คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : บทที่4 เงาของความแค้นเคือง(1/2)
บทที่4
เงาของความแค้นเคือง
ภายในเรือนของพระขายาอัน
เว่ยอ๋องที่ใบหน้าไร้สีเลือด กำลังยื้อยุดกับพระชายาซึ่งยังคงเลือดอาบหน้าอยู่ พยายามจะมองหน้าพระชายาของตนให้ชัด ๆ
“ก็บอกว่าอย่าจับอย่างไรเล่า ! เปื้อนเลือดขึ้นมาจะทำอย่างไร ”
“เจ้าก็อยู่เฉย ๆ สิ ข้าขอดูนิดเดียวให้แน่ใจ”
“จะดูให้ได้อะ..”
“ศิษย์พี่ ! ข้ามาช่วยท่านแล้ว ” ยังไม่ทันที่อันเจี๋ยจะกล่าวจบประโยค เสียงกู่ร้องแตกตื่นของคนคุ้นเคยก็ดังทะลุขึ้นกลางปล้อง
ซิ่วเหอวิ่งพรวดพราดเข้ามาอย่างกับจวนของตนเองไม่คล้ายเข้าจวนอ๋องแม้แต่น้อย ด้านหลังของเขายังมีอาหลิวที่ใบหน้าซีดเผือดและจิ่วเหมยที่แม้จะควบคุมสีหน้าได้ทว่าใบหน้าก็ไร้สีเลือดไม่ต่างกัน
ทันที่เข้ามาในตำหนักจิ่วเหมยจึงปิดประตูลงกลอน และเดินปิดหน้าต่างทุกบาน
ตั้งแต่ที่เห็นอันเจี๋ยออกจากตำหนักไทเฮาด้วยใบหน้าอาบเลือด นางก็รีบเร่งไปไปลากตัวศิษย์น้องกึ่ง ๆ ลูกศิษย์ของอันเจี๋ยที่นั่งกินนอนกินอยู่ที่เรือนจื่อเถิงของอันเจี๋่ย
“จะเอะอะเสียงดังไปทำไม ” อันเจี๋ยหรือตอนนี้ก็คือพระชายาอันส่งเสียงดุศิษย์น้องอย่างไม่จริงจังนัก ซึ่งคนถูกดุก็ไม่ใส่ใจ มองในหน้าซีกหนึ่งที่เปือนเลือดเป็นปื้นของศิษย์พี่หน้าเผือด
ตั้งแต่มีราชโองการสมรสของศิษย์พี่มาถึง ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่ถูกส่งตัวมาลงโทษที่เรือนของศิษย์พี่ก็ถูกส่งตัวกลับไปยังสำนัก มีเพียงเขาและอาหลิวที่ท่านอาจารย์ไม่อนุญาติให้กลับสำนัก ระหว่างช่วงเดือนที่ผ่านมาศิษย์พี่เองก็วุ่นวายกับอะไรบางอย่าง เขาเดาว่าน่าจะเกี่ยวกับงานแต่ง เขาและอาหลิวจึงได้แต่นั่งกินนอนกินในเรือนจื่อเถิง งานแต่งศิษย์พี่ก็ไม่สามารถมาได้เนื่องจากให้ใครรู้ไม่ได้ว่าตอนนี้อยู่ที่นี่
ระหว่างที่นั่ง ๆ นอน ๆ อย่างสำราญ อยู่ ๆ พี่เหมยก็บอกว่าศิษย์พี่บาดเจ็บ 'เลือด' ออก เขาจึงรีบทะลุกำแพงมา
…ใช่แล้ว เรือนจื่อเถิงของศิษย์พี่และจวนของเว่ยอ๋องที่อยู่ห่างกันหนึ่งถนนแท้จริงแล้วใกล้เพียงประตูเรือนละทุกันแค่นี้เอง ประเดี๋ยวช่างเรื่องพวกนั้นก่อนเถิด ตอนนี้….
