ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชายาวิปลาส

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่3 วิวาห์มงคล(1/2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.48K
      11
      25 ต.ค. 66

    บทที่3

    วิวาห์มงคล

    จะว่าคลื่นใต้น้ำหรือคลื่นลมอันใด จะเปลี่ยนทิศไปทางไหน แห่งหนใด ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลักอย่าง เช่น อันเจี๋ยคล้ายไม่รับรู้สิ่งใด นางใช้วันเวลาอยู่ในจวนอย่างเรื่อยเปื่อยภายในจวน หมดเวลาในแต่ละวันไปกับการดีดลูกคิด คำนวณผลกำไรจากการค้า และการหลอมยาบ้าง คล้ายกับว่ามิได้มีงานมงคลในเร็ววัน ด้วยสิ่งใดก็เป็นจวนเว่ยอ๋องเป็นผู้จัดการให้ไปเสียทุกอย่าง เทียบหมั้นและเทียบสินสอดล้วนมีผู้จัดการให้ ชุดแต่งงานช่างหลวงก็เข้ามาวัดตัวให้ถึงในจวน ผู้คนรอบตัวของนางต่างวุ่นวายจนหัวหมุนกับงานมงคลนี้...ยกเว้นเพียงนางที่ยังอยู่อย่างสบายอารมณ์ มีบ้างที่เยียนเว่ยแวะมากวนอารมณ์ด้วยประโยคที่คอยย้ำเตือนถึงวันวิวาห์เพียงเท่านั้น...พลาญวันเวลาไปพลาง ๆ ก็ถึงวันมงคลแล้ว

    อันเจี๋ยในชุดวิวาห์สีแดงมงคลกำลังเดินวนในห้องคล้ายหนูติดจั่น ริมฝีปากที่มักจะคว่ำอย่างคนที่เอาแต่ใจบัดนี้เม้มแน่น ดวงตาที่ฉายความดื้อรั้น หยิ่งทะนงอยู่เป็นนิจ ยามนี้มีร่องรอยของความเครียดขึงปรากฏชัดบนใบหน้า มือสองข้างของนางบีบกันแน่น เซียวซื่อที่มีใบหน้าซีดเซียวผลักบานประตูเข้ามาเห็นอาการของบุตรสาวก็ชะงักและมีอาการงุนงงเล็กน้อย

    “เหตุใดจึงทำท่าทางเช่นนั้น”

    “ข้ารู้สึกกังวลใจเจ้าค่ะ” อันเจี๋ยตอบทันพลัน

    “กังวลใจ?” เซียวซื่อคล้ายถูกผีหลอก

    “เจ้าอยู่อย่างสบายใจ จิตใจแจ่มใจมานับเดือน อยู่ ๆ มาประหม่าเอายามนี้เนี่ยนะ” ความรู้สึกช้าเกินไปหรือไหม

    “ก็ตอนแรกข้าไม่ได้รู้สึกอะไรจริง ๆ นี่เจ้าคะ ...ต้องโทษอาเว่ยคนเดียว” นางพึ่งมาตระหนักเอาตอนนี้เองว่าการที่เยี่ยนเว่ยเทียวมาที่จวนนางแล้วเอ่ยย้ำเรื่องงานวิวาห์ มันยิ่งทำให้นางค่อย ๆ ตื่นเต้นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีก็งุ่นง่านไปหมดแล้ว!

    เซียวซื่อถอนหายใจออกมาหนึ่งรอบอย่างระอาใจก่อนลากบุตรสาวไปยังหน้าโต๊ะแต่งหน้า

    “มาทำผมเถิด” เซียวซื่อบรรจงทำผมให้บุตรสาวอย่างปรานีต อันเจี๋ยมองภาพสะท้อนของผู้ที่ได้ชื่อว่ามารดาผ่านคันฉ่อง นางสงบนิ่ง ใบหน้ายังคงซีดเซียวคล้ายพักผ่อนไม่เพียงพอ ดวงตาคู่งามฉายแววร้าวร้านอยู่จาง ๆ

