ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 8

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 725
      48
      26 พ.ย. 63

    บทที่ 8

    “ท่านน้า แล้วท่านทราบหรือไม่ว่าสกุลตู้ได้คนไปไหม”

    “ไอ้หยา...เจ้ารู้หรือไม่ท่านหมอไคว่ช่างวิเศษนัก องครักษ์ของท่านหมอก็เก่งกาจ นอกจากไม่เสียเลือดเสียเนื้อแล้ว ยังสามารถพาท่านหมอและบุตรชายรองสกุลตู้ออกไปได้อย่างง่ายดาย”

    เธอเข้าใจแล้ว ระหว่างที่ทหารของสองสกุลกำลังชุลมุน พี่ใหญ่และคุณชายรองสกุลตู้หนีออกไปได้ แต่ระหว่างทางเกิดสิ่งใดขึ้น อันนี้เธอสุดจะรู้ หากจะถามวิญญาณสาวตรงหน้า ก็เกินกำลังนัก ขอบเขตของวิญญาณอยู่แค่ภายในจวน ไม่อาจห่างบ่วงของตนเองได้

    อีกประการเมื่อครู่นายท่านสกุลหลิน กล่าวถึงสกุลหลั่น มาดว่าบุตรชายคนรองสกุลตู้ผู้นี้น่าจะมีผลประโยชน์เกี่ยวพันหลายตระกูล สกุลหลั่นและสกุลตู้อาจจะร่วมมือกันก็เป็นได้ เพราะบุรุษผู้นั้นคนเดียว ทำให้พี่ใหญ่โดนหางเลขไปด้วย พี่ใหญ่นี่ก็แปลก...โดยปกติไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เหตุใดครานี้ถึงได้ลงมือด้วยตนเอง

    “ท่านน้า แล้วจวนสกุลหลินมีทางไหนที่สามารถออกไปได้บ้าง”

    “เจ้าจะไปแล้วหรือ” รั่วหลานทำสีหน้าเศร้า หลายปีมานี้เธอไม่ได้พูดคุยกับผู้ใดเลย กระทั่งบุตรของตนเองก็ทำได้เพียงมองเขาเติบโตไปทีละก้าว เจ็บปวดทุกครั้งที่บุตรชายบุตรสาวเอ่ยเรียกคนอื่นว่ามารดาอย่างสนิทสนม ในหนึ่งวันไม่มีแม้แต่จะนึกระคายเคืองว่ามีมารดาอีกคนที่ให้กำเนิดอยู่ด้วย ยิ่งพักหลังมานี้วิญญาณของเธอเริ่มไม่สบายเท่าไหร่ บางวันก็เจ็บหน่วงบริเวณท้องน้อยที่เป็นรอยแผลก่อนสิ้นชีพ บางคราก็วูบกลางกาศในขณะที่ลอยอยู่ ยิ่งคิดนางก็ยิ่งไม่สบายใจ

    “ท่านน้าอย่าได้กังวล หากสิ้นเรื่องสิ้นราว ข้าจะมาเยี่ยมท่านใหม่”เหม่ยเซียนกล่าวยิ้มๆ แต่คู่สนทนาไม่ได้คล้อยตามก็เริ่มเอะใจ หรือบางทีนางจะมีเรื่องกังวลอื่น “ท่านน้า ท่านมีเรื่องไม่สบายใจใช่หรือไม่”

    “อืม หลายเดือนมานี้ข้ารู้สึกเจ็บหน่วงที่บาดแผลตรงท้องน้อย บางคราก็รู้สึกเหมือนวูบกลางอากาศ บางคราลืมตาขึ้นมาก็พบกับสถานที่แปลกๆ พักหลังมานี้เกิดถี่ขึ้นจนข้าเริ่มกังวล..”

    ไม่ถูก..วิญญาณแม้ตายไปก็ใช่ว่าจะมีความรู้สึก โดยเฉพาะความเจ็บป่วยทางร่างกาย เธอไม่เคยพบเจอกรณีเช่นนี้มาก่อน เอาเป็นว่าเธอค่อยหาตำราปิดวาจาเล่มสองมาศึกษาแล้วกัน

    “ข้ากลัว..ว่าข้าจะไม่ได้อยู่ดูลูกสาวลูกชายเติบใหญ่”

    “เอาล่ะ เรื่องของท่านข้าจะลองศึกษาอาการดู แต่ตอนนี้ข้ามีเรื่องใหญ่ที่ต้องจัดการ” เหม่ยเซียนไม่ได้รับปากส่งๆ เรื่องนี้เธอต้องหาวิธีจัดการได้แน่

    “จวนสกุลหลินถึงแม้จะมีทางออก แต่ใช่ว่าจะออกได้โดยง่าย เจ้าเห็นทหารรอบข้างหรือไม่”

    “อืม”

    “ทหารพวกนี้ฝีมือเก่งกาจยิ่ง ข้าได้ข่าวว่าเขาว่าจ้างจากสำนักสยบเมฆามา หมดไปเยอะทีเดียว”

