คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Chapter Two : Room 601
The Goat’s Howling
By Lingbahh
Chapter Two : Room 601
ผมรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกลายเป็นเหมือนเบ้าหลอมที่ดูดกลืนวิญญาณลงสู่นรกที่มืดมนอนธกาล ผมจ้องมือข้างนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลายประดังประเดเข้าด้วยกัน ทั้งความหวาดกลัวพรั่นพรึงกับสิ่งที่ได้เห็นตรงหน้า รวมไปถึงความขยะแขยงที่จุกขึ้นมาถึงคอ สมองส่วนหนึ่งของผมบอกให้รีบๆ หันไปมองทางอื่น แล้วลืมมันเสีย แต่ประสาทที่ควบคุมดวงตาทั้งสองกลับไม่เป็นใจ จับจ้องสิ่งนั้นอยู่โดยไม่อาจเบือนหน้าหนีไปไหนได้ แม้แต่จะกระพริบตาผมก็ไม่ทำ
มือขวาของใครคนหนึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่ในกล่อง ผมสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายที่จับจ้องอยู่รอบตัว มันแข็งทื่อไร้ชีวิตทว่าผมรู้ดีว่านั่นไม่มีทางเป็นของปลอม ต่อให้ศิลปินระดับโลกมาทำมือปลอมเช่นนี้ก็ไม่มีใครสามารถปลอมแปลงกลิ่นของเซลล์เน่าที่มีลักษณะเฉพาะตัวและรุนแรงยิ่งกว่าน้ำหอมที่เลวที่สุดของโลกได้
ลุกขึ้น เอมิล เร็วเข้า!
ไปหาเดรโก ต้องไปหาเดรโกเดี๋ยวนี้!
เสียงในหัวของผมตะคอกอย่างดุดันและคว้ากับจะมีมือที่มองไม่เห็นกระชากคอเสื้อของผมขึ้นมาจนทรงตัวยืนสำเร็จ
นายต้องการความช่วยเหลือ เรื่องไปกันใหญ่แล้ว เอมิล เร็วเข้า!
แมทเทียสไม่อยู่ มีแค่เดรโกเท่านั้นที่จะช่วยได้ วิ่ง!
ผมไม่รู้จะทำอะไรได้ดีกว่าการข่มน้ำตาที่จวนจะทะลักออกมาจากเบ้า วิ่งข้ามมือปริศนานั้นไปแย่งกล่องโคเคนที่อยู่กับลูอิสในขณะที่เจ้าตัวมัวสาละวนกับการอาเจียนเอาของค้างเก่าออกมา จากนั้นก็วิ่งไม่คิดชีวิตขึ้นบันไดปูนผสมไม้โทรมๆไปยังชั้น 6 หอบแฮ่กตัวงออยู่ที่เชิงบันได สายตาจับจ้องไปยังประตูห้องสีน้ำตาลที่ดูเย็นชาที่เยื้องไปทางซ้ายมือเล็กน้อย บนบานประตูมีหมายเลขห้องปั๊มนูนด้วยทองเหลืองที่หมองคล้ำอยู่เหนือตาแมว
มีเงาของคนลอดออกมาจากใต้ประตู ผมตัดสินใจโถมตัวเข้าไปแล้วทุบประตูดังโครงคราม “เดรโก เดรโก เปิดประตูให้ผมที!”