“ศิษย์พี่ ”
“อาซิ่ว เจ้าไปดูเขา ” นางว่าพร้อมทั้งชี้มือไปยังทางเว่ยอ๋องหรือสามีของนาง
“ ว เว่ยเกอ เว่ยเกออาการป่วยกำเริบรึ ต …แต่ศิษย์พี่เองก็เลือดออก ”
“เลือดออกแล้วอย่างไร เจ้าจับตัวข้าได้รึยังไง ! บอกให้ไปดูเขาก็ไปดูสิ อาหลิวเจ้ามานี่ ”
ซิ่วเหอหดหัวอย่างขลาดเขลา ค่อย ๆ ซอยเท้าเข้าไปหาเว่ยอ๋องด้วยท่าทางพิลึกพิลั่น อาหลิวที่ยืนพินิจใบหน้าศิษย์พี่อย่างเก็บซ่อนอารมณ์บางอย่างเมื่อได้ยินสัญญาณเรียกนางก็ถลาเข้าหาศิษย์เก็บซ่อนสายตาตื่นเต้นกระหายใคร่รู้ไว้ไม่มิดแล้ว
อันเจี๋ยจึงได้แต่ถอนหายใจ ศิษย์น้องทั้งสองคนนับได้ว่าเป็นศิษย์ชั้นเอกของสำนัก อนาคตต้องสดใสอย่างไม่ต้องสงสัย แม้ว่าบุคคลิกไม่สอดคล้องกับนิสัย ไม่น่าเชื่อถือ ทว่าความสามารไม่อาจปฏิเสธได้ กงซิ่วเหอท่าท่างทึ่มเซ่อแต่ฝีมือทางการแพทย์กลับหาตัวจับได้ยาก อายุก็พึ่งเพียงเท่านี้อนาคตตำแหน่งหมอเทวดาก็อยู่เพียงแค่เอื้อม
ส่วนอาหลิว…ท่าทางนุ่มนิ่มเช่นนี้ฝีมือการปรุงพิษกลับอำมหิตนัก
“เอ๊ะ ! ” เสียงร้องตกใจระคนดีใจของซิ่วเหอดึงนางที่ความคิดลอยล่องไปไกลให้กลับมา
“ข้ารู้สึกว่าชีพจรของเว่ยเกอเดินสะดวกขึ้น!! ”
“ตรวจให้ละเอียด ! ”
“ขอรับ !” ซิ่วเหอรับคำแข็งขัน มองไม่ผิดคล้ายกับศิษย์น้องส่ายหางดุ๊กดิกกระดี้กระด๊า
“เสี่ยวเจี๋ย แล้วเจ้า… ” เว่ยอ๋องไม่อาจซ่อนสายตาเป็นห่วงเอาไว้ได้ อันเจี๋ยที่ปกติมักมีท่าทีรำคาญใจใส่ จึงถอนหายใจอีกรอบ ไม่หงุดหงิดใส่อีกฝ่าย
“ไม่เป็นไรหรอก อาหลิวนางมีความสามารถ เจ้าอย่างเข้้ามาใกล้ให้เปือนเลือดก็พอ ” นางลุกไปยังมุมหนึ่งของห้อง ซึ่งยังมองเห็นทั้งสองฝ่ายได้ชัดเจน เว่ยอ๋องแม้ไม่สะบายใจนักเมื่อมองเห็นว่าพระชายาของตนไร้แววล้อเล่นจึงคลายความกังวลลง มองไปยังร่างเล็กกิริยานุ่มนวล อ่อนหวานจนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักปรุงพิษมือฉมังที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ คลำใบหน้าของอันเจียไม่สนใจสิ่งใด
“เช่นนั้น…ฝากด้วยนะอาหลิว”
“เจ้าค่ะ ! ” แม้กระทั่งยามขานรับอาหลิวน้อยก็ไม่แม้จะปลายตามองมายังท่านอ๋องรูปงามเลยแม้แต่น้อย
อันเจี๋ยมองเพ่งมองซิ่วเหอจับชีพจรเว่ยอ๋องหนึ่งครั้งก็ร้องอู้หู สองครั้งก็ร้องโอ้โห จึงวางใจหันมาสนใจศิษย์น้องหญิงที่ตอนนี้กำลังใช้น้ำยาบางอย่างทำความสะอาดรอยแผลบนหน้าของนางอย่างนุ่มนวล ทว่าตาพราวระยับ
ร่างกายศิษย์พี่มีค่ายิ่งกว่าทองพันชั่ง เลือดหนึ่งหยดไม่รู้ว่ามีค่ากี่หม่ื่นตำลึง สิ่งล้ำค่าสำหรับผู้ศึกษาศาสตร์พิษเช่นพวกนางบัดนี้กลับเกราะกรังอาบหน้า นอกจากเสียของแล้วยังชวนปวดใจมากอีกด้วย
“จับให้ระวังด้วย ต่อให้เจ้าใช้นำยาสลายพิษแต่ก็ใช่ว่ามันจะสลายพิษของข้าได้หมดทั้งสิบส่วน ”
ร่างกายของนางไม่มีส่วนไหนที่ไม่มีพิษซ่อนอยู่ สายเลือดและการศึกษาพิษมาอย่างยาวนานทำให้เลือดในกายของนางมีพิษร้ายแรงและหายากเป็นพิเศษ ใต้หล้านี้หากรวมนางแล้วเห็นจะปรากฏเพียงสามคนเท่านั้น คนผู้หนึ่งตายจากไปนานแล้ว ส่วนอีกผู้หนึ่งนั้น…หึ ! ไม่อยากจะพูดถึง
“ซี๊ด!” อาหลิวสูดปาก ใบหน้าซีดเผือดนั้นฉายแววตื่นตระหนกเมื่อทำความสะอาดแผลสะอาดดีแล้วจึงเห็นว่าปากแผลนั้นยาวและลึกกว่าที่คิด
สิ่งที่ไม่ทันคาดคิดคือ ทันทีที่เว่ยอ๋องได้ยินเสียงประหลาดจากทางนี้ ท่านอ๋องคนงามก็พุ่งตัวมาทันที
“เกิดอะไรขึ้นรึ !” เว่ยอ๋องถลาเข้ามาใกล้ ทว่าอันเจี๋ยกลับยกเท้าขวางไว้