    สำนักสยบเมฆาเป็นสำนักอันดับสามของแคว้น ฝีมือเป็นรองสำนักเสียงธรรมหลายเท่า แต่ก็ไม่นับว่าไร้ฝีมือ หากเทียบกับคนทั่วไปแล้วฝีมือเป็นที่นับหน้าถือตา ไม่แปลกใจที่พี่ใหญ่ไม่บุ่มบ่ามฝ่าออกไป หากเป็นเช่นนี้ค่อยหาวิธีหลบหนีหลังจากออกจากประตูจวนก็แล้วกัน เวลาผ่านไปพักใหญ่ก็มีการเคลื่อนไหวหน้าประตู วิญญาณสตรีกระซิบกระซาบว่าเป็นพวกนั้น เหม่ยเซียนจึงหยิบหมวกคลุมกายของตนเองทันที

    “ได้เวลาแล้ว พาตัวนางออกมา” หนึ่งในชายชุดดำผลักประตูเข้ามาก่อนจะสั่งการลูกน้อง หนึ่งในนั้นเดินมาหมายจะคว้าหมวกม่านสีขาวของเธอออก จะบ้าหรือไง..หมวกใบนี้เคลือบพิษไว้ หากไม่จำเป็นเธอยังไม่อยากให้มันออกฤทธิ์หรอกเกิดอยู่ๆมีคนล้มลงไป หนทางหนีของเธอคราวนี้คงจะยากแล้ว ยังมีอาฉีที่อยู่ห้องข้างๆอีก ไม่ใช่เธอไม่เชื่อในฝีมือของอาฉี แต่ถ้าหากพวกมันใช้อาฉีเป็นตัวประกัน เธอก็ยากจะช่วยเหลือ กฎของสองสำนักชี้ชัด ไม่ทอดทิ้งใครไว้เบื้องหลัง

    “หยุดก่อน ส่งผ้ามาให้ข้า” เหม่ยเซียนยื่นมือขาวผ่องของตนไปนอกม่าน คว้าผ้าสีดำขึ้นคาดดวงตาของตนเองไว้ พลางลุกขึ้นช้าๆ จับแขนของชายชุดดำข้างกายไว้ เพื่อเคลื่อนย้ายตัว ขามาเข้ามาเพราะสลบจึงไม่เปลืองแรง ขาออกต้องปิดตาไว้ไม่ให้เธอจดจำเส้นทาง เฮ้อ...พวกมันคงไม่รู้ เมื่อครู่หานรั่วหลานอธิบายแผนผันสกุลเสียละเอียดยิบ แถมนางยังลอยมากระซิบข้างๆหูให้ก้าวเท้าซ้ายขวาหลบเลี่ยงกับกรวดหินที่จะทำให้หน้าทิ่มอีก ไม่อยากรู้ก็คงไม่ทันแล้ว

    “พวกมันจะพาเจ้าไปไหน” วิญญาณสาวยังแวะขึ้นมาบนรถม้าขณะที่พวกมันกำลังไปเอาตัวอาฉี

    “หุบเขาสยบมาร เมืองชิง”

    “ไปทำไมที่เขาสยบมาร ที่นั่นมีแต่คนของสำนักเทียบสุริยันเท่านั้นที่จะขึ้นได้ไม่ใช่หรือ” หานรั่วหลานยังคงถามต่อ ทำให้เหม่ยเซียนขมวดคิ้ว จริงสิ..เธอยังไม่เคยบอกสถานะที่แท้จริงของตนเองเลยนี่หน่า เด็กสาวส่ายหน้ายิ้มๆก่อนจะหลับตาทำสมาธิสักครู่ จวบจนร่างของอาฉีถูกโยนขึ้นมาบนรถม้า แล้วรถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออก

    “สิ้นสุดเขตตรงนี้แล้ว ข้าหวังว่าจะได้พบเจ้าอีก” วิญญาณของหานรั่วหลานคล้ายสายลมที่พัดแผ่วเบา

    ขบวนรถม้าฝ่าม่านราตรีขับเคลื่อนไปยังเมืองชิงด้วยความรวดเร็ว เหม่ยเซียนคำนวนระยะทางว่าออกจากเมืองหลวงไกลแล้ว เธอก็ปลดผ้าปิดตาออก หมายจะคว้าบุปผาที่ประดับศีรษะโยนออกไปทางหน้าต่าง เพื่อเรียกศิษย์ของสำนักเสียงธรรมออกมาโจมตี

    ใครเลยจะรู้ช่วงเวลาที่กำลังตัดสินใจ เสียงต่อสู้ก็ดังออกมาจากเบื้องหน้า จนเธออดแปลกใจไม่ได้ ไม่ถูก..โดยปกติศิษย์ของสำนักเสียงธรรมจะไม่ลงมือหากไม่ได้รับคำสั่ง เมื่อเป็นเช่นนั้นใครกันที่ยื่นมือเข้ามา

    “คุณหนู ไม่ใช่ศิษย์ของสำนักเสียงธรรมเจ้าค่ะ” อาฉีกล่าวอย่างตื่นตระหนก เดิมทีนางคำนวณคู่ต่อสู้ที่มีร่วมยี่สิบคนก็เริ่มวิตก เพราะศิษย์ของสำนักเสียงธรรมที่ซ่อนอยู่ในเงามืดมีเพียงหยิบมือ ไม่แน่ว่าอาจจะพ่ายแพ้ เวลานี้มีกลุ่มคนบุกมาโจมตี

