ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 5 พ.ย. 63


    บทนำ

    ปัจจุบันสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแออัดไปด้วยเด็กจำนวนมากที่ถูกทิ้งขว้าง เพราะวุฒิภาวะ​ของพ่อแม่ที่ไม่พร้อมสำหรับการเริ่มชีวิตครอบครัว เด็กส่วนมากมักพบเจอกับเรื่องเลวร้าย ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ข่าวการทำแท้งหรือทิ้งสิ่งมีชีวิตของเด็กทารกมักปรากฏ​ในทุกๆวันของหนังสือพิมพ์ หรือตามโลกออนไลน์ต่างๆ ถึงทางการจะออกกฎหมายรุนแรงขั้นสูงสุดสำหรับผู้หญิงที่ทิ้งขว้างเด็ก แต่น่าเสียดาย นอกจากคนเหล่านั้นไม่เกรงกลัวแล้ว หลังออกจากที่คุมขังก็ก่อเหตุแบบนี้เรื่อยมา 

    สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เป็นเสมือนบ้านหลังหนึ่งของทารกน้อย ทุกคนต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่าสถานที่แห่งนี้คือความสุขของเหล่าเด็กกำพร้าก่อนที่จะมีคนมาอุปถัมภ์​อย่างแน่นอน 

    แต่ว่า... ความจริงอันโหดร้ายไม่เคยปรากฏให้เห็น รัฐบาลมอบเงินสนับสนุนให้กับสถานเลี้ยงเด็กเป็นรายเดือน ซ้ำเงินที่ได้มาก็หาได้มากมายขนาดเลี้ยงเด็กได้หลายร้อยคน เงินอัตราจ้างของเหล่าผู้ดูแลจึงถูกทอนลงด้วย 

    เงินน้อย งานหนัก และยังต้องปวดหัวกับนิสัยที่แตกต่างของเด็กๆ มีหรือพวกเขาจะทนไหว ส่วนมากไม่เกินเดือนก็ลาออก บางครายังเกิดการทุบตีเด็กอย่างทารุณ บางคราเด็กน้อยก็อดมื้อกินมื้อ หากดื้อก็ถูกขังเดี่ยว ท่ามกลางความทารุณนี้ เจ้าของสถานเลี้ยงเด็กยังปิดตาข้างหนึ่งไม่แจ้งแก่ทางการ

    “กินให้หมด! รู้ไหมมีเด็กหิวโหยอีกกี่คน มีแกคนเดียวได้กินข้าว สำนึกไว้แล้วกินๆไป” น้ำเสียงเกรี้ยวกราดด่าทอ ด้วยความสะใจส่วนตัว ถาดสแตนเลสอย่างดีถูกโยนมาเบื้องหน้าเด็กสาวอายุสิบห้าปี เธอนั่งอยู่บนรถวีลแชร์บ่งบอกถึงความพิการทางร่างกาย ใบหน้าซูบไม่บ่งบอกความงามใดนิ่งสงบไม่เหมาะสมกับวัย

    ความร่าเริงในอดีตคล้ายภาพฝัน เด็กน้อยอายุห้าปีที่วิ่งเล่นในสวนสวยหลังคฤหาสน์คล้ายฝันตื่นหนึ่ง รอยยิ้ม แววตาและเสียงหัวเราะคลอไปกับเสียงคนใช้นับสิบที่ตามจับ ภาพพ่อและแม่นั่งหยอกล้อกันด้านหนึ่งด้วยความสุข เมื่อเธอหลุดพ้นจากการไล่จับของสาวใช้แล้วก็วิ่งไปหาบุพการีทั้งสอง น้ำเสียงอารีดูห่างไกล จนเธอจำไม่ได้แล้วว่าความจริงเธอมีชื่อว่าอะไร..

    ในคืนที่พายุลูกใหญ่โหมกระหน่ำ อย่างบ้าคลั่ง ร่างของเธอหลุดกระเด็นจากกองไฟไปไกล รถยนต์ราคาหลายล้านระเบิดเป็นจุล ร่างของพ่อติดอยู่ในนั้น เธอเห็นร่างของแม่โผล่พ้นตัวรถออกมากึ่งหนึ่ง แต่ทว่าไม่สามารถขยับได้ รอยยิ้มอบอุ่นส่งตรงถึงหัวใจ น้ำตาไหลเป็นสายด้วยเสียดายชีวิต แต่ในความเสียดายนั้นยังมีความสุขเหลือล้น อย่างน้อยลูกสาวสุดที่รักก็ปลอดภัย

    เธอกรีดร้องมองภาพพ่อกับแม่ที่จมในกองเพลิง ขาสองข้างไร้เรี่ยวแรงไม่มีความรู้สึก จะขยับกายก็ไม่เป็นไปตามใจนึก มองร่างของพวกเขาที่หายไปในกองเพลิง น้ำตาไหลพรากเป็นสายพร้อมๆกับความปวดร้าวที่เกิดขึ้นกับร่างกาย

