คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่3 วิวาห์มงคล(2/2)
เช้านี้ หลังจากคืนเข้าหอ เว่ยอ๋องและพระชายาต้องเข้าวังหลวงเพื่อไปคารวะฮองเฮาและไทเฮา นางกำนัลที่เข้ามาปรนนิบัตินายทั้งสองเมื่อเห็นสภาพของคนทั้งคู่ต่างก็ต้องก้มหน้า หน้าขาวสลับแดง ทั้งเขินอายและหวาดกลัวในขณะเดียวกัน ร่องรอยขีดข่วนและรอยแดงที่ปรากฏบนร่างขาวผ่องดุดหยกงามของท่านอ๋องเป็นหลักฐานที่บ่งบอกความ ‘ดุเดือด’ ของคืนเข้าหอได้เป็นอย่างดี และยิ่งสนับสนุนให้ข่าวลืออว่าพระชายาปลุกปล้ำสามีนั้นมีมูลขึ้นมา
เว่ยอ๋องและพระชายายังไม่ทันได้รู้ความว่าการ ‘หยอกล้อ’ กันระหว่างสามี-ภรรยาวันเข้าหอนั้นถูกเล่าลือไปไกลแล้ว สามีภรรยาหมาด ๆ ถูกนางกำนัลกลุ้มรุมแต่งกายงดงามปรานีตและเข้าคู่กันเพื่อเตรียมตัวเพื่อเข้าเฝ้าผู้เป็นใหญ่ทั้งสองแห่งวังหลัง เว่ยอ๋องและพระชายามีร่องรอยของความอิดโรยและอ่อนเพลียชัดเจน เว่ยอ๋องมีใบหน้าซีดเซียว ทั้งยัง ‘ยับเยิน’ ขณะที่พระชายามีใบหน้าคล้ายไม่พอใจอะไรบางอย่างแม้จะดูสุขสบายดีมากกว่าเว่ยอ๋อง ทว่าใต้ตาก็ยังปรากฏร่องรอยของการขาดการพักผ่อนชัดเจน
เว่ยอ๋องบีบคลำแขนของตนเบา ๆ นางกำนัลต่างคาดเดาว่าน่าจะไล่อาการเจ็บปวด ยามก้าวเดินมีเสียงโอดโอย สูดปากเล็ก ๆ ขณะที่พระชายาใช้มือข้างหนึ่งของตนนวดท้ายทอยไล่อาการปวดเมื่อย กิริยาของคนทั้งคู่คล้ายสลับคน ผิดที่ผิดทางอย่างน่ากระดากใจ อันเจี๋ยฝืนความง่วงงุนก้าวเดินต่อ ฉับพลันสายตาของนางตกไปอยู่กับนางกำนัลผู้หนึ่งที่ใบหน้าแสดงออกถึงความกระดากใจจึงให้ฉุกใจเหลือบมองนางกำนัลและขันทีคนอื่นก็พบว่ามีอาการไม่ต่างกันมากนักจึงรู้สึกว่าผิดปกติ ครั้นเมื่อเว่ยอ๋องก้าวเดินอีกหนึ่งก้าวอย่างยากลำบาก พร้อมกับเสียงสูดปาก นางกำนัลและขันทีต่างก็แสดงปฏิกิริยาทั้งสิ้น แต่ก็ยังพยายามทำคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น อาการของนางกำนัลและขันทีทำให้นางหลุดออกจากอาการง่วงงุนในทันที
“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงมีท่าทางเช่นนี้ ผู้อื่นจะไม่คิดว่าหม่อมฉันทำมิดีมิร้ายพระองค์หรอกหรือ!”
นางคล้ายได้ยินเสียงหวีดร้องเบา ๆ จากนางกำนัล
“พระชายา! นี่เจ้า! ...” เว่ยอ๋องอ้าปากพะงาบตื่นตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่คาดคิดว่าพระชายาหมาด ๆ ของตนจะกล้าเอ่ยวาจาบัดสีออกมาอย่างไม่อายปาก ยิ่งเหลือบมองนางกำนัลและขันทีที่ก้มหน้างุดบ้าง บางคนทำหน้าเลิกลัก
“เหตุใดจึงเป็นสตรีเช่นนี้กัน!” บ่นออกมาอย่างเหลืออดทั้งใช้มืองามโบกพัดไอร้อนบนในหน้าที่เห่อขึ้นจนดวงหน้างามแดงเถือก
“โวยวายเพื่อสิ่ง...”
