ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yaoi] The Goat's Howling by Lingbahh

    ลำดับตอนที่ #1 : Chapter One : The Boxes

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 6.29K
      27
      18 ก.ค. 56

    The Goat’s Howling

    By Lingbahh

     

    Chapter ONE : The Boxes

     

     

     

            “ลูอิส...นี่ไม่ได้เหมือนกับที่เราสองคนตกลงกันไว้นี่หว่า”  เสียงเบาหวิวดังขึ้นมาจากมุมมืด  ผมขยับร่างอย่างอึดอัดจากท่านั่งที่ไม่สบายใกล้ประตูหลังของอพาร์ทเมนต์ที่สร้างด้วยอิฐแดงอายุกว่าครึ่งศตวรรษหลังนี้   ที่นี่ไม่เคยมีอากาศโปร่งสบาย  ไม่เคยได้รับการทำความสะอาดมากไปกว่าเดือนละครั้ง  ไม่เคยมีไฟทางเดินที่เพียงพอต่อการใช้งาน  และไม่เคยปฏิเสธใครก็ตามที่จะเข้ามาพัก  จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นที่ซุกหัวนอนของเด็กเหลือขอข้างถนนอย่างลูอิส  และ ผม.... อันที่จริงแล้ว ผมไม่ควรจะเข้าไปอยู่ในหมวดเด็กเหลือขอถ้าวัดกันด้วยปัจจัยเรื่องครอบครัว แต่ถ้าหากวัดกันด้วยปัจจัยด้วยเศรษฐกิจแล้วล่ะก็...ถ้าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงทีเดียว แถมยังต้องจัดตัวเองอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่า--ถังแตก--อีกด้วย

     

    “ชู่ว์  หุบปากเงียบๆเถอะน่า”  เสียงที่ขัดขึ้นมาเป็นเสียงแหบไม่น่าฟังอย่างคนที่มีเสมหะติดคออย่างถาวร  

     

    “เกลียดแผนนี้ของแกจริงๆ ฉันไม่เอาด้วยนะโว้ย  ถ้าเกิดว่ามีใครโผล่มาล่ะก็...” ผมท้วง

     

    “ไม่เอาด้วยแกก็รีบๆไสหัวไปสิ ไม่อยากได้เงินฉันก็จะช่วยใช้เอง” ลูอิสเอ่ยปากอย่างหงุดหงิดพลางห่อตัวเองซุกอยู่ในเสื้อโอเวอร์โค้ทแปะยี่ห้อดังที่ซื้อมาจากร้านรับซื้อของโจรซึ่งเจ้าตัวค่อนข้างที่จะภาคภูมิใจกับมันนักหนา ตอนที่หมอนี่เอาเสื้อมาอวด ผมได้แต่ยิ้มอย่างเสแสร้งทั้งยังต้องพยายามควบคุมความรู้สึกไม่ให้แสดงออกทางสีหน้าและแววตา  ผมเกลียดชีวิตของคนพวกนี้  ผมรู้ตัวว่าผมไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน กระนั้นบางครั้งเราก็ไม่มีตัวเลือกมากนัก “หนาวชิบหาย -- อ้่าว ไม่ไปอีกเหรอ  ไอ้ตาขาว”

     

    ไอ้ตาขาว...  เด็กสลัมอย่างลูอิสใช้คำนี้กับผมงั้นหรือ? ผมถึงกับหางตากระตุกแต่ยังกัดปากไว้ได้ทันไม่โต้แย้งออกไป  ทำได้แค่ถลึงตาใส่เป็นการปราม  ซึ่งหมอนั่นก็หลบตาทันที  ทักษะทางสังคมของเด็กแต่ละคนนั้นมันสะท้อนถึงภูมิหลังและความเป็นมาของคนนั้นๆ เด็กที่โตขึ้นมาจากสลัมชานเมืองย่อมไม่รู้จักพูดให้เข้าหูคน ผมรู้ดีว่าไม่ควรไปถือสาเอาเรื่องคนอย่างหมอนี่แต่ที่เคืองใจกว่าคือการที่ลูอิสเริ่มมีท่าทีจะชักดาบในวินาทีเกือบสุดท้ายของภารกิจ

     

    อะไรก็ยอมได้ แต่นาทีนี้เงินหายไปสักแดงผมก็ยอมไม่ได้!

