ขณะที่อาหลิวน้อยคร่ำครวญในใจ บ่าวดั้งเดิมของเรือนจื่อเถิงคนอื่น ๆ แม้กระทั่ง จิ่วเหมยก็ลอบส่ายหน้าเหนือยใจ

                “ยังไม่เสร็จอีกรึอาหลิว ...” ยังไม่ทันที่อันเจี๋ยจะได้เอ่ยวาจาเผ็ดร้อนใดออกไปนางก็ชะงัก ก่อนหันไปมองเลยไปยังต้นจื่อเถิงต้นใหญ่ในจวนของนาง ใบหน้าของนางก็มืดครึ้มลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นสีหน้าของผู้เป็นนาย จิ่วเหมยต้องอุทานในใจว่าแย่แล้ว 

     เกรงว่าสรรค์จะกลัวเรือนจื่อเถิงแห่งนี้ยังวุ่นวายไม่เพียงพอ ดั่งกำลังทดสอบความอดทน 

    บนรั้วกำแพงสูงของเรือนจื่อเถิง ได้ปรากฏร่างสง่างามของคนผู้หนึ่ง เจ้าของร่างสง่างามที่โผล่มายืนบนกำแพงเรือนนางอย่างไม่สนธรรมเนียมปฏิบัตินั้นมีรูปโฉมพิลาศลักษณ์ยิ่งนัก ผิวพรรณขาวผ่องผุดผาด ดวงตารีเรียวนั้นสุกสว่างพร่างพราวราวกับดวงดาราเจือไปด้วยความอ่อนโยน จมูกโด่งรั้นนั้นหรือก็รับกับริมฝีปากบางเฉียบสีสดที่ประดับยิ้มเจิดจ้าอยู่เป็นนิจ 

    งาม.... 

    งดงาม สูงส่งล้ำค่า งดงามเสียจนมิอาจเอื้อม 

     

    —————————— 


    ขอหัวใจหน่อยค้าบบบบบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×