“ไม่คุยกับเจ้าแล้ว” ว่าแล้วก็สะบัดหน้าเดินนำหน้าพระชายาของตน ก้าวยังตำหนักฉือหนิงอันเป็นที่ประทับของเจียงไทเฮา
อันเจี๋ยยังคงขมวดคิ้วมุ่น
“ก็ทำกันอยู่สองคน เหตุใดรับบทผู้ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียวเล่า ข้าเองก็เมื่อยเหมือนกัน”
“พระชายา!” เว่ยอ๋องหน้าแดงจัด เอ่ยอย่างเหลือทน ทันทีที่จบประโยคของพระชายา นางกำนัลผู้หนึ่งสะดุดล้ม ทำให้เกิดการสะดุดเป็นทอด ๆ จนเสียขบวน แม้แต่จิ่วเหมยยังต้องผินหน้าไปทางอื่น
อันเจี๋ยมองทุกอย่างเหวอ ๆ
“ม... ไม่พูดแล้วก็ได้” นางเห็นทางท่างเสียอาการอย่างผิดปกติยิ่งของเว่ยอ๋องจึงยอมถอยครึ่งทาง ไม่เร่งเถียงเพื่อต้อนอีกฝ่ายเช่นที่เคย ๆ ทำ นางเดินตามสามีหมาด ๆ ไปด้วยความรู้สึกที่ยังค้างคาใจอยู่หน่อย ๆ อีกทั้งยังรู้สึกไม่ได้รับความยุติธรรม
เมื่อคืนทั้งหมดนางทำเพื่อเขาทั้งนั้น!
ไม่นานจึงมาถึงตำหนักฉือหนิง อันเจี๋ยรู้สึกหายง่วงเล็กน้อย นางมองตำหนักหลังใหญ่แล้วทอดถอนใจเล็กน้อยยามเมื่อระลึกได้ว่ายามนี้กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับผู้ใด
เจียงไทเฮา...ผู้ที่นางไม่อยากพบเจอมากที่สุดในวังแห่งนี้
รอจนได้รับสัญญาณอนุญาตให้เข้าเฝ้าได้ เว่ยอ๋องจึงหันมาจับจูงมือของพระชายาก้าวเข้าไปยังตัวเรือนตำหนักประทับ เบื้องหน้าของอันเจี๋ยและเว่ยอ๋องปรากฏเจียงไทเฮานั่งอยู่บนบัลลังก์กลางตำหนัก ขนาบข้างด้วย เถียนฮองเฮาและลิ่วหวงกุ้ยเฟย ฉางกุ้ยเฟยและจางกุ้ยเฟยตามลำดับ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีซ่งเฟยและอิ่นเฟย นั่งอยู่ด้วย
อันเจี๋ยผงะ เมื่อเห็นว่าสนมชายาขั้นสูงต่างมาต้อนรับการมาของนางและ ‘สามี’ อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา สองสามีภรรยาเหลือบตาสบกันโดยมิได้นัดหมาย คาดว่าเว่ยอ๋องเองก็คงมิคาดคิดเช่นกันว่าเช้านี้จะมีคนเยอะถึงเพียงนี้
“ถวายพระพรเสด็จย่า เสด็จแม่และพระสนมทั้งหลายพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยอ๋องเอ่ยและทำความเคารพ เช่นเดียวกับอันเจี๋ยที่ย่อตัวถวายพระพรอย่างงดงาม แต่จนนานผู้เป็นใหญ่ก็ยังไม่มีท่าทีสั่งให้นางลุกขึ้น เว๋ยอ๋องก็ยังค้างอยู่ในท่าทำความเคารพเช่นเดียวกับพระชายา อันเจี๋ยลอบยิ้มมุมปาก
งิ้วราคาถูก!