    สองนายบ่าวได้แต่ข่มใจตัวเองให้อยู่อย่างสงบ ไม่ว่าคนที่อยู่ข้างนอกจะมีเจตนาใด ดีหรือชั่ว พวกเธอไม่ควรตัดสินใจบุ่มบ่ามฝ่าออกไป รังแต่จะทำให้เรื่องวุ่นวาย

    การเคลื่อนไหวด้านนอกค่อยๆเงียบเสียงลง พร้อมกับมีคนผู้หนึ่งก้าวเข้ามาใกล้ประตูรถม้า เหม่ยเซียนเตรียมพร้อมกระชับดอกไม้ในมือแน่น ดอกไม้นี้มีพิษร้ายกาจที่ผู้คนคาดไม่ถึงเจืออยู่ หากผู้มาใหม่ไม่หวังดี เธอเพียงบีบขยี้ดอกไม้ให้ช้ำ โยนโดนลำตัวอีกฝ่ายไม่ว่าจะผ่านผ้าเนื้อดีแค่ไหน เนื้อส่วนนั้นก็พร้อมจะยุ่ยและแหลกเหลวลงทันที

    “แม่นาง..แม่นางน้อย ข้าเป็นคนของอ๋องห้าขอรับ”

    เสียงบุรุษผู้หนึ่งดึงดูดความสนใจของเหม่ยเซียนไปหมดสิ้น คนของอ๋องห้า เกรงว่าจะเป็นบุรุษผู้นั้นที่เธอเคยช่วยเหลือไว้เมื่อคราวก่อน เธอไม่แปลกใจที่เขายื่นมือเข้าช่วย เพราะเธอวางแผนไว้อยู่แล้ว เมื่อครั้งที่มอบหยกให้แก่พี่รอง เกรงว่าเขาตกในสถานการณ์ยากลำบาก จึงดึงป้ายหยกออกมาใช้ เมื่อคนของท่านอ๋องเห็นหยกจึงรุดเข้าช่วยพร้อมกับแจ้งข่าวกับเจ้านาย ท่านอ๋องรับรู้ย่อมสืบหาที่มาของเธอ และเร่งไพร่พลให้มาคุ้มกันเธอที่เมืองหลวง เพื่อตอบแทนคุณ

    นับว่ายิงเกาทันฑ์นัดเดียวได้นกสองตัวโดยแท้

    เด็กสาวยกยิ้มกับแผนการที่สำเร็จลุล่วงของตนเอง ก่อนจะก้าวลงจากรถม้าช้าๆ ด้วยท่วงท่าสง่างาม มองดูบริเวณโดยรอบมีคนเพียงไม่กี่คน ยิ่งทำให้เธอแปลกใจ สำนักสยบเมฆาไม่ได้ด้อย หากเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปนับว่าดีกว่าหลายส่วน แต่คนของท่านอ๋องเพียงหยิบมือกลับกวาดล้างพวกมันได้หมดในระยะเวลาสั้นๆ นับว่าเธอได้เปิดหูเปิดตาแล้ว

    “แม่นางเชิญขึ้นรถม้า ท่านอ๋องต้องการเชิญท่านไปพบ” เป็นเสี่ยวหลงอี้ ฝาแฝดผู้น้องที่จับไม้สั้นไม้ยาวกับพี่ชาย จนตนเองต้องเป็นผู้รับหน้าที่นี้ คิดถึงครั้งแรกที่เห็นฝีมือการวางยาของนางที่หน้าต่างเมื่อสองปีก่อน จนร่างของศัตรูกลายเป็นผุยผง เขาก็ยิ่งเครียดเขม็งไปหมด ไม่กล้าเปิดประตูรถม้าที่นางนั่งอยู่โดยพลการ ด้วยเกรงว่าตนเองจะมีสภาพไม่ต่างกัน

    เหม่ยเซียนไม่ได้อิดออด ยอมก้าวขึ้นรถม้าอย่างง่ายดาย โดยมีอาฉีตามมาไม่ห่าง ตัวรถโคลงเคลงอีกครั้งเพื่อมุ่งไปยังจุดหมาย

     

    รถม้าหยุดที่หน้าเรือนขนาดใหญ่เรือนหนึ่ง รอบด้านเรียบง่ายมีเพียงต้นไม้ประดับไม่กี่ต้น พื้นทางเดินถูกปูด้วยหินอ่อนเป็นแนวยาวรายล้อมด้วยพื้นหญ้าที่ได้รับการดูแลอย่างดี ตามมุมต่างๆจะมีหินขนาดใหญ่วางเรียงไว้หลายก้อน เหมือนสวนเชนที่เห็นได้ในยุคปัจจุบัน เหม่ยเซียนเดินตามพ่อบ้านของจวนไปช้าๆจนหยุดหน้าห้องๆหนึ่ง

    “ท่านอ๋องอยู่ในห้องนี้ แม่นางถอดหมวกออกก่อนดีหรือไม่” พ่อบ้านชรา มีประสบการณ์ในการดูแลรับใช้ราชวงศ์มานับไม่ถ้วน อีกทั้งเขาดูแลท่านอ๋องตั้งแต่เป็นเพียงองค์ชาย เจ้านายของตนนิสัยเป็นเช่นไรย่อมรู้ดี

