ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 9

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 670
      38
      26 พ.ย. 63

    บทที่ 9

    “คุณหนูเจ้าคะ ท่านอ๋องเชิญให้ท่านไปรับมื้อเช้าที่สระตะวันตกเจ้าค่ะ” เสี่ยวซัวเข้ามารายงาน หลังจากจัดแจงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้ว เหม่ยเซียนไม่ได้ให้เสี่ยวซัวเข้ามาช่วยอาบน้ำหรือแต่งตัว มีเพียงอาฉีเท่านั้นที่คอยรับใช้ในห้อง หนึ่งเธอยังไม่ไว้วางใจสตรีผู้นี้ สองเธอไม่อยากเผยใบหน้าของตัวเองเท่าไหร่นัก ใบหน้าที่งดงามย่อมเป็นที่อิจฉา แต่เธอหาได้กังวล แต่...ดวงตาแปลกประหลาดนี้ยากนักที่จะให้ผู้อื่นพบเห็น

    เหม่ยเซียนลังเลเล็กน้อย ว่าจะสวมผ้าคลุมหน้าดีหรือไม่ หมวกใบกว้างที่ประดับด้วยดอกไม้ใช้เป็นอาวุธสังหารและอำพรางตน แต่ยามนี้เธอไม่จำเป็นต้องสังหารใครแล้ว ถึงแม้จะมีคนอยากสังหารเธอ เธอกลับมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้

    “เอาล่ะ นำทางไปเถิด” เด็กสาวตัดสินใจสวมหมวกปีกกว้างเช่นเดิม ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า

    เสี่ยวซัวมองคุณหนูอย่างแปลกใจ มีอย่างที่ไหนสวมหมวกใต้หลังคาเช่นนี้ แต่เธอไม่อาจสอดปาก เดินนำหน้าพาคุณหนูเหยียนออกมาจากเรือนธาราพิสุทธิ์ ผ่านเรือนกลางและเก๋งสีขาวเล็กๆในสวน จนหยุดที่สระฝั่งตะวันตก ลักษณะของสระนี้คล้ายๆเรือนธาราพิสุทธิ์ เพราะรายล้อมไปด้วยน้ำรอบด้าน มีสะพานสีขาวทำจากหยกแกะสลักบุปผาอย่างอ่อนช้อย ยาวไปจรดที่เก๋งกลางน้ำสีขาวหลังหนึ่ง ที่สระแห่งนี้ไม่มีเหลียนฮวาให้เห็น แต่รอบข้างกำแพงมีต้นอิงฮวาเรียงรายอย่างสวยงาม หากถึงฤดูที่อิงฮวาผลิบาน สระนี้ย่อมสวยงามจนนึกภาพไม่ออกเป็นแน่

    “เหม่ยเอ๋อร์ รีบมานั่งก่อนเร็วเข้า” อวี้หลงยิ้มบางๆที่มุมปาก ก่อนจะลุกขึ้นเชื้อเชิญให้เธอนั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาไม่ได้เอ่ยปากตำหนิที่เธอสวมหมวกเข้ามาแม้เพียงครึ่งคำ “พวกเจ้าไม่ต้องอยู่รับใช้ ถอยออกไปให้หมด”

    อวี้หลงรู้ถึงความประสงค์ของนาง นางไม่ต้องการเผยโฉมหน้าให้ใครเห็น เขาจึงสั่งข้ารับใช้ให้เดินออกจากสระตะวันตกทันที ไม่เว้นแม้แต่อาฉีที่เหม่ยเซียนพยักหน้าส่งเล็กน้อย

    เมื่อทุกคนถอยออกไปจนหมดแล้ว เหม่ยเซียนจึงค่อยๆปลดหมวกปีกกว้างของตนออก จ้าวอวี้หลงแทบลืมหายใจ เมื่อคืนมองหน้าไม่ชัดเพราะมีแสงสว่างไม่เพียงพอ แต่ยามนี้ทุกองคาพายัพประจักษ์แก่สายตาแล้ว

    เด็กสาวโตขึ้นมาจริงๆ ใบหน้าเรียวยาวประกอบกับแก้มอิ่มที่พองออกมาน้อยๆ ไม่ได้ทำให้นางเหมือนเด็กสาวที่พ้นวัยปักปิ่นสักนิด นัยน์ตาสีเกลียวคลื่นยังตราตรึงใจจนอดนึกถึงวันเวลาเก่าๆที่อยู่ร่วมกันไม่ได้

    “เหม่ยเอ๋อร์งามขึ้นมากทีเดียว”

    “ท่านอ๋องก็เช่นกัน” เหม่ยเซียนยิ้มน้อยๆพอเป็นพิธี คำชมนี้เธอได้ยินจนเคยชินเสียแล้ว เธอเหลือบมองกับข้าวบนโต๊ะ หาได้หรูหราอลังการอย่างที่คาดไว้ รอจนอวี้หลงลงมือทาน เธอถึงเริ่มขยับตะเกียบ คีบไก่อบสมุนไพรขึ้นมาชิ้นหนึ่ง รสชาติกลมกล่อมแต่ไม่ได้พิเศษไปกว่าที่อื่นก็ชักไม่แน่ใจ ใช่อาหารของตำหนักอ๋องจริงๆหรือ อาหารในเหลาด้านนอกยังอร่อยเสียกว่า

    “รสชาติเป็นเช่นไรบ้าง”

    “รสชาติดีเจ้าค่ะ” เหม่ยเซียนยิ้มน้อยๆพลางสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย เห็นประกายความดีใจที่ส่งออกมาทำให้เธอชะงักไปครู่หนึ่ง คงไม่ใช่ว่า...เขาลงมือทำเองกระมัง รสชาตินี้คุ้นลิ้นอยู่บ้าง คล้ายตอนที่อยู่ร่วมกันในป่าเขา