คิดหรือว่ากลั่นแกล้งด้วยวิธีการดาษดื่นเช่นนี้จะทำอะไรนางได้
ฮองเฮาเพ่งมองสองสามีภรรยาที่ยังคนอยู่ในท่าทำความเคารพด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย ยามที่คนทั้งสองพึ่งเดินทางเขามาถึงโถงตำหนักนี้ พระนางมองเห็นอย่างชัดเจนเลยว่าโอสรของตนเองมีใบหน้าซีดเซียวเพียงใด ขณะที่ฝ่ายพระชายาเองก็มีท่าทีอ่อนเพลียไม่ต่างกันเช่นนี้มิใช่ว่าเมื่อคืนเป็นจริงดังข่าวลือหลอกหรือ...พระนางได้แต่แอบลอบกลืนน้ำลาย ไม่อยากที่จะจินตนาการต่อ นางเบือนหน้าภาพของบุตรชายและสหายของบุตรชายที่ตอนนี้กลายมาเป็นสะใภ้หลวงด้วยความทนไม่ได้
บุตรชายคนเล็กผู้นี้ของนาง นางประคบประหงมมาอย่างดี ปราณาสิ่งใดนางเสาะหาให้ได้ทุกอย่าง เพียงเอ่ยปาก หากปรารถนาหญิงสาวที่จะตบแต่งบังหน้า มีหรือนางจะไม่สามารถสรรหาหญิงที่งามพร้อมด้วย รูปโฉม จริยาและสาแหรกมาให้บุตรชายได้ เหตุใดจะต้องให้บุตรชายลำบากแต่งกับสตรีเช่นนี้
คนอย่างอันเจี๋ย...
เถียนฮองเฮาเพ่งมองไปยังสะใภ้ของตน นางเห็นนะว่าเมื่อครู่อันเจี๋ยลอบแสยะยิ้ม เป็นสตรีที่เกินเยียวยาแล้วจริง ๆ
เพ่งมองแล้วก็ได้แต่อัดอั้นตันใจ ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดจะทำอะไรกันแน่
พระนางน่ะ รู้จักโอรสของตนเองดีว่าเป็นคนเช่นใด เว่ยอ๋องหากไม่พึงใจ ไม่ยินยอมแล้วไซร้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางยินยอมให้ผู้อื่นกดดันจนต้องหาทางออกโดยการคว้าสตรีที่แม้จะสนิทชิดเชื้อแต่ชื่อเสียงเน่าเฟะอย่างอันเจี๋ยมาควงคู่
ที่มากไปกว่านั้นอันเจี๋ยผู้นี้ พระนางรู้จักเด็กผู้นี้มากกว่าชีวิตของนางด้วยซ้ำ อันเจี๋ยเป็นสตรีที่ยอมเสียชื่อเสียง ดีกว่าทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ สตรีถือดีอย่างนางต่อให้เอามีดมาจ่อคอหากบอกว่าจะไม่แต่ง ย่อมไม่มีทางได้แต่ง ยามนางพ้นพิธีปักปิ่น นางลั่นวาจาว่าจะไม่แต่งงาน พระนางหรือจะไปนึกว่าวันหนึ่งนางจะมีงานแต่งที่สะเทือนฟ้าดินด้วยการแต่งเข้าราชวงศ์ทั้งชื่อเสียงเละเทะเช่นนี้
การแต่งงานที่เกิดอย่างทันด่วนแต่ทุกอย่างกลับเตรียมการพร้อมเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องมีเบื้องหลังที่มากกว่าที่พระนางทราบอย่างแน่นอน อย่างไรนางก็เชื่อไม่ลงว่าทั้งสองคนพึ่งใจที่จะอยู่กินกันฉันท์สามีภรรยาอย่างบริสุทธิ์ใจ
ตีให้ตายพระนางก็เชื่อไม่ลง!
อีกทั้งคนที่น่าจะรู้เรื่องราวมากที่สุดอย่างเช่นฮ่องเต้ก็ไม่ปริปากเรื่องราวให้นางทราบแม้เพียงนิด อึดอัด! อัดอั้นจะตายอยู่แล้ว!
“ลุกขึ้น” น้ำเสียงก้องกังวานเปี่ยมอำนาจของไทเฮาเอื้อนเอ่ยต่อผู้น้อยทั้งสองที่ถวายพระพรเสียงนั้นเรียกความสนใจจากฮองเฮาที่กำลังจมจ่อมอยู่กับความคิดของตนเอง
“ขอบพระทัย...” ยังไม่ทันที่จะเอ่ยจบเสียงวางอำนาจของเจียงไทเฮาก็เอ่ยแทรกออกมาก่อน
“คุกเข่าลง!” สิ้นเสียงอาญาสิทธิของเจียงไทเฮา เว่ยอ๋องและพระชายาต่างก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าอย่างรวดเร็วและพร้อมเพรียงกัน
“เว่ยอ๋องเจ้าไม่ต้อง” เจียงไทเฮามีเสียงไม่พอใจเมื่อเห็นว่าเว่ยอ๋องก็ทรุดตัวลงตามชายา ทำเช่นนี้ย่อมเป็นการบอกกลาย ๆ ว่าเว่ยอ๋องให้ความสำคัญกับพระชายาไม่น้อย
“ทูลเสด็จย่า ความว่าสามีภรรยาคือคนเดียวกันพ่ะย่ะค่ะ”
“เว่ยอ๋อง!” ใบหน้าของเจียงไทเฮาเขียวคล้ำ ทั้งยังบิดเบี้ยว ลืมสิ้นการสำรวมกิริยาไม่คล้ายกับผู้มากอำนาจแห่งวังหลัง สร้างความชะงักงันให้แก่เหล่าสนม บ้างก้มหน้าอย่างเกรงกลัว ฮองเฮาลอบมองพระพักตร์ไทเฮาด้วยความคาดไม่ถึง แม้แต่อันเจี๋ยยังแอบลอบมองด้วยความสนพระทัย
“ไม่ทันไร เจ้าก็เห็นนางดีกว่าย่าแล้วหรือ? ”
“หามิได้พ่ะย่ะค่ะ”
สิ้นคำของเว่ยอ๋อง ศอกของพระชายาก็กระแทกเข้าที่สีข้างของเว่ยอ๋องอย่างแรงหนึ่งครั้ง
ปัง!
