ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #14 : บทที่4 เงาของความแค้นเคือง(2/2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.85K
      10
      27 ต.ค. 66

    กลางหุบเขาใหญ่ มีเรือนไม้หลังหนึ่งขนาดไม่ใหญ่นัก สภาพกลางเก่ากลางใหม่ เรียบง่ายสะอาดตา สายลมอันอ่อนโยนพัดพากระแสความเย็นโอบล้อมขุนเขาให้บรรยากาศสงบเรียบง่าย ชวนรู้สึกเย็นตาเย็นใจ น่าเสียดายที่สายลมไม่สามารถพัดพาความสงบเย็นเข้าสู่หัวใจของผู้ที่อยู่ที่นี่แม้แต่น้อย นอกชานเรือนเด็กหญิงตัวน้อยกำลังนั่งใช้สองข้างเท้าคาง ใบหน้าติดบูดบึ้ง ดวงตารีติดจะดื้อรั้นกลิ้งกลอกไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนทิ้งตัวนอนแผ่หลาที่พื้นกระดาน

    “เบื่อ!!!” เสียงเล็กแหลมแผดลั่น เกิดเป็นเสียงก้องสะท้อนกลับไปทั่วหุบเขา

    “ข้าเบื่อ!!! ได้ยินไหม ข้าบอกว่าน่าเบื่อ!!! มันน่าเบื่อ!!! เบื่อ!!!” คล้ายว่าจะไม่สาแก่ใจ จึงแผดเสียงดังกว่าเดิม

    “อาเหนียง!!!”

    ตุ๊บ!

    ทันทีนี่ได้ยินเสียงประหลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้นที่นี่ นางรีบเด้งตัวขึ้น หางตาเห็นแวบ ๆ ว่าเหมือนมีบางอย่าง ‘หล่น’ ลงมาจากฟ้า

    เด็กหญิงสะบัดความตื่นตระหนกเล็กที่เกิดในใจ ค่อย ๆ ย่องเดินไปยังทิศทางที่นางได้ยินเสียงมือเล็กกระชับแซ่หางกระเบนข้างเอวแน่น เดินหนึ่งก้าว หยุดหนึ่งครั้ง แล้วชะเง้อคอมอง

    นางเห็นอะไรบางอย่างคล้ายเศษผ้าเน่า ๆ ผืนหนึ่งขดกันเป็นก้อนกลม ๆ แม้จะนึกรู้ได้เองว่าอย่างไรก็ไม่มีทางที่กองผ้าจะมาอยู่ตรงนี้ กระนั้นก็ใจดีสู้เสือ เดินเข้ามาใกล้ ๆ เพื่อความแน่ใจบางอย่าง จึงใช้ ‘เท้า’ ค่อย ๆ เขี่ยเศษผ้าออก ก่อนจะพบว่า สิ่งที่นางคิดว่าเป็นผ้าเน่า ๆ ผืนหนึ่ง นั้น แท้จริงแล้วเป็นมนุษย์ต่างหาก!

    !!

    อันเจี๋ยที่ลืมตาตื่นขึ้นมาตกใจแทบสิ้นสติเมื่อใบหน้างามเจ้าของดวงตาท้อหวานฉ่ำอยู่ห่างจากนางเพียงแค่คืบ

    “เยี่ยนเว่ย!”

    ขณะที่นางตกใจจนใบหน้าบิดเบี้ยว เว่ยอ๋องที่ถอยตัวออกก็หัวเราะคิกคักอารมณ์ดี ไร้คลื่นอารมณ์ห่วงหา ยิ่งไร้คลื่นของความสวาทรักใคร่ เห็นอยู่ชัด ๆ จงทำเช่นนี้เพื่อคาดหวังสีหน้าประหลาดของนางเพื่อความสะใจส่วนตัวล้วน ๆ

    “เจ้าจะฆ่าข้ารึอย่างไร! เกิดตกใจตายขึ้นมาจะทำอย่างไร” นางลุกขึ้นมานั่งทุบหน้าอกตัวเอง

    แทนที่จะเป็นเช้าที่สดใส เจ้าคนนี้กลับทำให้เป็นเช้าที่ขุ่นมัวไปเสียได้

    “ไม่เท่าไหร่หรอกน่า”

    “เข้ามาได้อย่างไร”

    “ที่นี่จวนของข้า ข้าจะเข้าออกที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไรก็ย่อมได้ทั้งนั้น” เว่ยอ๋องยักไหล่ เบ้ปากเล็กน้อย แม้กิริยาไม่น่าดู ทว่าเขากลับทำแล้วออกมาน่าเอ็นดูยิ่ง ผนวกกับใบหน้างามล้ำดวงนั้นยิ่งทำให้กิริยาไม่งามนั้นงามน่ามองอย่างน่าประหลาด