    บังเกิดความเงียบขึ้นระหว่างแม่ลูก ก่อนจะเป็นเซียวซื่อที่เอ่ยทำลายความเงียบนั้น

    “เวลาผ่านไปเร็วนัก...ข้าเหมือนเห็นเด็กดื้อเอาแต่ใจคนนั้นอยู่เมื่อวาน เผลอแป๊บเดียวเท่านั้น...เจ้าก็โตจนออกเรือนได้แล้ว” แต่เล็กตั้งแต่เริ่มรู้ความอันเจี๋ยก็ต้องออกเดินทางไกลบ้านเพื่อศึกษาศาสตร์ต่าง ๆ จนเติบใหญ่ นาน ๆ ครั้ง ถึงจะมีเวลาที่จะอยู่จวน พึ่งจะกลับมาปักหลักที่จวนเพียงไม่นานเท่านั้น รู้ตัวอีกทีก็ต้องออกจากจวนไปแบบถาวรเสียแล้ว

    “ผู้เฒ่ามาร่วมงานหรือไม่” นางสบตามารดาผ่านคันฉ่อง มารดาเพียงนิ่ง หลับตาและส่ายหน้าช้า ๆ เห็นดังนั้นนางจึงถอนหายใจอย่างปลดปลง

    “ก็คิดว่าเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

    ผู้เฒ่าที่กล่าวถึงนั้นหมายถึงผู้อาวุโสของตระกูลเซียว ญาติฝั่งมารดา อันตระกูลเซียวแม้ได้ชื่อว่าล่มสลายไปแล้วทว่าผู้คนก็ยังอยู่ไม่น้อย กระจายตัวกันอยู่ทั้งต้าจงและโพ้นทะเล ผู้อาวุโสของตระกูลก็ยังคงอยู่ทว่าพวกเขาอยู่ห่างไกลจากที่พวกนางงอยู่ ด้วยไม่อาจทำใจเหยียบแผ่นดินผืนนี้ได้ลง หากว่าเซียวซื่อมีความเกลียดชังต่อราชวงศ์แล้ว ผู้อาวุโสของตระกูลน่าจะเรียกได้ว่าเคียดแค้นไม่อาจร่วมแผ่นดินก็ว่าได้ มารดาแม้ไม่เห็นด้วยที่นางจะแต่งเข้าราชวงศ์ทว่าคนจวนนี้เคารพต่อการตัดสินใจของนางเสมอ แต่กับผู้อาวุโสของตระกูลเซียวนั้นต่างกัน มาตรว่าตอนนี้พวกเขาน่าจะทำพิธีสาปแช่งนางอยู่ก็เป็นได้

    “ผู้เฒ่าย่อมไม่อาจมาได้ หวังว่าเจ้าจะไม่โกรธเคืองพวกเขา”

    อันเจี๋ยกลั้นขำ นางหรือจะมีเวลาว่างไปโกรธเคืองพวกเขา ความสัมพันธ์ของนางและผู้อาวุโสตระกูลเซียวห่างเหินกันมากนัก พวกเขาโกรธเคืองบิดาและมารดาของนาง ชิงชังครอบครัวของนางอย่างยิ่ง สิ่งเดียวที่ยังยึดโยงนางไว้กับพวกเขามีเพียงสิ่งเดียวและเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขายังเห็นหัวนางอยู่ก็คือการที่นางงได้ชื่อว่าเป็นคนแซ่เซียวสายตรงที่เหลืออยู่น้อยนิดเพียงเท่านั้น

    “แต่งเข้าราชวงศ์ เจ้าต้องระวังตัวให้มาก อย่าได้โดนหลอกใช้...ข้าไม่อยากให้เจ้าเป็นเช่นเสี่ยวจิน” เสี่ยวจินคือน้องสาวผู้ล่วงลับของเซียวซื่อ สตรีชะตาดอกท้อผู้ที่สิบหกปีก่อน สงคราม...ไม่สิ เรียกให้ถูกคือ โศกอนาฏกรรมเหมยแดงทิศบูรพาได้พรากนางอันเป็นที่รักของตระกูลเซียวไปอย่างไม่มีวันหวนคืน เสี่ยวจินเป็นที่รักของผู้คน นางคือแสงสว่างและชีวิตของ ‘เซียว’ เหตุนี้คนแซ่เซียวจึงโกรธแค้น นางจากไปพร้อมกับการล่มสลายลงของตระกูล ล่มลงหนึ่งแลกได้ถึงสอง...