เจียงไทเฮา ตบไปที่รองแขนเก้าอี้อย่างแรงเสียงดังสลั่น
“อยู่ต่อหน้าข้า เจ้ากล้าทำร้ายหลานข้าหรือ! ทำร้ายเชื้อพระวงศ์มีโทษสถานใด เจ้าไม่รู้เชียวหรือ! ช่างเป็นสตรีที่หยาบช้าเสียจริง”
หยาบช้าหรือ? อะไรที่เรียกว่าหยาบช้า
“หามิได้เพคะ เมื่อสักครู่หม่อมฉันเห็นเว่ยอ๋องตัวสั่นเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะเว่ยอ๋องอ่อนไหวต่อเสียงดังและเสียงตะคอกก็เป็นได้ หม่อมฉันจึง ‘สะกิด’ ให้ทรงรู้สึกตัวเท่านั้นเองเพคะ” นางเงยหน้าสบตาเจียงไทเฮา ทั้งยังกล่าวออกมาราบเรียบไม่เกรงกลัว
“เสด็จย่า นั่นเป็นจริงอย่างที่พระชายาพ่ะย่ะค่ะ เมื่อสักครู่หลาน...” เว่ยอ๋องหลบสายตา ขนตางอนยาวสั่นระริกเบา ๆ ไม่เอ่ยอะไรต่อ เจียงไทเฮารู้สึกใจอ่อนยวบ ขณะที่ฮองเฮายกมือลูบอกอย่างปวดใจ ก่อนตวัดตามองไทเฮาอย่างไม่ค่อยจะพอใจ
แม่เฒ่านางนี้กล้าดีอย่างไรมาตะคอกลูกของนาง!
“แต่หากพระองค์จะมองว่านั่นเป็นการกระทำหยาบช้า...อันเจี๋ยก็จนปัญญาเพคะ” นางเบือนหน้าไปทางอื่น เลียนแบบท่าทางของเว่ยอ๋องแต่มองคล้ายกำลังเยาะเย้ยและล้อเลียนอยู่ในที
“นี่เจ้า!”