    “ลองชิมน้ำแกงปลานี่สิ” จ้าวอวี้หลงตักน้ำแกงปลาใส่ถ้วยพลางส่งมาตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ ทำให้เหม่ยเซียนไม่สามารถปฏิเสธได้ลง บุรุษงามที่มีท่าทางคาดหวังตรงหน้า ทำให้เธอยากหักใจปฏิเสธนัก “รสชาติดีทีเดียว”

    น้ำแกงปลาที่ดื่มลงคอไม่นับว่าแย่ แต่ก็ไม่ได้ดีเลิศ หากเปรียบเทียบกับฝีมือของเธอต้องใช้คำว่า ประเสริฐกว่ามาก เธอเห็นสีหน้าจ้าวอวี้หลงมีประกายความดีใจ ทั้งที่ไม่ได้ยิ้ม ยิ่งทำให้เธอแน่ใจว่าเขาลงทุนเข้าครัวด้วยตัวเอง

    ดูท่าว่าเวลาสองปีที่ผ่านมาทำให้บุรุษผู้เย็นชา กลายเป็นคนธรรมดาเสียแล้ว เหม่ยเซียนลงมือทานอาหารอย่างตั้งใจ ชิมไปชมไปบ้างตามโอกาส

    “ข้าส่งคนไปสืบเรื่องท่านหมอไคว่แล้ว เหม่ยเอ๋อร์สงบใจสักหน่อย ไม่เกินเดือนนี้จะได้ความแน่” จ้าวอวี้หลงเปิดปากพูดหลังจากดื่มชาล้างคอตนเองแล้ว เขารินชาส่งให้เหม่ยเซียนอย่างเป็นธรรมชาติ กลิ่นนี้เริ่มแรกเป็นกลิ่นหอมอ่อนๆของชาชั้นดี เมื่อถ้วยชาจ่อที่ปลายจมูกทำให้รู้สึกสุขใจอย่างแปลกประหลาด ดมกี่ครั้งก็รู้สึกถึงความผ่อนคลายจนแทบจะลอยได้อยู่รอมร่อ ไม่สิ...เช่นนี้ไม่ถูกต้อง

    “ชานี้มีปัญหาที่ใดหรือ” จ้าวอวี้หลงเอ่ยถาม เมื่อเห็นสีหน้าของนางชะงัก และไม่ยกชาขึ้นดื่มสักอึก

    “ท่านอ๋อง ชาจวี๋ฮวานี้กลิ่นดี แต่ไม่มีประโยชน์ ไม่ทราบว่าท่านได้มานานหรือยัง”

    “ข้าได้ชานี้มาจากฝ่าบาทเมื่อสัปดาห์ก่อน”

    ฝ่าบาท...ฮ่องเต้พระองค์นั้นวางยาอนุชาของตนเอง? เป็นไปไม่ได้กระมัง จากข่าวที่เธอได้ยินมา สองพี่น้องรักใคร่กลมเกลียว ขนาดที่ว่าฝ่าบาทแทบจะยกกองกำลังทางทหารทั้งหมดให้อนุชาเป็นผู้ดูแลไม่ใช่หรือ

    “ข้าทราบแล้ว คราวหน้าข้าจะทำชาให้ท่านใหม่ ชานี้ข้าขอนะเจ้าคะ”

    “ย่อมได้” จ้าวอวี้หลงมอบให้นางด้วยรอยยิ้ม จนขี้แมลงวันใต้ตายกขึ้น ไร้ข้อกังขาใดทั้งสิ้น “เหม่ยเอ๋อร์”

    “เจ้าคะ”

    “เดินหมากเป็นหรือไม่” ใบหน้าของเขานิ่งสงบ แต่เธอรู้สึกได้ว่าเขายิ้ม

     

    “ท่านอ๋อง ข้าได้กลิ่นโลหิตจากบนกายท่านตั้งแต่เมื่อคืน ถึงแม้จะบางเบาแต่ไม่สามารถปิดข้าได้หรอกนะเจ้าคะ” เหม่ยเซียนเอ่ยถามในขณะที่ขยับหมากอยู่บนกระดาน เธอเรียนรู้เรื่องนี้มาจากท่านพ่อยามที่อยู่สำนักเทียบสุรัน ฝีมือเธอไม่ได้แย่ แต่ไม่นับว่าดี เดินเพียงไม่ถึงก้านธูปก็แพ้จ้าวอวี้หลงอย่างราบคาบ

    “เจ้าอย่าได้กังวล แค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น”

    “จริงสิ ก่อนหน้านี้มีรอยแผลเป็นอยู่บนร่างกายของท่าน ไม่ทราบว่ายามนี้หายไปแล้วหรือยัง” รอยแผลจากการกรีดหนองออกมาใช่จะหายกันง่ายๆ หากมีครีมบำรุงหรือยารักษาแผลเป็นของยุคใหม่ย่อมดีกว่า ยิ่งคิดว่าบนผิวขาวๆของเขามีร่องรอย ยิ่งทำให้เธอปวดใจ บุรุษงามไม่คู่ควรกับรอยแผลเป็นโดยแท้

    “ดี..ดีขึ้นมากแล้ว” จ้าวอวี้หลงตอบเสียงอ้อมแอ้ม คิดถึงรอยแผลเป็นบนหน้าอกและหน้าท้องทีไร จำต้องคิดถึงตอนที่มือน้อยๆของนางลูบไล้ทั่วร่างกายเพื่อเช็ดตัวให้ทันที นี่นางไม่เขินอายบ้างเลยหรือ...หรือว่านางลืมเลือนเรื่องพวกนั้นไปหมดสิ้น

    ความจริงเหม่ยเซียนไม่ได้ลืม แต่ทว่ายามนั้นร่างกายเขายิ่งกว่าคนแก่ที่ใกล้ลงโลง มีหรือที่นางจะมีใจเสน่หา เพียงคิดว่า อยากช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตายก็เท่านั้น