    คนหน้าตาดีทำอะไรก็ดีทั้งนั้น

    เหอะ ๆ

    ทั้งที่เมื่อครั้งแรกที่พบกันยังเป็นเพียงเศษผ้าเน่า ๆ กองหนึ่งเท่านั้นเอง

    แล้วดูตอนนี้สิ

    นางมองไปยังเว่ยอ๋องที่แต่งกายงดงามตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าพร้อมพัดคู่ใจ ครั้นนึกขึ้นมาได้ว่ายามนี้ใบหน้าด้านหนึ่งของนางมีรอบบากเป็นแผลอยู่ก็พลันถอนหายใจปลดปลงกับสัจธรรมบางอย่างของชีวิต

    “เลิกทำหน้าคล้ายคนจะละทางโลกแล้วไปเตรียมตัวเถิด วันนี้ต้องกลับไปเยี่ยมบ้านเดิมของเจ้านี่ ข้าจะไปรออยู่ที่ห้องโถง” ว่าแล้วพระองค์ก็หันหลังเดินออกไปยังอีกห้องหนึ่งพร้อมทั้งส่งสัญญาณให้นางกำนัลด้านนอกเข้ามาดูแลพระชายา

    ไม่นานอันเจี๋ยในฐานะพระชายาอันก็แต่งกายเสร็จเรียบร้อย เป็นชุดเข้าคู่กับเว่ยอ๋อง ที่เพิ่มเติมมาคือมีผ้าคลุมหน้าคลุมปิดใบหน้าส่วนที่ต่ำกว่าดวงตาลงไปไว้ ซึ่งนั่นยิ่งเป็นการเสริมดวงตารีโฉบเฉี่ยวของพระชายาให้ร้ายกาจมากกว่าเดิม

    สองสามีภรรยารับประทานอาหารที่เรือนของพระชายา ระหว่างการรับประทานอาหารนางกำนัลและขันทีโดยรอบได้ยินเพียงเสียงทะเลาะเบาะแว้งของพระชายาและท่านอ๋อง ข้าวหล่นหนึ่งเม็ดก็มีเสียงบ่นของคนใดคนหนึ่งออกมาแล้ว ทำให้เหล่านางกำนัลและขันทีต่างลอบคิดไปแล้วว่าดูท่าสมรสครั้งนี้อย่างไรก็หาเกิดจากความรักใครเป็นแน่แท้

    เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสองคนพร้อมนางกำนัลจึงเตรียมตัวเดินทางไปยังยังจวนตระกูลอันซึ่งอยู่ห่างไปไม่กี่ช่วงถนน ที่จริงแล้วเพียงแค่ทะลุประตูหลังเรือนของนางไปก็ถึงแล้ว หรือจะไม่ไปเสียเลยก็ยังได้ ติดปัญหาที่ว่าต้องทำให้คนเห็นเพื่อกันครหาต่างหากเล่า

    ระหว่างที่เว่ยอ๋องกำลังประคองพระชายาขึ้นรถม้าท่ามกลางการสังเกตการณ์ของชาวเมืองโดยรอบ เสียงหวานใสสายหนึ่งลอยเข้าโสตประสาทของผู้คนทำให้นางและเว่ยอ๋องพลอยชะงัก

    “คารวะท่านอ๋องและพระชายาเพคะ” ดรุณีน้อยนางหนึ่งใบหน้าหวานล้ำ งดงามอ่อนหวานกำลังย่อตัวคารวะนางกับสามี

    “เจ้าคือ...” เป็นนางที่เอ่ยถามเมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีไม่ใคร่สนใจจะตอบกลับ

    “อ๊ะ! พระชายาไม่ค่อยได้อยู่เมืองหลวงจึงอาจจะไม่รู้ หม่อมฉันเจียงซู่เพคะ”

    “อ้อ...” มีเพียงเสียงเดียวที่หลุดออกมาจากปากของพระชายาอันทันทีที่ทราบชื่อเสียงเรียงนามของผู้มาขวางขบวนกลับบ้านเดิมของพระชายาอัน

    คุณหนูเจียงซู่ผู้ที่ไทเฮาหมายมั่นปั้นมือให้นางมานั่นในตำแหน่งพระชายาในเว่ยอ๋องน่ะหรือ ที่แท้เป็นนางเองหรอกหรือ