    เหม่ยเซียนไม่สนใจคำทัดทาน ถึงอย่างไรหมวกใบนี้ไม่สามารถให้ผู้อื่นแตะต้อง เด็กสาวเพียงส่ายหน้าน้อยๆเป็นเชิงปฏิเสธก่อนจะก้าวเข้าไปในห้องโดยไม่สนสายตาเป็นปฏิปักษ์ของพ่อบ้าน ภายในห้องสี่เหลี่ยมเรียงรายไปด้วยชั้นหนังสือหลายชั้น ทั้งทำจากไม้ไผ่หรือกระดาษก็ดี เด็กสาวมองไปมุมหนึ่งของห้องเป็นหน้าต่างบานกว้างที่เผยให้เห็นทัศนียภาพที่งดงามของสระบัวที่ชูช่อเหนือน้ำแย่งกันรับแสงจันทร์อย่างสวยงาม ข้างๆหน้าต่างบานนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งยืนหันหลังให้เธออยู่ เรือนผมสีขาวสะอาดปลิวตามแรงลมเอื่อยๆคล้ายแพรไหมล้ำค่าที่ไม่สามารถประเมินราคา เพียงเท่านี้เธอก็จดจำเขาได้ทันที ในแคว้นนี้คงไม่มีใครมีสีผมสะอาดเช่นเขาอีกแล้ว เพียงแต่...เขาดูสูงขึ้น องอาจขึ้น ร่างกายดูกำยำได้รูป มองแค่ข้างหลังยังทำให้เธอแอบใจเต้นผิดจังหวะ

    “ถวายพระพรองค์ชายห้าเพคะ” เหม่ยเซียนยอบกายลงอย่างอ่อนช้อย รูปร่างผอมบางภายใต้ม่านสีขาวที่ปล่อยระย้าจากหมวก ทำให้ยากแก่การคาดเดาสีหน้า

    “อย่าได้มากพิธี ลุกขึ้นเถิด”

    ภายในห้องเกิดความเงียบเข้าครอบงำ เหม่ยเซียนไม่ได้เอ่ยวาจาใดต่อเธอเพียงยืนเงียบๆก้มหน้าจนคางชิดอกในใจมีความรู้สึกคล้ายกำลังโดนโกรธ แต่เธอไม่เข้าใจ...เรื่องระหว่างเธอและเขาหาได้มีสิ่งใดต่อกัน เธอช่วยเขานับเป็นบุญคุณช่วยชีวิต เขาช่วยพี่รองเธอและยังช่วยเธอ นับว่าบุญคุณได้ตอบแทนกันแล้ว

    “ถอดหมวกคลุมหน้าออก”

    เหยียนเหม่ยเซียนไม่ได้อิดออด ถอดหมวกปีกกว้างที่แสนรุ่มร่ามออกช้าๆ จนไร้ปราการใดขวางกั้น ร่างแน่งน้อยที่ติดจะผอมบางปรากฏให้เห็นตรงหน้า นางสูงขึ้นกว่าสองปีก่อนก็จริง แต่ไม่นับว่ามากมายอะไร เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ศีรษะนางถึงแค่ใต้อกเขาเท่านั้น เรือนผมดำสนิทอาบย้อมไปดวงแสงจันทร์อยู่ร่ำไร ทำให้ดูเงาขลับดูสุขภาพดี ริมฝีปากอวบอิ่ม จมูกโด่งรั้น และดวงดาราสีฟ้ากระจ่างชวนให้แปลกประหลาดและตกบ่วงเสน่หาอยู่ในที ดวงหน้างามที่อวี้หลงเห็นทำให้ลมหายใจเขาสะดุด เป็นอย่างที่คาดไว้ไม่ผิด เด็กสาวในวันนั้นเติบโตขึ้นเป็นโฉมสะคราญล่มบ้านล่มเมืองได้อย่างแท้จริง

    เพียงแต่ดวงดาราสีฟ้ากระจ่างราวเกลียวคลื่นคู่นี้ จะนำภัยให้แก่นางมากกว่าโชค ชาวบ้านในเมืองหลวงยังตามืดบอด ไม่เคยเห็นผู้ใดมีสีตาเช่นนี้ คงได้หลีกหนีจากนางไม่ต่างจากสัตว์ประหลาด

     เด็กสาวรู้สึกอึดอัด สายตาที่มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่พูดกล่าวสิ่งใด เริ่มทำให้เธออยู่เฉยไม่ได้ ครั้นเมื่อเงยมองร่างสูงที่หยุดยืนตรงหน้าก็ทำให้ประหวั่นนัก จ้าวอวี้หลงที่เดิมทีมีแต่กระดูก ยามนี้ร่างกายหนาขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ยามขยับกายมัดกล้ามที่เรียงรายบนหน้าท้องก็สั่นไหวตาม ใบหน้าที่เคยซูบซีดบัดนี้มีชีวิตชีวิตและเจือความเย้ายวนของบุรุษอยู่ในที จนเหม่ยเซียนนึกทึ่ง หล่อเหลาขนาดนี้เชียวหรือ..ทำไมเธอไม่ยักรู้