“เจ้าคนอ่อนแอ ถอยไปไกล ๆ ”
“แต่…”
“ท่านอ๋องโปรดวางใจ ถึงปากแผลจะยาวและลึกกว่าที่คิดแต่ไม่ยังสามารถจัดการได้ ท่านอ๋องโปรดไปรอด้านนู่นเถิดเพคะ ” ร่างกายของเว่ยอ๋องอ่อนแอและเปราะบางเป็นพิเศษ หากได้รับพิษไปด้วยเกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมา
“เจ้ากลับไปรอที่เรือนเจ้าจะดีกว่า ขั้นตอนรักษาต่อจากนี้เจ้าไม่อาจเข้าใกล้ได้ อีกอย่างอาซิ่วจะได้ตรวจเจ้าอย่างละเอียดทุกส่วน ”
เว่ยอ๋องลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยอมถอยออกไปโดยดี
เมื่อเว่ยอ๋องและซิ่วเหอก้าวเท้าพ้นประตูไป อันเจี๋ยจึงพ่นลมหายใจระบายความระอาใจ แล้วใบหน้ากลับบูดบึ้งขึ้นมากกว่าเดิมเมื่อนึกถึงคนที่ทำให้นางบาดเจ็บ
“นางกล้าทำท่านเจ็บถึงขนาดนี้เลยรึเจ้าคะ” จิ่วเหมยเอ่ยถามเบา ๆ คล้ายกับรำพึงกับตนเองมากกว่า
อันเจี๋ยไหวไหล่ไม่ใส่ใจ ไม่ได้ตอบกลับอะไร
“ถ้าอาจารย์มาเห็นศิษย์พี่ตอนนี้ จะต้องโกรธมากแน่ ๆ” เมื่อนึกถึงอาจารย์ใบหน้าของศิษย์น้องก็เหยเก ไม่แน่ว่าวังหลวงอาจลุกเป็นไฟเพราะอาจารย์ก็เป็นได้
อันเจี๋ยถอนหายใจปลดปลง นางรู้สึกเชื่องช้าขึ้น เพราะยาที่อาหลิวใช้รักษานางมีฤทธิ์ทำให้ง่วงและเซื่องซึม
“เสร็จแล้วก็ไปช่วยซิ่วเหอที่เรือนท่านอ๋องซะ …ข้าจะพักแล้วห้ามใครรบกวน” กล่าวสั่งทิ้งท้ายก็ปล่อยให้ศิษย์น้องทำแผลที่ใบหน้าของตนเองต่อ เสหน้ามองไปทางอื่น ทว่าดวงตาที่วาววับนั้นบ่งบอกว่าจิตใจกำลังครุ่นคิดเรื่องอื่นอยู่
อาหลิวจึงมิกล้าสอดปาก ทำแผลให้อย่างระวังมากขึ้น จิ่วเหมยเองก็มิกล้าเอ่ยขัดยามนายหญิงของนางกำลังใช้ความคิดเช่นกัน
ไม่รู้ว่านายหญิงกำลังจะคิดเรื่องใดอยู่ หรือคิดจะทำอันใดกันแน่ ทว่าที่แน่ใจได้มีอย่างหนึ่งคืออันเจี๋ยไม่มีทางทำให้คนเองขาดทุน ไม่ว่ากับเรื่องอะไรก็ตาม
ดังนั้น ที่ทำได้ คือรอเวลา และรับคำสั่ง เพียงเท่านั้น
ด้านเรือนพักของเว่ยอ๋องเยี่ยนเว่ย
ทันทีที่ท่านอ๋องก้าวขาเข้าเรือนน้อง ก็กระอักโลหิตออกมาคำโต ใบหน้าที่ซีดเซียวเป็นทุนเดิมเผือดลงมากกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
“อั้ยหยา ! เว่ยเกอ เว่ยเกอมานั่งตรงนี้ ๆ” ทั้งฉุดทั้งลากเว่ยอ๋องโดยไม่สนฐานะ บีบนวดอยู่พักหนึ่งที่เตียงนอนหลังใหญ่ ก่อนสอบถามอาการอีกครั้ง
“ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“อืม…กระอักเลือดออกมาเมื่อครู่ รู้สึกหายใจสะดวกขึ้น”
ที่จริงแล้วเขารู้สึกไม่ดีตั้งแต่ก่อนที่จะไปเข้าเฝ้าไทเฮาที่ตำหนักเสียอีก เพียงแต่พยายามเก็บอาการ อันเจี๋ยที่สังเกตอาการอยู่ตลอดจึงได้ ‘เร่ง’ให้งิ้วของเสด็จย่าจบลงเร็วหน่อย
เขาเห็นหรอกว่าตอนอยู่ในตำหนัก นางแอบโปรยผงอะไรบางอย่างในอากาศ ซ้ำยามที่เสด็จย่าขว้างจอกชามา นางยังแอบเปลี่ยนองศาใช้ใบหน้ารับแรงกระแทกนั้นอย่างแนบเนียน
...ไม่ชอบใจเอาเสียเลย
“ยังไม่เป็นปกติดี แต่ก็ดีขึ้นมากจริง ๆ ด้วย… ดีแล้ว ถ้าท่านไม่ดีขึ้น ข้าตายด้วยน้ำมือศิษย์พี่เป็นแน่” เว่ยอ๋องได้ยินเสียงพึมพำคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อของคนที่กำลังตรวจชีพจรของเขาอย่างละเอียด
หากนับจากเดือนก่อนแล้วชีพจรของเว่ยอ๋องคงที่ขึ้นมาก คาดว่าระหว่างที่เขานั่ง ๆ นอน ๆ ในเรือนจื่อเถิง ศิษย์พี่ต้องปรุงยาแก้พิษสำเร็จแล้วแน่ ๆ
เมื่อนึกถึงยาถอนพิษกงซิ่วเหอก็ตาโตขึ้น ลืมไปเสียสนิทเลย!
“ศิษย์พี่ปรุงยาพิษให้ท่านสำเร็จแล้วหรือ ! ”
นั่นสามพันโศกในตำนานเชียวนะ!