    ชาวเมืองที่คอยชมเรื่องราวต่างมองย่างสนใจ ข่าวลือเรื่องที่ไทเฮาไม่โปรดหลานสะใภ้ผู้นี้จนมีการทำร้ายพระชายาอันจนบาดเจ็บดังกระฉ่อนไปทั่ว ยิ่งวันนี้พระชายาปรากฏตัวพร้อมผ้าคลุมปิดบังใบหน้ายิ่งตอกย้ำว่าข่าวลือนั้นมีมูลจริงมากยิ่งขึ้น เพียงเรื่องระหว่างพระชายาและไทเฮายังไม่ทันที่จะได้บอกเล่า ขยายความ มาวันนี้ก็มีเรื่องคุณหนูเจียงซู่มาให้ใส่ใจอีก

    เห็นทีเรื่องราวในปีนี้คงจะเป็นที่เลื่องลือไปอีกห้าปีสิบปีทีเดียว

    “ไม่ทราบว่าคุณหนูเจียงมีธุระอันใดกับข้าและท่านอ๋องหรือไม่” น้ำเสียงของพระชายาอันมีความกดข่มและรำคาญใจอยู่ในที ดวงตาดุดันคู่นั้นก็คล้ายจะดูดุดันมากกว่าเดิม คุณหนูเจียงซู่จึงปรากฏริ้วรอยจืดเจื่อนบนดวงหน้า

    “ข้า…” ใบหน้างดงามอ่อนหวานซีดเซียวคล้ายทำอะไรไม่ถูก น้ำเสียงเบาหวิว ดวงตาหวานฉ่ำมีน้ำใสกลิ้งกลอกอยู่เล็กน้อย ท่าทางของนางดูอ่อนแอราวบุปผางามต้องหยาดฝน ชวนสงสาร

    ทว่ากลับใช้ไม่ได้กับพระชายาอัน

    “หากไม่มีอะไรแล้ว ข้ากับท่านอ๋องขอตัว”

    ชาวเมืองที่เห็นดังนั้นจึงเกิดการเปรียบเทียบอย่างชัดเจน แต่ไหนแต่ไรคุณหนูสกุลเจียงผู้นี้ก็มีชื่อเสียงดีงาม ความสามารถพร้อมสรรพ ไม่เหมือนกับอีกผู้ที่ก็ดูเอาเถิดว่ากิริยานางหยาบคายเพียงใด

    “พระชายาเพคะ!” เจียงซู่เรียกพระชายาละล้าละหลัง

    “คือว่าหม่อมฉัน…”

    ด้วยความหงุดหงิดแต่เช้าเป็นทุนเดิม เจียงซู่ที่อึกอักจะกล่าวจะไม่กล่าว ยึกยักท่ามากชวนในนางหงุดหงิดใจมากกว่าเดิม

    “เจ้ากำลังขวางขบวนกลับบ้านเดิมของข้า ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือ” น้ำเสียงของนางคล้ายจะชวนหาเรื่องมากกว่าเดิม ขณะที่เว่ยอ๋องแตะแขนของพระชายาไว้หลวม ๆ คุณหนูเจียงซู่ได้ยินคำกล่าวของพระชายาแล้วใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือด ตกใจอย่างยิ่ง

    “หม่อมฉันขออภัยเพคะ!”

    “เช่นนั้นก็ขอตัว” ทายเสียงกระแทกมากกว่าเดิม คุณหนูเจียงซู่ยิ่งหน้าเสีย หน้าซีดเซียวคล้ายจะเป็นลมล้มพับไปให้ได้ตรงนี้

    เ เว่ยอ๋องประคองพระชายาขึ้นรถม้าไม่ได้หันไปสนใจคุณหนูรูปงามท่าทางน่าสงสารผู้นั้นแม้แต่น้อย

    เมื่อรถม้าเคลื่อนตัวออกไปแล้ว เสียงหัวเราะเบา ๆ ของเว่ยอ๋องก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงโพล่งอย่างเหลืออดของอันเจี๋ย

    “นางทำให้ใครดูกัน!” ท่าทีอ่อนแอไร้เดียงสาแบบเสแสร้งแกล้งทำเช่นนั้น นางทำให้สามีของนางดูเช่นนั้นหรือ

    นางจะรู้ไหมว่าใต้หล้านี้ คนที่มารยาสาไถยที่สุดคือเว่ยอ๋องนั่นเอง! จริตมารยาเยี่ยงเด็กสาวแรกรุ่นพึ่งฝึกปรือฝีมือเช่นนั้นมีหรือจะสะเทือนหัวใจของเว่ยอ๋องได้