    “ท่านอ๋อง ทรงเชิญหม่อมฉันมาทำไมหรือ” เหม่ยเซียนเอ่ยทำลายความเงียบ คราก่อนคิดว่าเขาเป็นขุนนางใหญ่ อาจจะเป็นแม่ทัพหรือใหญ่โตกว่านั้น จึงละเลยวิธีการพูด แต่บัดนี้คงทำเช่นนั้นไม่ได้ จ้าวอวี้หลงเป็นถึงชินอ๋องของแคว้น เป็นรองเพียงรัชทายาทและฮ่องเต้ บัดนี้ไม่มีรัชทายาทและฮองเฮาอำนาจทั้งหมดของเขาย่อมไม่ต่างอะไรกับพยัคฆ์ติดปีกที่มีมังกรหนุนหลัง จะทำการเสียมารยาทไม่ได้เด็ดขาด

    “พูดกับข้าเช่นเดิม” อวี้หลงขมวดคิ้ว ไม่เคยชินกับท่าทางของนางเช่นนี้

    “ท่านอ๋อง ศักดิ์ของท่านเป็นที่ประจักษ์ คราก่อนข้าไม่ทันระวังต้องขออภัย แต่ยามนี้จะทำเมินเฉยคงไม่ได้”

    “เหม่ยเอ๋อร์”

    “เจ้าคะ” เหยียนเหม่ยเซียนไม่เข้าใจ ชายผู้นี้จงใจเมินเฉยต่อคำถามของเธอสองคราติดกัน ไม่เพราะกำลังหลบเลี่ยงคำตอบหรือเพราะสาเหตุอื่น เด็กสาวทำใจกล้าเงยหน้าสบตาคู่คมอย่างระมัดระวัง ความหมายของเขาสื่อชัด เป็นการบีบบังคับให้นางตามใจ ด้วยการแทนชื่อของตนเอง

    เหม่ยเซียนแอบกรอกตาขึ้นบน เอาแต่ใจเสียจริง หากไม่ทำตามประสงค์เกรงว่าวันนี้เขาคงไม่เลิกรา เธอจึงตัดสินใจถอยก้าวหนึ่ง เรียกยศเขานำหน้า แต่คำลงท้ายใช้เจ้าคะเพื่อไม่ให้ห่างเหินจนเกินไป

    “ท่านอ๋องให้คนเชิญเหม่ยเอ๋อร์มาเพราะเรื่องใด”

    “เหตุใดจึงมอบหยกของข้าให้บุรุษอื่น” 

    อ๋อ...นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาโกรธกระมัง หยกเป็นเครื่องประดับคู่กาย นอกจากบ่งบอกฐานะ ยังให้แทนตัว โดยเฉพาะการเข้าวัง ต้องแสดงหยกทุกครั้ง เธออุกอาจโยนหยกให้คนอื่น เขาโกรธก็นับว่าถูกต้องแล้ว

    “เหม่ยเอ๋อร์มีความจำเป็น หยกที่ท่านอ๋องมอบให้เพื่อทดแทนคุณ เหตุการณ์ของศิษย์พี่รองคับขันจึงไม่ทันระวัง มอบหยกให้เขาเพื่อคุ้มภัย”

    ที่แท้..บุรุษผู้นั้นก็เป็นศิษย์พี่ของนาง จ้าวอวี้หลงมีสีหน้าผ่อนคลายลงหลายส่วน พลอยให้เหม่ยเซียนปลอดโปร่งไปด้วย เธอไม่สามารถเปิดเผยฐานะคุณชายรองสกุลเหยียนของพี่รองได้ ให้เขาเข้าใจว่าพี่รองเป็นศิษย์พี่รองของเธอย่อมปลอดภัยกว่า หากเขาสืบสาวเรื่องราวของเธอได้ทั้งหมด เกรงว่าใต้หล้าจะวุ่นวายหากรู้ว่าสกุลเหยียนมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักเทียบสุริยันถึงสองคน โชคดีที่พี่รองรอบครอบ ผลัดเปลี่ยนตัวกับคุณชายรองเอาไว้

    “ท่านอ๋อง ท่านช่วยศิษย์พี่รองให้ปลอดภัยนับเป็นการตอบแทนคุณแล้ว ครานี้ท่านยังช่วยเหม่ยเอ๋อร์จากคนร้ายอีก เหม่ยเอ๋อร์ซึ้งใจยิ่ง”

    “เหตุใดเจ้าถึงข้องเกี่ยวกับสกุลหลิน” ชินอ๋องของแคว้นเอ่ยถาม เมื่อครั้งอยู่เมืองชิง องครักษ์ส่งคนมาแจ้งข่าวว่าหยกเคลื่อนไหว เขาตามไปที่เกิดเหตุเห็นชายผู้หนึ่งถือหยกไว้ ไม่อาจนิ่งนอนใจจึงเข้าช่วยเหลือ จนชายผู้นั้นขึ้นเขาสยบมารไปไม่เหลียวหลัง สอบถามจากองครักษ์ที่ส่งข่าวจึงได้รู้ว่าหยกนี้มีสตรีนางหนึ่งมอบให้ชายผู้นี้อีกที จึงเร่งเท้ากลับมาเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว

    หูตาในเมืองหลวงของเขามีอยู่หลายจุด สอบถามเพียงไม่กี่ประโยคก็จับใจความได้ว่าเป็นนาง ศิษย์ของสำนักเทียบสุริยัน เดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อตามหาศิษย์พี่ ท่านหมอไคว่ผู้เลื่องชื่อพร้อมกับบุรุษคนดังกล่าว มาดว่าเป็นศิษย์พี่รองของนาง ตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วที่นางสามารถรักษาพิษของเขาได้จนกระทั่งหายดี อีกทั้งดูเหมือนว่านางจะเป็นคุณหนูใหญ่สกุลเหยียนด้วย