“อะไรกันเพคะ บรรยากาศเช่นนี้ ไทเฮา วันนี้ควรจะเป็นวันที่มีแต่เสียงหัวเราะมิใช่รึ” เสียงหวานใสที่เจือความยั่วยวนอันเป็นเอกลักษณ์ของลิ่วหวงกุ้ยเฟยแทรกออกมาตัดบรรยากาศที่กำลังมาคุด้วยโทสะของไทเฮา น่าเสียดายที่วาจาที่เอ่ยออกมานั้นหาได้ทำให้บสถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด ดั่งคล้ายจะเป็นการสาดน้ำมันเข้ากองเพลิงเสียมากกว่า
“นั่นน่ะสิเพคะ เดิมทีที่พวกเรามารวมกันที่นี่ตั้งมากมายก็เพื่อแสดงความยินดีกับเว่ยอ๋องและพระชายาทั้งนั้น ตั้งแต่เล็กพระชายาก็ศึกษาวิชาอยู่ในป่าเขา ซ้ำยังถูกพระนางกักบริเวณตั้งหลายปี ก็เป็นได้ว่านางอาจจะไม่เข้าใจมารยาทพิธีการมากนัก มาถึงนั้นนี้แล้ว ไทเฮาก็อย่าทรงเคร่งครัดต่อพระชายานักเลยเพคะ อีกไม่นานก็คงจะคุ้นชินกับมารยาทพิธีการสมกับเป็นสะใภ้หลวงที่ทั้งพระองค์และพวกเราเฝ้ารอนั่นแหละเพคะ จริงไหมเพคะฮองเฮา” และเป็นจางกุ้ยเฟยที่โหมให้กองเพลิงลุกลามด้วยการสาดน้ำมันเพิ่มเข้าไปอีก...ซ้ำยังเป็นน้ำมันสามถัง ถังแรกเป็นนัยว่าพระชายาเว่ยอ๋องเติบโตมาท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ไม่ได้รับการอบรมในฐานะนะคุณหนูผู้สูงศักดิ์มากพอซ้ำยังเคยถูกย่าสามีกักบริเวณเป็นเวลานานหลายปี ไร้คุณสมบัติที่จะเป็นชายาเว่ยอ๋องโดยสิ้นเชิง
ถังที่สองมีนัยว่าเป็นเพราะเจียงไทเฮานั่นแหล่ะที่ต้องการให้มีการสมรสของเว่ยอ๋องเกิดขึ้นจึงได้หลานสะใภ้ผู้นี้มา
ถังที่สามเป็นการลากฮองเฮาผู้แม้จะวางท่านิ่งเฉยแต่ในใจน่าจะร้อนรุ่มอย่างถึงที่สุดมาร่วมวงด้วย
“ที่จริงหม่อมฉันให้แปลกใจเช่นกันเพคะ ทั่วทั้งใต้หล้ายามเมื่อกล่าวขานนามเว่ยอ๋องว่าด้วยรูปโฉมนั้นหรือหากกล่าวเป็นสองใครเล่าจะกล้าอวดอ้างว่ารูปงามเป็นหนึ่ง อันว่าด้วยความสามารถและฐานันดรล้วนประจักษ์แจ้ง ในขณะที่หม่อมฉันนั้น เรียกว่าแตกต่างสิ้นเชิง รูปลักษณ์หรือก็มิได้โดดเด่น ความสามารถก็ไม่กล้ากล่าวได้ว่าเป็นเลิศเหนือผู้ใด ชื่อเสียงนั้น…ก็…เป็นอย่างที่เห็น เทียบกันแล้วหม่อมฉันต่ำต้อยยิ่งกว่าฝุ่นผงเสียอีก มิต้องกล่าวถึงฐานะอันสูงศักดิ์ที่ได้รับยามนี้ เพียงได้เป็นสหายยามวัยเยาว์ก็นับว่าเป็นวาสนาอันสูงสุดแล้ว อาศัยอะไรถึงได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทพระราชทานสมรสนี้มาให้เป็นคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ให้ผู้คนกล่าวขานไปอีกร้อยปี จนถึงตอนนี้หม่อมฉันก็ไม่เข้าใจเช่นกันเพคะ”
เหตุใดน่ะหรือ
นั่นก็เป็นเพราะเจียงไทเฮาโลภมากจับคู่ให้ตระกูลเจียงกับรัชทายาทไม่สำเร็จจึงวุ่นวายดิ้นพล่านกับการสมรสของเว่ยอ๋องจนสุดท้ายได้สตรีที่ตนเองนั้นเกลียดที่สุดมาเป็นหลานสะใภ้เสียเองอย่างไรล่ะ! ฮ่า ๆ ๆ ความนั้นนางตั้งใจให้ทุกผู้ในที่นี้รับรู้และจำให้ขึ้นใจว่าการที่นางได้มายืนในฐานะเว่ยหวางเฟยนั้นเป็นเพราะเจียงไทเฮาจัดการเองทั้งสิ้น
อันเจี๋ยกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย ไม่หลบหลีกสายตาที่เริ่มจะดุร้ายขึ้นเรื่อย ๆ ของเจียงไทเฮา
ยังมีความนัยอย่างหนึ่งที่นางต้องการให้ยายเฒ่าผู้นี้จำให้ขึ้นใจ ต้องกล่าวว่า เจียงไทเฮาไม่เคยสิ้นหวังที่จะให้คนสกุลเจียงเกี่ยวดองกับราชวงศ์ ครั้งรัชทายาทไม่สำเร็จก็แล้วไปเถิด ยังมีเว่ยอ๋องอยู่ ผู้คนจึงคาดเดาไปว่าตำแหน่งพระชายาในเว่ยอ๋องคงไม่พ้นสาวงามจากสกุลเจียง ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าเว่ยอ๋องเพียงพลั้งปากถึงอันเจี๋ยไม่ถึงครึ่งคำฝ่าบาทจะพระราชทานสมรสให้ทันที โดยมิได้สนใจข่าวลือเสียหายของสตรีนางนี้เลยแม้แต่นิด แม้กระทั่งหลังที่ประกาศราชโองการไปแล้วจะมีการยื่นฎีกาให้พิจารณาใหม่พระองค์ก็เมินเอาเสียอย่างนั้น
ฝ่าบาทยินดีที่จะรับสตรีที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ที่สุดในใต้หล้าเข้าสู่ราชวงศ์ แต่ไม่ยินยอมที่จะรับสกุลเจียงอย่างไรเล่า!