    เว่ยอ๋องใช้หลังมือปิดปากสำรวมกิริยาทั้งกลั้นขำเอาไว้แทบไม่อยู่แล้ว

    เขาไม่ได้หัวเราะคุณหนูเจียงซู่ผู้นั้นแต่อย่างใด เพียงแต่ขบขันภรรยาที่ใช้มือต่างพัดโบกพักคลายความร้อนภายในที่คาดว่าน่าจะเกิดจากความหงุดหงิดใจ

    เดาได้อย่างไม่ยากเย็นว่าภายในใจของนางจะต้องบริภาษเขาไปต่าง ๆ นานา แน่นอน

    "ก็ช่วยไม่ได้ที่'สามี'ของพระชายานั้นรูปโฉมงดงามหล่อเหลาดูดใจบุปผาถึงเพียงนี้" ริมฝีปากขยับยิ้มน้อย ๆ ดวงตาดอกท้อทอประกายเจิดจ้า ทั้งยังกล่าวด้วยท่าทางไม่ทุกข์ร้อน

    "ข้าอยากถอดหน้ากากชายงามของเจ้าออกเสียจริง อยากรู้นักว่าถึงเวลานั้นจะมีผู้ใดมาทอดสายตาเชิญชวนให้ข้ารำคาญตาอยู่อีกหรือไม่"

    เป็นประโยคที่ฟังแล้วชวนให้คิดว่าหึงหวง แต่ความจริงแล้วก็ยากจะคาดเดาว่านางคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

    ขณะที่กล่าว อันเจี๋ยใช้มือบีบแก้มนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของเว่ยอ๋องไม่เบาไปไม่หนักไปเว่ยอ๋องเพียงจับมือไว้คล้ายจะห้ามปรามพอเป็นพิธีเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยห้ามหรือต่อต้านอย่างจริงจังนัก

    เมื่อสาแก่ใจแล้วนางจึงปล่อยมือออกจากใบหน้าของ'สามี' ความหงุดหงิดก็คล้ายจะคลายลงเล็กน้อยด้วยเช่นกัน

    ขบวนกลับบ้านเดิมของพระชายาอันแม้ไม่ใช่ขบวนใหญ่นัก ทว่าเคลื่อนตัวอย่างเอิกเริกและด้วยระยะทางมิได้ไกลมากนักจึงใช้เวลาเพียงไม่นานก็มาถึงแล้ว

    ใต้เท้าอันและฮูหยินพร้อมทั้งบริวารมารอต้อนรับอยู่แล้ว

    ในความเป็นจริงคุณหนูใหญ่สกุลอันแต่งให้ราชวงศ์มีฐานะสูงส่ง มิกลับมาเยี่ยมบ้านเดิมก็ย่อมทำได้ เมื่อพระชายาและท่านอ๋องเสด็จมาใต้เท้าอันจึงมีใบหน้าชื่นมื่น แม้แต่ฮูหยินเองก็มีใบหน้าที่'ชวนคิด'ว่านางดีใจ ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่ทั้งพระชายาและท่านอ๋องเดินทางกลับตำหนักอ๋อง

    การกลับบ้านเดิมของพระชายาผู้ลือนามจบลงอย่างเรียบง่ายอย่างหน้าประหลาด ผู้ที่รอชมเรื่องราวของผู้อื่นอยู่ต่างก็ลอบเสียดายที่ไม่มีเรื่องสนุกๆ ให้ชมแก้เบื่อ

    ทั้งที่ตอนออกจากจวนอ๋องยังคล้ายจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้นแท้ ๆ เฮ้อออ...

    ครั้น เมื่อพระชายากับท่านอ๋องเสด็จกลับตำหนัก แทนที่จะได้แยกย้ายกลับเรือนตน กลับพบว่าเกากงกงรออยู่ด้วยความร้อนรน

    "ท่านอ๋อง พระชายา"

    "มีอะไรหรือกงกง" เว่ยอ๋องเอ่ยถาม

    "เอ่อ..." เกากงกงอึกอักเล็กน้อย หันมาสบสายตากับพระชายาที่จ้องเขม็งก็หน้าซีดเผือดอย่างมีพิรุธ

    "คือ...ใต้เท้าเจียงหมิ่นขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ"

    "หืม...แล้วมาด้วยธุระอันใด แจ้งมาหรือไม่" เว่ยอ๋องยังคงรักษาสีหน้าได้อย่างดี เป็นพระชายาที่แสดงสีหน้าแทนแล้วว่าประหลาดใจเพียงใด

    "เอ่อ...เห็นว่ามีเรื่องจะหารือพ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง"

    "ประหลาดนัก" อันเจี๋ยเชิดหน้าสูงขึ้น สายตายังมีความไม่ชอบใจอยู่เล็ก ๆ

    "กระหม่อมก็คิดว่าแปลก ปกติแล้วใต้เท้าเจียง..."