     

    “คิดจะฮุบหรือไง? แกสัญญาจะแบ่งให้ฉัน 10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าฉันจัดส่งของมาถึงที่นี่ได้ และนี่เราก็เหลือแค่อีกก้าวเดียว แกได้ของๆแก ฉันได้เงินของฉัน”

     

    “แกมันพูดมาก ก็เลยนึกว่าจะยกเงินให้ฉันแล้วเสียอีก”

     

    ผมตาวาว  นึกอยากจะบีบคอไอ้เด็กดำนี้ให้ตายๆไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด ใครก็ตามที่มันทำท่าคุกคามเงินของผมนับว่าเป็นศัตรูทั้งนั้น “แกเขี่ยฉันให้พ้นทางไม่ได้ง่ายๆขนาดนั้นหรอกลูอิส” ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบแต่จ้องดวงตาดำโปนของอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง  “แกไม่อยากมีเรื่องกับฉันแน่ๆ”

     

    “โฮ่  คิดว่าเจ๋งนักเหรอเอมิล แกเก๋ามาจากไหนล่ะ” ลูอิสพูดเย้ยแต่เสียงกลับเบาหวิว  ผมยังคงจ้องหน้าหมอนั่นไม่ลดละ พลางใช้หลังมือปัดผมที่ร่วงลงมาปรกสายตาออกด้วย

     

    “ถ้าแกคิดจะเบี้ยวเงินกับฉันแม้แต่สลึงเดียว  ฉันรับรองได้ว่าแกจะไม่อยากยืนหน้ากระจกอีกเลยตลอดชีวิต”

     

    ผมไม่ได้ขู่ และไอ้มืดนี่ก็รู้ว่าผมเอาจริงแน่จึงเลือกที่จะหุบปากสนิท  กระถดตัวหนีผมอย่างหวาดๆ  ผมใช้หางตามองเขาแล้วหันกลับมาสนใจกับทางเข้าอพาร์ทเมนต์ที่ยังคงว่างเปล่าไร้วี่แววของคนและของที่รอคอยอยู่

     

    ท้องของผมว่างเปล่ามาตั้งแต่เย็นเมื่อวานนี้แต่ผมชินเสียแล้วที่จะเพิกเฉยต่อเสียงครวญครางของถุงนิ่มๆ ข้างในซี่โครงและทำเป็นไม่รู้สึกรู้สาความต้องการของตัวเองยามเดินผ่านร้านขนมปังที่ตั้งอยู่บนตรอกหัวมุมถนนคิงส์ น่าเสียดายที่เมื่อสองสามวันก่อนผมดันไปมีเรื่องกับลูกชายเจ้าของร้านมินิมาร์ทที่ผมทำงานกะดึกอยู่ เขาเลือกลูกชายตัวเองโดยที่ไม่รับฟังข้อเท็จจริงที่ว่าเงินจากเครื่องเก็บเงินหายไปได้อย่างไร อีกทั้งยังปฏิเสธที่จะดูกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งในร้าน  คงกลัวจะหัวใจสลายที่ได้เห็นพ่อลูกชายคนดีงัดเครื่องเก็บเงินแล้วมาป้ายสีใส่คนอื่นมั้ง ถ้าเป็นเมื่อก่อน...ผมคงสู้หัวชนฝาไม่มีวันยอมแพ้กับความอยุติธรรมที่ได้รับ แต่ตอนนี้ผมจะทำอะไรได้ดีไปกว่าการหลบออกจากปัญหาแล้วไปตั้งหลักใหม่ที่อื่น ผมได้แต่ยักไหล่เก็บข้าวของแล้วเดินจากมาโดยที่ไม่ได้รับค่าแรงที่ทำงานมาตลอดสัปดาห์  

     

    ตอนที่ผมตัดสินใจก้าวออกจากร้าน  ก็มีนายตำรวจหน้าตาคุ้นเคยคนหนึ่งเดินสวนเข้ามาในร้านเพื่อซื้อบุหรี่พอดี  เราเพียงแค่สบตากันแล้วผมก็เดินออกไปเงียบๆ ฝ่าลมหนาวไปยืนรอรถรางที่ป้ายริมถนนพลางครุ่นคิดหาทางออกต่อไป  ระหว่างที่ยืนรอ  รถเอสยูวีสภาพกลางเก่ากลางใหม่คันหนึ่งก็มาจอดเทียบพร้อมกับใบหน้าของนายตำรวจคนนั้น  เขาพูดสั้นๆ แค่ว่า “ขึ้นรถมาสิ”

     

    “ทำไม?”