นี่เป็นความนัยที่มีแต่เจียงไทเฮาเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจเอง พระนางจึงคล้ายจะโมโหมากกว่าเดิมด้วยทำใจยอมรับไม่ได้
อันเจี๋ยเหยียดยิ้มหวานก่อนเอ่ยถ้อยคำน่าขนลุกออกมาท่อนหนึ่ง
“แม้จะไม่เข้าใจนัก แต่ราชโองการของฝ่าบาทเป็นอันสิ้นสุด อันเจี๋ยมิกล้าสงสัยในพระวินิจฉัยเพคะ”
แปลความได้ว่า สงสัยในตัวนางเท่ากับการสงสัยในพระวินิจฉัยของฮ่องเต้
บรรดาพระสนมและผู้เป็นใหญ่ในวังหลังล้วนไม่มีผู้ใดที่โง่เขลา ได้ยินเช่นนั้นก็ล้วนกระสับกระส่ายหน้าเสีย แม้แต่เจียงไทเฮาที่ในคราแรกมีความมั่นใจมากล้นว่าสามารถกดข่มหลานสะใภ้ผู้นี้ได้นั่นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้านไปทั้งอก
ข้อหาเช่นนี้ร้ายแรงมากพอที่จะทำให้ทั้งตระกูลใดตระกูลหนึ่งล่มจมได้ แต่อันเจียกลับกล่าวออกมาได้อย่างง่ายดายคล้ายกับเล่าเรื่องดินฟ้าอากาศ นับตั้งแต่ต้น นางไม่ได้แสดงความเงอะงะตื่นตระหนกแม้กำลังถูกรุมทึ้งจากผู้มีอำนาจทั้งหลาย ซ้ำยังกล้าต่อกรอย่างไม่หวาดกลัว และเมื่อมองผ่านถ้อยคำยั่วยุโทสะของนางจะเห็นว่าในแววตาของนางมีความไม่ยีระต่อสิ่งใดทั้งยังเจือความเอือมระอาอยู่ในที
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่เห็นหัวผู้ใดในที่นี้เลยแม้แต่ผู้เดียว
เป็นสตรีที่หยิ่งผยองโดยเนื้อแท้
ฉางกุ้ยเฟยลอบทอดถอนหายใจอย่างทดท้อ ไม่บ่อยนักที่นางจะมีโอกาสได้พิจารณาสตรีตรงหน้าอย่างถี่ถ้วนเช่นนี้ แต่เมื่อมองแล้วก็ตกผลึกได้ว่าเป็นเด็กที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเลี้ยงดูแบบผิด ๆ ผู้หนึ่งดี ๆ นี่เอง ไพล่คิดไปแล้วก็คาใจนักว่าสกุลอันเลี้ยงบุตรสาวอย่างไรกันเแน่
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่ถูกมองข้ามในงิ้วฉากนี้คือเว่ยอ๋องต่างหากเล่า ท่านอ๋องรูปงามปานล่มเมืองที่บัดนี้แม้มีใบหน้าซีดเซียวทว่าก็ยังไม่อาจปิดบังความงามได้นั้นประคองแขนพระชายาเอาไว้ไม่ห่างกาย แม้เห็นว่าสถานการณ์นั้นเครียดขึงขึ้นทว่ากลับไม่เอ่ยปากห้ามปรามหรือสะกิดให้พระชายาหยุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว
มิใช่ว่า…รับรู้เรื่องที่ไม่สมควรรู้ของคนรุ่นก่อนแล้วหรือ?
