Element War : ศึกสงครามธาตุ ล้างอสูร - นิยาย Element War : ศึกสงครามธาตุ ล้างอสูร : Dek-D.com - Writer
×

    Element War : ศึกสงครามธาตุ ล้างอสูร

    หลายอาณาจักรถูกยึดของโดยเผ่าพันหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า "พระเจ้า" เขาเริ่มต้นการยึดครองเมืองต่างๆ อาณาจักร และประเทศ ผู้คนต่างยอมสยบให้เขา และสิ่งที่พวกเขากำลังจะทำต่อไปนั้นคือการ "ครองโลกใบนี้" ...

    ผู้เข้าชมรวม

    414

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    414

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  6 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  16 มิ.ย. 64 / 08:50 น.
    e-receipt e-receipt
    loading
    กำลังโหลด...
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    ตอนที่ 0 : บิดเบือน

              เป็นเวลาหลายร้อยปีที่อาณาจักรต่างๆ ร่วมมือกันเพื่อต่อต้านสิ่งชั่วร้ายบางสิ่งที่กำลังคลืบคลานเข้ามาในชีวิตของพวกเขา ตามประวัติศาสตร์ที่ถูกกล่าวขาน ว่ากันว่ามีอาณาจักรหนึ่งที่ทำลายทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ แม้แต่ช่วงเวลาก็ไม่เว้น กลางวันถูกตัดทอนส่วนกลางคืนถูกตราตึงให้ยาวนาน  ช่วงเวลาดังกล่าวนั้นถูกเล่าขานต่อกันมาเป็นเวลายาวนานนับร้อยปี ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าประวัติศาสตร์นี้เริ่มขึ้นอย่างไร และจะจบลงเช่นไร

                ประวัติศาสตร์นี้ถูกจารึกลงใน “คำภีย์เร่เหลี่ยม” ของนักรบในอาณาจักร “ลัคคาร์ค” คนหนึ่ง คำภีย์เล่มนี้ไม่ปรากฏเรื่องราวเริ่มต้นและเรื่องราวในตอนจบข้อความถูกตัดจบด้วยประโยคที่เขียนไม่เสร็จด้วยซ้ำ และยังมีภาษาโบราญที่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามาถอ่านได้ เรื่องราวทั้งหมดถูกเขียนไว้ดังนี้

                “เพียงแค่ไม่กี่วันเท่านั้น พวกเขาก็สามารถยึดอำนานได้อย่างมากมาย สายตาที่ดูน่าเกรงขามน้ำเสียงที่ดูเยือกเย็น พลังที่ซ่อนเร้น มันช่างน่ากลัว ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นทุกอย่างเกิดขึ้นอย่ารวดเร็ว บางสิ่งบางอย่ากำลังกลืนกินพวกเรา นี่คงเป็นวาระสุดท้ายของโลกใบนี้โลกที่มีปีศาจพวกนั้น ข้าไม่อาจทนอยู่ ณ ตรงนี้ได้อย่างแน่นอน สหายของข้าล้มหายตายจากไปทีละคน หากใครก็ตามที่ต่อต้านนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่จะได้ทำ ข้าเพียงต้องการเขียนบันทึกช่วงเวลาเก็บไว้เพื่อเป็นข้อมูล เพียงหวังว่าหลังจากข้าสลายหายไปจะมีใครสักคนที่หยุดความบ้าครั่งของพวกเขาได้”

                “ข้าต้องยอมทนสยบอยู่ภายใต้ราชาที่บ้าครั่ง ไม่อาจรู้ได้ว่าภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร ข้าอยากให้เรื่องทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝัน ข้ามีน้ำว่า “อาคเน”          เป็นทหารฝีเมือดีคนหนึ่ง ผู้คนต่างเรียกข้าว่า “อาคเนผู้หยั่งรู้” ใช่ ไม่เพียงแต่ข้าเป็นนักรบ ข้านั้นยังเป็นนักปราชด้วย ข้าสามารถมองเห็นอนาคตได้และสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ นั่นคือพลังของข้า ข้ามีพลังธาตุลมอยู่ในร่างกาย แต่พลังธาตุของข้านั้นไม่แข็งแกร่งพอที่จะสามารถใช้เป็นอาวุธได้ ข้าจึงฝึกฝนพลังที่สามารถทดแทนพลังธาตุนั่นคือ “คิวซ์แห่งการหยั่งรู้” ข้าเกิดที่เมือง “ซิลฟ์” แห่งอาณาจักรลัคคาร์ค ข้ามาเป็นทหารตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็ก ถูกฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เป็นทหารฝีมือเยี่ยม”