     

    เขาเพียงแค่ยิ้มบาง “ฉันจะเลี้ยงข้าวน้องชายเพื่อนบ้างไม่ได้หรือไง ขึ้นมาเถอะเอมิล”

     

    ผมจึงนึกได้ว่านายตำรวจคนนั้นเป็นเพื่อนของแมทเทียสพี่ชายที่มีอายุห่างกัน 11 ปี  ผมก้าวขึ้นรถแล้วเขาก็จู่โจมด้วยเรื่องที่ร้านของชำทันที “เกิดอะไรขึ้นที่ร้าน  คุณแมคคีนหัวเสียใหญ่ บอกว่าไล่นายออกแล้ว” 

     

    ผมเพียงแค่ยักไหล่แล้วพูดว่า “ผมอยากกินไก่อบ”

     

    เพื่อนของแมทเทียสคนนี้มองหน้าผมด้วยสีหน้าแปลกใจระคนเอ็นดู พยักหน้าหนึ่งครั้ง  ขับรถพาเรากลับบ้านของเขาแล้วทำไก่อบให้ผมกิน  นั่นเป็นมื้อสุดท้ายที่ผมได้กินอิ่มจริงๆ

     

    ก่อนที่จะออกจากที่นั่นในเช้าวันต่อมา (ผมนอนในห้องนั่งเล่นที่มีกลิ่นป๊อบคอร์นผสมเบียร์ ที่จริงก็ไม่เลว)  เขาบอกให้มากินข้าวเย็นที่นี่อีก  เป็นความเอื้อเฟื้อที่น่าซาบซึ้งใจ  แต่ผมเองก็โตแล้วและผมไม่ปรารถนาจะตอบคำถามว่าแมทเทียสหายไปไหนหรือเมื่อไรจะกลับมา  ผมจนปัญญาที่จะตอบจึงเพียงแค่ยิ้มแล้วขอบคุณ  คิดเอาเองว่าผมคงเอาตัวรอดได้บนท้องถนนที่ไม่เคยมีที่ยืนสำหรับคนที่ไม่มีเงิน

     

     

    ยิ่งกว่าความหิวโหยที่ร่างกายร่ำร้องต้องการของมาเติมเต็มสิ่งที่ว่างเปล่า ผมหิวกระหายเงิน...

     

    ผมเกลียดการยอมรับว่าตัวเองกำลังถังแตก ไม่มีเงินเหลือติดตัวมากไปกว่ามื้อเย็นของวันพรุ่งนี้และอาหารที่ดีที่สุดเท่าที่จะหาได้คือ ขนมปังเปล่าๆ ที่เลยวันหมดอายุไปแล้วจากร้านขนมปัง รวมทั้งเกลียดที่จะยอมรับว่าตัวเองได้มองพวกเด็กรวยๆ ในรถเก๋งหรูหราด้วยแววตาอิจฉาแทบร้อนเป็นไฟ  ผมควรอยู่ตรงนั้นในสังคมชั้นชนกลาง ผมเคยมีเงิน มีครอบครัวที่ดี มีบ้าน เรียนหนังสือในโรงเรียนเอกชนที่บังคับให้ทุกคนใส่ยูนิฟอร์มที่ตัดจากผ้าเนื้อดีดูหรูหรา มีเลี้ยงน้ำชาช่วงบ่ายวันศุกร์รวมถึงการได้รับเชิญไปงานปาร์ตี้วันเกิดของพวกคนรวยๆ ที่เราจะต้องไปสรรหาของขวัญวันเกิดมาให้เจ้าของและเอ่ยสวัสดีและขอบคุณอย่างสุภาพกับผู้ใหญ่ทุกคนที่เราพบเจอ เพราะว่านั่นอาจจะเป็นรุ่นพี่หรือรุ่นน้องหรือเป็นเจ้านายของพี่ชายของผมในกองทัพ ใช่ ผมเคยใช้ชีวิตลูกทหารและผู้ดิบผู้ดีแบบนั้นและยังคงเป็นอยู่จนเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมาที่สถานการณ์บางอย่างที่พลิกชีวิตของผมไปทำให้ผมต้องมานั่งคุดคู้กับไอ้เด็กดำขี้ยา รักษาตัวให้พ้นจากกุ๊ยข้างถนน และทำเรื่องที่เคยดูถูกว่าชั้นต่ำที่สุดชนิดที่ไม่มีวันเอาตัวลงไปเกลือกกลั้วเนื่องจากความจำเป็นเรื่องเงิน  

     

    เงิน เงิน เงิน....  หายใจเข้าก็เงิน  หายใจออกก็เงิน

     

    เงินสดเป็นสิ่งเดียวที่ผมไม่ต้องหลอกตัวเองว่าอะไรๆ จะดีขึ้นเมื่อแมทเทียสกลับมา

     

    นั่นล่ะ เอมิล.... นั่นล่ะ.... ตัวผมในวันนี้

     

     

     