    การจากลาชั่วกาลของเสี่ยวจินคือตราบาปชั่วชีวิตของคนแซ่เยี่ยนและแซ่อู่ ที่อย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจชดใช้

    อันเจี๋ยเข้าใจดีว่าเซียวซื่อห่วงเรื่องใด ความพิเศษของสายเลือดสตรีตระกูลเซียวนางเข้าใจเป็นอย่างดี

    ว่ากันว่าสตรีแซ่เซียวรับความรักอันท่วมท้นจากสรวงสวรรค์ เกิดมาพร้อมชะตาที่ยิ่งใหญ่ มากด้วยโชคลาภ วาสนา ที่สำคัญมีดวงค้ำจุนผู้มากบารมี ครั้งก่อนในอดีตเหล่าบุรุษผู้มีใจมักใหญ่ใฝ่สูงจึงมักเสาะหาสตรีแซ่เซียวมาอุ้มชูเพื่อหวังว่าดวงชะตาค้ำจุนผู้คนนี้จะทำให้ปนิพานสูงสุดของพวกเขาเป็นจริง ดังนั้น สตรีหลายนางจึงมักจะถูกดึงเข้าสู่วังวนของอำนาจอยู่ไม่คลาย ถูกยกขึ้นสูงสุดเหนือสตรีทั้งปวงในใต้หล้า ทว่าก็ถูกทำให้ร่วงหล่นในท้ายที่สุด

    แทนที่จะคิดว่าเป็นพรอันประเสริฐ อันเจี๋ยกลับคิดว่าเป็นคำสาปเสียมากกว่า

    หากเป็นที่รักของสรวงสรรค์จริงเหตุใดจึงตกต่ำได้เล่า เหตุใดจึงให้พรที่เป็นเหมือนดาบสองคม เหตุใดไม่ประทานชีวิตอันผาสุก ปราศจากทุกข์โศกให้กับพวกนางเล่า เหตุใดท้ายที่สุดจึงปล่อยให้ร่วงหล่นได้เล่า

    แม้ในใจจะมีคำกล่าวมากมาย นางก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยความในใจออกไปแม้เพียงครึ่งคำ

    อันเจี๋ยเอื้อมมือไปจังมือของมารดาที่จับผมของนางอยู่ เซียวซื่อชะงักสบตาบุตรสาวผ่านคันฉ่อง ดวงตาหยิ่งทะนงคู่นั้นปรากฏความจริงจังและความปลอบประโลม

    “มันอาจจะทำให้ท่านทำใจลำบาก...”

    “....”

    “แต่ข้าเชื่อใจอาเว่ย...และข้าให้สัญญาว่าเรื่องที่ท่านกังวลมันจะไม่เกิดขึ้น”

    เพราะว่าถึงอย่างไร นางก็ไม่ใช่สตรีที่จะมีโชคชะตาค้ำจุนผู้ใดได้ทั้งนั้น

    เยี่ยนเว่ยกับนางมีความสัมพันธ์ซับซ้อนเกินกว่าที่ผู้ใหญ่จะเข้าใจ เกลียดกันบ้างเป็นบางวัน รักกันบ้างเป็นบางครั้ง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเป็นเช่นนี้มาชั่วชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจคือเยี่ยนเว่ยจะไม่มีวันทรยศนางเป็นอย่างแน่นอน

    จวนจะได้เวลาเคลื่อนเกี้ยวเจ้าสาว อันเจี๋ยจึงได้ออกจากเรือนโดยมีจิ่วเหมยประคองออกมา เพื่อเตรียมตัวขึ้นเกี้ยวแดงที่ถูกตกแต่งอย่างงดงาม เบื้องหน้าเป็นบิดาและน้องชายอันเล่อลาเรียนจากสำนักศึกษาหลวงออกมาเพื่อร่วมงานมงคลของพี่สาว พร้อมทั้งอนุภรรยาทั้งสองของใต้เท้าอันที่นาน ๆ ครั้งจะปรากฏตัวให้ผู้คนเห็น ใต้เท้าอันและอนุอยู่ในกิริยาสำรวม ต่างจากอันเล่อที่ปรากฏอาการตื่นเต้น ลุกลน ดวงตาล่อกแล่ก มือไม้อยู่ไม่สุข ท่าทางดูพิกล คล้ายตื่นเต้นดีใจอย่างกับเป็นเจ้าสาวเสียเอง และเป็นโชคดีที่อันเจี๋ยมีผ้าคลุมหน้าปิดบังวิสัยทัศน์มิเช่นนั้น อาจจะเกิดเหตุการณ์ว่าที่เว่ยหวางเฟยปะทุบร้ายน้องชายในวันมงคลของตนเองให้ชาวบ้านนินทาไปอีกห้าปีสิบปี