หลายร้อยปีก่อนปรมาจารย์ด้านพิษผู้หนึ่งของแคว้นที่ล่มสลายไปแล้วในแดนตะวันตกเกิดอุตะริคิดอยากสร้างพิษที่ล่มฟ้าสะเทือนดาวขึ้นมา จึงใช้เวลาทั้งชีวิตทุ่มเทรังสรรค์ยาพิษระดับพระกาฬชนิดหนึ่งขึ้นมา ให้ชื่อว่า สามพันโศก ผู้ถูกพิษจะรู้สึกอยู่มิสู้ตาย ฤดูร้อน ร่างกายจะร้อนจัดราวโดนแผดเผา ฤดูหนาวเพียงลมพัดก็ก็หนาวเสียดถึงกระดูก ประสาทสัมผัสจะเฉียบคม ทว่านั้นย่อมมิใช่เรื่องดี เพราะจะรับความเจ็บปวด ได้มากกว่าผู้อื่น ชีพจรแปรปรวน ไม่อาจฝึกยุทธ์
ราวสิบกว่าปีก่อนเว่ยอ๋องได้รับพิษร้ายแรงชนิดนี้เข้าโดย ‘บังเอิญ’ ทำให้ร่างกายอ่อนแอกว่าโอรสและธิดาองค์อื่นมากนักและเพราะเหตุนี้ทั้งฮ่องเต้และฮองเฮารวมถึงอันเจี๋ยจึงได้ทำทุกวิธีทางเพื่อหาทางรักษาเขา แต่จนถึงตอนนี้
“ยังไม่สำเร็จหรอก นางบอกว่าเหลืออีกสองส่วน ”
และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกกี่ปี
สามพันโศกเป็นมรกดเลือดจากบรรพกาล อายุขัยของพิษชนิดนี้ยาวนานกว่าประวัติศาสตร์ของต้าจงเสียอีก การอยู่เหนือกาลเวลาอันยาวนนานนี้เองทำให้ยากต่อการหาข้อมูลยิ่ง ผนวกกับผู้สร้างไม่เผื่อใจให้ผู้ใดหาทางถอนพิษได้ ข้อมูลของพิษชนิดนี้จึงหายากยิ่ง กว่าจะรู้ว่าเขาโดนพิษอะไรทำร้าย บิดาและมารดาต้องควานหาข้อมูลทั่วทั้งต้าจง อาจารย์ของเสี่ยวเจี๋ยต้องเสี่ยงภัยเดินทางไปทั่วแดนรกร้างซึ่งอยู่ทางตะวันตกและเขตทุ่งมรณะทางใต้ของแคว้นฉู่เพื่อควานหาชื่อและหนทางการรักษา
ระหว่างนั้นเขาต้องอาศัยเลือดของอันเจี๋ยที่ถูกนำมาปรุงเป็นยาประคองชีวิตเอาไว้ แม้ภายหลังจะรู้ชื่อพิษและแนวทางการถอนพิษมาแล้วก็ใช่ว่าจะสามารถรักษาให้หายขาดได้เลยทันทีเพราะกรรมวิธีในการปรุงยาถอนพิษมีความซับซ้อนยิ่งต้องใช้เหมันต์พืชทั้งสิบสองชนิดที่เลี้ยงจนกลายเป็นผลึกใสมาบดกับสินแร่สิบสองชนิดโดยที่สัดส่วนต้องไม่ผิดเพี้ยนไปแม้เพียงน้อยนิด นำมาดื่มกินร่วมกับฝังเข็มจนกว่าชีพจรจะเดินสะดวกจนเข้าจุดปกติและร่างกายไร้อาการของพิษจึงจะถือว่าหายขาด
การที่ไม่สามารถหายขาดด้วยยาเทียบเดียวนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากอย่างยิ่งเมื่อเผชิญกับพิษร้ายแรงที่มีอายุยาวนานเหนือกาลเวลาเช่นนี้
ต้องเข้าใจก่อนว่าพิษจากบรรพาล ยาถอนพิษก็ต้องปรุงขึ้นด้วยวัตถุดิบที่ปรากฏขึ้นในยุคบรรพกาลเช่นเดียวกัน ปัญหาก็คือพืชเหมันต์บางชนิดก็ไม่อาจเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมยุคปัจจุบัน บ้างก็กลายพันธุ์ สินแร่ที่สามารถพบเจอได้อย่างง่ายดายในยุคก่อนก็ใช่ว่าจะหาได้ในยุคสมัยนี้ ยังมีบ่อยครั้งที่ได้วัตถุดิบในการปรุงพิษที่คุณภาพไม่สูง ทำให้ยาถอนพิษที่ปรุงขึ้นมาไม่ตอบสนองกับร่างกายของเขา เพื่อรักษาชีวิตของเขาเอาไว้จึงต้องใช้พิษชั้นสูงมาต้านไว้ ดังนั้นอันเจี๋ยจึงต้องใช้เลือดตัวเองเพื่อมาใช้ในการประคองอาการของเอาเอาไว้ร่วมกับการรักษาตามเทียบถอนพิษตลอดระยะเวลากว่าสิบปีที่ผ่านมา
“ถึงจะยังไม่หายขาด แต่เท่านี้ก็นับว่าท่านดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากแล้ว …ศิษย์พี่นี่เป็นผู้มีพรสวรรค์โดยแท้ สวรรค์รักนางมากเหลือเกิน”
เว่ยอ๋องที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงระบายยิ้มน้อย ๆ
อันเจี๋ย…เสี่ยวเจี๋ยของเขาตั้งแต่ลืมตาขึ้นมาดูโลกก็มีสถานะไม่ธรรมดา เติบโตขึ้นมาก็ถูกยกย่องว่าเป็นเด็กที่มีความสามารถเหนือเด็กในวัยเดียวกัน เพราะความสามารถเหนือคนของนางนี่เองที่ทำให้ผู้ใหญ่ในราชสำนักหลาย ๆ คนหลับตาข้าง ยอมอดทนต่อพฤติกรรมนอกคอก ไม่เห็นหัวใครของนาง พวกเขายอมเพราะความสามารถและ 'ประโยชน์' ของนางในภายภาคหน้า