    ค่ำคืนแห่งความสูญเสียยังไม่จบเพียงเท่านั้น เธอตื่นขึ้นในโรงพยาบาล สีขาวของเพดานไม่ได้ทำใจจิตใจเธอสงบสุขเลย ถึงจะอายุแค่ห้าปี แต่ภาพที่พ่อกับแม่ดิ้นทุรนทุรายท่ามกลางกองเพลิงยังติดตา ข้างเตียงมีบุรุษวัยกลางคนซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงยืนอยู่ ดวงตาของเขาแดงก่ำบ่งบอกถึงความเสียใจของตนได้อย่างดี เขารับเธอไปเลี้ยงและดูแลเธอแทนพ่อแม่ของเธอ

    ในเวลานั้นตำรวจและทนายวิ่งวุ่นไปทั่ว เพื่อสรุปคดีที่เกิดขึ้น และได้ข้อสรุปว่ารถยนต์เบรกแตก ทำให้พุ่งชนไหล่ทางและเกิดการระเบิดในที่สุด แต่..เธอรู้ว่าไม่ใช่ ถึงแม้ว่าคืนนั้นฝนตกจนถนนลื่น หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ตำรวจกล่าวมา ในคืนนั้นเธอเห็นชัด รถยนต์ยี่ห้อดังของคุณลุงจอดอยู่ไม่ไกล เขารอจนรถของพ่อแม่เธอระเบิด จึงขับกลับไปอีกทาง

    ความเสียใจที่สูญเสียพ่อแม่ ยังไม่เสียใจเท่าเรื่องนี้ในเวลานั้นเธอได้แต่คิด ทำไมคุณลุงต้องทำแบบนี้

    “ไปอยู่กับลุงนะ” คำเชิญชวนสั้นๆคำหนึ่งหลังจากที่เธอตื่นขึ้นมา

    เด็กห้าขวบในตอนนั้นสามารถทำสิ่งใดได้อีก นอกจากเชื่อฟังและตามไปอยู่อย่างเงียบๆ แน่นอนว่านรกบนดินมีอยู่จริง แรกๆครอบครัวคุณลุงดูแลเธออย่างดี แต่หลังจากเปิดพินัยกรรม พ่อแม่ของเธอระบุไว้ชัดว่าให้เธอเป็นผู้รับมรดก คุณลุง คุณป้า และลูกสาวของพวกเขาก็เปลี่ยนไป แววตาอาฆาตมาดร้าย บางครั้งยังโดนกลั่นแกล้ง อดข้าวอดน้ำ  

    เธอจำได้ดี..ค่ำคืนหนึ่งที่เธอเดินผ่านห้องทำงานของคุณลุง แผนการชั่วร้ายและเรื่องราวในอดีตอันสกปรกของพวกเขาก็ถูกนำกลับมาปรึกษากันอีกรอบ คุณปู่ที่เสียไปยกมรดกหลายพันล้านให้กับคุณพ่อ ซึ่งเป็นน้องคนสุดท้อง แทนที่จะเป็นคุณลุงผู้เกิดก่อน ด้วยความละโมบของเขา ทำให้เขาตัดสินใจฆ่าน้องชายของตนเอง อนิจจา..น่าเสียดายนักที่บิดาเธอรู้ตัวก่อน จึงเขียนพินัยกรรมไว้ให้เธอโดยระบุเอาไว้ หากเธออายุถึงสิบแปดปี จะเป็นผู้สืบทอดกิจการทั้งหมด ทั้งนี้ระหว่างที่อายุเธอยังไม่ถึงกำหนด ให้คุณลุงเป็นผู้ดูแลไปก่อน

    แต่ทว่าคุณลุงและคุณป้าของเธอมีความคิดเห็นไม่ลงรอยกันเท่าไหร่นัก เธอได้ยินพวกเขาทะเลาะกันเสียงดัง จับใจความไม่ได้ว่าพูดกันเรื่องใด

    ในตอนที่เปิดพินัยกรรม เธอรู้ได้ทันทีว่าชีวิตเธอคงอยู่ต่อได้ไม่นาน เข้าปีที่เจ็ด ในวันครบรอบวันเกิดเธอ ระหว่างเดินทางจะไปส่งเพื่อนสนิท รถยนต์ที่นั่งมาเกิดขัดข้อง สายเบรกถูกตัด เหตุการณ์ที่พ่อกับแม่เธอเสียชีวิตแล่นทับในความทรงจำ ฉับพลันโลกทั้งโลกก็หมุนคว้างหาทิศทางไม่เจอ

    ครานี้เสียงของคุณป้าก็ดังอยู่ไม่ไกลอย่างชัดเจน ‘ตายไปได้ก็ดี แกมันตัวปัญหาขัดความสุขของฉัน’ น้ำเสียงของหล่อนไม่มีแววเสียใจแม้แต่น้อย ในตอนนั้นเธอจึงชัดแจ้งแล้ว เพื่อเงิน เพื่ออำนาจ พวกเขายอมทำทุกอย่างแม้กระทั่งฆ่าสายเลือดของตนเอง เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ สติของเธอแจ่มชัดในวันหนึ่ง ความทรงจำต่างๆยังอยู่ครบดี