    เรานั่งเงียบกันอยู่ครู่หนึ่ง ลูอิสฮัมเพลงด้วยเสียงที่ไพเราะพอๆ กับวงซิมโฟนีของคางคก ในขณะที่ผมใจลอยไปไกลแสนไกล  วันนี้วันศุกร์สินะ  ผมคิดถึงงานเลี้ยงน้ำชากลางสนามหญ้าเขียวขจีในรั้วโรงเรียนเอกชนเสียจริง    ถ้ารู้ว่าตอนนี้จะต้องใช้ชีวิตแบบนี้  หากย้อนเวลากลับไปได้ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์รสชาติของสโคน แซนด์วิช  หรือเค้กอะไรก็ตามแต่ที่วางอยู่บนโต๊ะที่คลุมด้วยผ้าเนื้อดีฉลุลายดอกไม้พวกนั้น แล้วตั้งใจกินมันเข้าไปแถมด้วยการสวดมนต์ขอบคุณพระเจ้าตบท้ายด้วย  เก้าโมงเช้าแล้ว  ผมเหลือบมองนาฬิกาชนิดลูกตุ้มตั้งพื้นที่เก่าแก่ที่น่าจะมีอายุพอๆ กับกาลิเลโอ กาลิเลอิ หากว่าเขายังมีชีวิตอยู่  เข็มนาฬิกาทั้งสองของมันทำงานอย่างซื่อสัตย์ไม่เคยล่าช้าสักวินาที  เช่นเดียวกับความตรงเวลาของแดเนียลชายวัยหกสิบห้าปีที่ทำงานนี้มาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยังไม่สงบ (แกโม้ว่าอย่างงั้น) “เออ  นั่น  ไปรษณีย์มาแล้ว”  

     

    ลูอิสสะดุ้ง ดวงตาขาวที่มีจุดดำเล็กกว่าปกติของเขาจ้องไปยังร่างอวบในเครื่องแบบบุรุษไปรษณีย์ที่สะอาดสะอ้าน พุงที่หลามล้นออกมาจากเข็มขัดที่รูดจนสุดและกลิ่นหอมของเครื่องเทศที่ติดตัวของแกเป็นเครื่องยืนยันว่าแม้แต่งานพื้นฐานอย่างบุรุษไปรษณีย์ก็มีชีวิตที่อยู่ดีกินดีกว่าผม  หรือไม่คือ จมูกที่หิวกระหายของผมสร้างมโนภาพคนอื่นๆไปเองเพื่อตอกย้ำว่าตอนนี้สถานการณ์น้ำย่อยในกระเพาะอาหารกำลังวิกฤติแค่ไหน

     

    สายตาของเราทั้งสองคนจับจ้องร่างอวบหนาที่ก้มๆ เงยๆ เลือกของออกจากถุงไปรษณีย์เพื่อนำมาส่งให้กับผู้พักอาศัยในอาคาร  ผมเกือบจะกลั้นหายใจพลางเหล่มองไปยังลูอิสที่ดูตื่นเต้นไม่แพ้กัน  หัวใจเต้นตูมตามกลัวว่าเขาจะรู้ถึงสิ่งของที่แท้จริงภายในกล่องสีน้ำตาลหน้าตาไร้พิษสง  ฝ่ามือของผมเปียกชื้นด้วยเหงื่อที่ท่วมทะลักออกมาแม้จะมีอุณหภูมิเพียง 6 องศาของต้นฤดูหนาว ส่วนลูอิสเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน จากการที่เขาเลียริมฝีปากแห้งผากของตัวเองซ้ำๆ แล้วจิกเล็บไปด้วย  แดเนียลเกลียดลูอิสเพราะเจ้ามืดนี่เคยขโมยพัสดุของคนอื่นไปทำให้แกเดือดร้อนอย่างมาก และแม้ว่าลูอิสจะไม่ทำเช่นนั้นอีกหลังจากพบว่าสิ่งที่พบในกล่องมักไม่คุ้มค่ากับการลงทุนขโมย ไม่มีใครส่งนาฬิกาข้อมือราคาแพงหรือกล่องเครื่องประดับมาทางไปรษณีย์หรอกใช่ไหมล่ะ จะมีก็ชุดถักไหมพรมครบเซ็ตของขวัญคริสตมาสสำหรับคุณยายชั้นสามหรือหนังสือชุดฟิสิกส์เอกภพของศาสตราจารย์คนหนึ่งที่พักอยู่ชั้นแปดห้องหัวมุม (ผมเป็นคนเกลี้ยกล่อมหมอนั่นให้เอาไปคืนด้วยเหตุผลที่ว่า หากลูอิสยังแยกความแตกต่างของ Physics กับ Psychic ไม่ออก คนที่จะรับซื้อของโจรก็คงเหมือนกัน น่าแปลกที่ลูอิสมันเชื่อผมแฮะ ศาสตราจารย์คนนั้นจึงได้รับหนังสือคืนในสองวันต่อมา กระนั้นด้วยความร้อนใจ ศาสตราจารย์แกส่งเรื่องร้องเรียนลุงแดเนียลไปแล้ว แม้จะได้หนังสือคืนและพ้นผิดจากการร้องเรียน แต่ลุงแดเนียลก็ไม่เคยญาติดีกับลูอิสอีกเลย หนำซ้ำยังช่วยเป็นหูเป็นตาในตำรวจคอยจับผิดลูอิสด้วย) ดังนั้นเจ้าเด็กดำนี่จึงจำเป็นต้องหลบอยู่มุมหนึ่งของตึกทำเป็นไม่รู้เรื่องแต่คงเงี่ยหูฟังไม่ให้หลุดรอดไปแม้สักคำเดียว