    “ข้าขอดูสักหน่อยจะได้หรือไม่” เด็กสาวเงยหน้าขึ้นจากกระดาน สบกับดวงตาสีดำตัดขาวชัดเจนของเขาอย่างจริงใจ

    ทั้งห้องเกิดความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง จ้าวอวี้หลงอึกอักอย่างทำตัวไม่ถูก ใบหน้าขาวกระจ่างดุจแสงจันทราขึ้นสีแดงช้าๆไม่อาจควบคุม หัวใจแกร่งที่อยู่ในอกข้างซ้ายเต้นรัวราวกลองรบ ไม่อาจควบคุม สบตาเห็นความจริงใจและจริงจังของนางก็ไม่กล้าเอ่ยคำปฏิเสธ ได้แต่ต่อว่าบิดามารดาของนางอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าเลี้ยงดูนางมาแบบใดถึงได้เก่งกล้าขอดูเนื้อหนังของบุรุษแบบนี้

    “ท่านอ๋อง..” เหม่ยเซียนใช้น้ำเสียงออดอ้อนอย่างไม่รู้ตัว อาจเป็นเพราะติดนิสัยอยากได้อะไรแล้วต้องได้ มาจากสำนัก

    “ได้” จ้าวอวี้หลงตอบรับอย่างง่ายดายโดยไม่ฉุกคิด เขาลุกจากเบาะรองนั่งช้าๆก่อนจะเยื้องย่างเข้าไปหลังฉากกั้น เหม่ยเซียนไม่รอช้าเดินตามเข้าไปทันที เห็นท่าทีอิดออดของเขาเดาว่าบาดแผลคงไม่หายอย่างสมบูรณ์ เช่นไรเธอต้องตรวจสอบดูอย่างละเอียดว่าแผลเป็นนี้หยั่งรากลึกจนต้องนวดน้ำมันหรือไม่

    แผลบางประเภทเช่นแผลไฟไหม้ไม่อาจหายได้ ยามหน้าหนาวมาถึงจะทำให้ตึงแผล เป็นอาการที่น่ารำคาญยิ่ง แต่แผลเป็นที่เกิดจากหนองหากไม่รักษาให้ดีอาจเป็นตะปุ่มตะป่ำน่าเกลียดนัก

    เมื่อเหม่ยเซียนเดินเข้ามาหลังฉากกั้น บุรุษร่างสูงกำลังถอดเสื้อชั้นในออก สาปเสื้อลงไปตระกองที่ข้อพับแขน ปมที่มัดเสื้อไว้ถูกคลายออก เผยให้เห็นหน้าท้องสีขาวผ่องดุจหิมะแรก ซ้ำยังมีมัดกล้ามเรียงตัวสวยจนเธออดชื่นชมไม่ได้ เม็ดถั่วน้อยสีสวยก็โผล่ให้เห็นเต็มสองตาจนเด็กสาววัยสิบห้าหนาวอดจ้องมองอย่างเนิ่นนานไม่ได้ งาม...งามยิ่งนัก ไม่คาดคิดเลยว่าซากศพชายชราในวันนั้นจะกลายเป็นชายงามในวันนี้

    เรือนผมสีขาวสะอาดปัดอยู่ที่หน้าอกบริเวณเม็ดถั่วทำให้เห็นแบบวับๆแวมๆยิ่งทำให้บุรุษผู้นี้มีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น จนเกินจะต้านทาน เหลือบมองใบหน้าที่ติดจะเย็นชาของท่านอ๋องขึ้นสีแดงชัดเจนพลางหลุบตาต่ำมองพื้นเบื้องล่างอย่างเขินอาย ยิ่งขี้แมลงวันเล็กๆที่ใต้ตาขวาทำให้เขาดูดึงดูดขึ้นหลายส่วน เหม่ยเซียนรีบเก็บริมฝีปากที่มีน้ำลายไหลมุมปากทันที

    สถานการณ์เช่นนี้ต่างอะไรกับโจรเด็ดบุปผากัน อะแฮ่ม..เอาล่ะ หน้าอกของเขาไม่มีแผลเป็นของหนองให้ปรากฎแล้ว แต่เธอยังได้กลิ่นโลหิตจางๆจากร่างกายเขาอยู่ดี ด้านหน้าไม่มีแผล แต่ใช่ว่าด้านหลังจะไม่มี

    “ท่านอ๋อง ถอดเสื้อแล้วหันหลังมาให้ข้าดูหน่อยเถิด”

    “เจ้า..”

    “นะเจ้าคะ” เหม่ยเซียนเหลือบตาขึ้นอย่างวิงวอน ดวงตาใสกระจ่างราวเกลียวคลื่นพัดพาหัวใจของคนมองให้รู้สึกปั่นป่วนโดยแท้

    จ้าวอวี้หลงปลดเสื้อออกจากร่างกายของตนเองอย่างว่าง่าย เช่นไรก็ปิดนางไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเขาเองที่จงใจ เขาพาดเสื้อตัวดังกล่าวไว้ที่ฉากบังลม ก่อนจะหันหลังให้เหม่ยเซียนเห็น บาดแผลขนาดใหญ่พาดผ่านที่กลางหลัง เฉียงตั้งแต่กลางลำตัวลงไปถึงบั้นเอวด้านซ้าย อวี้หลงเกร็งหน้าท้องขึ้นมาด้วยความว้าวุ่น ราวกับมีลมในช่องท้อง ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาแทบเปลือยกายต่อหน้านางเสียหน่อย เหตุใดจึงตื่นเต้นเช่นนี้กัน

    “แผลนี้ได้จากการช่วยศิษย์พี่รองหรือเจ้าคะ” เห็นเขาไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เหม่ยเซียนก็ได้แต่ถอนหายใจ แผลไม่ลึกแต่บาดแผลค่อนข้างกว้าง ถ้าเทียบกับบาดแผลก่อนหน้านี้ที่เคยฟาดฟันบนหน้าอกของเขา แผลนี้นับว่าเล็กกว่ามาก แต่ปากแผลที่พาดลงไปถึงบั้นเอวและก้นงอนๆทำให้เหม่ยเซียนอดกลั้นหายใจขึ้นมาไม่ได้ อืม...บั้นท้ายบุรุษงามเชียวนะ