    น่าเสียดาย ทุกอย่างล้วนเป็นความจริง... ในคืนนั้นท่ามกลางรถที่ลุกไหม้ ร่างของคนขับรถและเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวของตนเองต้องตายอย่างทรมานอีกครั้ง เธอได้แต่มองอยู่เช่นนั้น นอนแน่นนิ่งรอความตาย จนท้ายที่สุดความอบอุ่นสายหนึ่งก็โอบรอบตัวเธอไว้ กองเพลิงขนาดใหญ่สร้างรอยแผลตามร่างกาย อีกทั้งสติก็พร่าเลือนทำให้เธอได้ยากว่าใครเป็นผู้ช่วยเธอไว้ เขาฝากเธอไว้สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และจากไปโดยให้เงินกับผู้ดูแลไว้จำนวนหนึ่ง หน้าตาเห็นไม่ชัดสิ่งเดียวที่จดจำได้คือขี้แมลงวันใต้ดวงตาข้างขวา และคำมั่นเดียวที่ให้ไว้คือ รออยู่ที่นี่แล้วใช้ชีวิตดีๆ สักวันฉันจะมารับ

    เธอไม่รู้ว่าวันเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เงินที่ชายคนนั้นให้ไว้ก็เริ่มหมดลงเรื่อยๆ อาหารการกินที่เคยดูดีตอนนี้เป็นเพียงอดีต จานหลุมขนาดกลางเต็มไปด้วยอาหารเน่าเหม็น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันไม่สามารถกินได้ ถ้าเป็นเด็กทั่วไปคงถูกขังในห้องมืดๆห้องหนึ่งเป็นการทำโทษ แต่กับเด็กพิการแบบเธอแล้ว พวกเขาจะทุบตีและปล่อยลงน้ำเกือบครึ่งค่อนวัน มือสองข้างต้องยึดให้มั่นจนกว่าจะมีใครมาช่วย

    รอยยิ้มขมขื่นปรากฏบนใบหน้า เด็กหญิงเช่นเธอต้องพบเจอเรื่องแบบนี้อีกกี่ครากัน มือเล็บที่มีหนังห่อหุ้มเพียงน้อยเต็มไปด้วยร่องรอยการทำร้ายร่างกาย เธอต้องฝืนกินข้าวที่ส่งกลิ่นเหม็นจนหมดจาน เพื่อชีวิตให้อยู่รอด หลายครั้งที่เธอครุ่นคิด เธอจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม พ่อแม่ก็ตายจาก ขาพิการและยังไร้เรี่ยวแรง สู้ตายไปเสียยังดีกว่า..

    แต่กระนั้นทุกครั้งที่คิดจะอดข้าวตาย หรือจมน้ำตายก็ตาม เสียงของคุณลุงคอยหลอกหลอนเธอ เธอจะตายไม่ได้จนกว่าจะได้แก้แค้น อย่างน้อยก็ทำให้เขาเจ็บแสบบ้าง ความหวังอันน้อยนิดที่ไม่มีทางเป็นจริงหล่อหลอมให้เธอมีชีวิตอยู่

    “ทำหน้าตาเช่นนี้อีกแล้ว” น้ำเสียงสตรีคนหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิด ก่อนที่ร่างแบบบางจะปรากฏขึ้น เนื้อกายสีขาวโปร่งใสแลดูน่ากลัวสำหรับหลายๆคน เพราะสตรีนางนี้เป็นวิญญาณ หรือคนทั่วไปเรียกว่า ‘ผี’

    “คุณเองก็แอบดูอีกแล้ว”

    “ชีวิตเธอช่างน่าเบื่อจริงๆ” ผีสาวแสร้งถอนหายใจ เด็กสาวบนเก้าอี้วีลแชร์ได้แต่ยกยิ้มบางเบา นับตั้งแต่ผ่านความเป็นความตายมาคราหนึ่ง ทำให้เธอมีความสามารถพิเศษบางอย่าง คือสื่อสารกับวิญญาณได้

    จริงอยู่ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างน่ากลัว และเหลือเชื่อเกินไป หลายครั้งเธอคิดว่าเธออาจจะเสียสติไปแล้ว แต่...เรื่องทั้งหมดคือความจริง

    “พวกเด็กๆมาหาเธอน่ะ” สิ้นเสียงของวิญญาณสาว เด็กน้อยหลายคนก็ลอยละลิ่วเข้ามาทางหน้าต่างทันที บางคนก็ผอมแห้งแทบเห็นกระดูก บางคนก็อืดบวมเสมือนตอนที่จมน้ำตาย เห็นภาพนี้เด็กสาวก็ได้แต่ปลงในใจ

    สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งนี้ตั้งอยู่ชานเมือง มีเด็กนับร้อยชีวิตที่อาศัยอยู่ ส่วนมากเด็กที่แขนขาครบจะถูกเกณฑ์ให้ไปทำงานเย็บหมอนเย็บผ้าห่มทำงานฝีมือ เพื่อเอาไปขายหาเงินเข้าสถานเลี้ยงเด็ก เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กพิการอย่างเธอจึงไร้ประโยชน์ เพราะไม่สามารถทำงานใดๆได้ และยังถูกกลั่นแกล้งรังแกหลายครั้ง

    “พี่สาว หนูมาหาพี่แล้ว มีนิทานเล่าให้ฟังอีกไหมครับ” เด็กชายคนหนึ่งอายุราวๆสามสี่ขวบเขย่าแขนเธอด้วยความตื่นเต้น และยังมีเด็กหญิงอีกหลายคนวิ่งวนรอบตัวเธออย่างสนุกสนาน