     

    แดเนียลยักคิ้วให้ผมเป็นการทักทาย แกเดินเข้ามาใกล้  ผมได้กลิ่นซิการ์เกรดดีจากคิวบาที่แกโปรดปรานหนักหนา  “สวัสดีครับลุงแดเนียล”

     

    “สวัสดีเอมิล  มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ” แดเนียลทำเหมือนจะพูดอะไรต่อแต่แกก็ชะงักไป ผมมองตามเห็นว่าแกเหลือบตาไปมองลูอิสด้วยสายตาอีกแบบหนึ่ง  แน่นอนว่ามันมาจากคำว่า ‘เด็กเหลือขอ’ ที่คนทั้งย่านนี้ตีตราให้ลูอิสนั่นแหล่ะ  อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเวลานี้  ลูอิสคงโผล่หัวออกมาแอบดูมากเกินไปจนลุงแดเนียลเห็นแต่ผมก็ทำท่าเฉยๆ เหมือนไม่ได้มาด้วยกัน เช่นเดียวกับเจ้ามืดนั่นที่เดินผ่านไปไม่แยแสเราทั้งสองคน

     

    “เดรโก  ห้อง  601 เขาใช้ให้ผมลงมารับพัสดุครับ”

     

    “อ้อ...ได้สิ รอเดี๋ยวเดียว” แดเนียลฟังแล้วกลับไปสาละวนเลือกกล่องพัสดุในอัดแน่นภายในรถยนต์พลังงานไฟฟ้าขนาดเล็กที่ถูกนำมาใช้แทนจักรยานสองล้อแบบเก่า “มีสองกล่องนะ  เซ็นรับด้วย”

     

    ผมมองกล่องกระดาษสีน้ำตาลตุ่นๆมัดด้วยเชือกสีขาวสองกล่องในมือของแดเนียลด้วยหัวใจเต้นระส่ำ... ทำไมมาสองกล่อง  นี่คงจะเป็นเรื่องบังเอิญ

     

    “เซ็นอีกครั้งตรงนี้” ผมรับปากกาเซ็นชื่ออิเล็กทรอนิกส์แล้วจรดชื่อตัวเองไปด้วยมืออันสั่นเทา  ผมรู้ตัวว่าสีหน้าของตัวเองกำลังซีดลงเรื่อยๆ  กล่องที่อยู่ในมือของผมหนักอึ้ง  หนักเกินกว่าหนึ่งกิโลกรัมตามที่ได้รับคำสั่งมา  ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่าสิ่งที่รับมานั้นเป็นจุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ....สัญชาตญาณบอกให้ผมยุติแล้วสารภาพกับลุงแดเนียลไปตรงๆ ว่าผมโกหก   ผมกำลังจะอดตายและผมไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ทำให้ลูอิสมีชีวิตอยู่ได้ แต่ต้องพกปืนไปไหนมาไหนราวกับพร้อมจะต้องต่อสู้ตลอดเวลา  ผมไม่อยากถูกจับได้  ผมแค่อยากจะมีชีวิตรอด

     

    “เอาล่ะเรียบร้อย! ฝากสวัสดีคุณนายแคสซานดราด้วย” ลุงแดเนียลโบกมือลาแล้วจากไป...ผมสูญเสียโอกาสที่จะหลีกหนีไปจากการพัวพันกับเรื่องนี้แล้ว หากใครจับได้ว่าผมกำลังจะทำอะไรและพัวพันกับอะไร  ผมคงกลายเป็น เด็กเหลือขอ , สวะสังคม หรือ ชื่ออะไรก็ตามที่พวกเขาเรียกคนค้ายาวัยรุ่นอย่างเรา

     

    กล่องสีน้ำตาลทั้งสอง หนักเกินไปสำหรับโคเคน 1 กิโลกรัม  ผมอยากจะเขวี้ยงมันทิ้งแล้ววิ่งหนีไปจากความเป็นจริง นั่นเป็นสิ่งที่ผมจะทำอย่างแน่นอนหากไม่มีเรื่องเงินส่วนแบ่งเข้ามาเกี่ยวข้อง  1 กิโลกรัมไม่หนักขนาดนี้....และผลของการดึงดันกระทำมันจะต้องทำให้เกิดเรื่องตามมาเป็นพรวน  ซึ่งคงจะหนักหนายิ่งกว่า 1 กิโลกรัมหรือส่วนแบ่ง 10 เปอร์เซ็นต์ที่ลูอิสสัญญาว่าจะแบ่งให้ผม