    “ท่านขึ้นไปนอนรอบนตั่งก่อน ข้าจะไปนำยามารักษาให้ท่าน” เหม่ยเซียนชี้นิ้วให้เขานอนลงบนตั่งหลังฉากกันลม เธอหยิบหมวกขึ้นมาสวมก่อนจะออกไปสั่งการให้คนเตรียมน้ำอุ่นและผ้าสะอาด และพาร่างเล็กๆของตนเองเดินกลับเรือนธาราพิสุทธิ์เพื่อนำยาที่อยู่ในย่ามกลับมาทำแผลให้เขา โชคดีที่ตอนลักพาตัว อาฉีกอดถุงย่ามที่ใส่ยาไว้ ไม่เช่นนั้นเธอได้เสียดายตัวยาหลายๆตัวในนี้เป็นแน่

    เหม่ยเซียนกลับมาในห้องอีกครั้ง สั่งให้บ่าวไพร่ออกไปรอข้างนอก เธอเดินผ่านห้องชั้นนอกเข้ามายังห้องชั้นใน เห็นบุรุษงามนอนคว่ำหน้าลงกับหมอนอิงอย่างเกียจคร้าน เรือนผมสีขาวสะอาดทิ้งตัวลงที่ข้างตั่งคล้ายสายน้ำตกหลายสาย ผิวขาวสะอาดจากเรือนกายด้านบนทำให้เหม่ยเซียนมองอย่างเหม่อลอย ขนาดหลังยังงามเช่นนี้

    “ไม่รู้จักรักษาตัวเองเช่นเดิมเลยนะเจ้าคะ” เธอจำได้ว่าคราวก่อนเขาฝืนสังขารเดินขึ้นเขาเพราะไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเธอ จนสุดท้ายก็สลบไปที่หมู่บ้านของท่านลุงตงเล่ยอยู่ดี ตอนนี้มีบาดแผลก็ไม่รักษาอีก ไม่รู้ว่าเขารอดจากสงครามมาได้อย่างไร

    เหม่ยเซียนใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นบิดหมาดๆเช็ดที่ปากแผล และรอยเลือดที่เกรอะกรังอย่างเบามือ ดีที่แผลยังไม่เป็นหนอง มิเช่นนั้นคงได้รักษากันยาวๆอีกรอบ บุรุษผู้นี้ก็กระไร รู้ว่ามีแผลแทนที่จะใส่ยาห้ามเลือด ยังกระโจนอาบน้ำจนแผลเสี่ยงติดเชื้อเช่นนี้อีก เธอเห็นปากแผลที่ลึกลงไปใต้กางเกงได้แต่อ้ำอึ้งอยู่นาน สะกดจิตตัวเองว่าทำแผล..ทำแผลเท่านั้น ก็ตัดสินจะถกกางเกงของเขาลงจนเห็นปลายบาดแผลชัดเจน

    “เจ้า เจ้า!” ความเย็นวาบที่ปะทะตรงบั้นท้าย ทำให้จ้าวอวี้หลงสะดุ้งสุดตัว พยายามเหลียวหลังมาดึงกางเกงตัวเองขึ้น

    เพี๊ยะ!

    “คุณชายอย่าได้วุ่นวาย บาดแผลใหญ่เช่นนี้ประเดี๋ยวจะปริแตกอีก อยู่นิ่งๆเถิดเจ้าค่ะ” เหม่ยเซียนไม่ใช่เด็กอายุสิบห้า เธอเคยเป็นหมอเมื่อชาติก่อน เรื่องนี้เธอรู้ดี ถึงความทรงจำขาดๆหายๆแต่เธอแน่ใจว่าในชาติก่อนเธอไม่เคยมีคนรักมาก่อนแน่นอน แม้แต่ผู้ชายที่เข้ามาก็คงหาได้น้อยมากเช่นกัน ในชาตินี้มีบุรุษหน้าตาดีนอนทอดกายให้เธอใช้สายตาลวนลามได้ นับว่ากำไรแล้ว

    เด็กสาวทำแผลไปด้วย ทำสมาธิไปด้วย ทั้งที่ในใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่ต่างอะไรกับเจ้าของร่างที่กำลังโดนลวนลามอยู่อย่างไม่รู้ตัว ใบหน้าขึ้นสีแดงพลางคิดถึงบทสนทนาของเขากับหลงอี้เมื่อคืน

    ‘’ท่านอ๋อง”

    “ว่าอย่างไร”

    “บาดแผลที่ร่างกายของท่าน..”

    “ปล่อยไว้เช่นนี้” จ้าวอวี้หลงยกยิ้มมุมปากอย่างปริศนา ประหนึ่งว่าชื่นชอบที่ตนเองมีแผลเสียอย่างนั้น

    ได้แต่ส่ายหน้าแล้ว...ใครจะไปคิดว่านางกล้าถกกางเกงบุรุษ!