ประตูแง้มเปิดออกแทบจะทันทีพร้อมกับดวงตาดุดันสีฟ้าอมเทาที่เย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็งที่ไม่ละลาย ผมสอดตัวเข้าไปในห้อง ปิดประตูตามหลังแล้วลงกลอนด้วยมือไม้ที่สั่นเทา ราวกับกลัวกว่ามือนั้นจะติดตามมาด้วย เดรโกกำลังคุยโทรศัพท์กับใครสักคนและเพิ่งจะวางหูสดๆร้อนๆ เพราะหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเขายังมีไฟสว่าง
นายตำรวจนักสืบในสูทเรียบกริบพร้อมไปทำงานมองผมตั้งแต่หัวจดเท้าด้วยสายตาคลางแคลงใจ แต่เขาปล่อยให้ผมเป็นฝ่ายพูดก่อน ผมละล่ำละลักพูดกับเขาทั้งๆที่ร่างกายยังคงสั่นอย่างรุนแรงจากอาการขวัญผวา
“เดรโก เดรโก...แย่แล้ว ช่วยผมด้วย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“อย่าเสียงดัง” มือใหญ่อุดปากผมไว้แล้วโน้มใบหน้ามาใกล้ ดวงตาคมปลาบคู่นั้นสะกดผมให้นิ่ง “เงียบแล้วค่อยๆพูด”
ผมอยากจะทำตามคำสั่งได้ดังใจ แต่ร่างกายไม่ให้ความร่วมมือสักเท่าไร เพื่อทดแทนการไม่พูด น้ำตาของผมจึงไหลทะลักออกมาราวกับบ่อกักน้ำที่พังทลาย น้ำตาเม็ดโตๆ ร่วงจากเบ้าตาหยดลงสู่แก้มและหลังมือของเขาจนชุ่มฉ่ำ ผมจับท่อนแขนของเขาไว้ ราวกับเป็นหลักยึดเหนี่ยวเดียวไม่ให้ล้มลงและเพิ่มความมั่นคงด้วยการจิกเล็บที่ตัดสั้นของตัวเองลงบนเนื้อ สะอื้นโดยไร้สุ้มเสียงและไม่ได้รับแม้แต่คำปลอบโยนจากใบหน้าเรียบเฉยและแววตาเย้ยหยันโลก เขาปล่อยให้ผมร้องไห้อยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นด้วยประโยคที่เอื้ออารีที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไปก่อเรื่องมาล่ะสิ ถึงได้วิ่งแจ้นขึ้นมาหาฉันแบบนี้” ถ้าถามด้วยคำถามที่อ่อนโยนเห็นอกเห็นใจกว่านี้ ผมก็คงประหลาดใจ
ผมกระพริบตาปริบๆ เกร็งใบหน้าขึ้นเป็นเชิงจะปฏิเสธ แต่อีกฝ่ายกลับแยกเขี้ยวทำเสียงต่ำเหมือนงูที่ขู่ฟ่ออยู่ในลำคอ
“ฉันรู้จักนายตั้งแต่นายยังไม่ลืมตาดูโลก ดังนั้นถ้านายคิดจะโกหก ก็ไม่ใช่กับฉัน”
ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ ร่างกายที่สั่นเทาจากความหวาดผวาค่อยๆ ถูกคุกคามจากรังสีบางอย่างที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของนายตำรวจตรงหน้า มันกดดันราวกับมีมืออีกหลายข้างตรึงผมไว้กับนักโทษที่ถูกมัดติดกับเครื่องจับเท็จ
ผมพยักหน้ายอมรับว่าผมจะโป้ปดแม้สักคำก็ไม่ได้เพราะคนแรกที่มีแนวโน้มจะฉีกผมเป็นชิ้นๆ ก็น่าจะเป็นผู้ชายคนนี้เอง มือใหญ่ค่อยคลายลง แล้วชักกลับไปกอดอกด้วยอาการปั้นปึ่งเฉยชา
ผมเหลียวมองไปด้านหลังแล้วก้มลงดูกล่องที่กอดอยู่ ผมค่อยๆ ยื่นมันให้เขาโดยที่ไม่พูดอะไร มือใหญ่หนาแข็งแรงของเขายื่นตรงมารับสิ่งนั้น สายตากวาดดูมันแว่บเดียวแล้วตวัดขึ้นมาจ้องผมด้วยสายตาที่แทบจะขยี้ให้แหลก
“เอมิล นายทำอะไรลงไป!”