    “อะไรกัน ฉันก็มาด้วยทำไมไม่มาเล่นกับฉันบ้าง” สตรีรุ่นพี่เริ่มมีใบหน้างอง้ำอย่างน้อยใจ ก่อนที่เหล่าเด็กหญิงเด็กชายจะหัวเราะร่าและวิ่งไปหานาง

    ใช่แล้ว...เด็กพวกนี้เคยเป็นเด็กกำพร้า พวกเขาล้วนตายด้วยฝีมือผู้ดูแล เพราะอายุขัยยังไม่หมด ดวงวิญญาณจึงวนเวียนอยู่โดยรอบ ไม่ได้ไปผุดไปเกิดเสียที ทุกครั้งที่พวกเขาเห็นเธอ พวกเขาจะดีใจกันยกใหญ่ เพราะเธอมักมีเรื่องเล่าสนุกๆให้พวกเขาฟังตลอด

    ตลอดทั้งบ่ายเธอได้แต่เล่านิทานหลายเรื่องให้เหล่าวิญญาณฟัง จวบจนวิญญาณรุ่นพี่ที่เฝ้าประตูอยู่เห็นว่าผู้ดูแลกำลังเดินขึ้นบันไดมา ก็ส่งเสียงให้เธอเงียบเสียงลง เพราะกลัวว่าผู้ดูแลเหล่านั้นจะหาเรื่องรังแกเธออีก

    เด็กสาวกวาดสายตามองเหล่าวิญญาณเด็กที่เป็นความสุขเล็กๆของเธอ ความสุขุมเกินวัยเกิดจากเรื่องเลวร้ายต่างๆหล่อหลอมจนเธอเริ่มไม่แย้มยิ้ม ในสมองน้อยๆคิดแต่เรื่องจะแก้แค้น เป็นแรงผลักดันเดียวที่ทำให้เธอมีชีวิต แต่น่าเสียดาย...พิการเช่นนี้ อายุเริ่มเยอะเช่นนี้ ยากนักที่จะมีพ่อแม่ใจบุญที่ไหนเก็บไปเลี้ยง อีกทั้งร่างกายยังผอมแห้งจนแทบเหลือแต่กระดูก อย่าว่าจะให้ใครเอ็นดูเลย เธอเองยังรังเกียจตนเองด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนนี้เธอได้แต่รอเวลา หากอายุครบสิบแปดปีเมื่อไหร่ ไม่มีใครรับเลี้ยงก็ต้องย้ายออกไปผจญภัยโลกภายนอก ซึ่งเธอกำลังรอคอยเวลานั้นอยู่ อีกเพียงสามปี...

    “อะไรนะ จะมีคนรับเลี้ยงยัยเด็กพิการนั่น!”

    “บ้า ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ พิการผอมแห้งเช่นนั้น จับช้อนข้าวได้ถือว่าบุญหัวนางแล้ว!”

    ผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กสองสามคนกำลังยืนโต้เถียงกันยกใหญ่ หลังจากที่ฟังคร่าวๆแล้ว คงไม่พ้นเรื่องราวของเธอ ในสถานเลี้ยงเด็กแห่งนี้มีเธอเพียงคนเดียวที่พิการและร่างกายผอมแห้ง แต่ทว่า...จะมีคนรับเลี้ยงเธอ เป็นไปได้อย่างไรกัน

    ซุ่มฟังอยู่เงียบๆได้พักหนึ่ง จึงตัดสินใจแสร้งหลับบนเตียงอุ่น ในขณะที่วิญญาณเด็กทั้งหลายก็แยกย้ายกันไปแล้ว

     

    “คุณหมอจาง คนไข้รายนี้อาการโคม่า จะไปดูเลยไหมคะ” พยาบาลสาววางเอกสารฉบับหนึ่งลงบนโต๊ะทำงาน ในขณะที่เจ้าของโต๊ะยังไม่แม้แต่เงยหน้าขึ้นสบตา มือเรียวข้างหนึ่งขีดๆเขียนๆข้อความลงกระดาษ ในขณะที่อีกมือกำลังคีย์ข้อมูลลงคอมพิวเตอร์ของระบบโรงพยาบาล สายตาจดจ้องหน้าจอคล้ายสมาธิถูกแบ่งเป็นสองทางโดยสมบูรณ์

    อัจฉริยะ...คงมีคำนี้เพียงคำเดียวที่สามารถนิยามนิสัยของคุณหมอรายนี้ได้ จางเพ่ยเอิน หมอใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในปักกิ่ง อายุเพียงสามสิบต้นๆก็คว้าตำแหน่งสูงส่งมาได้ โดยมีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆเป็นหลักประกันในความอัจฉริยะของเธอ

    ใบหน้าทรงรูปหัวใจ ประกอบกับนัยน์ตาสีฟ้าสว่างสุดแสนจะเย็นชา จมูกโด่งอันเป็นเอกลักษณ์ส่งให้คุณหมอรายนี้สวยงามผสมผสานดีเอ็นเอดีของทั้งจีนและยุโรปได้อย่างลงตัว น่าเสียดายที่ขาทั้งสองข้างไม่สามารถใช้งานได้ แต่กระนั้นก็ไม่ใช่อุปสรรคของชีวิตแม้แต่น้อย ด้วยความสามารถและความเป็นอัจฉริยะของคุณหมอจาง ทำให้แพทย์แผนต่างๆก้มหัว และยอมรับในฝีมือในที่สุด