    จ้าวอวี้หรงไม่คิดเปิดโปงนาง เรื่องนี้คนอื่นสืบสาวได้ยาก เพราะไม่เคยมีใครเห็นหน้าค่าตาของคุณหนูสกุลเหยียน และหมอเทวดาตงศิษย์น้องของหมอเทวดาไคว่ นางฉลาดนัก ปิดบังตัวตนของตัวเองมาหลายปี เขาไม่แปลกใจที่สายของเขาสืบหาเรื่องราวของนางไม่ได้สักเรื่อง

    “ศิษย์พี่ของเหม่ยเอ๋อร์ ถูกคนพวกนั้นจับตัวไป แต่สุดท้ายแล้วศิษย์พี่ไม่ได้กลับสำนัก เหม่ยเอ๋อร์จึงต้องการจะสืบข่าว เดินทางจากสำนักมาพร้อมศิษย์พี่รอง”

    “เช่นนี้ดีหรือไม่ เหม่ยเอ๋อร์รอข่าวจากสำนักที่ตำหนักของข้า ย่อมปลอดภัยกว่าสกุลเหยียน ตำหนักพยัคฆ์หวนมีทหารและองครักษ์คุ้มกันตลอดเวลา เจ้าคงไม่อยากลากสกุลเหยียนมาเสี่ยงภัยใช่หรือไม่”

    เหม่ยเซียนลองคิดตาม ถึงแม่สกุลเหยียนขณะนี้มีแต่ยอดฝีมือจากสำนักเสียงธรรม แต่ในสกุลมีสตรีสูงวัยและเด็กอ่อน ซึ่งมีศักดิ์เป็นบุตรสาวของอนุภรรยา คนภายนอกมองพวกเขาอ่อนแอ สกุลหลินไม่ใช่คนโง่ หากเขาสืบสาวว่าเธอเกี่ยวข้องกับสกุลเหยียน เขาต้องนำคนในสกุลมาต่อรองแน่

    “เช่นนั้นก็ดี” เหยียนเหม่ยเซียนตอบรับอย่างว่าง่าย หลังจากนี้ค่อยให้ศิษย์ของสำนักเสียงธรรมไปส่งข่าวแจ้งพี่รองว่าเธออาศัยอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน

    หุบเขาสยบมาร คนภายนอกเข้าออกยาก เพราะไม่มีป้ายผ่านทาง ป้ายที่ว่านี้เป็นของที่สำนักจะมอบให้เฉพาะศิษย์ของสำนักแบ่งเป็นสามระดับ ระดับแรกคือป้ายทองสำหรับศิษย์เอกสำนักเทียบสุริยัน ป้ายนี้สามารถเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดของหุบเขา ป้ายที่สองคือป้ายหยก สำหรับศิษย์ของสำนักเสียงธรรม เข้าได้แค่ส่วนในของสำนักเสียงธรรม แต่ไม่สามารถเข้าถึงตำหนักเทียบสุริยันได้ ป้ายสุดท้ายคือป้ายไม้ เป็นป้ายสำหรับศิษย์สายรองของสำนักเสียงธรรม อยู่ได้แค่เขตฝึกวิชาที่กำหนด

    ในแต่ละป้ายจะมีวิชาแก้ค่ายกล ท่านย่าเล่าว่าหุบเขาสยบมารกางม่านอาคมและเขียนค่ายกลไว้มากมาย คนที่ขึ้นมาส่วนใหญ่จะออกไปไม่ได้เพราะติดในค่ายกล ศิษย์สายนอกที่ลองดีอยากเข้าไปเยือนเขตของสำนักเทียบสุริยัน ก็จะโดนค่ายกลเล่นงาน ไม่มีข้อยกเว้น นอกจากว่าจะแลกป้ายที่จุดผ่านทาง ก่อนเข้าเขตชั้นในของสำนักเสียงธรรม หรือเขตสำนักเทียบสุริยันก็ตาม

     

     เหม่ยเซียนเดินตามพ่อบ้านของตำหนักไปยังเรือนด้านหลัง ผ่านประตูใหญ่ทรงกลมจะเจอกับสะพานที่ทอดยาวไปยังเรือนหนึ่ง รอบด้านของเรือนเป็นสระบัวหลากสีสัน เรือนหลังนี้มีขนาดกลางๆแบ่งเป็นสามห้องหลัก ห้องนอนใหญ่ ห้องหนังสือ ห้องรับรองแขก ห้องข้างสำหรับสาวใช้ และมีห้องครัวอยู่ด้านหลังห้องหนึ่ง รอบพื้นดินเป็นรูปวงกลม ไม่มีกำแพงหรือต้นไม้กั้น คล้ายลอยอยู่กลางน้ำก็ไม่ปาน ข้างๆสระบัวมีเรือเล็กลำหนึ่งเทียบท่าอยู่ที่คอสะพาน

    “คุณหนู เรือนนี้ชื่อเรือนธาราพิสุทธิ์ หากคุณหนูต้องการสิ่งใดเพิ่มเติมสามารถบอกสาวใช้ได้ ท่านอ๋องมอบสาวใช้คนนี้ไว้คอยปรนนิบัติท่าน”