ที่นี่…นางคืออันเจี๋ยคุณหนูใหญ่จอมจองหองผู้มากความสามารถของสกุลอัน
ในยุทธภพ นางยอดอัจฉริยะบุคคลที่ผู้อื่นต้องมองสีหน้า
ไม่ว่าจะสถานะไหน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสถานะที่ไม่สามารถล่วงเกิน
เพราะผู้คนต่างเห็นแต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นแล้ว จึงคุ้นชินกับความสำเร็จของนาง ยกย่องนางเป็นอัจฉริยะ
พรสวรรค์หรือ
นางเป็นคนเก่ง ทั้งยังมีความอดทนและความพยายามมากกว่าที่แสดงให้ผู้คนเห็น การรักษาพิษที่เขาเผชิญอยู่นี้่ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะสำเร็จแต่ละขั้นตอนก็ยากลำบากนัก เลือดตาแทบกระเด็น อย่างเช่นเมื่อคืนทั้งที่เป็นขั้นตอนแสนจะง่ายอย่างการเอายาเข้าปากเท่านั้น แต่มันกลับกินระยะเวลานับครึ่งค่อนคืนกว่าที่ยาจะเริ่มทำหน้าที่ของมัน ทั้งยังสร้างความทรมานให้กับร่างกายของเขาอย่างรุนแรง อันเจี๋ยเองก็ต้องอดทนอยู่ด้วยกันเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ตายไปเสียก่อนจากการทนเจ็บไม่ไหว ทุกขั้นตอนการรักษาล้วนมีนางเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
สวรรค์รักใคร่หรือ...
ร่างกายของมนุษย์นั้นเปราะบาง การที่ร่างกายของมนุษย์ผู้หนึ่งมีพิษไหลเวียนในกายแล้วยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้นั้นเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ฝืนกฎสวรรค์ ความวิเศษเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเซียนหรือผู้บำเพ็ญเซียน สวรรค์นตระหนี่ในความวิเศษมาตลอด ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้วที่มนุษย์ผู้ใดหรือกลุ่มใดเข้าใกล้ความพิเศษเฉกเช่นคนในแดนเซียนโดยง่าย
ทุกอย่างย่อมมีข้อแลกเปลี่ยน มีสิ่งที่ได้มาย่อมสิ่งที่ต้องสูญเสียไป
อันเจี๋ยก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
แล้วใครจะรู้ดีไปกว่าเขาอีกเล่าว่า กว่าจะประสบผลสำเร็จในแต่่ละอย่างที่นางทำ ต้องสูญเสียสิ่งใด และต้องแบกรับสิ่งใด
“อย่าเอ่ยคำนี้ให้นางได้ยินเล่า หากเจ้ายังไม่อยากถูกนางลงโทษ"
“ขอรับ” ซิ่วเหอยู่หน้า ตอบรับเสียงหงอย เขาพอจะรู้มาบ้างนิดหน่อยว่าศิษย์พี่ไม่ชอบให้ใครเรียกนางว่าผู้มีพรสรรค์เท่าไหร่ แต่ก็อดไม่ไหวจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมาพึ่งเคยเห็นผู้มากความสามารถทั้งยังอายุน้อยเช่นนี้ ศิษย์พี่เก่งราวกับได้พรจากสวรรค์ !
พิษที่เว่ยอ๋องได้รับลำพังจะรักษาชีวิตไว้ยังยาก ทว่าศิษย์พี่ของเขากลับรักษาไปได้มากกว่าเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว แม้จะใช้เวลานานนับสิบปีก็ตาม แต่ก็น้อยคนที่จะทำได้
“ว่าแต่ ไทเฮาทำการโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้จะไม่เป็นปัญหาหรือขอรับ…อืม แต่เดิมทีนางก็ไม่เห็นศิษย์พี่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว นางน่าจะไม่สนใจ ”
“นั่นก็…ไม่แน่หรอก ” ที่อันเจี๋ยไม่ทำอะไรรุนแรงมากกว่านั้นก็เป็นเพราะเสด็จพ่อ เรื่องนั้นเขารู้ดี
เดิมทีอันเจี๋ยและไทเฮาก็มีความแค้นล่มตระกูล ไม่อาจะอยู่ร่วมโลก แม้ไม่แน่ชัดว่าแค้นเคืองกันด้วยประการใด ทว่าเรื่องที่ว่าเจียงไทเฮาไม่ต้องการให้มี ‘ภัยคุกคาม’หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินล้วนเป็นเรืองจริงแท้ ในยามนั้นที่เซียวซื่อฮูหยินสกุลอันรอดพ้นจากคมดาบ