    “อ่อ คุณหมอจางคะ” นางพยาบาลสาวเคาะโต๊ะเล็กน้อยเพื่อเรียกเจ้านายของตน ถึงแม้จะเสียมารยาท แต่เคสนี้ถือว่าเร่งด่วน ซ้ำยังเป็นผู้มีอิทธิพลรายต้นๆของประเทศจีน จึงมิอยากให้ล่าช้าจนก่อให้เกิดปัญหาในภายหลัง

    นัยน์ตาสีฟ้าใสค่อยๆมีแสงสว่างทีละน้อย บ่งบอกถึงสติที่หลุดออกจากหน้าจอตรงหน้า เธอหลับตาลงช้าๆราวสามสิบวินาที และลืมตามองผู้ช่วยของตัวเองในที่สุด นี่เป็นวิธีการปรับสภาพสมองของคุณหมอจาง ไม่ใช่โกรธหรือข่มกลั้นอารมณ์แต่อย่างใด

    “โหลวลี่อิน”

    “ใช่ค่ะ ลูกสาวคนเดียวของสกุลโหลว เจ้าของธุรกิจอัญมณีรายใหญ่ของจีน ทางสกุลโหลวกำชับให้คุณเป็นหมอประจำตัวคุณหนูโหลวเลยนะคะ พร้อมยื่นข้อเสนอให้เงินสิบล้านหยวนหากรักษาหายด้วย!” พยาบาลสาวทำตาโตระหว่างอ่านรายงานฉบับเล็กที่แนบมา จำนวนเงินมากมายที่สามารถออกจากงานไปตั้งตัวได้ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้ไม่น้อย ใจหนึ่งก็อิจฉา ใจหนึ่งก็ปลื้มแทน คุณหมอจางเป็นคนมีความสามารถ ไม่แปลกที่จะมีคนไข้ทุ่มทุนให้ขนาดนี้

    หญิงสาวปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง สกุลโหลว... ไม่น่าเชื่อจริงๆว่าอีกฝ่ายจะเดินมาเองแบบนี้ จางเพ่ยเอิน เป็นชื่อใหม่ ใบหน้าและผิวที่มีรอยแผลเป็นของเธอล้วนผ่านมีดหมอมาทั้งสิ้น ในวันนั้นที่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ชายอายุสามสิบปีที่มีขี้แมลงวันใต้ตาขวาก็ปรากฏตัวขึ้น ภาพวันนั้นที่เขาพาเธอไปไว้สถานรับเลี้ยงเด็กซ้อนทับมาอีกรอบ คำมั่นที่บอกจะมารับ คือเขามารับจริงๆ เขารับเธอเป็นลูกบุญธรรม พร้อมสั่งลูกน้องของเขาให้เข้ามาช่วยขนย้ายร่างผอมแห้งของเธอกลับมายังคฤหาสน์ใหญ่โต ท่ามกลางคนรับใช้นับร้อยพันชีวิต เธอถูกเลี้ยงดูอย่างดีไม่มีขาดตกบกพร่อง ซ้ำยังว่าจ้างอาจารย์หลายๆท่านมาสอนหนังสือในวัยที่ขาดหาย

    แต่เธอเป็นอัจฉริยะ เด็กที่ฉลาดมาตั้งแต่เกิด ทำให้สามารถเรียนรู้ได้ไว ซ้ำยังก้าวหน้าเกินเด็กในวัยเดียวกัน ในขณะที่เธออายุสิบแปด แต่สามารถสอบข้อสอบยากๆระดับประเทศได้

    เธอจำได้ดี ในคืนหนึ่งระหว่างทานอาหาร ผู้นำสกุลจาง หรือบิดาบุญธรรมของเธอเอ่ยถามถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต แน่นอนว่าเธอตอบอย่างไม่ลังเล ‘แก้แค้นสกุลโหลว’ ในคราแรกเธอคิดว่าบิดาคนนี้จะโกรธ แต่เปล่าเลย...เขารับฟังเธออย่างสงบ พลางเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้นสองสามคำ ไม่ซักไซ้ไล่เรียงอันใด

    จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา จางเพ่ยเอินไม่ไว้ใจใครอีกต่อไป แต่เธอยังต้องอาศัยอำนาจของบิดาบุญธรรมอยู่ ถึงแม้ไม่ผูกพันแต่ถือเป็นผู้มีพระคุณ จุดประสงค์ที่เขารับเลี้ยงเธอย่อมมีอันใดแอบแฝง เธอยื่นข้อเสนอยอมรับใช้เขา ยอมทำงานให้เขาเท่าที่เขาต้องการ ขอแค่ช่วยเหลือเธอให้การแก้แค้นนี้สำเร็จ