    “เสร็จแล้วเจ้าค่ะ ต่อจากนี้ท่านต้องดูแลตัวเองดีๆเสียหน่อย บาดแผลอย่าโดนน้ำสักสามสี่วัน หากระคายตัวก็ใช้ผ้าเช็ดตัวเอา ระวังอย่าให้แผลปริแตกเป็นพอ เข้าใจหรือไม่เจ้าคะ”

    “ร้ายแรงมากเลยหรือ”

    “ไม่ร้ายแรงมากเจ้าค่ะ เพียงแต่ ถ้าแผลโดนน้ำจะทำให้เกิดหนอง ท่านคงไม่อยากโดนขูดหนองอีกใช่หรือไม่”

    “ไม่แล้ว”

    แต่ถ้าแผลปริแตก นางต้องมาทำแผลให้เขาถูกหรือไม่...ชินอ๋องในรัชกาลปัจจุบันฉีกยิ้มบางเบาที่มุมปาก มองแล้วคล้ายยิ้มไม่คล้ายยิ้มจนเหม่ยเซียนขมวดคิ้ว นี่เขาเป็นแผลจนสติวิปลาสไปแล้วหรือ

     

    “เหม่ยเอ๋อร์ ข้ารู้สึกตึงแผลยิ่งนัก” หยางหลงและหยางอี้สองแฝดผู้แฝงตัวที่กำแพงตำหนักหันมามองหน้ากันอย่างทึ่มทื่อ คราก่อนหยางอี้แฝดน้องถามท่านอ๋องด้วยความเป็นห่วงถึงอาการบาดเจ็บ จำได้ว่าพระองค์ทรงโปรดการเก็บแผลนี้ไว้ ไม่รู้ว่าแพราะเหตุใด

    มายามนี้พวกเขานึกเข้าใจแล้ว ท่านอ๋อง...ท่านช่างหน้าหนายิ่ง!

    “ท่านอ๋องนอนที่ตั่ง เหม่ยเอ๋อร์จะตรวจดูแผลให้” เหยียนเหม่ยเซียนพำนักที่ตำหนักหพยัคฆ์หวนได้หลายวันแล้ว ทุกวันหลังทานอาหารเช้าเสร็จจะต้องทำแผลที่หลังให้เขาอย่างช่วยไม่ได้ โบราณว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย เจ้าของบ้านเจ็บปวด เธอที่มีฝีมือการรักษาย่อมต้องช่วยเหลือ

    บาดแผลของท่านอ๋องเองก็เริ่มตกสะเก็ดแล้ว ทั้งนี้ต้องมอบความดีความชอบให้กับยาสมานแผลที่เธอคิดค้นเอง ช่วงที่แผลตกสะเก็ดจะมีอาการตึงและคัน จำต้องใช้ขี้ผึ้งทารอบๆลดอาการคันนี้

    อวี้หลงนอนคว่ำกับตั่งอย่างสบายใจ เขาเลือกหันหน้าเข้าคันฉ่องที่ตั้งไว้เหนือศีรษะ เพื่อลอบมองใบหน้าของเด็กสาวได้ถนัดตา เขารู้ตัวดีว่าการทำแบบนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่เขามั่นใจในความรู้สึกของตนตั้งแต่แยกทางกับนางเมื่อสองปีก่อนแล้ว ชายหนุ่มอมยิ้มไปพลางคิดแผนการในใจไปด้วย ยามนี้นางกังวลเรื่องศิษย์พี่อยู่เขาถึงต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง ไม่ให้นางตระหนกเกินไป

    “อวี้หลง! เจ้ากล้าไม่ไปเข้าเฝ้าเราหรือ...”

    ยังไม่ทันที่ท่านอ๋องของแคว้นได้สุขกายสบายใจได้เท่าไหร่ วรองค์สูงส่งที่สวมอาภรณ์สีเหลืองทองก็ปรากฏที่ประตูของห้องหนังสือ ไม่พอยังวิ่งอย่างรวดเร็วมาหยุดที่ตั่งนอนหลังฉากกั้นในจังหวะพอดิบพอดี ชายหนุ่มเปลือยแผ่นหลังทิ้งผมสยายกับเด็กสาวที่ลูบไล้แผ่นหลังงามอย่างอ้อยอิ่ง

    “สะ..เสด็จพี่” จ้าวอวี้หลงอ้าปากค้าง ไม่คาดคิดว่าจะมีแขกไม่ได้รับเชิญ ส่วนเหยียนเหม่ยเซียนได้ปล่อยขี้ผึ้งหอมกลิ้งหลุนๆออกจากมือไปแล้ว

    อ่า...สภาพเธอตอนนี้เหมือนสตรีที่กำลังข่มเหงชายงามไม่ผิด!

     

    เหยียนเหม่ยเซียน ถูกกันให้ออกจากห้องหลังจากทายาที่บาดแผลของอวี้หลงเสร็จสิ้น ในห้องเหลือเพียงสองบุรุษผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดินที่กำลังนั่งประจันหน้ากันที่โต๊ะทรงงานในห้องหนังสือ จ้าวหลางเหวินหลังจากออกว่าราชการยามเช้าเสร็จ ก็ไม่รอตั้งขบวนหรือองครักษ์ อาศัยช่วงทหารผลัดเวรพุ่งทะยานออกจากราชวังมายังตำหนักอ๋องจนลืมแม้กระทั่งการเปลี่ยนฉลองพระองค์

    สี่วันเต็มๆที่เขาส่งคนให้แจ้งแก่จ้าวหวี้หลงเข้าเฝ้าลับๆยามกลางคืน แต่ดูเหมือนอนุชาของเขาคนนี้จงใจทำเป็นคนไม่รู้เรื่องรู้ราว รั้งอยู่ในตำหนักไม่ยอมไปเข้าเฝ้า จนพระองค์ทนไม่ไหวต้องเร่งเดินทางมาหาเสียเอง ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอฉากดังกล่าวคาตาเช่นนี้ โดยปกติชินอ๋องต้องรายงานสถานการณ์ของชายฝั่งหลังปฏิบัติภารกิจเสร็จ เรื่องนั้นก็ชั่งมันเถิด ตอนนี้สิ่งที่ฮ่องเต้เช่นเขาอยากรู้คือ ดรุณีน้อยที่มีสายส่งข่าวไปถึงในวัง ว่าอนุชาของตนพานางเข้าพักเรือนธาราพิสุทธิ์!