เป็นเพราะนางเพียงบุตรีสายนอกทั้งยังแต่งออกให้ตระกูลอัน แต่งให้อันหย่งสือสหายสนิทของฝ่าบาท ใครจะคิดว่านางวันหนึ่งนางจะให้ ‘กำเนิด’ เด็กหญิงผู้หนึ่ง ซึ่งมีใบหน้าและความสามารถทิ่มแทงใจนางมากที่สุดผู้หนึ่ง
สมรสพระราชทานนี้เสด็จพ่อแสดงออกชัดเจนแล้วว่าถือข้างผู้ใด การที่ไทเฮาไม่อาจกดข่มสิ่งที่อยู่ในใจเอาไว้ได้และแสดงออกต่อหน้าผู้อื่นเช่นนั้น ย่อมเป็นการแสดงออกว่าไม่เห็นแก่พระพักตร์ของฮ่องเต้เช่นเดียวกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนที่เปราะบางมากเป็นทุนเดิมอาจมีรอยร้าวมากขึ้น ขีดความอดทนของเสด็จพ่อก็อาจจะหมดลง
ถึงยามนั้นก็ไม่แน่ว่าอันเจี๋ยจะยังไว้ไมตรีเช่นตอนนี้
ยามนั้นแหล่ะ ที่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นผู้ใดที่ไม่อยู่ในสายตาผู้ใดกันแน่
“นางเกลียดศิษย์พี่มากจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นพวกท่านทั้งสองคนก็ยัง…”
เว่ยอ๋องไม่ได้ตอบอะไร เขาหลับตาลงช้า ๆ
“อันที่จริง ในยุทธภพมีข่าวลือมานานว่านางเกลียดคนที่เกี่ยวข้องกับสกุลเซียว ข้ากับสหายยังเคยจับกลุ่มพูดคุยกันเรื่องนี้ ชนรุ่นหลังแบบพวกเราก็ไม่ค่อยจะเข้าใจนัก ” ซิ่วเหอเริ่มพูดจ้อ ไม่ได้สนใจเว่ยอ๋องที่ก็กำลังนอนหลับตาคล้ายไม่สนใจเขาเช่นกัน
“…. ”
“ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ที่เซียวจื่อเถิงปรากฎตัวขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีก่อนก็ทำให้เจียงไทเฮาขยับตัวมากขึ้น ทั้งที่ดูจะสงบเสงี่ยมมาได้ตั้งนาน ”
แต่ถ้าจะพูดให้ถูก…เมื่อเซียวจื่อเถิงปรากฎตัวขึ้นมา ในยุทธภพก็เริ่มเกิดแรงกระเพื่อมบางอย่างแล้ว
เพราะอยากรู้อยากเห็นจึงเฝ้าติดตามเรื่องราวของสกุลเจียงและสกุลเซียวอย่างใกล้ชิดมายาวนาน ทว่าน่าเสียดายจนใจด้วยว่าเขาเองก็เกิดช้าไปหลายสิบปี ทำให้ไร้สหายที่พอจะไขข้อข้องใจได้
ผู้ที่ตอบได้…ก็ล้วนคล้ายจะไม่อยากรี้อฟื้นมันขึ้นมา
ไม่ต้องเสียเวลาลืมตาขึ้นมามอง เว่ยอ๋องก็นึกรู้ได้ว่ายามนี้ซิ่วเหอต้องกำลังจมจ่อมกับจินตนาการสุดบรรเจิดในเรื่องของคนอื่นจนต้องแสดงสีหน้าประหลาดออกมาอย่างแน่นอน
“ฮองเฮาเสด็จ ! " ในขณะนั้นเองที่ขันทีประกาศการมาของฮองเฮา ซิ่วเหอได้ตื่นห้วงความคิดเขาลนลานอย่างยิ่ง
ฮองเฮาเสด็จหรือ ! เสด็จมาทำไม !
ความลนลานทำให้ซิ่วเหอลืมตัว วิิ่งไปที่หน้าต่างแล้วกระโดดหนีไปทันที เว่ยอ๋องมองตามด้วยความละเหี่ยใจ ทันใดนั้นร่างงดงามสมวัยของมารดาก็ปรากฏให้เขาเห็น
“เสด็จแม่ เสด็จมาได้อย่างไรพะยะค่ะ”
“เว่ยเออร์ ไม่ต้อง ๆ ” พระนางรีบถลาเข้ามาหาโอสรองค์เล็กเมื่อเห็นว่าเขากำลังลุกมาถวายบังคม
“เป็นอย่างไรบ้าง แม่่เห็นเจ้าหน้าซีดตั้งแต่อยู่ที่ตำหนักแล้ว อาการเจ้ากำเริบหรือ แล้วหมอเล่า หมอหลวงไปที่ใด ”
“เสด็จแม่ ลูกไม่เป็นไรพะยะค่่ะ ”
“แน่หรือ ” พระนางยังมองหน้าโอสรอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก ก่อนจะถามถึงคนอีกผู้หนึ่ง
“พระชายาเจ้าเล่า ”
“นางพักอยู่ที่เรือนพะยะค่ะ น่าจะพึ่งทำแผลเสร็จ เสด็จแม่จะเรียกหานางหรือไม่” เขาถามหยั่งเชิง เถียนฮองเฮานิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ เมื่อครู่องค์รักษ์รายงานมาว่าใต้เท้าอันและเซียวซื่อกำลังเร่่งเดินทางมาเข้าพบพระชายา จังหวะเช่นนี้คงจะไม่ค่อยเหมาะกระมัง แม้จะคิดได้เช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะค่อนขอดเมื่อนึกถึงหน้าลูกสะใภ้หมาด ๆ ของตนเอง