     

    น่าแปลกที่จู่ๆ ผมรู้สึกขยะแขยงราวกับรับซากหนูตายมาถือไว้ในมือ ทั้งๆที่ของในกล่องเป็นสิ่งทำเงินมหาศาล  ลูอิสวิ่งกลับมาประกบทันที

     

    “ยืนบื้ออะไรอยู่  เอากล่องมาสิ”  เขากระชากตัวผมไปในห้องซักรีดด้านหลังของอาคารที่ยังไม่มีคนมาทำงาน  เครื่องซักผ้าแบบหยอดเหรียญตั้งเรียงรายไร้ผู้คนใช้บริการ เราเอากล่องวางบนเครื่องซักผ้าฝาหน้าเครื่องหนึ่งที่มุมสุดของห้อง  ล้วงมีดพกสวิสออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเตรียมจะกรีดเพื่อเปิด  ทว่า จู่ๆ ลูอิสก็ชะงักมือ

     

    “แล้วกล่องไหนเป็นกล่องไหนล่ะ?  เฮ้ย  เอมิล นี่มันลายมือของแกทั้งสองกล่องเลยไม่ใช่เหรอ”  น้ำเสียงของลูอิสแสดงความรำคาญใจ

     

    ใช่ มันเป็นลายมือของผมทั้งสองกล่องไม่มีผิดเพี้ยน  นี่ต้องมีใครเล่นตลกกับผมแน่ๆ  กล่องพัสดุสองกล่อง  ขนาดเท่ากัน  น้ำหนักใกล้เคียงกัน  จ่าหน้าถึงคนๆ เดียวกัน  ด้วยลายมือเดียวกัน ซึ่งนั่นเป็นลายมือของผมเอง! แต่ปัญหาคือ ตอนที่ผมแอบเอา ‘สิ่งนั้น’ บรรจุกล่องไปรษณีย์เพื่อส่งกลับมาหาตัวเอง โดยแอบอ้างชื่อ เดรโก ห้อง 601 ผมส่งแค่กล่องเดียว  (ใบเสร็จรับเงินยังอยู่ด้วยซ้ำไป) แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้น ผมรู้สึกพรั่นพรึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า ต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน   “ไม่รู้” เป็นคำตอบที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ผมจะให้กับลูอิสได้ ผมยักไหล่สำทับคำพูดของตัวเอง แน่ล่ะ ไอ้มืดไม่เชื่อ

     

    ลูอิสเลียริมฝีปากซ้ำแล้วเดาะลิ้น “งั้น....ช่างแม่ง เปิดมันทั้งสองกล่อง  ฉันเอาของไปส่ง  ส่วนแกจัดการกับอีกกล่องที่เหลือแล้วกัน”

     

    “เงินของฉันล่ะ”

     

    “รอส่งของก่อนสิโว้ย”

     

    ผมกระชากกล่องกลับมาไว้กับตัว แล้วถามย้ำเสียงแข็ง “ส่วนแบ่งของฉัน เงินมา ของไป”

     

    ลูอิสถลึงตาใส่ผม และผมก็ตอบโต้กลับอย่างไม่ยอมแพ้  บอกแล้วว่าอะไรก็ได้แต่อย่ามาแตะผมเรื่องเงินเป็นอันขาด  เราเล่นเกมจ้องตากันอยู่พักหนึ่ง ลูอิสจึงยอมแพ้แล้วควักเงินส่งมาให้ผมปึกหนึ่ง ผมรับมานับยัดใส่กระเป๋าแต่ยังไม่ยอมส่งกล่องให้  

     

    “แกให้มาไม่ครบ”

     

    “ครบสิวะ”

     

    “ส่วนแบ่ง 10% ของโคเคนหนึ่งกิโลกรัม ไม่ใช่เศษเงินแค่นี้” ผมพูดเสียงเรียบเฉย “แกอมเงินฉัน”

     

    ลูอิสสบถใส่ผมอย่างหยาบคาย ผมทำหูทวนลม มีดที่อยู่ในมือผมนั้นคมมากพอที่จะกรีดผ่านผิวหนังตัดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอสีดำๆ นั่นได้ในการเฉือนเพียงครั้งเดียว ผมควงมีดยิ้มแสยะ “เราตกลงกันไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่าฉันจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่และฉันต้องได้ตามนั้น”

     