    ไม่นานหลังจากนั้นเกี้ยวแดงหลังใหญ่แปดคนหามก็เคลื่อนตัวไปยังตำหนักเว่ยอ๋อง ขบวนของเจ้าสาวยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตา สินเดิมเจ้าสาวที่ปรากฏให้ชาวบ้านผู้มาร่วมชมขบวนเจ้าสาวชวนเรียกเสียงฮือฮาเป็นอย่างยิ่ง ใต้เท้าอันรักบุตรสาวนัก แต่งออกครานี้คล้ายยกสมบัติทั้งจวนอันออกไปด้วย เสียงดนตรีประโคมดังตลอดทาง ดั่งเสียงกู่ร้องอย่างยินดี ชาวบ้านผู้ร่วมชมขบวนนี้ต่างรับชมอย่างสนใจ ทั้งยังกระซิบกระซาบตลอดทาง บ้างก็ว่างานมงคลนี้ยิ่งใหญ่ไม่แพ้งานมงคลของรัชทายาท บ้างก็เป็นเสียงพูดถึงความร่ำรวยของสกุลอัน บ้างก็เอ่ยถึงข่าวลือเกี่ยวกับเจ้าสาว บ้างก็เอ่ยถึงนิสัยร้ายกาจของเจ้าสาวผู้นั่งอยู่ในเกี้ยว

    จิ่วเหมยที่เดินข้างเกี้ยวลอบจดจำใบหน้าของผู้ที่ว่าเอ่ยถึงนายของนางในทางเสียหาย...ต้องหาโอกาสเอาคืนให้นายหญิงเสียหน่อยจึงจะเหมาะสม

    ใช้เวลาไม่นานขบวนเจ้าสาวก็เคลื่อนมาถึงวังของเว่ยอ๋อง ทั้งวังประดับด้วยสีแดงและของมงคลมากมาย เว่ยอ๋องยืนระบายยิ้มรอรับเจ้าสาวอยู่ที่หน้าประตูวัง ความงามของเจ้าบ่าวในชุดสีแดงทำเอาหลายคนแทบลืมหายใจ สตรีทั้งหลายที่ร่วมชมขบวนเมื่อเห็นเจ้าบ่าวบางคนถึงกับละเมอเพ้อ บางคนต้องยกมือกุมหัวใจของตนเองไว้...โดยปกติก็รูปงามแล้ว วันนี้งามยิ่งกว่า งามดั่งจะพรากวิญญาณผู้คน

    เมื่อเกี้ยวเจ้าสาวถูกวางลง เว่ยอ๋องจึงยื่นมือไปแหวกม่านและยื่นมือให้เจ้าสาว อันเจี๋ยแอบหยิกมือเจ้าบ่าวด้วยความหมั่นไส้หนึ่งครั้งก่อนจับมือที่ยื่นมา ดีแล้วที่นางมีผ้าคลุมหน้าเอาไว้มิเช่นนั้นก็ไม่อาจคิดเลยว่าหากนางเห็นประกายวิบวับในดวงตาของเว่ยอ๋องนางจะลงมือกับเจ้าบ่าวอย่างไรเพื่อระบายความหมั่นไส้

    ลงมาจากเกี้ยวยังไม่ทันได้ตั้งตัว เว่ยอ๋องก็ช้อนร่างของเจ้าสาวขึ้นแล้ว อารามตกใจอันเจี๋ยเผลอหวีดร้องเสีบประหลาดออกมา ดัง ‘แอ้’ นางเกือบหงายหลังไปด้านหลังเครื่องประดับศีรษะเกือบจะหลุดร่วงใช้มือประคองแทบไม่ทัน

    “เจ้าแกล้งข้า!” นางเอ่ยกระซิบเสียงเขียวเบา ๆ

    “เสี่ยวเจี๋ยหนอเสี่ยวเจี๋ย เหตุในจึงชอบใส่ร้ายข้านัก เมื่อครู่มันเหตุสุดวิสัยต่างหาก”

    โกหก!

    เอ่ยเสียงระรื่นได้เช่นนั้น จงใจแกล้งกันเห็น ๆ และเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งลอยมาเหลือศีรษะเพียงเล็กน้อย ๆ เบาๆ เป็นเสียง ‘คิก ๆ ’ นางจึงแจ้งแก่ใจว่า เจ้าลูกเต่าอัปลักษณ์นี่จงใจแกล้งนาง

    หน็อยแน่!