    เรือนนี้จ้าวอวี้หลงพึ่งสร้างได้ไม่นานหลังจากที่รอดพ้นน้ำพุเหลือง[1] ภายในเรือนตกแต่งด้วยข้าวของของสตรี งดงามยากจับต้อง คราแรกหลางเหวินนึกสงสัย สตรีเช่นไรกันทำให้อนุชาของตนละเมอฝันได้ขนาดนี้ เมื่อครู่ได้ประจักษ์กับสายตาของตนเองแล้ว สิ่งเดียวที่ตราตรึงที่สุดคือ ดวงดาราสีน้ำทะเลดุจเกลียวคลื่นของนาง

    “อวี้หลง เราไม่คิดเลยว่าเจ้าจะเหลวไหลเช่นนี้” หลางเหวินฮ่องเต้แสร้งตำหนิด้วยท่าทางไม่จริงจัง นับตั้งแต่อนุชาคนนี้ของพระองค์ถูกพิษทำลายชีวิต คุณหนูตระกูลใหญ่ที่หมายจะแต่งเข้าเป็นชายาก็ล้มเลิกไปกลางคัน อำนาจขอขุนนางที่เคยสนับสนุนก็เอาใจถอยห่าง กลายเป็นคนที่โดนรังเกียจ

    “เสด็จพี่รีบร้อนมาหาคงมีเรื่องอยากจะพูดใช่หรือไม่” จ้าวอวี้หลงชิงตัดบทอย่างไม่เหลือเยื่อใย

    “เอาล่ะ เรามาเข้าเรื่องกันก่อน ยามนี้น่านน้ำที่เมืองเล่อเป็นเช่นไรบ้าง” แคว้นเกาเปิดเสรีด้านการค้า มีเมืองเล่อเป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุด ชาวต่างชาติที่เข้ามาค้าขายมีหลายเชื้อชาติจนบางคราก็ก่อให้เกิดจลาจล อีกทั้งระยะหลังมานี้พ่อค้าเหล่านั้นมีการขนสินค้าผิดปกติจนทำให้เขานึกระแวงไม่ได้ จำต้องวางแผนให้รอบครอบ

    “ข้าส่งคนไปตรวจสอบแล้ว พ่อค้าบางกลุ่มขายอาวุธสงครามให้กับขุนนางในเมืองหลวงจริง แต่ข้ากำลังรวบรวมหลักฐาน และให้ทหารเฝ้ารักษาการณ์อย่างแน่นหนา” จ้าวอวี้หลงเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมกว่าเดิม ในกองทัพของเขามีบัญชีรายรับรายจ่ายผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ยามที่กำลังตรวจสอบบัญชี กลับพบว่าเสมียนผู้ดูแลบัญชีหายตัวไปอย่างลึกลับ เสมียนคนนี้เป็นบุตรชายคนรองของขุนนางตู้ บัญชีมีปัญหา ตัวคนก็หายไป ดูอย่างไรก็ไม่ชอบมาพากล ทางที่ดีควรหาหลักฐานและพยานให้ครบจึงจะบุกจับตัวขุนนางตู้ได้อยู่หมัด

    “ขุนนางตู้และขุนนางหลินมีท่าทีขัดแย้งกันชัดเจน ไม่แน่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อย่างไรก็ต้องตรวจสอบให้ละเอียด” เดิมทีสองขุนนางนี้เข้าพวกกันชนิดที่ว่า คนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ แต่ภายในครึ่งปีที่ผ่านมาพบว่าในท้องพระโรงขุนนางตู้ไม่ได้สนับสนุนขุนนางหลินอย่างที่ควร

    “เรื่องนี้ข้าให้คนตามสืบอยู่ ฝ่าบาทอย่าได้กังวล”

    “นางคือคนที่ช่วยเจ้าใช่หรือไม่”

    “ใช่”

    “อืม...แล้วเจ้าไปเจอนางได้อย่างไร”

    จ้าวอวี้หลงไม่ได้ตอบ เขาปรายตามองไปที่ประตูเป็นเชิงขับไล่อย่างโจ่งแจ้ง จ้าวหลางเหวินหัวเราะลั่น ก่อนจะเดินออกไปอย่างอารมณ์ดี นานๆทีพระอนุชาของตนจะเป็นเช่นนี้ เขาก็อดแหย่ไม่ได้

     

    “แม่นางน้อยเจ้าว่าคำนี้แปลว่าอันใด” ปลายนิ้วเรียวยาวชี้ไปยังเนื้อความบนกระดาษสีซีด มีอักษรภาษาอังกฤษอยู่หลายข้อความ ล้วนเป็นข้อความที่เหม่ยเซียนรู้จักและแปลเข้าใจทั้งหมด แน่สิ...เธอเป็นหมอ

    “แปลว่าเนื้อหมู”

    “แล้วคำนี้ล่ะ”

    “คำนี้แปลว่าไก่ อ่านว่าชิคเก้น”

    “อะไรนะชิงเก้”

    “ชิค-เก้น เพคะ”

    “ชิคเก้นๆ ได้ เราเข้าใจแล้ว”

    จ้าวอวี้หลงเหลือบมองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่นั่งตรงข้ามกันอย่างไม่เข้าใจ นับตั้งแต่หลางเหวินฮ่องเต้ทรงทราบว่าเขาพาแม่นางน้อยนามเหม่ยเซียนมาพำนักที่ตำหนักพยัคฆ์หวน พังพอนเหลืองตนนี้ก็เทียวแวะเทียวเยี่ยมทุกวันไม่เว้น ซ้ำเมื่อทรงทราบว่านางสามารถอ่านภาษาชาวต่างชาติออกก็ยกฎีกาทั้งหลายมาวางกองตรงหน้าเขา อีกทั้งตนเองยังหน้าหนานั่งศึกษาภาษาต่างถิ่นกับนางอย่างใกล้ชิดอีก