                “ข้าตื่นขึ้นมาพร้อมกับเรื่องราวที่เหมือนฝัน ราชาแห่งอาณาจักรลัคคาร์คถูกสังหารต่อหน้าต่อตาข้า ท่านราชามองหน้าของท่านผู้นั้นด้วยความหวาดกลัว ทำได้เพียงแค่ร้องขอชีวิตเท่านั้น ในเวลานั้นข้าอยากจะเข้าไปช่วยท่านราชาเสียจริง แต่ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่แต่แม้จะขยับตัวได้ด้วยซ้ำ ร่างกายของท่านราชาซูบผอมลงไปอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมดสิ้น”

                “ข้าทำได้เพียงแค่ภวานาให้เรื่องราวทั้งหมดจบสิ้นโดยเร็วหรือไม่ก็เป็นเพียงแค่ความฝัน ข้าอยากให้เรื่องราวพวกนี้จบสิ้นเสียที”

                “เป็นอีกวันที่ข้าต้องยอมสยบให้กับราชาองค์ใหม่แห่งอาณาจักรลัคคาร์ค ข้าถูกสั่งให้จงรักภักดีกับราชาองค์ใหม่ทั้งที่ใจจริงนั้น ข้าไม่อยากทำเช่นนั้นเลย แต่ข้าต้องรักษาชีวิตของข้าไว้ใครจะมองว่าข้าเห็นแก่ตัวก็ตาม เพื่อนพี่น้องสหายของข้าบางคนหนีออกจากอาณาจักรได้ แต่บางคนก็ถูกฆ่าตาย”

                “เรื่องราวพวกนี้มันได้จบสิ้นเสียแล้ว นี่คงเป็นกระดาษหน้าสุดท้ายที่ข้าจะได้เขียนมัน ข้าขอให้เรื่องราวทั้งหมดที่ข้าเขียนมีประโยชน์ในภายภาคหน้า ขอแค่ได้ส่งสู่สายตาประชาชนเท่านั้น วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายของข้า แต่หารู้ไม่หรือว่าทุกอย่างได้จบสิ้นเสียแล้ว ข้าขอประณามการกระทำของเหล่าราชาองค์ใหม่ให้ประชา ...........”

                นั่นคือข้อความทั้งหมดที่ปรากฏในคัมภีร์เร่เหลี่ยมของอาคเน มันเป็นเพียงแค่คัมภีร์เล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริงหรือไม่ หากแต่เรื่องราวทั้งหมดถูกเล่าขานออกมาในรูปแบบที่ต่างกัน บ้างก็ว่าอาคเนเป็นนักรบจอมโกหก บ้างก็ว่าอาคเนเป็นผู้หยั่งรู้ที่โง่เขลา  ทั้งที่ไม่มีใครมีหลักฐานเกี่ยวกับอาคเนเลยด้วยซ้ำ และที่เลวร้ายที่สุดสำหรับอาคเนนั้นก็คงเป็นเรื่องที่เขาถูกกล่าวหาว่าเป็นคน “บิดเบือนประวัติศาสตร์” ท้ายที่สุดคัมภีร์เล่มนี้ก็สูญหายไป ทั้งที่ความจริงแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าคัมภีร์เล่มนี้มีอยู่จริงหรือไม่