    นางบิดสีข้างของว่าที่เจ้าบ่าวเป็นการเอาคืน เรียกเสียงสูดปากของเจ้าบ่าวได้เล็กน้อย เพียงครู่เดียวก็อยู่ในอาการปกติแม้เจ้าสาวจะพยายามหยิก พยายามขยำตามจุดต่าง ๆ ก็ไม่นำพา เห็นว่าเว่ยอ๋องร่างบางเพียงนี้ทว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้แข็งแรงยิ่ง ทุกอย่างล้วนหลอกตาทั้งสิ้น

    เมื่อเจ้าบ่าวอุ้มเจ้าสาวข้ามธรณีประตูมาแล้ว จึงวางเจ้าสาวลง ทว่ามือของเว่ยอ๋องยังกอบกุมมือของเจ้าสาวอยู่ ดวงตาของคนเป็นเจ้าบ่าวมีประกายระยิบระยับแฝงความนึกสนุก

    “นี่เสี่ยวเจี๋ย เจ้ารู้ไหมว่าผู้ใดเป็นประธานวันนี้ เป็นสเด็จพี่รัชทายาทเชียวนะ! พระชายาหลิวก็มาด้วยนะ เสร็จพ่อส่งของขวัญมาให้เจ้าหีบใหญ่มากเชียว อืม...อันที่จริง เสร็จพ่อก็อยากจะมาร่วมงานนี้ด้วยนะแต่เกรงแต่ว่ามันจะเอิกเริกไปน่ะสิ...” เว่ยอ๋องกระซิบกระซาบว่าที่ชายาตาเป็นประกาย แม้ไม่เห็นหน้าอันเจี๋ยก็ก็มั่นใจว่าเยี่ยนเว่ยต้องตาเป็นประกายอย่างน่าหมั่นไส้แน่นอน

    หลายคนมองอาการหยอกล้อของเจ้าสาวและเจ้าบ่าวด้วยความคาดไม่ถึง แม้จะทราบว่าเยี่ยนเว่ยอ๋องลุคณหนูตระกูลอันสนิทชิดเชื้อกันมานานทว่าไม่คาดคิดว่าจะสนิทใกล้ชิดถึงขั้นหยอกล้อกันได้อย่างธรรมชาติถึงเพียงนี้

    “อันที่จริง ข้าน่าจะเรียกของขวัญจากเสด็จแม่มาให้เจ้าด้วย แต่ว่านะ...เหมือนว่าเสด็จแม่จะโกรธเคืองข้าอยู่เล็กน้อย นางไม่ส่งของขวัญมาให้เจ้าเลย น่าเสียดายนัก”

    “....”

    “เข้าไปในงานแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าพิธีต่าง ๆ มีอะไรบ้าง เจ้ากับข้าต้องกราบไหว้ฟ้าดิน ไหว้บรรพบุรุษ แล้วก็....”

    เว่ยอ๋องกระซิบกระซาบว่าที่ชายาไม่หยุดปาก อันเจี๋ยได้แต่ทำหน้าเมื่อยภายใต้ผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดง

    “แล้วตอนเข้าหอ เจ้าห้ามเปิดหน้าก่อน ห้ามดื่มสุราก่อน ห้ามหลับ เจ้าต้องรอข้า เข้าใจหรือไม่” เอ่ยย้ำเป็นมั่นเป็นเหมาะ ทว่าปฏิกิริยาตอบกลับจากเจ้าสาวมีเพียงเสียงหวีดแหลมสูงไม่ดังไม่เบา

    “รู้แล้ว เข้าใจแล้ว! เจ้าย้ำข้าทุกวัน ย้ำเป็นรอบที่ร้อยแล้ว ข้าจำจนขึ้นใจแล้ว! รีบๆ เข้าไปทำพิธีให้เสร็จๆ ได้แล้ว ข้าเมื่อยจะตายแล้ว!”

    งานในตำหนักเว่ยอ๋อง มีรัชทายาทนั่งประจำในตำแหน่งประธานด้านข้างมีพระชายาหลิวอยู่ พระชายายังงดงามและสูงส่งตรึงใจผู้คนอยู่เช่นดังเดิม ติดที่ว่าในวันนี้มีใบหน้าที่ซีดเซียว มาตรว่าเกิดจากการเร่งรีบเดินทางเพื่อให้ทันงานมงคลสมรสนี้ พิธีตามธรรมเนียมดำเนินไปอย่างราบรื่น นอกจากนี้ ฮ่องเต้ส่งของขวัญมามอบให้หีบใหญ่ดังที่เว่ยอ๋องกล่าวกับเจ้าสาว แขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างตื่นตาตื่นใจ เห็นทีที่ข่าวลือหนาหูว่าฝ่าบาทโปรดปรานสะใภ้ผู้นี้จะไม่เกินจริง