    เขาลังเลยู่หลายวัน ก่อนที่วันต่อมาในคฤหาสน์หรูก็ปราฏร่างหมอสองคน หมอศัลยกรรมที่เชี่ยวชาญที่สุดของเกาหลี ในตอนนั้นเธอจึงรู้แน่ชัด..ว่าเขาตอบตกลงข้อเสนอของเธอแล้ว เพ่ยเอินไม่รอช้าเข้ารับการทำศัลยกรรม ‘ทั้งตัว’ ไม่อิดออด จะแก้แค้นใยต้องให้ศัตรูจำใบหน้าได้ คุณหนูสกุลโหลวคนเก่าตายไปแล้ว ตอนนี้มีเพียงเธอ ‘จางเพ่ยเอิน’ คุณหนูสกุลจางเท่านั้น

    หลังจากนั้นอีกหลายปี เธอก็สามารถไต่เต้าขึ้นเป็นแพทย์ใหญ่ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ได้รับการยกย่องและนับถือจากอาจารย์หมอหลายคน เบื้องหน้าเป็นหมอใสซื่อมือสะอาดรักษาผู้คน แต่ลับหลังแล้ว...เธอได้ทำการวิจัยสารพิษที่เกิดโดยธรรมชาติ ส่งมอบยาส่วนหนึ่งให้หมอประจำตัวของผู้มีอิทธิพลหลายราย เพื่อวางยาคนเหล่านั้นที่ขัดขวางงานของบิดาบุญธรรม ไม่ตาย...แต่สภาพก็ไม่อาจเรียกได้ว่ามีชีวิต เช่นนั้นใครกันที่สามารถแก้พิษได้?

    ครอบครัวพวกเขาต่างเคร่งเครียด เสาะหาหมอจากทั่วทุกมุมโลก แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้แน่ชัดว่าป่วยเป็นอะไร ร่างกายเหมือนหลับไปเอง กึ่งตื่นกึ่งตาย ในตอนนั้นเธอกำลังสร้างชื่อ และเป็นที่ยอมรับของอาจารย์ในมหาวิทยาลัยหลายคน เมื่อพึ่งพิงใครไม่ได้ พวกเขาจึงลองเชิญเธอให้ไปตรวจ ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ก็ลองเสี่ยงกับแพทย์มือใหม่ดู

    เมื่อลงมือรักษามีหรือจะไม่สำเร็จ อีกทั้งเธอเป็นคนคิดค้น ย่อมต้องหาทางแก้ไข เพียงแต่ยั้งมือไว้ส่วนหนึ่ง ไม่ให้พวกเขาสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ เพราะกลัวจะกลับมาแว้งกัดบิดาบุญธรรม จึงรักษาเพียงครึ่งอาการ และยังต้องให้ยาเป็นระยะๆ มิเช่นนั้นจะทรมานจากภายใน

    มือคู่นี้ของเธอไม่ได้สะอาด ตอนนี้อายุสามสิบกว่าแล้ว เรื่องครอบครัวหรือตั้งต้นชีวิตไม่เคยมีในหัว ชีวิตของเธอเกิดมาเพื่อแก้แค้นเท่านั้น ไม่สามารถมีห่วงมาผูกมัดได้ เพื่อบิดา มารดา และเพื่อนสนิท เพื่อผู้บริสุทธิ์หลายรายที่เป็นบันไดไต่เต้าอันน่ารังเกียจ

    “รายงานอาการมา” เพ่ยเอินพูดอย่างเกียจคร้าน ในขณะที่ดึงความคิดของตัวเองกลับจากอดีต ใบหน้าสวยเนียนนิ่งสงบปกปิดความอาฆาตไว้ภายใน เมื่อฟังอาการคร่าวๆของ ‘ลูกพี่ลูกน้อง’ คนสวยของตนแล้ว รอยยิ้มบางเบาก็ปรากฏบนใบหน้า ดูท่าบิดาบุญธรรมจะช่วยเหลือเธอมาตลอดจริงๆ

    อาการผิดปกติทางการมองเห็นที่ดวงตาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง โดยมีอาการมองเห็นภาพไม่ชัดเจนถึงขั้นมองไม่เห็นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ หรือที่เรียกว่าตาบอดกะทันหัน รวมทั้งอาการอ่อนแรงของนิ้วมือ และแขนขา อาการเหล่านี้เธอเรียกว่า ภาวะสมองขาดเลือด

    เธอจำได้ดีงานวิจัยแรกที่เธอทำ คือ ตุ้ยเย่โต้ว[1] สมุนไพรตัวนี้จัดว่าดี รากของมันช่วยบำรุงธาตุในร่างกาย ใบของมันเมื่อทำเป็นชาดื่มชงกับน้ำบำรุงหัวใจ ซ้ำยังช่วยให้เจริญอาหาร แต่ถ้านำเมล็ดของมันผสมกับโสมซึ่งมีฤทธิ์ร้อน เมื่อรับในปริมาณมาก และได้รับในระยะยาว จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจเสื่อม และส่งผลต่อระบบประสาทได้

    เมื่อฟังอาการคร่าวๆของโหลวลี่อิน เธอก็สรุปได้ทันที ว่าน้องสาวคนนี้ต้องโดนพิษมาอย่างน้อยสิบปี อย่างมากสิบห้าปี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เธอศึกษาตำราแพทย์พอดี บิดาบุญธรรม..ดูเหมือนไม่ใส่ใจ เหมือนไม่ยุ่งกับแผนการของเธอ แต่ที่ไหนได้ เขาเป็นคลื่นใต้น้ำดีๆนี่เอง