                อาณาจักรลัคคาร์คเป็นอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนต่างใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ชายหนุ่มทำงานหาเลี้ยงครอบครัว หญิงสาวเป็นแม่บ้านที่ดี เด็กเล็กใหญ่ต่างวิ่งเล่นกันอย่างมีความสนุก ลัคคาร์คเป็นอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์มีข้าวน้ำอาหารอย่างครบถ้วน แม่น้ำที่ไหลผ่านกลางอาณาจักร เมืองต่างๆ มีกิจการเป็นของตนเอง อาณาจักรลัคคาร์คมีเมืองหลวงคือเมืองซิลฟ์ ซิลฟ์เป็นเมืองการค้าที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักร ไม่มีใครรู้ว่าเมืองซิลฟ์ข้างในเป็นอย่างไร เหตุผลก็เพราะว่าคนที่จะสามารถเข้าเมืองซิลฟ์ได้นั้นจะต้องเป็นเจ้าเมืองของเมืองต่างๆ เท่านั้นและการจะเข้าเมืองซิลฟ์ได้นั้นจะต้องไม่มีทหารไปด้วยแม้แต่คนเดียว ทุกเมืองในลัคคาร์คนั้นจะต้องส่งเสบียงให้กับเมืองซิลฟ์ซึ่งเป็นเมืองหลวงของลัคคาร์คเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งของจำเป็นเช่น ม้า รถลาก หรือวิทยาการต่างๆ

                เมื่อนานมาแล้วมีประชาชนของอาณาจักรลัคคาร์คจำนวนหนึ่งก่อกบฏขึ้น ณ ประตูหน้าทางเข้าของเมืองซิลฟ์ ทั้งหมดต้องการรู้ว่าเหตุใดต้องส่งเสบียให้กับเมืองหลวงด้วย และเหตุผลอะไรทำไมสามัญชนคนธรรมดาทั่วไปถึงเข้าไปในเมืองซิลฟ์ไม่ได้ ทั้งหมดได้พังประตูเมืองซิลฟ์เข้าไปแต่ก็ต้องพบกับทหารมากมายที่ยืนอยู่ข้างใน ผู้คนที่อยู่ด้านนอกที่คอยดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ นั้นได้มองเข้าไปในเมืองซิลฟ์ก็พบว่าภายในเมืองซิลฟ์นั้นดูเป็นปกติทุกอย่าง ผู้คนต่างเดินไปเดินมาเหมือนไม่ใช่เมืองที่มีวิทยาการอะไรมากมายนัก

                หัวหน้าทหารของเมืองซิลฟ์ตะโกนออกมาอย้างเสียงดัง “ประชาชนของอาณาจักร พวกเจ้าได้ทำผิดกฎข้อบังคับของอาณาจักร ข้าจึงจะต้องจับกุมพวกเจ้าพวกที่อยู่ด้านนอกไม่มีสิทธิเข้ามาในเมืองซิลฟ์พวกเจ้าก็รู้เรื่องนี้ดี นี่เป็นกฎที่ทำต่อมากันอย่างยาวนาน เหตุใดพวกเจ้าจึงทำเช่นนี้” เมืองทหารคนหนึ่งพูดจบประตูของเมืองหลวงก็ปิดลงในทันที ผู้คนที่อยู่ด้านนอกต่างตกใจกันอย่างมากที่เห็นว่าเมืองซิลฟ์นั้นดูเหมือนกับเมืองธรรมดาทั่วไป เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้คนต่างแยกย้ายกันกลับเมืองและหมู่บ้านของตนเอง

                ไม่นานหลังจากที่การก่อกฎบจบลงผู้คนพวกนั้นก็ถูกปล่อยกลับมายังเมืองของตนเองครอบครัวของผู้ก่อกบฎต่างดีใจกันเป็นอย่างมาก แล้วถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ข้างในเป็นอย่างไร พวกท่านโดนทรมานหรือไม่ หรือมีใครบาดเจ็บล้มตายหรือป่าว แต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากคนพวกนั้นแม้แต่น้อย ทุกคนต่างยิ้มฉีกปากกว่าง บางตนก็ยิ้มจนเหมือนจะเป็นบ้า เขาไม่พูดกับใครสักคำ ไม่นานหลังจากที่พวกเขากลับมายังหมู่บ้าน พวกเขาทั้งหมดก็เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย บ้างก็ใช้มีดแทงตัวเองแล้วพูดออกมาว่า “ถวายชีวิตให้ท่านผู้นั้น” บ้างก็กระโดดจากที่สูงลงมาพร้อมกับพูดว่า “ภวายร่างกายให้ท่านผู้นั้น” ทั้งๆ ที่หลายวันที่ผ่านมาเขาไม่พูดกับใครเลยสักนิด