    ทว่าน้อยคนนักที่จะมองลึกลงไปว่า ตระกูลอันแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนของฝ่าบาทแต่แรก อีกทั้งยังทรงหักหน้าไทเฮาอย่างรุนแรงด้วยการประกาศราชโองการสมรสฟ้าผ่านี้ให้แก่เว่ยอ๋อง การแสดงความโปรดปรานว่าที่เว่ยหวางเฟยอย่างออกนอกหน้า อย่างที่แม้แต่พระชายาหลิวยังไม่ได้รับเช่นนี้ยิ่งเป็นการสุมไฟในอกให้ไทเฮาร้อนรุ่ม

    งานมงคลนี้ดำเนินไปอย่างชื่นมื่น ท่ามกลางผู้มาร่วมงานที่มีความรู้สึกหลากหลายกันไป บ้างก็ยินดีด้วยใจจริง บางคนบังเกิดความอิจฉาเจ้าสาวจนไม่อาจ บางคนก็วางแผนบางอย่างเอาไว้ในใจ และบางคนแย้มยิ้มอ่อนหวานทว่าในใจกลับชาหนึบ พระชายาหลิวใบหน้าซีดเซียวลงเรื่อย ๆ แววตาเจือความเสียใจจาง ๆ เมื่อเห็นคู่บ่าวสาวยืนอยู่ข้างกันและทำพิธีกราบไหว้ฟ้าดิน สาบานรักมั่น ...สิ้นพิธีนี้คนผู้นี้ก็จะกลายเป็นสามีของผู้อื่นแล้ว

    แม้จะทำใจอย่างหนักแล้ว ทว่าการต้องมาทนเห็นคนที่ชื่นชอบแต่งให้กับผู้อื่น ทั้งยังต้องปั้นหน้ายินดี สำหรับพระชายาหลิว นี่ช่างเกินกว่าที่นางจะรับมือได้ นางเหลือบตามองสวามีผู้เปี่ยมอำนาจข้างกาย รัชทายาทยังคงเฉยชาเช่นเดิม นางมองสวามีอย่างอัดอั้น...คนผู้นี้รู้วิธีที่จะทำให้นางทรมานมากที่สุดเป็นอย่างดี ทั้งที่รู้ว่านางจะต้องกล้ำกลืนมากมายแค่ไหน แต่ก็ยังไม่สนใจ กลับกัน กลับเร่งให้นางเดินทางกลับอย่างลืมวันลืมคืน เพื่อไม่ให้นางพลาดงานมงคลวันนี้

    “พระชายาเก็บอาการเสียหน่อยเถิด เกรงผู้อื่นจะสงสัยเอาได้” รัชทายาทเอ่ยทั้งยังไม่มองหน้าของนาง พระชายาหลิวได้แก่กำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเอาไว้แน่น

    “รัชทายาททรงคิดมากเกินไปแล้ว” ตอบเพียงเท่านั้นนางก็ระบายยิ้มออกมาเต็มหน้า ทว่าคล้ายกับเย้ยหยันตนเองมากกว่า

    “อ้อ... เป็นเช่นนั้นก็ดี” รัชทายาทยังคงเฉยชาเช่นเดิม พระชายาหลิวรู้สึกชายิบไปทั้งตัวจนต้องจิกเนื้อของตนเองภายภายใต้ร่มผ้าเพื่อเรียกความรู้สึกตนเองให้ตั้งสติเอาไว้ นางรู้ดีว่ารัชทายาทไม่ได้รักนาง นางเองก็ไม่ได้รักคนผู้นี้ พวกเขาทั้งสองต่างต้องแต่งกันเพื่อความเหมาะสม ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา แม้ไม่รักแต่นางพยายามแล้วที่จะประคองความสัมพันธ์เอาไว้ นางซ่อนทุกความรู้สึกของตนเองไว้ ฝังคนที่นางเฝ้าถวิลหาผู้หนึ่งเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ

    นางพยายามอย่างมากที่จะประคองชีวิตคู่ที่นางก็ไม่ต้องการ แต่ตลอดเวลาเหมือนนางพยายามอยู่ฝ่ายเดียว สามปีที่แต่งให้กันมา คนผู้นี้ นอกจากจะไม่พยายามรักษาความสัมพันธ์อันเปราะบางนี้แล้ว ยังมีแต่จะจ้องทำลายอีกต่างหาก นางได้แต่ซ่อนความหงุดหงิดเอาไว้ในใจ เห็นหน้าสวามีของตัวเอง นางก็เหมือนจะลืมความทุกข์ของจนไปชั่วขณะ หมดอารมณ์จะมาอาลัยอาวรณ์ผู้อื่นแล้ว