“ช่วงหนึ่งเดือนก่อนแต่งงาน นางอยู่ในเมืองหลวงแท้ ๆ นางยังไม่แม้แต่เข้าพบแม่ซักครั้งนึง ไม่มาพบวันนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก ” กล่าวจบจึงพบเห็นสีหน้าเจื่อนสนิทขอบโอสรจึงรู้สึกพระทัยอ่อนขึ้นมารีบเพิ่มเติมคำกล่าว
“เดี๋ยวแม่ค่อยเรียกให้นางเข้าเฝ้าทีหลังก็แล้วกัน ว่าแต่ลูกไม่เป็นอะไรแน่ใช่หรือไม่ ”
“พะยะค่ะ”
“ดี ดีแล้ว ”พระนางถอนหายใจอย่างโล่งใจ
ในขณะนั้นเองจางกงกงเพ่ยกูกูก็เข้ามาด้านใน โดยมีเกากงกงชะเง้อมองอยู่ด้านนอก เว่ยอ๋องมองมารดาอย่างมีคำถาม เหตุใดจางกงกงขันทีคนสนิทของฮ่องเต้จึงมาอยู่ที่นี่ได้ แม้จะคาดเดาคำตอบได้บ้างก็ตาม ฮองเฮานิ่งเงียบ จางกงกงที่มองสีหน้าออกจึงเป็นผู้ที่ขันอาสาตอบ
“ทูลเว่ยอ๋อง เดิมทีฝ่าบาทมีประสงค์ที่จะมอบของพระราชทานเพื่อรับขวัญพระชายาอันอยู่แล้วพะยะค่ะ เพียงแต่ เอ่อ...วันนี้จึงมีพระราชประสงค์ให้กระหม่อมนำมามอบให้”
เป็นการปลอบขวัญแทนสินะ
“รบกวนกงกงแล้ว ”
“หามิได้พะยะค่ะ” ทำความเคารพเสร็จก็กลับไปอยู่ที่เดิม ระหว่างนั้นนางกำนัลนางจึงได้เข้ามากระซิบบางอย่างกับเพ่ยกูกู นางเหลือบมองเว่ยอ๋องและฮองเฮาที่กำลังสนทนาตามประสาแม่ลูกอยู่ ก่อนจะเข้าไปกระซิบบางอย่างกับมารดาแผ่นดิน
ตระกูลอันมาถึงแล้ว
ฝ่าบาทมีความสัมพันธ์อันดีกับอันหย่งสือ ทว่าพระนางนั้นไม่คล้ายสนิทกับตระกูลอันเท่าใดนัก ยิ่งกับอันฮูหยิน ฮูหยินแซ่เซียวผู้นั้น...เรียกว่าเหม็นหน้ากันมาตั้งแต่ยังสาวเลยก็ว่าได้
พระนางนั้นเฉย ๆ แต่หญิงแซ่เซียวผู้นั้นกลับแสดงท่าทีเป็นปฏิปักษ์กับพระนางมาตลอด นานวันเข้าก็รู้สึกรกหูรกตา หากไม่ติดว่าเกรงใจฝ่าบาท คงหาทางส่งนางไปอยู่ในที่ไกล ๆ จะได้ไม่ต้องเห็นให้รู้สึกรำคาญใจอีก
ที่จริงแล้วคราแรกที่มายังที่นี่พระนางก็คาดคิดว่าจะไปพบนางเพื่อแสดงความห่วงใยอย่างที่แม่สามีถึงกระทำ แต่เมื่อได้ยินว่าตระกูลอันกำลังจะเดินทางมาพระนางก็เปลี่ยนใจไม่ไปหาลูกสะใภ้จะดีกว่า
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าพระนางนั้นรู้สึกเฉยเมยต่ออีกฝ่ายอย่างยิ่ง แต่เกรงว่าอีกฝ่ายจะสะกดกลั้นอารมณ์ตนเองเอาไว้ไม่ไหว ชวนทะเลาะต่อหน้าคนรุ่นลูกให้ขายหน้าทั้งสองฝ่ายต่างหาก
“นางกล้าทำเจ้าถึงเพียงนี้ !”
“ท่านใจเย็นก่อน”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของอันฮูหยินดังลั่นเรือนพักของพระชายา นางกำนัลของตำหนักต่างบ้างก็ลอบฟัง บ้างก็ทำทีหลีกเลี่ยงทว่าเงี่ยหูคอยฟัง ไม่ว่าแบบใดก็ล้วนเป็นท่าทีของผู้สอดรู้สอดเห็นทั้งสิ้น ทว่าก็ยังมีผู้ที่สอดรู้สอดเห็นอย่างโจงแจ้งไม่สนใจบรรยากาศที่กำลังร้อนแรงดุดันแม้แต่น้อยอยู่สองผู้ หนึ่งหญิงสาวและหนึ่งชายหนุ่มเกาะหน้าต่างชะโงกหน้าแอบดูอย่างหยาบคาย
“แล้วจะให้ข้าเย็นได้อย่างไร หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมาจะทำอย่างไร นางรับผิดชอบได้หรือ ! ”
“ฮูหยิน ระวังหน่อยที่นี่ไม่ใช่จวนเรานะ” ใต้เท้าอันเอ่ยเตือนภรรยา เซียวซื่อระบายลมหายใจอย่างอัดอั้นตันใจ
“นางเป็นไทเฮา มารดาของฮ่องเต้ ทำอะไรกับใครก็ได้ทั้งนั้น ” อันเจี๋ยเอ่ยอย่างไม่ยีระ ข้างกายยังมีจิ่วเหมยคอนรินชาให้ ใบหน้าแม้ได้รับการทำแผลอย่างดีแล้วทว่าในหน้านางก็ยังซีดเซียว
“เป็นไทเฮาแล้วอย่างไร ! เจ้าเล่าเป็นใคร เจ้าสำคัญกับใต้หล้านี้เพียงใดนางไม่รู้หรือ หากเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา... ”