                เมื่อทุกคนในอาณาจักรรู้ข่าวการตายของผู้ก่อกบฏพวกนั้น ต่างก็คิดกันไปในทางเดียวว่านี่คงเป็นคำสาปจากอะไรสักอย่างที่อยู่ในเมืองซิลฟ์และไม่มีผู้ใดกล้าสืบหาความจริงหรือเข้าไปในเมืองซิลฟ์อีกเลย

                หลังจากเรื่องราวพวกนั้นได้เริ่มเลือนรางลงไป ผู้คนต่างหลงลืมเรื่องราวพวกนั้นและกลับมาใช้ชีวิตตามปกติกันอีกครั้ง .... ณ เมืองกิเด อาณาจักรลัคคาร์ค ราชาของเมืองกำลังประชุมกับประชาชนเรื่องการเพราะปลูกกันอยู่ได้มีชายชราคนหนึ่งเดินผ่านประตูเมืองเข้ามา เสียงระฆังดังสนั่นทั่วทั้งเมือง ผู้คนต่างตกใจเป็นอย่างมากเพราะนี่เป็นเสียงระฆังครั้งแรกในรอบยี่สิบปี นั่นหมายความว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาภายในเมือง (เสียงระฆังที่ดังขึ้นนั้นเป็นสัญญาณบอกว่ามีผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้ามาภายในเมือง การที่ระฆังสั่นนั้นเป็นผลมาจาก “คิวซ์แห่งการสัมผัส” มันเป็นพลังรูปแบบหนึ่งของผู้คนในอาณาจักรลัคคาร์ค การที่จะผ่านประตูนี้โดยไม่มีเสียงระฆังนั้นจำเป็นจะต้องมีคนจากในเมืองพาเข้ามา หรือไม่ก็เป็นคนของเมืองกิเดนี้ ทุกคนที่อยู่ในเมืองจะมีรหัสบางอย่างที่สามารถรู้กันแค่ในเมืองนี้เท่านั้น และจะไม่สามารถบอกกับใครได้เนื่องจากรหัสผ่านนี้ถูกถ่ายทอดกันผ่านสติปัญญา) ผู้คนต่างแตกตื่นและวิ่งกันไปที่หน้าประตูทางเข้าเมือง เมื่อทุกคนเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าก็งงงวยกันเป็นอย่างมากเพราะภาพที่เห็นนั้นคือ ชายชราคนหนึ่งที่สามผ้าคลุมตั้งแต่หัวลงมาจรดเท้า ข้างกายนั้นมีอาวุธประเภทหนึ่งที่ระบุไม่ได้ว่าเป็นอาวุธอะไรถูกห่อด้วยผ้าสีขาวอย่างหนาแน่น ชายชราเดินเข้ามาด้วยท่าทีที่ทุลักทุเลและดูเหมือนจะหมดแรงลงทุกที

                “หยุดก่อนท่านลุง ท่านมาทำอะไรที่นี่ ตอนนี้ท่านบุกเข้าเมืองของพวกเรานะ” ผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหนึ่งในเมืองกิเดพูดออกมา แต่ไม่มีเสียงตอบกลับจากชายชราท่านนั้น และชายชราท่านนั้นก็ยังคงเดินเข้ามาอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะหยุด “เห้ ท่านลุงหยุดเดี๋ยวนี้นะ” ผู้คนที่วื่งมาดูต่างพูดกันออกมาว่าให้ชายชราคนนั้นหยุดเดินเข้ามาเสียที “นี่ตาแก่ คุณเข้ามาในเมืองหนูทำไม ที่นี่เราไม่ให้คนแปลกหน้าเดินเข้ามานะ” เด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งออกมาจากฝูงชนแล้วพูด “มันจะเกิดขึ้นอีกครั้งไม่ได้” ชายชราคนดังกล่าวพูดพร้อมกับมองหน้าของเด็กผู้หญิงคนนี้ และหลังจากนั้นเขาก็ล้มและสลบไป .....

     

     

     

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น