    ยิ่งหันไปมองเว่ยอ๋องและว่าที่พระชายาแล้วก็ให้สะท้อนใจนัก แม้ว่าจะไม่ได้รักกันอย่างชายหญิงทั่วไป แต่ท่าทางพูดคุยหยอกล้อกันระหว่างคู่บ่าวสาวที่ประจักษ์แจ้งแก่สายตาผู้คนตั้งแต่เริ่มพิธีล้วนบอกความใกล้ชิดเป็นกันเองของคนทั้งคู่

    แล้วไหนจะการคอยประคองว่าที่พระชายาของเว่ยอ๋องนั่นเล่ามิใช่บอกถึงความเอาใจใส่และให้เกียรติว่าที่ภรรยาหรอกหรือ ต่อให้ไม่รักกันอย่างไร แต่คาดว่าเว่ยหวางเฟยย่อมต้องมีความเป็นอยู่ที่ไม่ลำบากเช่นนางแน่นอน

    จวบจนยามส่งตัวเจ้าสาว จิ่วเหมยประคองนายหญิงของตนไปรอที่ห้อง รอเว่ยอ๋องที่ดื่มสุรากับแขกที่ด้านนอก เพื่อรอขั้นตอนดื่มสุรามงคล นางไม่ได้นั่งรอบนเตียงอย่างสุภาพ แต่เอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอน แอบกระดิกเท้านับเวลารอ คุยเล่นกับจิ่วเหมยเป็นนาน เจ้าบ่าวก็ยังไม่มีท่าทีจะมาถึงโดยเร็ว จนกะะทั่งท้องเจ้ากรรมดังเริ่มส่งสัญญาณประท้วง

    นางจึงเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย จนเวลาล่วงเลยไปอีกสักพักใหญ่เว่ยอ๋องก็ยังไม่เข้ามายังห้องหอ นางจึงลุกนั่งและอาจหาญสั่งให้จิ่วเหมยไปตามเจ้าบ่าวเพื่อมาเข้าหอ ก่อนที่พระชายาจะงุ่นง่านมากกว่านี้เว่ยอ๋องก็เข้าห้องมาแล้ว

    “มาแล้ว ๆ ”

    “มาแล้วเหรอเจ้าตัวดี! ลืมไปแล้วหรือว่าสตรีเวลาโมโหหิวมันน่ากลัวเพียงใด” เสียงแหวลอดผ้าคลุมหน้าของพระชายาทำให้นางกำนัลที่อยู่รอบ ๆ ห้องสะดุ้งโหยง

     

    ดูท่าที่ว่าข่าวลือว่าพระชายาเป็นสตรีร้ายกาจ คงไม่ได้เกินจริง ...โอ... นับจากนี้ตำหนักเว่ยอ๋องแห่งนี้จะเป็นอย่างไรหนอ

    “ก็มาแล้วนี่ไงเล่า” เว่ยอ๋องกล่าวเสียงอ่อนอย่างผ่อนปรน ...นางกำนัลและขันทีต่างคิดว่า อืม ท่านอ๋อง ช่างเป็นคนแสนดีเพียงนี้

    ภายในห้องหอเว่ยอ๋องเปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวออก แล้วยืนลูบคางอย่างพิจารณาจนผู้ที่นั่งรออยู่เกิดอาการหวาดระแวงขึ้นมา

    “อะไร” นางเอ่ยถามพร้อมทั้งเอียงตัวไปด้านหลัง ระหว่างอันเจี๋ยและเว่ยอ๋องไร้ซึ่งความเคอะเขิน หรืออาการประหม่า เรียกได้ว่าอยู่ด้วยกันมานานจนรู้เช่นเห็นชาติ เกินกว่าจะสามารถเคอะเขินมาไกลมาแล้ว เพียงนางเห็นหน้าคนที่เลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นสามีของนาง นางก็รู้แล้วว่าลูกเต่าอัปลักษณ์ตนนี้ต้องคิดอะไรแผลง ๆ อยู่เป็นแน่

    “ข้ารู้สึกว่าเจ้าน่าสงสาร”

    “หา!” นางหวีดร้องอย่างงุนงงทั้งยังตกตะลึงในคำกล่าวของเว่ยอ๋อง มาบอกว่าสงสารนางในวันแต่งงานน่ะหรือ เหยียดหยามนางอยู่หรืออย่างไร!