    “คุณหมอจางช่วยลี่ลี่ด้วย เธออายุยังน้อย กำลังก้าวสู่วงการบันเทิง เธอไม่ควรพบเจอเวรกรรมแบบนี้” เมื่อร่างคุณหมอบนรถเข็นวีลแชร์ปรากฏหน้าห้องฉุกเฉิน หญิงวัยกลางคนดูภูมิฐานก็วิ่งโร่เข้ามาหา สองมือนุ่มบ่งบอกให้รู้ถึงความสุขสบายของชีวิต ช่างย้ำรอยแผลในใจของเพ่ยเอินจนกลัดหนอง

    ในขณะที่ ‘คุณป้า’ อยู่ดีกินดี ใบหน้าผ่องใส ลูกสาวของคุณป้ากำลังก้าวสู่วงการมายา แล้วชีวิตของแม่เธอละเป็นอะไร? ผักปลาหรือ? ต้องตายตั้งแต่อายุน้อย แล้วชีวิตเธอละ หากคืนนั้นผู้นำสกุลจางไม่ได้ช่วยเหลือ คงตายไปแล้ว ยิ่งเสียงอันโหดเหี้ยมของคุณป้าดังอยู่เหนือหัวเธอตอนนั้น ยิ่งทำให้ไฟในอกสุมขึ้นไม่อาจห้าม

    “อย่าห่วงเลยคุณผู้หญิง เราจะรักษาสุดความสามารถ” เธอส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้ ปกปิดความแค้นในอก ก่อนจะให้พยาบาลช่วยเข็นรถเข้าห้องไอซียู โรงพยาบาลนี้ออกแบบมาเพื่อเธอทั้งเตียงคนไข้ อุปกรณ์ผ่าตัด หรือเครื่องช่วยพยุง จนเธอเกือบลืมไปเลยว่าขาทั้งสองข้างใช้การไม่ได้ ดังนั้นการรักษาคนไข้จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป

    เอาละ....ปิดฉากความแค้นเลยแล้วกัน!

     

    ในยมโลกทั้งมืดมิดและเหน็บหนาว รอบด้านมืดสนิทจนมองไม่เห็นแสงใด เพียงครู่เดียวจางเพ่ยเอินก็เริ่มมองเห็นบัลลังก์ยกสูงเบื้องหน้า

    ปึง!

    เสียงตบโต๊ะสนั่นดังมาจากฉินกวงหวาง หรืออ๋องผู้หนึ่งที่รับหน้าที่จากสวรรค์ ให้เป็นผู้ตัดสินวิญญาณในยมโลกขุมแรก ด้านซ้ายขวามียมทูตหัววัว หัวม้ายืนอยู่ อ่า...นี่คงเป็นนรกละมั้ง มองรอบบริเวณเห็นดวงวิญญาณนับร้อยพันต่อแถวยาวเหยียด ตามตำนานที่เคยอ่าน นี่คงเป็นนรกขุมแรกตัดสินชั่วดีของมนุษย์

    “วิญญาณชั่วช้าเช่นเจ้า สมควรตกนรกขุมที่เจ็ด ให้ดวงวิญญาณถูกบดละเอียดเป็นผุยผง ชดใช้ชีวิตที่ทำให้ผู้อื่นเจ็บปวดทรมาน!” อ๋องแดนยมโลกหายใจเข้าออกด้วยความโมโห หลังจากส่องกระจกดีชั่วแล้ว เห็นหมอกควันสีดำปรากฏ การกระทำชั่วต่างๆถ่ายทอดเป็นเรื่องราว แม้กระทั่งตำราหนังสุนัขยังบันทึกไว้ยาวเหยียด

    คำพิพากษาของฉินกวงหวางไม่ได้ทำให้เธอหวาดกลัวแต่อย่างใด ตอนลงมือเธอคิดดีแล้ว หลังลงมือยิ่งไม่เคยเสียใจ น้ำตาและหยาดโลหิตของสกุลโหลว สมควรต้องชดใช้ให้กับพ่อและแม่ของเธอแล้ว!

    “กรรมดีมี แต่กรรมชั่วมากกว่า ทรมานคนอื่นด้วยความตั้งใจ ทั้งๆที่ตัวเองเป็นหมอ ควรมีจิตใจใสสะอาด เพื่อชดใช้ความผิด หักล้างกับกรรมดี ส่งให้ชูเจียงหวาง[2] เมื่อชดใช้ความผิดหมดให้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่ง แล้วพาวิญญาณข้ามสะพานเงินทิศใต้”

    สะพานเงินคือผู้กระทำความผิดเล็กน้อย ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง เมื่อสิ้นวาสนาต้องกลับมาฟังโทษทัณฑ์อีกรอบ หากไม่ทำกรรมใดเพิ่มก็สามารถข้ามสะพานทองทิศตะวันตกขึ้นสวรรค์ แต่ถ้าทำกรรมหนัก ต้องชดใช้กรรมในนรกขุมอื่นๆต่อ เพ่ยเอินเดินตามยมทูตไปไม่อิดออด ถึงอย่างไรกรรมที่เธอก่อไว้ก็หนักหนาทุกสิ่งทุกอย่างล้วนทำด้วยความเต็มใจ จึงมิอาจหลีกหนีโทษได้