“มันมาพร้อม....มือคนตาย”
เดรโกพลิกห่อในกล่องดูเพื่อความมั่นใจ ยิ่งจ้องมันนานเท่าใด สายตาที่เขาจ้องมาทางผมยิ่งเต็มไปด้วยคำกล่าวโทษและความหงุดหงิดใจมากขึ้นเท่านั้น สายตานั้นเหมือนแส้ที่ตวัดหวดลงบนผิวหนังให้ปริแตกเป็นริ้ว
“เพ้อเจ้ออะไรของนาย พูดอะไรไม่รู้เรื่อง เมายาหรือยังไง” เดรโกส่งเสียงคำรามในคอ ความอดทนของเขากับผมมีไม่มากนัก “พูดใหม่ซิ”
ผมสูดน้ำมูกดังฟืด หัวใจสั่นระรัวเมื่อรู้ว่าตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกใดๆอีก ผมต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและมีเพียงเดรโกคนเดียวเท่านั้นที่จะปลดเปลื้องมันออกไปได้
มือข้างนั้น.... มือจากนรกขุมไหนก็ไม่รู้
“เฮ้ย! ตอบ! ฉันไม่ได้ว่างให้นายทั้งวันนะ”
เสียงตวาดกระชากผมกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง ผมกลืนน้ำลาย มองตาเขาและหลบสายตาวาววับคู่นั้น สายตาของคนที่ดูเหมือนจะรู้จักตัวตนทั้งหมดแม้แต่ในมุมที่ลึกลับที่สุดก็ตามที “มีพัสดุมาส่งถึงคุณ....สองกล่อง กล่องหนึ่งเปิดออกมาเป็น.....มือ.....มือของศพ และเริ่มเน่าแล้ว”
ผู้ฟังออกจะแปลกใจกับคำพูดของผมพอสมควร หัวคิ้วเข้มที่ขมวดเข้าหากันเพราะความไม่พอใจผม กลับคลายออกทันควัน “ฉันไม่เข้าใจที่นายพูด พูดภาษามนุษย์หน่อย”
ฟังแล้วรู้สึกฉุนขึ้นมา แต่นี่คงไม่ใช่เวลาต่อล้อต่อเถียงทำสงครามน้ำลายกัน ผมพยายามขยายความขึ้นเล็กน้อยแต่นั่นดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็น “ผมรอรับของไปรษณีย์อยู่ข้างล่าง ลุงแดเนียลเอาของมาฝากให้คุณสองกล่อง กล่องนึงมัน.....มีกลิ่นแรงมาก ผมเลยเปิดออกดู ข้างใน...ปะ...เป็น....มือ.....มือของคนที่ เอิ่ม เริ่มจะเน่าแล้ว มันน่าสยดสยองมากเดรโก ใครก็ไม่รู้ส่งของบ้านั่นมาให้คุณ ผมไม่ได้โกหกนะ มือนั่น...ยังอยู่ในห้องซักรีดเลย มัน...ผมไม่อยากเห็นมันเป็นครั้งที่สอง”
เดรโกหันกลับไปคว้ากล่องบรรจุโคเคนที่ผมหอบขึ้นมาด้วย เขาดูกล่องแล้วจ้่องตาผม บีบเค้นให้สารภาพก่อนที่ความอดทนจะสิ้นสุดลง
“งั้นนายจะอธิบายเรื่องโคเคนในกล่องนี้ยังไง”
ผมกัดริมฝีปาก “ก็บอกแล้วว่าพัสดุทั้งสองกล่องส่งมาถึงคุณ”
“ลุงแดเนียลไม่เคยฝากพัสดุของฉันไว้กับใคร” เจ้าของชื่อบนกล่องพัสดุแย้งเสียงเรียบ เรียบเหมือนอากาศอันเคว้งคว้างก่อนภูเขาไฟจะระเบิด เดรโกหรี่ตามองผมด้วยสายตาที่เหมือนมองผ่านอากาศสกปรก “ว่ายังไงเรื่องโคเคน นายยังไม่ตอบคำถามของฉัน”
ผมหลบตา กัดปากแล้วไม่ยอมตอบ เดรโกใช้มือใหญ่องเขาบีบคางให้เงยหน้าขึ้นด้วยแรงที่แทบจะแหลกขากรรไกรของผมให้เป็นผุยผงได้
“เอมิล ฉันจะให้เวลานายอีกแค่ 5 วินาที”
“ผมทำเอง! แต่ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงมีมือของศพมาด้วย บนกล่องนั่นเป็นลายมือผมด้วย ผมไม่รู้จะทำยัง---”
ถ้ารอให้ถึงจบประโยคก็คงจะไม่ใช่เดรโก ฝ่ามือสากฟาดลงกับแก้มซ้ายของผมฉาดใหญ่ชนิดไม่ออมแรง ผมเซแท่ดไปตามแรงแต่ไม่อาจจะสบตากับเขาได้ เพราะผมรู้ตัวดีว่าทำอะไรลงไปและ ณ วินาทีนี้มันไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว ไม่ต้องมองก็รู้ว่าดวงตาของเขาร้อนด้วยเพลิงโทสะที่พร้อมจะเผาร่างกายของผมให้มอดไหม้เป็นจุณในพริบตา
“เอมิล นายมันโง่บัดซบ!”