    "ข้าหมายถึงท่านกงกงต่างหากที่ประหลาด" นางสวนกลับทันควัน

    "ท่านก็ทราบดีว่าข้ากับท่านอ๋องไม่อยู่ในตำหนัก ข้ากลับบ้านเดิมไม่แน่ว่าจะกลับมาช้าหรือเร็วเหตุใดจึงให้แขกรอทั้งอย่างนั่นเล่า อีกทั้งยังไม่นับที่ใต้เท้าเจียงมาโดยไม่มีเทียบเชิญ เหตุใดจึงให้ผู้อื่นเข้ามาได้ง่ายดายนัก กฎของจวน อ๋องหละหลวมถึงเพียงนี้เชียวหรือ มันไม่ประหลาดเกินไปหรืออย่างไร "

    "กระหม่อม.. กระหม่อม... พระชายาโปรดลงทัณฑ์! " เกากงกงใบหน้าซีดเผือด ละล้าละหลังทรุดตัวคุกเข่า รับโทษทัณฑ์ส่งผลให้นางกำนัลและขันทีผู้อื่นทรุดตัวคุกเข่าตาม

    "ช่างเถอะ..อย่าให้เกิดขึ้นอีก ใต้เท้าก็รออยู่แล้วท่านก็ไปพบเขาเถิด" นางระอาใจและเหน็ดเหนื่อยเกินว่าจะลงโทษในยามนี้ ประโยคหลังจึงหันไปกล่าวกับเว่ยอ๋องที่ตั้งแต่ต้นแทบไม่กล่าวอะไรเลยและไม่คิดห้ามปราบที่นางต่อว่าขันทีใหญ่ประจำตำหนักต่อหน้าธารกำนัล

    "เจ้ากลับเรือนไปพักเถิด ข้าจะไปรอใต้เท้าเจียงอยู่ที่ห้องหนังสือ รบกวนกงกงเชิญใต้เท้ามาพบข้าที่นั่นก็แล้วกัน" เว่ยอ๋องยังคงสีหน้าไม่ทุกข์ร้อน ไร้คลื่นความขุ่นเคือง กล่าวแล้วก็เดินกลับเรือนของตน

    "หวังว่าใต้เท้าเจียงจะมาเพียงผู้เดียวนะ" อันเจี๋ยเดินผ่านหน้าเกากงกงไป ทั้งยังจงใจเอ่ยลอยให้ได้ยินโดยทั่วกัน เกากงกงรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบจึงรีบลี้รุดไปทันที

    นางก็เอ่ยไปลอย ๆ ให้ผู้อื่นร้อนใจเล่น ๆ ไปอย่างนั้น ในใจนางมั่นใจเต็มสิบส่วนว่าอย่างไรก็ต้องมีผู้ติดสอยห้อยตามใต้เท้าเจียงมาอย่างแน่นอน

    "นายหญิง..." จิ่วเหมยที่นิ่งเงียบมาตลอดจับความรู้สึกรุนแรงบางอย่างของเจ้านายได้

    "ข้าเหนื่อยอยากพักจะแย่อยู่แล้ว หมูสกปรกพวกนั้นก็หาแต่เรื่องไร้สาระกวนใจข้าอยู่ได้"

    ยามเหนื่อยมาก ๆ วาจานายหญิงจะรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เป็นนิสัยเสียที่พยายามแล้วแต่ก็แก้ไม่หาย

    ช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมานางทุ่มเทกับการปรุงยาแก้พิษให้กับเว่ยอ๋องเวลากินเวลาเกือบทั้งวันทั้งคืน พักผ่อนไม่เป็นเวลา ปรุงยาเสร็จยังไม่ทันเรียบร้อยดีต้องยุ่งยากกับการแต่งงาน แต่งแล้วแทนที่จบพิธีการทุกอย่างแล้วจะได้พักผ่อนให้ชุ่มปอด กลับมีแต่แมลงวันแมลงหวี่คอยกวนใจอยู่ได้

    "ถวายบังคมพระชายาเพคะ " เจียงซู่และสาวใช้ประจำตัวทำความเคารพนางอย่างอ่อนช้อย ตรงหน้าประตูเรือนของนางนี่เอง!