    “มิใช่อะไรหรอกนะเสี่ยวอาเจี๋ย ที่บอกว่าสงสารเจ้า ข้าเพียงแต่คิดว่า อาภัพนักขนาดในงานแต่งของตัวเอง เจ้ายังสลัดภาพหญิงร้าย นางอิจฉาในโรงงิ้วออกไปไม่ได้เลย เฮ้อ...เจ้าช่างน่าสงสารนัก!”

    “นี่เจ้า!” อันเจี๋ยหรือยามนี้ก็คือเว่ยหวางเฟยตกตะลึงจนลืมคำพูด กล่าวอันใดไม่นั่งทานอาหารด้วยความหวาดระแวงนิด ๆ ติดจะระวังตัว ขณะที่หวางเฟยทานอาหารอย่างมีความสุข ยิ้มเต็มหน้า...แต่สำหรับคนที่มีใบหน้าอย่างอันเจี๋ยต่อให้ยิ้มอย่างมีความสุขก็ชวนให้คิดว่านางมีแผนร้ายอยู่ในใจอยู่ดี

    ยิ่งกับคนที่รู้เช่นเห็นชาติกันอย่างเว่ยอ๋องยิ่งระวังนางมีแผนร้ายเป็นพิเศษ

    แล้วก็เป็นดังที่คาดไว้

    หลังจากคล้องแขนดื่มสุรามงคลพระชายาวางจอกเหล้าลงบนโต๊ะเสียงดัง พร้อมทั้งจ้องตาสะกดสามีหมาด ๆ นิ้วเรียวงามกรีดไปตามสาบเสื้อช่วงอกของเว่ยอ๋อง แหวกเสื้อคนงามออกแล้วใช้มือลูบไล้อย่างแผ่วเบา

    “จะ จะทำอะไรข้า” เว่ยอ๋องหน้าแดงจัดลามไปถึงหู คิดในแง่ดีว่า อาจจะเป็นเพราะฤทธิสุราก็เป็นได้ แต่เห็นการพูดอย่างตะกุกตะกัก และการวางมือเก้กังของเว่ยอ๋อง อันเจี๋ยจึงนึกสนุกเข้าไปใหญ่

    “เข้าหอไง แต่งแล้วก็ต้องเข้าหอสิถึงจะสมบูรณ์” ครานี้พระชายาไล้มือไปที่กรอบหน้าของสามีรูปงามแทน แล้วใช้สองมือประคองใบหน้าของสามีไว้ทั้งยังยื่นหน้าเข้าไปใกล้ ทั้งยังทิ้งตัวลงบนตักสามีอีกด้วย เป็นเว่ยอ๋องที่หลับตาหนีความใกล้ชิดนี้ มุขนี้จะกี่ครั้งก็ได้ผลกับเยี่ยนเว่ยยิ่งนัก

    โถ่...ไม่แน่จริงก็อย่ามาฤทธิเยอะกับนางให้มากนัก

    “เอาล่ะคนงาม...มาเป็นของข้าเสียดี ๆ ฮ่า ๆ ๆ ” นางหัวเราะเสียงดัง ไม่รักษากิริยา ทั้งยังชวนขนหัวลุก นางกำนัลและขันทีที่อยู่ด้านนอก แม้แต่จิ่วเหมยเองก็ใบหน้าซีดเผือดกับการไม่สนทำนองครองธรรมของพระชายา ไม่นานนางกำนัลและขันทีต่างก็ได้ยินเสียงครวญครางสลับเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดของท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ ชวนให้สงสารยิ่งนัก ดังยาวตลอดทั้งคืน

    โถ่ ท่านอ๋องของพวกเขา กรรมอันใดถึงแต่งให้สตรีนางนี้ ได้แต่คิดและน้ำตาตกใน ไม่มีใครกล้าเอื้อนเอ่ย ดูจากความกล้าของพระชายาแล้ว เกรงว่าพูดมากไปนางอาจจะส่งพวกเขาไปอยู่กับบรรพบุรุษก็ได้

    และในเช้าวันถัดมา ข่าวลือว่าเว่ยหวางเฟยปลุกปล้ำสามีจนสิ้นสภาพทั้งคืนก็ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวง ร้อนถึงคนในวังที่ดิ้นพล่านอยู่ไม่สุขด้วยความอัดอั้น

     

    ……………………………………………..

    เดี๋ยวมาต่อยาวๆจ้า 
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×