เสียงเกรี้ยวกราดที่ดังสนั่นนั่นไม่ต่างอะไรเลยกับแส้ที่ฟาดลงมาบนผิวหนัง ผมสะดุ้งเมืิ่อเขายื่นมือมาใกล้ ใช่ว่าเดรโกจะปลอบใจแต่เขากระชากเสื้อผมขึ้นมาแล้วเหวี่ยงผมเข้าไปในห้อง แยกเขี้ยวคำรามสั่งให้ผมรออยู่ที่นี่โดยห้ามเปิดประตูหรือพูดคุยกับใครเป็นอันขาด จากนั้นก็ผลุนผลันลงไปยังห้องซักรีดด้านล่างราวกับพายุเทอร์นาโดที่พร้อมจะทำลายทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากลอง
ผมทรุดตัวลงนั่งพิงกับกำแพง รู้สึกแย่กับตัวเองเสียจนความคิดที่ว่าการโดดลงจากหน้าต่างชั้นหกฟังดูเป็นเรื่องเข้าท่าไปเลย ผมได้ยินเสียงเคาะประตูจากนอกห้องพร้อมเสียงเรียกชื่อผม ลูอิสนั่นเอง หมอนั่นคงจะได้สติแล้วและวิ่งขึ้นมาตามโคเคนที่ผมชิงมา ผมสูดน้ำมูกกระพริบตาถี่ๆ พยายามบอกให้ตัวเองหายสติแตกและรอคอยโทษทัณฑ์อะไรใดๆที่ตามแต่ที่นายตำรวจเพื่อนของพี่ชายผมจะประทานมาให้ อาจจะเป็นการตบสั่งสอนให้ฟันหลุดไปแถบหนึ่งหรือการโยนผมลงจากตึกให้กระดูกหักสักสามสี่ท่อนก็ได้ ใครจะเดาใจเขาได้
ผมรู้ตัวว่ากำลังวิ่งหนีจากบ่อจระเข้ มาขังตัวเองไว้ในกรงสิงโตหิวโหย แต่ผมทำอะไรไม่ได้ดีไปกว่านี้แล้ว ผมเป็นแค่หมาจนตรอกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
สิบนาทีผ่านไปอย่างเชื่องช้าราวกับสองสามชั่วโมง ผมมองสภาพห้องนายตำรวจชายโสดด้วยความรู้สึกคุ้นเคย โซฟาหน้าโทรทัศน์ที่เต็มไปด้วยเอกสารทางราชการและแล็บท็อปที่เปิดค้างอยู่ ผู้ชายที่เอาจริงเอาจังคนนี้คงเอางานกลับมาทำที่บ้านและอยู่จนดึกดื่นเสมอ ดูได้จากกากกาแฟที่อยู่ในถังขยะออกจะแห้งแล้ว คงไม่ใช่ว่าเพิ่งชงตอนเช้าหรอก บนเคาน์เตอร์ในครัวมีอาหารเช้าง่ายๆที่ทำเอง ผมยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยแต่ก็ไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก คงจะเป็นเพราะความตึงเครียดที่บิดเกลียวเหมือนผีเสื้อนับร้อยบินว่อนอยู่ในกระเพาะอาหาร ผมตัดสินใจนั่งลงกับเก้าอี้หน้าโต๊ะกินข้าวแล้วฟุบหน้าลงด้วยความรู้สึกไร้เรี่ยวแรง อยากจะร้องไห้ออกมาแต่ไม่มีน้ำตาจะไหล ถ้าเดรโกเห็นว่าผมร้องไห้ หมอนั่นคงพูดจาถากถางให้เจ็บแสบเป็นแน่ คนร้ายกาจที่ไม่มีหัวใจอย่างนั้นให้บทเรียนผมมาแล้วเยอะเกินพอ