    อันเจี๋ยยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มีสัญญาณให้ผู้ที่ย่อตัวทำความเคารพนางลุกขึ้นแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นเจียงซู่เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ได้รับการอบรมมาอย่างดีจึงไม่ได้แสดงกิริยาไม่หมาะสมกับผู้ที่บัดนี้กลายเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่งกว่านางไปแล้ว

    “คุณหนูเจียง มาถึง ‘ที่นี่’ ไม่รู้ว่ามีธุระสำคัญอันใด” อันเจี๋ยผู้นี้เดิมทีเป็นสตรีที่มีความน่าเกรงขามอย่างน่าประหลาดผู้หนึ่ง อาจะเป็นเพราะแต่ไหนแต่ไรก็ถูกเลี้ยงดูเพื่อสถานะของ ‘ผู้ปกครอง’ นางจึงมีลักษณะของผู้นำทุกประการเพียงแต่ไม่ใช่บุรุษเพศเท่านั้น ซึ่งนั้นก็ไม่ใช่ข้อจำกัดที่จะนำมาใช้กดทับนางได้แม้แต่น้อย

    ยิ่งในยุคสมัยของเยี่ยนหลงฮ่องเต้ยิ่งแล้วใหญ่

    สำหรับบุรุษนางเข้มแข็งเกินไป มีความสามารถมากเกินไป น่าเกรงขามเกินไป สำหรับสตรีด้วยกันมองว่านางหยาบกระด้าง สตรีบางนางรู้สึกว่านางน่ากลัวเกินกว่าจะสมาคม สตรีบางนางรู้สึกว่านางที่เป็นเช่นนี้น่ารังเกียจเกินกว่าจะคบหา แน่นอนว่าในใจของเจียงซู่ย่อมเป็นอย่างหลัง

    แม้ขาสองข้างของนางเริ่มรู้สึกตึง แต่เจียงซู่ก็ยังรักษาสีหน้าไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม รวมไปถึงสาวใช้ที่นางนำมาด้วยหนึ่งนางที่ดูราวก็่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี

    แต่กระนั้น ดวงหน้างามก็ปรากฏแววกริ่นเกรงให้เห็น

    “หากจะกล่าวไปแล้วก็มีหลายเรื่องราวนัก มิทราบว่าพระชายามีเวลาสนทนากับหม่อมฉันสักครู่หรือไม่”

    “แล้วเจ้ามีเวลารอข้าสักสองสามชั่วยามหรือไม่”

    เจียงซู่ชะงัก มองนางอย่างไม่เข้าใจ

    “เรื่องนั้น…หม่อมฉันตามท่านพ่อมาเพคะ หากว่าท่านพอเสร็จธุระกับท่านอ๋อง…”

    “อ้อ… เช่นนั้นหรือ หากเจ้ารอไม่ได้ คงต้องเป็นโอกาสหน้า ขอตัว”

    “พระชายาเพคะ…หม่อมฉัน” เจียงซู่ลนลานรีบร้องเรียกอันเจี๋ยที่มองเมินนางและกำลังจะเข้าเรือนและเมื่อสบตากับอัันเจี๋ยที่แม้จะมีผ้าคลุมปิดใบหน้าต่ำกว่าดวงตาเอาไว้ ก็ยังฉายชัดว่านางเริ่มไม่พอใจอย่างยิ่ง

    “คุณหนูเจียงให้มันน้อย ๆ หน่อย เมื่อเช้าเจ้าขวางขบวนกลับบ้านเดิมของข้าก็แล้วไปเถิด มาตอนนี้เจ้ากับบิดามาถึงจวงนอ๋องโดยไม่มีเทียบเชิญก็นับเป็นเรื่องเสียมารยาทเรื่องที่หนึ่ง ทั้งมาที่นี่โดยที่ข้าและท่านอ๋องไม่อยู่นับเป็นเรื่องเสียมารยาทเรื่องที่สอง และยังตอนนี้ยังกล้าที่จะรั้งข้าไว้อีกทั้งที่ทุกคนในเมืองหลวงต่างก็รู้ดีว่าข้าพึ่งกลับจากเยี่ยมบ้านเดิม ไฉนผู้คนต่างเล่าลือกันว่าเจียงซู่เป็นคุณหนูอันดับหนึ่งเพียบพร้อมมารยาและความสามารถ แล้วเหตุใดมารยาทง่าย ๆ เช่นนี้เจ้ากับลืมได้ง่ายดายนักเล่า”

    เจียงซู่นิ่งเงียบไปด้วยความอับอายและคาดไม่ถึงว่าอันเจี๋ยจะกล้าบริภาษนางผู้เป็นแขกต่อหน้าธารกำนัล

    “หรือเจ้าคิดว่าตระกูลเจียงยิ่งใหญ่คับฟ้า จะทำอะไร อย่างไรกับจวนอ๋องก็ได้!”