    “กว่าจะได้เงินนี่มา ฉันต้องจ่ายค่าผ่านทางตั้งเยอะตั้งแยะ แกมาทำครั้งแรกหวังว่าจะได้เต็มจำนวนเหรอ” มันโต้กลับด้วยน้ำเสียงดูถูก แต่ไม่ได้ระคายหูของผมเท่าใด ผมปราดเข้าไปประชิดตัว  กระแทกมันเข้ากับผนังห้องด้านหลังจนเกิดเสียงกะโหลกกระแทกผนังดังโป๊ก ผมจรดปลายแหลมของมีดที่ลูกตาซ้ายของมันในขณะที่อีกมือบีบลำคอสีถ่านนั้นไว้แน่น  ลูอิสดิ้นพราดราวกับไก่บนขอแขวนก่อนถูกเชือดตอนที่ผมค่อยๆวาดเส้นสีแดงรอบเบ้าตาตามรูปกะโหลก  มันละล่ำละลักขอโทษผมแล้วควักเงินจากกระเป๋าลับมาให้อีกปึกหนึ่งผมจึงยอมผ่อนแรงที่บีบคอลงแล้วโยนมันทิ้งลงกับพื้นราวกับเศษขยะไร้ค่า

     

    ผมมองปลายมีดที่เลือดคราบเลือดสีแดงของตัวเองอย่างนึกขยะแขยง  ใครจะรู้ว่าลูอิสเคยตรวจเลือดหรือไม่  ผมไม่น่าเอามีดดีๆ ไปกรีดเนื้อเน่าๆ เลย  เสียของ “แกยืนอยู่ตรงนั้นล่ะ อย่าเข้ามาใกล้ ฉันจะเปิดกล่องแล้วส่งให้แกโดยที่ไม่แตะต้องของข้างใน หรือไม่ก็ ฉันจะกรีดตาแกอีกข้างด้วย”

     

    สาบานต่อพระเจ้าว่า ตัวผมเมื่อครึ่งปีก่อนไม่กล้าแม้กระทั่งจะมองเลือด  เอมิลเด็กดีของแมทเทียสคนนั้นคงจะหายไปพร้อมๆกันกับพี่ชาย  ชีวิตเยี่ยงเด็กข้างถนนเปิดโลกใหม่ให้ผมโดยที่ไม่ได้ร้องขอเลย  และดูเหมือนว่าผมจะสวมบทบาทนี้ได้ดีเยี่ยมเพราะลูอิสถอยกรูดไปอยู่มุมห้อง ตัวสั่นงันงก “งั้น รีบเปิดกล่องเร็วๆ ซี่ ฉันให้เงินแกไปหมดแล้วนะ”

     

    ผมใช้มีดพกที่เปื้อนเลือดกรีดลงบนเทปพีวีซีใสที่ห่อหุ้มกล่อง เปิดฝาขึ้นมาก็พบกระดาษโบรชัวร์งานฉลองประจำปีของอัลเท็มไฮม์ที่ผมบังเอิญได้มา  ผมใช้กระดาษธรรมดาซุกซ่อนยาเสพติดราคาแพงไว้ด้วยการจ่าหน้าซองเต็มยศทั้งชื่อ นามสกุลและตำแหน่ง ไม่มีใครอยากสุ่มเปิดพัสดุของตำรวจหรอกน่าและสามารถผ่านด่านตรวจมาได้อย่างเหลือเชื่อ ผมลงเอามีดกรีดกระดาษห่อออกก็ยังเห็นถุงพลาสติกและกระดาษอีกหลายชั้น  ค่อนข้างมั่นใจว่านี่เป็นฝีมือของตัวผมเอง จึงไสกล่องทั้งใบพร้อมของที่บรรจุอยู่ให้ลูอิสที่นั่งรออยู่อีกฟาก

     

    ถ้าถามว่า ทำไมผมไม่จัดการเชือดลูอิสแล้วเอาของไปปล่อย รับเงินเหนาะๆ ที่พอใช้ไปเป็นปีล่ะ คำตอบก็คือ เท่านี้ผมก็ขยะแขยงตัวเองจะแย่อยู่แล้ว เศษ 10% ที่ต่ออายุผมได้สักเดือนสองเดือนนั้นทำให้ผมสบายใจมากกว่าการเอาคอไปขึ้นเขียงในฐานะลูกสมุนแก๊งค์ค้ายาที่โดนตำรวจหมายหัวจนต้องใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆใต้ดิน

     

    กล่องนี้เป็นโคเคน แล้วอีกกล่องล่ะเป็นอะไร

     

    ลูอิสเองคงคิดอยู่เหมือนกัน มันกอดกล่องโคเคนไว้อย่างระแวดระวังราวกับจงอางหวงไข่แล้วค่อยๆ เดินมาใกล้ผม  ชะโงกคอยืดยาวมาดูกล่องกระดาษปริศนา