หนึ่งในบทเรียนนั้นคือ การที่เขาแสดงออกชัดเจนว่า การที่ผมเป็นน้องชายของแมทเทียสเพื่อนสนิทของเขาไม่ได้แปลว่าผมจะมีความสำคัญอะไรมากไปกว่าคนรู้จักผิวเผินเท่านั้น
แก้มของผมที่โดนตบรู้สึกปวดตุบ เมื่อเดินไปหน้ากระจกก็เห็นรอยแดงเป็นปื้นบนผิวของตัวเอง สมควรแล้ว ก็คงใช่ ผมเลือกที่จะวิ่งมาหาเดรโกนี่นา มันก็ต้องแลกกับอะไรสักอย่าง ถ้าไม่ทำร้ายร่างกายก็คงทำร้ายจิตใจหรือไม่ก็ทั้งสองอย่างพร้อมๆกัน
ถ้าตอนนี้แมทเทียสอยู่ ทุกอย่างคงดีกว่านี้...
ถ้าพี่ชายของผมอยู่ข้่างๆกัน อะไรก็คงผ่านไปได้...
เกือบครึ่งชั่วโมงต่อมา ประตูก็เปิดออกอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าขมึงถึงและดวงตาสีฟ้าอมเทาที่แข็งกร้าว เขาปิดล็อกตามหลัง ผมรีบเดินออกจากห้องครัวออกมาดู รู้สึกเหมือนตัวแข็งทื่อเมื่อเจ้าสายตาดุดันเกรี้ยวกราดที่ส่งมาให้ สายตาเย็นชาคู่นั้นจับจ้องผมแทบไม่ปล่อยให้กระดิกตัว ร่างสูงใหญ่เดินตรงไปยังกล่องบรรจุโคเคนที่นอนนิ่งอยู่ราวกับผงแป้งไร้ค่า
“หยิบมันขึ้นมา”
ผมมองเขาหวั่นๆ “จะทำอะไร”
“ซ่อนมันไว้ก่อน อยากจะถูกจับข้อหาค้ายาเสพติดหรือยังไง มีสมองหรือเปล่า”
ไม่มีใครอยากโดนข้อหานั้นหรอก นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกดีใจที่ตัวเองยังอายุไม่ถึง 18 และดีใจที่ประเทศนี้มีกฏหมายเด็กและเยาวชนอยู่ เผื่อผิดพลาดอะไรขึ้นมา.... ความผิดพลาดที่ผมสร้างเอง โง่เอ๊ย เอมิล!
“แล้วคุณจะทำยังไงกับไอ้กล่องนี้”
“เราจะหาทางใช้ประโยชน์จากมันโดยที่นายไม่ต้องไปอยู่ในสถานพินิจ” เขาเปิดใต้เตียงนอนของตัวเอง ดึงกระเป๋าเดินทางผ้าใบขึ้นมา โยนเสื้อผ้าลงไปสองสามชุดแล้วก็ให้ผมหย่อนห่อโคเคนลงไปแทรกกลาง จากนั้นก็ใส่เสื้อผ้าลงไปเติม ใบหน้าของเขาแสดงความหงุดหงิดแต่ไม่พูดอะไร นั่นยิ่งทำให้ผมหวั่นใจมากขึ้นอีก
เขาจะทำอะไรบ้าง เขาจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร เขาจะปกป้องผมตามที่เคยสัญญาไว้กับแมทเทียสได้หรือเปล่า
“อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมง คนจากหน่วยพิสูจน์หลักฐานจะมาตรวจสอบมือในกล่อง” เดรโกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เราจะไม่พูดถึงโคเคนโดยเด็ดขาด เข้าใจไหม?”