    “พระชายา มิใช่เช่นนั้นเพคะ!” เจียงซู่คุกเข่า ปฏิเสธพลัน นางคาดไม่ถึงจริง ๆ ว่าพระชายาจะกล้าพาดพิงถึงตระกูลเจียงออกมาอย่างไม่กลัวเกรง

    “แล้วเช่นนั้นมันเพราะอะไรกันเล่า ข้าไม่ใช่คนซับซ้อนดังเช่นคนเมืองหลวง จะไปหยั่งรู้นัยแฝงได้อย่างไร!”

    เจียงซู่สูดหายใจเข้าเต็มปอด พยายามตั้งสติให้มั่นและตอบพระชายาความว่า

    "ทูลพระชายา เรื่องที่เกิดขึ้นหม่อมฉันและตระกูลเจียงรู้สึกผิดต่อพระองค์อย่างยิ่ง วันนี้หม่อมฉันและท่านพ่อจึงมาเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อ..."

    "เหตุใดพวกเจ้าคนตระกูลเจียงต้องรู้สึกผิดกับข้าและท่านอ๋องเล่า" ไม่คาดว่าคนที่เมื่อครู่ยังบีบคั้นเอาคำตอบจากนางกลับเอ่ยปากตอบกลับทั้งที่นางยังกล่าวไม่จบเสียด้วยซ้ำ...

    เจียงซู่หมดคำจะกล่าวชั่วขณะ นางเงยหน้าขึ้นมาสบตาอันเจี๋ยอย่างลืมตัวชั่วขณะ สบเข้ากับสายตาเย่อหยิ่งและดูแคลนอย่างโจ่งแจ้ง

    "หึ...คุณหนูเจียงกำลังจะบอกกับข้าว่า เจ้ารู้สึกผิดที่เป็นต้นเหตุของรอยบากบนหน้าข้าอย่างนั้นหรือ"

    “...”

    “เรื่องระหว่างข้ากับไทเฮา เป็นเรื่องราวภายในครอบครัว...เรื่องในราชวงศ์น่ะ พวกเจ้าตระกูลเจียงเป็นเพียงบ้านเดิมของไทเฮา พวกเจ้าเกี่ยวอะไรด้วย” น้ำเสียงที่เจือรอยเดียดฉันท์ของพระชายาอันเสียดแทงใจของนางเรื่อย ๆ

    “ยิ่งกว่านั้นนะคุณหนูเจียง ข้าจะบอกกล่าวเจ้าอีกหนึ่งอย่าง”

    “...”

    “ข้ากับไทเฮามีความแค้นส่วนตัว หาใช่เพราะนางโกรธแค้นแทนเจ้าที่ถูกข้าแย่งตำแหน่งพระชายาไป” ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่งเจียงซู่ถึงกับต้องจิกแขนตัวเองให้แรงขึ้นเพื่อประคองความสงบนิ่ง ถ้อยคำเผ็ดร้อนที่เอื้อนเอ่ยออกมาอย่างเบาสบายเป็นธรรมชาติเสียดแทงบาดนางลึกขึ้นเรื่อย ๆ

    “เจ้าน่ะ...อย่าได้ตีค่าตนเองไว้สูงค่าถึงเพียงนั้นเลย” ถ้อยคำเจือเสียงกลั้วหัวเราะน้อย ๆ ของอันเจี๋ยที่เอ่ยทิ้งท้ายก่อนเดินจากไปเป็นดั่งถังน้ำเย็นจัดที่ราดรดหัวนางในคืนหนาวเหน็บในเหมันต์ฤดู เป็นกริชคมที่แทงทะลุตัดขั้วหัวใจของนาง ทั้งยังทำลายความถือดีของนางจนหมดสิ้น

    พ้นร่างของพระชายาอันเจียงซู่ทรุดตัวลงที่พื้นทันทีอย่างสิ้นไร้เรี่ยวแรง นิ้วมือเรียวงามกำแน่น

    อับอาย แค้นใจ เสียเกียรติ!

    นางเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ เป็นถึงพระญาติของไทเฮาองค์ปัจจุบัน เป็นหญิงงามเยาว์วัยที่ผู้คนต่างยกย่อง เชิดชู ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติเหนือผู้อื่นเสมอมา

    สตรีอย่างอันเจี๋ยอาศัยอะไรมาหยามเหยียดนางต่อหน้าผู้คนมากถึงเพียงนี้!