     

    “เอมิล  แกเปิดสิ”

     

    ผมมองมันด้วยหางตา “มันไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่น่าจะยุ่ง”

     

    “อาจจะมีโคเคนอีกกิโลหนึ่งก็ได้ ใครจะรู้”

     

    “ในโลกนี้มีคนขายยาเสพติดแบบซื้อหนึ่งแถมหนึ่งด้วยหรือไง  อย่าโง่ไปหน่อยเลย”

     

    ถ้างั้นมันคืออะไรล่ะ

     

    ลูอิสทำปากจั๊บๆ 

     

    “แกเป็นเจ้าของไอเดียที่จะลักลอบส่งของมาในชื่อของตำรวจ และจ่าหน้านี่เป็นลายมือของแก  เราน่าจะมีสิทธิ์แกะดู กันพลาด” เสียงของลูอิสทั้งกล่าวหาและโยนความรับผิดชอบหน้าตาเฉย ผมสงสัยว่าเราจะพลาดจากอะไร? พลาดจากโอกาสที่จะหลุดออกจากเรื่องห่วยๆ นี่เหรอ? “แกก็ต้องรับผิดชอบมันเอง เข้าใจเปล่าไอ้น้อง ---นี่ไม่ใช่ธุระปะปังอะไรของฉัน---”

     

    ผมเกลียดมากเวลาที่ลูอิสโน้มตัวมาอยู่ใกล้ผมจนเกินไป พูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำแบบพวกวายร้ายในละครโทรทัศน์พูด ผมควรบอกเขาไหมว่ามันเชยระเบิด

     

    อะไรบางอย่างบอกให้ผมตัดสินใจ  แน่ๆ ไม่ได้เป็นเพราะลูอิส  กล่องสีน้ำตาลดูเย้ายวนราวกับกล่องแพนโดร่า  ผมลังเล เงื้อมือ วางมีด เงื้อมืออีกครั้งแล้วกลั้นใจกรีดจากมุมหนึ่งของกล่องตามความยาวของมัน เราสองคนเผลอก้มตัวลงดูว่ามีอะไรอยู่ภายในนั้นแต่ความกว้างที่กรีดออกมาก็ไม่กว้างมากพอที่จะเห็นได้ชัดเจน ผมหมุนกล่องแล้วกรีดจนครบสี่มุม  พอเปิดออกมาก็เป็นห่อทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ห่อด้วยพลาสติกหุ้มสองชั้น ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ฝีมือผม

     

    “อะไรนั่น” ถามโง่ๆ แต่ผมเองก็ไม่รู้คำตอบ

     

    “ไม่เกี่ยวกับเราแน่ๆ ปิดกล่องแล้วคืนเดรโกดีกว่า ของสองกล่องมาพร้อมกัน อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญก็ได้”

     

    “ไหนๆ ก็เปิดแล้ว เปิดต่ออีกหน่อยจะเป็นไร  ฉันก็อยากรู้บ้างนี่  ว่าอะไรมาส่งตำรวจขวางโลกอย่างเดรโก” ลูอิสไม่พูดเปล่า กลับคว้าคัตเตอร์ขึ้นมากรีดถุงพลาสติกสีดำที่ห่อหุ้มออกโดยไม่คิดจะขออนุญาตเจ้าของผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวบนห้อง 601 “ห่ออะไรนักหนา สี่ชั้นแล้วนะเนี่ย....ไอ้ฉิ----”

     

    วินาทีนั้นเองที่ความหายนะได้ตบหน้าของผมด้วยกลิ่นเหม็นเน่าสะอิดสะเอียนที่ทะลักออกมาจากถุงพลาสติกที่ถูกกรีดออก  ความรุนแรงของมันทำให้ลูอิสซึ่งดมเข้าไปเต็มปอดถึงกับอ้วกพุ่ง  ส่วนผมถึงกับตัวสั่นเป็นลูกนก  เข่าอ่อนทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น

     

    “นี่มัน.....นี่มันอะไรกัน !!! พระเจ้าช่วย”

     

    เป็นไปไม่ได้! นี่ไม่ใช่ฝีมือของผม! 

     

    สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเหนือกว่าการคาดคะเน กลิ่นของมันนั้นเหมือนอะไรก็ตามที่ฟื้นจากความตายขึ้นมาจากขุมนรก  มันมีสีม่วงช้ำ แข็งทื่อ และชี้มาที่ผมอย่างประสงค์ร้ายแม้จะไม่มีดวงตา

     

     

     

     

     

    มือขวาของร่างไร้ชีวิต....

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    To be continue on Thursday 25th ......   Thank you for your support :)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×