ในช่วงที่ต่างคนต่างดำดิ่งกับความคิดของตน เป็นลิ่วหวงกุ้ยเฟยที่หัวเราะออกมาอย่างมีจริต
“เพียงหยอกล้อกันตามประสาคนคุ้นเคยเท่านั้นเองเหตุใดพระชายาถึงตีความเจตนาไปไกลถึงเพียงนั้นได้เล่า” นางหยัดกายลุกขึ้นหันกายไปคารวะไทเฮา
“ที่มาวันนี้ก็เพื่อทักทายเท่านั้นเอง เมื่อเสร็จเรื่องแล้วไม่รบกวนเวลาสุขสันต์ของไทเฮากับพระชายาแล้ว ทูลลาเพคะ” ว่าแล้วก็เดินจากไป
ฉางกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นจึงคารวะขอตัวกลับเช่นกัน ฉางกุ้ยเฟยลุก จางกุ้ยเฟยย่อมลุกตาม เมื่อผู้เป็นใหญ่ทยอยกลับผู้อื่นย่อมกลับออกไปเช่นนั้น ไม่นานตำหนักที่โอ่อ่าจึงเหลือเพียง เจียงไทเฮา เถียนฮองเฮาและบ่าวสาวหมาด ๆ เท่านั้นเอง
“เจ้าคิดว่าฝ่าบาทให้ท้ายเจ้าแล้วเจ้าจะท้าทายข้าอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ!” เจียงไทเฮาใบหน้าเคร่งขึง ตวาดเสียงดัง
“หม่อมฉันเปล่า” อันเจี๋ยสวนกลับในทันที
“จองหอง!”
“เสด็จย่า พระทัยเย็นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าก็เงียบปากไป! กล้าดีอย่างไรถึงเห็นนางดีกว่าย่า”
“เอ๊ะ! ไทเฮาท่านจะมาพาลลูกข้าได้อย่างไร!” เถียนฮองเฮาเอ่ยขัดอย่างเหลืออด ไม่รู้ว่าวันนี้ยายเฒ่าเจียงเป็นอะไรไปถึงได้ระงับอารมณ์ตัวเองไม่ได้
“เจ้าไม่ต้องยุ่ง!”
"เว่ยเอ๋อร์เป็นลูกของข้านะ อันเจี๋ยนางก็แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ของข้าแล้ว จะมาไม่ยุ่งได้อย่างไร!” เถียนฮองเฮาเถียงกลับอย่างไม่ลดละ แต่ไหนแต่ไรพระนางกับไทเฮาก็ไม่เคยเข้ากันได้ดี ไม่เคยดีต่อกัน ใต้หล้าต่างรับรู้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นแม่ผัวลูกสะใภ้รักใคร่กลมเกลียว
“แล้วเจ้ายอมรับนางได้เช่นนั้นหรือ!”
“นั่นมันก็เรื่องของข้า ได้หรือไม่ได้ข้าจะจัดการเอง ท่านแสดงกิริยาเช่นนี้ไม่อายสายตาผู้อื่นหรืออย่างไร ข้างนอกเล่าลือออกไปอย่างไรก็ไม่สนใจแล้วหรือ เท่านี้ยังวุ่นวายไม่พอใช่หรือไม่ ถึงได้เชิญชวนสนมชายามากมายมาที่นี่เพื่อหักหน้า ‘เด็ก’ คิดว่าทำเช่นนี้แล้วนางจะกลัวหรือ ท่านดู! เบิกตามองดูว่านางสะดุ้งสะเทือนหรือไม่!” ไม่เพียงปากว่ามือยังชี้มาที่อันเจี๋ยก็เห็นเป็นภาพสตรีนางหนึ่งกำลังสำรวจเล็บข้างหนึ่งของตนเองด้วยท่าทางเฉยเมย
เว่ยอ๋องเองก็ไม่ได้ต่างกันมากนักพระพักตร์งามผินมองไปนอกหน้าต่างตำหนัก จิตใจไม่ได้จดจ่อกับบทสนทนาของเสด็จแม่และเสด็จย่าแล้ว
เจียงไทเฮาเห็นดังนั้นก็โกรธจัด ไม่อาจควบคุมโทสะที่ปะทุขึ้นมาในใจตั้งแต่แรกเริ่มเห็นหน้าหลานสะใภ้ผู้นี้ได้อีก
ไม่ทันที่ผู้ใดจะคาดคิด พระนางคว้าจอกชาขว้างออกไปสุดกำลัง!
ในเสี้ยววินาที เว่ยอ๋องประสาทสัมผัสไวกว่าผู้ใดตื่นตัวเคลื่อนกายบดบังร่างของพระชายาไว้ ทว่าไม่ทันใดร่างกายที่อ่อนแอนั้นกลับโดยพระชายาเหวี่ยงออกไปไกล
“อาเจี๋ย!”