    คนอย่างนาง สตรีนอกคอกพื้นเพเป็นเพียงบุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าที่วาสนาดีได้ฝ่าบาทอุปถัมภ์เพียงเท่านั้นถือดีอย่างไรมาดูแคลนนาง!

    ถือดีอย่างไร มาแย่งงานมงคลของนาง! ตำแหน่งที่ควรจะเป็นของนาง ผู้ที่ควรจะเป็นสามีของนาง นางอาศัยอะไรมาแย่งชิงไป!

    “คุณหนูเจ้าคะ” สาวใช้ของนางส่งเสียงเบาหวิวเรียกนางที่ก้มหน้าอย่างสะท้อนใจ

    ดวงหน้าของคุณหนูคนงามของพวกนางบัดนี้มีหยาดน้ำตาสองสายไหลพราก เจียงซู่ทั้งอับอาย ทั้งคับแค้นแทบคลั่ง ใจอยากโผทะยานฉีกกระชากร่างของสตรีจองหองนางนั้นให้แหลกเป็นชิ้น ๆ ด้วยสองมือของนาง

    “พระชายาไม่ต้อนรับ เราออกไปรอท่านพ่อกันเถอะ” แม้ใจจะมีไฟแค้นสุมอกมากเพียงไรเจียงซู่ผู้เป็นสตรีที่เพียบพร้อมก็สามารถซ่อนรอยแค้นนั้นเอาไว้อย่างมิดชิด

    ขณะที่กล่าวกับสาวใช้เสียงของนางนุ่มนวล อ่อนหวานคล้ายไม่ใส่ใจวาจาดูแคลนของพระชายาแม้แต่น้อย ทว่าดวงตากับจมูกกลับแดงรื่น ผิวแก้มเนียนก็ปรากฏรอยคราบน้ำตาจาง ๆ

    นางกำนัลหลายนางที่พบเห็นย่อมคิดว่าคุณหนูนางนี้แสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่ใจร้าวราวเป็นอย่างยิ่ง พวกนางรู้สึกเห็นใจคุณหนูคนงามผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังรู้สึกไม่พอใจท่าทีอันหยาบกระด้างของพระชายาขึ้นมาโดยพลัน

    เหตุใดสตรีที่ดีถึงเพียงนี้กลับถูกผู้อื่นแย่งงานมงคลไป แล้วเหตุใดผู้ที่แต่งเข้ามาถึงเป็นสตรีจองหอง อวดดี ไม่เห็นหัวผู้อื่นได้ถึงเพียงนี้

    ยิ่งเห็นเจียงซู่ไม่ยอมให้เหล่าสาวใช้ประคอง นางหยัดยืนขึ้นเองอย่างมั่นคง ใจของพวกเขายิ่งชื่นชมและรู้สึกเสียดายยิ่ง

    เจียงซู่ย่อมรู้อยู่แล้วว่ามีหลายคนที่ลอบจดจำเหตุการณ์นี้อยู่ และจะต้องถูกเล่าต่อออกไปนอกจวนเว่ยอ๋องอย่างแน่นอน ยามที่สาวใช้ข้างกายจะประคองนางให้ลุกขึ้นนางจึงส่งสัญญาณห้าม

    หยัดยืนขึ้นเองได้เต็มเท้า นางก็เชิดหน้าสูงขึ้นเล็กน้อย เดินจากไปในทันที แผ่นหลังตั้งตรง ก้าวเดินอย่างมั่งคงหนักแน่น แม้ดวงหน้าจะมีรอยของการผ่านการร้องไห้มาก็ตาม

    นางจงใจให้เป็นเช่นนี้ นางจะให้สตรีอวดดีนางนั้นใช้ชีวิตในจวนนี้อย่างลำบากนิดหน่อย แล้วจะค่อยให้มันเปลี่ยนเป็นลำบากมากขึ้นเรื่อย

    ทุกคืนวันในจวนอ๋องแห่งนี้อันเจี๋ยต้องอยู่ภายใต้การถูกเปรียบเทียบกับนาง ผู้อื่นจะต้องรู้สึกว่านางไม่คู่ควรกับตำแหน่งนี้ นางจะต้องได้รู้ว่าตนเองเหมาะสมที่จะเป็นเพียงขยะกองหนึ่งมากแค่ไหน!

    แล้วสักวันหนึ่งข้าจะลากเจ้าลงต่ำ เหยียบย่ำเจ้าไว้ใต้เท้าของข้าให้จงได้! 

    ……………………………………………………………………………………………………………….

     มาแล้ววววววว เปิดตัวน้อนตัวร้ายคนสวย(คนที่1)  

    ตอนต่อไปขออัพแบบวันเว้นวันนะคะรีดเดอร์ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×