    พ่อบ้านของตำหนักค้อมกายอย่างสุภาพ นานแล้วที่ท่านอ๋องไม่ได้เชิญสตรีมายังตำหนัก นอกจากอดีตฮองเฮาที่ยามนี้ออกเที่ยวทั่วยุทธภพละทิ้งฐานันดร ก็เป็นเวลาหลายปีแล้ว อีกทั้งนางเสียมารยาทสวมหมวกเข้าพบ แต่ท่านอ๋องไม่ตำหนิแม้เพียงครึ่งคำ  ทำให้พ่อบ้านเดาไม่ยากว่าสตรีนางนี้คงมีความพิเศษบางอย่าง เขาเองก็ไม่อาจล่วงเกิน

    “เชิญคุณหนูพักผ่อน” พ่อบ้านหลี่ถอยเท้าออกไปจากประตู ก่อนที่สาวใช้คนหนึ่งจะเดินมาคารวะ ดูจากหน้าเด็กคนนี้น่าจะอายุราวๆสิบห้าสิบหก ทั้งดวงตาและท่าทางร่าเริงแจ่มใสไปหมดจนเธออดยิ้มตามไม่ได้

    “คารวะคุณหนูเจ้าค่ะ บ่าวชื่อเสี่ยวซัว”

    “เสี่ยวซัวที่แปลว่าพูดน้อยน่ะหรือ”

    “ถูกแล้วเจ้าค่ะคุณหนู มารดาของบ่าวชอบคนพูดน้อย ยามเกิดก็ตั้งชื่อให้บ่าวว่าเสี่ยวซัว หวังให้บ่าวไม่พูดมาก ซึ่งบ่าวก็ทำตามที่มารดาปรารถนามาตลอด บ่าวเป็นคนพูดไม่เก่งเจ้าค่ะ”

    อืม...มารดาคงไม่คิดว่าอนาคตเจ้าจะเป็นคนพูดน้อยกระมัง

    “เป็นชื่อที่ดี นี่อาฉีเป็นผู้ติดตามของข้า” เหม่ยเซียนผายมือไปยังอาฉีที่ยืนค้อมกายอยู่ด้านหลัง สองคนนี้อายุต่างกันเพียงสามปี แต่ช่างให้อารมณ์ต่างกันนัก “เสี่ยวซัว ข้ากระหายน้ำยิ่งนัก เจ้าช่วยไปต้มน้ำขิงให้ข้าสักถ้วยเถิด” เหม่ยเซียนเรียกใช้ด้วยความอารีหลายส่วน พลางส่งยิ้มน้อยๆไปให้ เสี่ยวซัวยิ้มรับเต็มใบหน้าก่อนจะกระวีกระวาดออกไป เมื่อลับร่างของสาวใช้ตัวน้อยแล้ว ในห้องก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง

    “อาฉี ส่งคนไปแจ้งแก่พี่รอง ว่าเราพำนักที่ตำหนักของชินอ๋อง ส่งจดหมายฉบับนี้ให้พี่รองเขาจะเข้าใจทุกอย่าง” เหม่ยเซียนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกจากอกเสื้อ เมื่อครู่เธอขอยืมใช้พู่กันและกระดาษของท่านอ๋อง เพื่อแจ้งข่าวที่ตนรู้ให้กับพี่รอง พร้อมกับรายงานว่าตนเองปลอดภัย หวังว่าพี่รองจะมาหาในเร็ววัน ในจดหมายถูกอบไว้ในอกเสื้อของเธอเมื่อครู่เกือบๆครึ่งก้านธูป

    ภายในเสื้อผ้าของเหม่ยเซียนมีพิษประกอบไว้เก้าส่วน นอกจากจดหมายจะเคลือบไว้ด้วยพิษแล้ว เธอยังใส่กลีบดอกไม้บางชนิดปะปนลงไป หากผู้เปิดไม่ใช่พี่รอง จดหมายฉบับนี้จะแผ่พิษออกมาจางๆ จนมือไม้เปื่อยยุ่ย ดังนั้นการส่งจดหมายของเธอย่อมห่อด้วยผ้าชนิดหนึ่งสีดำสนิท หาไม่แล้วพิษอาจรั่วไหลออกมา

    “ระวังให้ดี หากจดหมายไม่ถึงมือพี่รอง ข้าก็ไม่อาจรับประกันชีวิต” เหม่ยเซียนพูดขู่ยิ้มๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ไว้วางใจศิษย์เสียงธรรม เธอเพียงอยากเตือนเรื่องความระมัดระวังเท่านั้น ในสำนักทั้งสองมีเพียงพี่รอง พี่ใหญ่ พี่สาม ท่านพ่อ ท่านแม่ และท่านย่าเท่านั้นที่รู้วิธีเปิดจดหมาย ศิษย์สำนักเสียงธรรมเองก็ไม่เคยละเลยคำสั่งของบรรดาศิษย์เอกของสำนักเทียบสุริยัน แต่ระหว่างทางพวกเขาจะเจอสิ่งใดบ้างก็ไม่อาจรู้