    เหม่ยเซียนก็ไม่ได้รำคาญแต่อย่างใด เธอใช้เวลาในการสังเกตพฤติกรรมของฮ่องเต้ตลอดหลายวันมานี้ พระองค์ไม่เพียงเป็นห่วงท่านอ๋องจากใจจริง ยังแอบกำชับเธอทุกครั้งก่อนกลับวังให้สอดส่องภายในตำหนัก อย่าให้อนุชาของพระองค์ต้องทุกข์ทรมานเพราะโดนวางยาอีกเป็นอันขาด

    หากกล่าวเช่นนั้น...ชาที่ท่านอ๋องได้มานับเป็นอะไร เหม่ยเซียนสับสน แต่ถ้าหากใช้ความรู้สึกของตนเองแล้ว เกินหกส่วนย่อมเข้าข้างอ่องเต้

    “เสด็จพี่ไม่กลับวังหลวงหรือ”

    “ชู่ อวี้หลง อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าจะพูดเสียงดังไปใย ต่อเลยแม่นางน้อย แล้วคำว่าชอบล่ะ อ่านว่าอย่างไร” ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินตวัดพู่กันลงบนสมุดจด สายตาจ้องอักษรบนกระดาษของเหม่ยเซียน ปากก็พร่ำพูดไปจดบนสมุดไปคล้ายนักเรียนผู้ใฝ่รู้

    เหม่ยเซียนเองนับตั้งแต่สอนภาษาพังพอนเหลืองก็ให้ความสนิทสนม ปลดหมวกคลุมหน้าออกเผยโฉมความงามอันแปลกประหลาดให้หลางเหวินได้เชยชม จนชินอ๋องเช่นเขาหักพู่กันเป็นว่าเล่นสามเวลา

    วังหลวงไม่มีที่ให้ซุกหัวนอนหรืออย่างไร! แล้วฎีกาไร้แก่นสารพวกนี้โยนโครมมาให้เขาอีก!

    “ท่านอ๋อง เราจับคนมาจากเมืองเล่อได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลงอี้กระโดดข้ามกำแพงเข้ามารายงานอย่างรวดเร็ว เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเต็มนับตั้งแต่สืบข่าวเรื่องบัญชีที่ผิดปกติ

    “พาไปคุกใต้ดิน”

    เดิมทีกองทัพจะได้งบประมาณจากกรมการคลังจำนวนไม่น้อย ปรับปรุงอาวุธและซื้อม้าพันธุ์ดีเพื่อสถานการณ์เตรียมพร้อมตลอดเวลา หลังนับจากชินอ๋องประสบภัยเสบียงในกองทัพก็ลดคุณภาพลง ม้ากล้าที่ราคาสูงจากต่างแดนวิ่งไม่กี่ลี้ก็หมดแรง อาวุธทั้งดาบและธนูด้อยคุณภาพลงอย่างเห็นได้ชัด ครั้นกลับไปกองทัพเพื่อเรียกเสมียนผู้ดูแลบัญชีมาคุย กลายเป็นว่าเสมียนคนดังกล่าวหายตัวไปอย่างลึกลับ บัญชีก็หายไปด้วยเช่นกัน ทำให้เขาสืบความยากขึ้น อวี้หลงส่งคนคอยจับตาดูทหารในกองทัพว่ามีผู้ใดเกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติบ้าง

    “เสด็จพี่”

    “ไป...เราจะไปดูหน้ามันเสียหน่อย” หลางเหวินพยักหน้าเป็นเชิงว่าเขาได้ยินแล้ว “แม่นางน้อยสนใจไปกับพวกเราหรือไม่”

    “งานราชการของบุรุษ เหม่ยเอ๋อร์ความรู้น้อย ขอศึกษาตำราที่นี่ดีกว่าเพคะ” เหยียนเหม่ยเซียนยกยิ้มมุมปากบางเบา ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วข่าวของพี่ใหญ่ยังไม่คืบหน้าถึงไหน เธอเข้าใจอวี้หลงเพราะเขามีงานรัดตัวจึงไม่ถือโทษโกรธแต่อย่างใด ทั้งนี้เธอส่งศิษย์สายรองเข้าไปยังจวนสกุลใหญ่เพื่อสืบข่าวพี่ใหญ่เช่นกัน

    ปรากฏว่า...สกุลใหญ่ทั้งสี่ไม่มีวี่แววของพี่ใหญ่แม้แต่น้อย ยิ่งทำให้เธอฉงนใจ เรื่องราวการขัดแย้งของสกุลหลินและสกุลตู้เกิดจากบุตรชายคนรองของสกุลตู้ แต่ไฉนสกุลหลั่นจึงมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ เหม่ยเซียนถอนหายใจอย่างปลดปลง รอคอบข่าวจากพี่รองอย่างใจจดใจจ่อคงดีเสียกว่า

    “คุณหนูเจ้าคะ”

    “ได้ข่าวอะไรหรือไม่” เด็กสาวถอนสายตาจากสระน้ำสีใสกลับมายังร่างของสาวใช้คนสนิท จดหมายฉบับนั้นที่เธอให้อาฉีฝากคนไปส่งถึงมือพี่รอง ไม่รู้ว่าถึงหรือไม่ เหตุใดจึงไม่มีข้อความตอบกลับเช่นนี้

    “นักฆ่าที่ซุ่มอยู่ครึ่งหนึ่งเป็นของคนสกุลหลั่นกับสกุลตู้ อีกครึ่งเป็นของสกุลหลิน กำลังของพวกเขายังแน่นหนาไม่อาจฝ่าเข้าไปได้ แต่...ศิษย์สายนอกได้ขึ้นเขาไปส่งข่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

    “แค่ส่งข่าวให้พี่รองได้ก็พอแล้ว”

    ถ้าพูดกันตามตรงหากศิษย์ของสำนักเสียงธรรม และสำนักเทียบสุริยันบุกฝ่าออกมา คนพวกนั้นจะนับเป็นอะไรได้ ติดเพียงแต่ สำนักของเธอมีกฎชัดเจน ไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง การที่พี่ใหญ่ฝ่าฝืนกฎเช่นนี้นับว่าแปลกมากทีเดียว