“กรี๊ด! " เถียนฮองเฮากรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
อันเจี๋ย สตรีหยิ่งยโสที่สุดในเมืองหลวงทรุดลงกับพื้นตำหนักใบหน้าที่ขาวซีดมีเลือดสีแดงฉาบอาบในหน้า เว่ยอ๋องทรุดกายประคองพระชายาไว้ใบหน้าซีดเซียวไม่ต่างกัน
“ท่านทำอะไรของท่าน!” เถียนฮองเฮาพึ่งหาเสียงของตนเองเจอ ตวาดแหวใส่เจียงไทเฮาที่บัดนี้ใบหน้าซีดเผือด
พระนางทำไปอย่างไม่รู้สึกตัว!
“พวกเจ้าจะยืนบื้ออยู่ทำไม! ตามหมอหลวงมาสิ!”
เถียนฮองเฮาหันไปตวาดนางกำนัลและขันที ตำหนักฉือหนิงเกิดเหตุวุ่นวายขึ้นมาทันใด
“ไม่เป็นการรบกวนจะดีกว่าเพคะ” น้ำเสียงยังติดความเย่อหยิ่งแม้ใบหน้าจะซีดเซียวเต็มที นางหยัดกายขึ้น ใช้มือข้างหนึ่งดันเว่ยอ๋องออกให้ห่างกายนาง ใบหน้าข้างหนึ่งยังอาบไปด้วยเลือดแดงฉาน
“การรับขวัญครั้งนี้หม่อมฉัน ‘ประทับใจมาก’ เพคะ แต่คิดว่าควรแก่เวลาแล้ว หม่อมฉันทูลลา”
“เช่นนั้นหลานทูลลาเสด็จย่า ทูลลาพ่ะย่ะค่ะเสด็จแม่ วันหลังลูกจะเข้ามาเยี่ยมใหม่”
ว่าแล้วก็ประคองพระชายาที่ใช้พัดด้ามหยกบังใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดไว้ ทว่าขนาดผู้สายตาไม่ดีก็มองเห็นได้ชัดว่าพระชายาเว่ยอ๋องที่เข้าไปพบไทเฮากลับออกมาด้วยเลือดและเต็มกาย โดยมีเว่ยอ๋องประคองออกด้วยความร้อนใจ
เกากงกงขันทีใหญ่ตำหนักเว่ยอ๋องเฝ้ารอพระชายาและเว่ยอ๋องกลับมาด้วยความร้อนใจ ด้วยทำงานในวังหลวงมาอย่างยาวนานจึงรู้ฤทธิ์เดชของเจียงไทเฮาดี แม้จะรู้อย่างดีเช่นกันว่าพระชายานั้นก็มิใช่ธรรมดาเช่นกันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจ
ทันทีที่เห็นใบหน้าอาบด้วยเลือดของพระชายาเกากงกงตกใจแทบล้มพับ
“พระชายา! เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ!” ขาไปยังดี ๆ อยู่เลยเหตุใดขากลับจึงเป็นเช่นนี้
“ไทเฮาเป็นคนทำ”
“หา!!” ได้ยินคำตอบจากปากพระชายาอัน เกากงกงแทบล้มพับไปทันที
“กงกงไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสบายดี ขอตัว …แล้วเจ้าจะเกาะแกะข้าไปถึงไหนบอกแล้วว่าอย่าจับ!”
พระชายาอันพยายามสะบัดหนีจากการเกาะกุมของเว่ยอ๋องทว่าอย่างไรก็สลัดไม่หลุด คนทั้งคู่จึงรีบเร่งเดินกลับเรือนของพระชายาอย่างทุลักทุเล
ทิ้งให้เกากงกงยืนละล้าละหลังทำตัวไม่ถูก ทั้งตกใจ ทั้งยังคิดไม่ตกว่าจะเชิญหมอผู้ใดมารักษาพระชายาดี แต่พระชายาเองก็เป็นหมอหญิงผู้หนึ่งเช่นเดียวกันหากไปเชิญหมอท่านอื่นมาจะเป็นการจุ้นจ้านทำให้พระชายาหงุดหงิดใจหรือไม่
“ทำยังไงดี ข้าจะทำยังไงดี!”
………………………………………………………………..
ไม่รู้นักอ่านสนุกไหม แต่ไรต์สนุกมากเลอ 55555
เจอกันอีกทีดึกๆ เช่นเคยต่ะ
ความคิดเห็น