    “เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” อาฉียอบกายครึ่งหนึ่งก่อนจะถอยเท้าออกจากเรือนกลางน้ำ ทะยานขึ้นสูงจนถึงขอบกำแพงอีกด้าน อาฉีเป็นยอดฝีมือ และยังเป็นศิษย์เอกของสำนักแสงธรรม นางมีศิษย์ในมืออยู่หลายคนล้วนเป็นคนที่ได้คุณภาพ ดังนั้นเธอจึงวางใจกึ่งหนึ่งที่จะส่งคนในสังกัดของอาฉีไป

    “น้ำขิงมาแล้วเจ้าค่ะคุณหนู” เสี่ยวซัวเดินเข้ามาในห้องรับรอง ก่อนจะวางถาดน้ำขิงไว้ที่โต๊ะด้านข้าง กลิ่นน้ำขิงจางๆที่แตะปลายจมูกทำให้เธออารมณ์เย็นลงหลายส่วน ลอบสังเกตสีหน้าของเด็กสาวไปด้วยอย่างแนบเนียน อาฉีไม่ได้อยู่ในห้อง แต่เด็กคนนี้ไม่เอ่ยถามแม้เพียงครึ่งคำ ผิดจากวิสัยที่ช่างพูด นี่แสดงว่า...เด็กคนนี้ก็ไม่ธรรมดา

    “เสี่ยวซัวไปเตรียมน้ำอุ่นให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้าอยากอาบน้ำก่อนเข้านอนเสียแล้ว”

    “ได้เจ้าค่ะคุณหนู” เด็กสาวยิ้มกว้างรีบเดินออกไปด้านหลังเรือนเพื่อเตรียมน้ำอุ่น เป็นจังหวะที่อาฉีทะยานกลับเข้ามาพอดี “เรียบร้อยใช่หรือไม่”

    “เจ้าค่ะคุณหนู ดูท่าท่านอ๋องจะทราบประสงค์ของคุณหนู จึงวางเวรยามหละหลวม ทำให้ติดต่อกับคนภายนอกได้ง่าย”

    “ไม่ใช่หรอก เขาจงใจให้เจ้าออกไปแจ้งข่าวมากกว่า อีกทั้งเสี่ยวซัวเองก็หาใช่ธรรมดา เราต้องระวังตัวกันสักนิด” เหม่ยเซียนไม่อาจวางใจ เธอเคยมีบุญคุณช่วยชีวิตเขานั้นไม่ผิด แต่เรื่องนี้ก็ผ่านมาเกือบสองปีแล้ว ใจคนเปลี่ยนง่ายยิ่งกว่าทิศทางลม ไม่แน่ว่าคนผู้นี้อาจจะมีเจตนาอื่นแอบแฝง

    “ข้าทราบแล้ว” อาฉีรับคำ ก่อนจะพาเหยียนเหม่ยเซียนไปยังห้องอาบน้ำเพื่อชำระกาย หลังจากเสี่ยวซัวออกมารายงานว่าน้ำอุ่นพร้อมแล้ว

     

    “ท่านอ๋องเมื่อครู่สาวใช้ของคุณหนูออกไปส่งข่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หลงอี้เข้ามารายงานที่เรือนใหญ่ด้วยท่าทางสุขุม เขาเป็นคนสั่งให้องครักษ์ที่รักษาการณ์รอบด้านเปิดทางให้สาวใช้คนนั้นเอง ตามคำสั่งของท่านอ๋อง

    “คอยเฝ้าระวังให้ดี ส่งคนไปสืบข่าวท่านหมอไคว่ด้วย” จ้าวอวี้หลงพึ่งเดินทางกลับจากชายแดนเมืองเล่อ ถึงแม้จะไม่มีสงคราม แต่ชาวต่างถิ่นพวกนั้น อย่างไรก็ต้องเฝ้าระวัง เดินทางผ่านเมืองหลวงไปถึงเมืองชิง เพราะอยากสืบข่าวของผู้มีพระคุณ ยามที่ได้ยินว่าหยกเคลื่อนไหวก็เร่งเดินทางอย่างมีความหวัง มาถึงตีนเขาเห็นเป็นบุรุษจึงนึกแปลกใจ ถามข่าวคราวจากองครักษ์ที่ติดตามหยกจึงรุ้ว่านางอยู่เมืองหลวง ก็เร่งเดินทางกลับอีก

    ไม่ง่ายเลย...ใช้เวลาเพียงสองวันเพื่อเดินทางไปมาแบบนี้ ทำให้เขาเหนื่อยยิ่งนัก

    “ท่านอ๋องแล้วสกุลหลิน”

    “ให้คนแฝงตัวเข้าไประวังภัย อย่าให้พวกมันสืบสาวได้ถึงตัวนาง” ยามนี้สกุลหลินคงกระสับกระส่ายไม่น้อย เพราะอยู่ๆก็ถูกชิงตัวประกันไป

    “ท่านอ๋อง เมื่อครู่มีองครักษ์จากในวังมาส่งข่าว”

    “อืม” มาดว่าพระเชษฐาของเขาคงรู้ข่าวที่เขาพาสตรีเข้าตำหนักแล้วกระมัง เร็วเสียจริง...มองรอบตำหนักคงมีคนแค่คนเดียวที่กล้าทำแบบนี้ “ส่งคนไปทูลเสด็จพี่ ช่วงนี้ข้าไม่ว่าง”

    “พ่ะย่ะค่ะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×