“แต่ลูอิส...ลูอิสรู้เรื่องโคเคน”
“ไอ้เด็กดำที่แอบอยู่แถวบันไดนั่นใช่ไหม หมอนั่นจะปิดปากเงียบ”
“ไม่มีทาง ลูอิสปากโป้งยิ่งกว่าใครและหมอนั่นจะเสียไอ้กล่องนี้ไปไม่ได้”
“ใครจะสนใจในเมื่อตอนนี้เขาหายไปแล้ว เหลือแต่กองอ้วกและคงจะไม่มีโอกาสได้คุยกับตำรวจหรือใครๆไปอีกนาน” เขายังคงตอบนิ่งๆ ดวงตาวาววามนั้นมีแผนในใจเรียบร้อยแล้ว นั่นไงล่ะ รอยยิ้มเย็นยะเยือกที่ปรากฏบนใบหน้านั้น “ลูอิสคงใช้ชีวิตลำบากหน่อย และนายเองก็ต้องหายหัวไปสักพัก”
ผมยังไม่ทันอ้าปากถาม ก็เดาได้ว่าเพื่อนของพี่ชายคนนี้ได้ฉกฉวยโอกาสบางอย่างในการล่ามโซ่ที่คอผมและทำให้ผมเชื่องเหมือนหมาน้อยเดินตามเจ้าของต้อยๆ เป็นแน่แท้แล้ว
“คุณคงไม่ได้ไปเรียกพวกคนส่งยาตัวใหญ่มาจัดการลูอิสหรอกนะ”
เดรโกแค่นยิ้มแต่ไม่ตอบ ผมถลาเข้าไปดึงเสื้อเขาให้หันหน้ามาคุย เขย่าร่างนั้นแรงๆ “เฮ้ คุยกันให้รู้เรื่องก่อน”
นายตำรวจไม่สนใจจะตอบคำถามของผมแต่อย่างไร สายตาที่เขามองผมยังคงเป็นสายตาของการดูแคลนและเย้ยหยัน “เรื่องนี้ใหญ่เกินแก้ ทำได้แค่ซุกบางอย่างไว้ใต้พรมแล้วก็เผ่น นายจะเอาตัวเองไปแลกกับไอ้เด็กดำนั่นรึเอมิล ชั่งน้ำหนักดูให้ดี”
ผมจนปัญญาจะตอบ บ้าไปแล้ว เดรโกทำอะไรกับลูอิสกันแน่
“นายยังมีสิ่งที่ต้องจ่ายอีกเยอะและบางอย่างมันก็ใช้เงินซื้อไม่ได้ รักษาเงาหัวของตัวเองไว้เสียเถอะ ตอนนี้นายเสียเปรียบกว่าลูอิสมาก”
ผมกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก รู้สึกแสบร้อนราวกับกลืนน้ำกรดลงไปในลำคอที่ไหม้อยู่ภายใน
“งั้นผมต้องทำอะไรบ้าง?”
“หัดรู้จักคำถามฉลาดๆอย่างนี้ตั้งแต่ต้นนะ จะได้ไม่เสียเวลา”
รอยยิ้มที่ฉาบบนใบหน้านั้นเยาะเย้ยว่าในที่สุดผมก็ต้องกระโจนลงบ่วงที่เขาวางแผนไว้และไม่มีวันหลุดพ้นได้จนกว่าเขาจะปล่อย ผมไม่มั่นใจเลยว่านี่เป็นการช่วยเหลือหรือซ้ำเติมกันแน่ ตำรวจประเภทไหนกันที่จะซ่อนหลักฐานยาเสพติดไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเองและจัดการทำให้พยานหายไปอย่างลึกลับและมั่นใจว่าเขาอาจจะไม่ได้กลับมาอีกนาน
ฟังสิ่งที่ฉันพูดดีๆ นายไม่มีโอกาสแก้ตัว การให้การพลาดเท่ากับการส่งตัวเองขึ้นศาล ถูกอัยการซักฟอกจนรู้สึกเหมือนเป็นผ้าขี้ริ้วขาดวิ่น และจบลงที่สถานพินิจข้อหาค้ายาเสพติดโดยไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันไปอีกสองสามปีจนกว่าจะพ้นโทษ
เมื่อเช้านี้....นายไปรอลุงแดเนียลคนเดียว....
To be con , next Wed. All comments are welcome :D
ความคิดเห็น