“ฮูหยิน...” อันหย่งสือเอ่ยเรียกภรรยาเสียงหนักขึ้นให้ระวังวาจา
“ระวังวาจาหน่อยเจ้าค่ะ ที่นี่เป็นจวนอ๋อง หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง ทั้งยังอาจจะมีคนจากฝ่าย อื่น ๆ มาคอยแฝงตัวอยู่ที่นี่มากมายก็ได้ หากท่านกล่าวอะไรไม่ระวังจะเดือดร้อนเอาภายหลังได้ ”
อันฮูหยินได้ฟังแล้วยิ่งรู้สึกอัดอั้นมากกว่าเดิม นางผ่อนลมหายใจอย่างแรง สีหน้าไม่ได้ผ่อนคลายขึ้นแม้แต่น้อย
“เสี่ยวเจี๋ย...ข้า...เราเหลือเพียงเจ้าแล้ว”
“...ข้ารู้ ข้าเพียงแค่โดนแก้วบาดหน้า อีกอย่าง... ” อันเจี๋ยชะงักงันเอ่ยวาจาใดไม่ออกเมื่อสบตากับผู้ได้ชื่อว่าเป็นมารดา
“เจ้าคือความหวังเดียวของข้า เจ้าเข้าใจหรือไม่” ในแววตาของอันฮูหยินปรากฎระลอกคลื่นความหวาดหวั่น เหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่ไทเฮาทำสลักอยู่ในใจไม่เคยจางและมันอาจจะฝังใจนางไปชั่วชีวิต
“ฮูหยินท่านนี้ไม่เผื่อใจเรื่องของศิษย์พี่เลยจริง ๆ เจ้าว่าหากนางรู้แผนการในใจของศิษย์พี่นางจะทำใจได้หรือไม่”
ซิ่วเหอรู้สึกว่าบทสนธนาเริ่มเครียดขึงชวนอึดอัดขึ้นเรื่อย ๆ จึงเผลอเปรยกับอาหลิวเบา ๆ อย่างที่ไม่ได้คาดหวังคำตอบจากอีกฝ่าย
แต่อาหลิวน้อยที่ไม่ละสายตาจากสถานการณ์ภายในห้องก็ตอบกลับเขายาวเหยียด
“ย่อมไม่เผื่อใจอยู่แล้ว สตรีตระกูลเซียวมีชะตาพิเศษโดดเด่นเหนือปวงหงส์ทั้งมวล มีทายาทหญิงสายตรงเช่นนี้หลงเหลืออยู่ในแผ่นดินต้าจง นั่นก็หมายความว่าตระกูลเซียวจะกลับมายิ่งใหญ่เมื่อไหร่ก็ได้ ”
นั่นก็น่าจะเป็นหนึ่งเหตุผลที่เจียงไทเฮาเกลียดชังอันเจี๋ยเป็นอย่างยิ่ง
ก็นะ นางสู้อุตส่าห์พยายามแทบตายกว่าจะกำจัดตระกูลเซียวจนเหี้ยนเตียนถึงเพียงนั้น
ผู้ใดจะนึก...
“แต่ว่านะ เซียวฮูหยินก็เป็นสตรีแซ่เซียวไม่ใช่รึ หากอยากฟื้นฟูตระกูลเซียว ทำเองก็ได้มั้ง ไม่เห็นจำเป็นว่าจะต้องเป็นศิษย์พี่เลย...ศิษย์พี่น่ะ...นาง”
นางไม่มีทางฟื้นฟูตระกูลเซียวได้อยู่แล้ว อีกทั้งศิษย์พี่ของเขามีภาระติดพันตั้งมากมาย มีหลายสิ่งต้องสืบทอดนะ !
อาหลิวหันควับมองสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน แสดงสีหน้าออกอย่างชัดเจนว่า เจ้าคนผู้นี้ได้กล่าวเรื่องไร้สาระที่สุดในโลกออกมาแล้ว
กงซิ่วเหอช่างเป็นคนที่น่าอิดหนาระอาใจเสียจริง !
“ มิน่าเจ้าถึงโดนศิษย์พี่ลงโทษบ่อย ๆ ” ‘บันทึก’ก็เขียนบอกไว้ชัดเจน เหตุใดไม่ศึกษาเยอะ ๆ
“จะศึกษาได้อย่างไรก็เจ้าเอาบันทึกของข้าไป...”
“ชู่ว์ ! ”อาหลิวรีบส่งสัญญาณให้สหายเบาเสียงลง เหมือนด้านในจะพูดอะไรบางอย่างกัน
“ในตอนแรกที่ได้สมรสพระราชทานข้าอึดอัดใจเพียงใดเจ้าก็รู้ แต่งมาได้ยังไม่ครบวันดี ที่นี่ก็ทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บเพียงนี้ เจ้าจะให้ข้าสงบใจได้อย่างไร” อันฮูหยินน้ำตาคลอหน่วย ข้างกายมีใต้เท้าอันประคองลูบหลัง อันเจี๋ยที่พยายามจะเอ่ยอะไรบางอย่างจึงกล่าวไม่ออก
“....”
“แล้วถ้าหากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะเอาหน้าที่ไหนไปพบพ่อกับแม่เจ้าบนสวรรค์”
! !
ผู้เยาว์ที่แอบฟังอยู่ข้างหน้าต่างปล่อยมือจากขอบหน้าต่างทิ้งตัวลงพื้นอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง
“ได้ยินเรื่องที่ไม่ควรเข้าแล้ว ”
“อือ...”
“หนานกงซิ่วเหอ ชีวิตเจ้ากับข้าจบสิ้นแล้ว”
…………………………………………………………………………………………………..
มาต่อแน้ว ๆ ๆ
ความคิดเห็น