    “คุณหนูมีจดหมายแปลกๆส่งมาที่จวนสกุลเหยียนด้วยเจ้าค่ะ แต่จดหมายถูกห่อด้วยผ้าไว้ บ่าวไพร่เลยไม่กล้าเปิด” อาฉีล้วงห่อผ้าสีขาวออกมาจากหน้าอก เหม่ยเซียนเบิกตากว้าง นี่มัน...จดหมายลับ

    “ไปนำโอ่งใบใหญ่ๆกับเทียนไขไปยังเรือนธาราพิสุทธิ์ เร็วเข้า” เธอตะโกนเสียงดังให้บ่าวที่เฝ้าอยู่นอกประตูได้ยิน ก่อนจะสวมหมวกปีกกว้างบดบังตนเองแล้วเดินกลับไปยังเรือนธาราพิสุทธิ์ของตนเองอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงเรือนของตนแล้วเห็นโอ่งใบใหญ่ถูกขนเข้ามาเรียบร้อยก็นึกชื่นชม ทำงานกันรวดเร็วดีจริงๆ

    เหม่ยเซียนจุดไฟที่เทียนไขก่อนจะวางมันลงไปในโอ่ง เด็กสาวปีนโอ่งใบใหญ่เพื่อนั่งลงไป ความสูงของโอ่งมิดหัวเล็กๆของเธอจดหมด

    “คุณหนูจะทำอะไรเจ้าคะ” อาฉีมองเจ้านายของตนเองด้วยความสงสัย นับตั้งแต่อยู่กับคุณหนูมาก็มีแต่เรื่องแปลกประหลาดชวนให้สับสนตลอดเวลา

    “ฟังนะ ข้าจะลงไปในโอ่ง พวกเจ้าต้องปิดฝาให้สนิท หลังจากนั้นถอยออกจากโอ่งสิบก้าว ห้ามเข้ามาใกล้เด็ดขาด” สั่งการเสร็จสิ้นเด็กสาวก็มุดเข้าไปที่ปากโอ่งอีกครั้ง เมื่อเห็นพวกเขาปิดฝาโอ่งจนแน่นสนิทแล้วเธอจึงแกะจดหมายออก พยายามอ่านอย่างรวดเร็วที่สุด

    จดหมายที่ห่อด้วยผ้าสีขาวห้ามโดนลมเด็ดขาด เพราะฉะนั้นเธอจำต้องมุดเข้ามาในโอ่งและจุดเทียน เพื่อให้มีอากาศน้อยที่สุด

    ‘เหม่ยเอ๋อร์ตอนนี้พี่ใหญ่ไม่สามารถตอบคำถามใดให้เจ้าได้ทั้งนั้น พี่ใหญ่สบายดี เพียงแต่เหม่ยเอ๋อร์ต้องช่วยพี่สามของเจ้าก่อน พี่ใหญ่ไม่ดีเผลอเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับราชสำนักเข้าแล้ว แต่เรื่องนี้พัวพันหลายฝ่าย พี่สามของเจ้าถูกคนไม่ดีล่อลวงให้ทำความผิดต่อแผ่นดิน ยามนี้เขาคงถูกจับกุมตัวไปที่ตำหนักของชินอ๋องแล้ว เหม่ยเอ๋อร์ต้องช่วยพี่สามให้ได้เข้าใจหรือไม่ พี่ใหญ่ยังไม่สามารถปรากฏตัว เมื่อถึงเวลาข้าจะไปหาเจ้าเอง’

    ตู้ม!

    ไม่รอให้เหม่ยเซียนทำความเข้าใจใดๆทั้งสิ้น จดหมายฉบับดังกล่าวก็เกิดปฏิกิริยากับเปลวไฟ ทำให้เกิดแรงระเบิดจนทำให้โอ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ เหยียนเหม่ยเซียนโชคดีอาศัยจังหวะที่จดหมายกำลังเผาไหม้ พุ่งออกจากปากโอ่งอย่างทันท่วงที

    พี่ใหญ่รู้เรื่องพี่สาม พี่สามอยู่ตำหนักพยัคฆ์หวน แล้วเมื่อครู่...ฝ่าบาทกับท่านอ๋องจับคนผู้หนึ่งได้ พี่สาม!

    “หลงหยางข้ารู้ว่าท่านอยู่แถวนี้ ออกมาเถอะ”

    สิ้นเสียงใส เงาบุรุษร่างสูงก็กระโดดพรวดลงมาจากหลังคาเรือน หลังจากที่เหม่ยเซียนมาพำนักที่เรือนธาราพิสุทธิ์ ท่านอ๋องก็จัดการให้หลงหยางมาคอยคุ้มกันอยู่ห่างๆ ส่วนท่านอ๋องก็มีหลงอี้คอยอารักขา ความจริงเหม่ยเซียนรู้ตั้งแต่ต้นว่าเขาคอยปีนอยู่บนหลังคาตลอด คราแรกไม่คิดเปิดเผย แต่สถานการณ์ตอนนี้บีบบังคับแล้ว

    “คุณหนูเหยียนมีสิ่งใดหรือ” เสี่ยวหลงหยางคุกเข่ารอรับคำสั่ง ถึงแม้จะเป็นดรุณีตัวน้อย แต่ความร้ายกาจเมื่อสองปีก่อนของนางได้ประจักษ์ให้เขาเห็นแล้ว โดยเฉพาะหน้าต่างโรงเตี๊ยมที่ยังมีร่องรอยการหลอมละลายอยู่

    “นำทางไปคุกใต้ดิน เร็วๆเข้า”

    “ขอรับ” องครักษ์หนุ่มไม่รอให้สั่งซ้ำ เขารีบย่ำเท้าออกจากเรือนธาราพิสุทธิ์อย่างรวดเร็ว



    [1] น้ำพุเหลือง หมายถึง ยมโลก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×