    หากจะถามว่าเธอตายได้อย่างไร...คงต้องย้อนกลับไปหลังจากที่โหลวลี่อินเข้ารับการรักษากับเธอหลังจากนั้นสองปี

     

    ครานั้นหลังจากที่โหลวลี่อินเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยมีเธอเป็นหมอประจำตัวคนไข้ แน่นอนว่าเธอรักษาตามอาการ จนอาการดีขึ้นเรื่อยๆ ในระหว่างนั้นเองเธอก็ฉีดยาบางตัวเข้ากระแสเลือดพร้อมกับยารักษา ฉีดทีละน้อยทุกวัน โดยไม่มีใครรู้ ยาตัวนี้ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด และบำรุงเลือด แต่..ผลข้างเคียงของมันค่อนข้างน่ากลัว

    สองปีหลังจากรักษาอาการ ในที่สุดโหลวลี่อินก็หายเป็นปกติ เธอก้าวเข้าสู่วงการมายา พร้อมกับยกย่องเธอออกผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆอย่างชื่นชม ถึงแม้ภายนอกจะดูปกติ แต่แท้ที่จริงสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือจิตใจ มีส่วนผสมของยาเสพติด เมื่อขาดยาก็บ้าคลั่ง เพราะได้รับยามาระยะเวลาหนึ่ง ร่างกายจึงเกิดการเสพติด ยิ่งหลังๆมาเธอเพิ่มปริมาณยาเกินขนาด ไม่ต้องบอกก็รู้เลย ถ้าหากขาดไป คงลงแดงตายเป็นแน่

    ท้ายที่สุด...ระหว่างการท่องเที่ยวช่วงพักร้อนของสกุลโหลว คุณหนูโหลวลี่อินที่ขาดยาก็เกิดบ้าคลั่ง คว้ามีดพุ่งใส่ จ้วงแทงคุณนายโหลวจนเสียชีวิต ส่วนผู้นำสกุลโหลวเองก็สาหัส เกิดเป็นคดียิ่งใหญ่แห่งปี เมื่อจับกุมลี่อินได้ก็ถูกตรวจสารเสพติดในร่างกาย ปรากฏว่าเจอสารเสพติดจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นสารเสพติดชนิดใด

    ลี่อินโดนจับข้อหาสังหารบุพการี โทษจำคุกใต้ดินตลอดชีวิตไม่ให้ประกันตัว ให้เยี่ยมได้เพียงปีละครั้ง เส้นทางสวยหรูดับมืดเหลือเพียงลูกกรงไร้แสง ผู้นำสกุลโหลวตรอมใจอยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่ง...พวกเขาเริ่มเอะใจ ลี่อินไม่เคยยุ่งกับยาเสพติด แต่หลังจากอาการทั้งหลายเริ่มหลังจากรักษาตัวกับเธอ พวกเขาจึงพยายามค้นหาหลักฐาน และยื่นฟ้องต่อศาล

    แน่นอนว่าไม่มีใครสามารถเอาผิดเธอได้ เธอยอมรับกับศาลว่าตัวเองใช้สารเสพติดจริงๆ แต่สารเสพติดที่ใช้มีใช้เพียงปริมาณน้อย ไม่สามารถทำให้เสพติดได้ อีกอย่างการเบิกสารชนิดนี้ต้องผ่านหลายขั้นตอน สามารถตรวจสอบได้ทุกกระบวนการ สถานการณ์ตอนนั้นพลิกผันอยู่หลายตลบ จนสุดท้ายเธอก็พ้นผิดเพราะไม่สามารถหาหลักฐานมัดตัวได้ สกุลโหลวตกเป็นจำเลยสังคม ธุรกิจอัญมณีก็ค่อยๆถูกถอนหุ้นช้าๆ เรื่องนี้เกี่ยวกับบิดาบุญธรรมของเธอแน่นอน

    หลังจากนั้น ด้วยสภาวะที่อับจนหนทาง คุณลุงผู้แสนดีของเธอก็ใช้เงินก้อนสุดท้าย จ้างวานให้คนลอบฆ่าเธอ ซึ่ง...เขาก็สามารถทำได้สำเร็จ

    ‘จางเพ่ยเอิน แพทย์สาวอัจฉริยะขาพิการ ถูกสกุลโหลวเล่นงานจนเสียชีวิต เพียงเพราะไม่ยอมเป็นแพะ’

    ใช่แล้ว...เธอโดนยิงตาย

    เธอจำได้ดี บิดาบุญธรรมของเธอที่กำลังวิ่งเข้ามาด้วยความห่วงใย แววตาที่เงียบสงบของผู้กุมอำนาจในโลกมืด ทอดมองเธอด้วยความเจ็บปวด ปากเขาสั่งการให้ลูกน้องจับกุมนักฆ่าพวกนั้น รวมทั้งผู้นำสกุลโหลว ส่งให้ทางการ เสื้อสูทสีดำเปื้อนเลือดของเธอเป็นดวง ปากพร่ำบ่นเธอตลอดทางเรื่องไม่เชื่อฟังบ้าง เรื่องไม่กลับบ้านบ้าง พยายามชวนคุยไม่ให้เธอหลับ

    แต่เธอรู้ตัวดี ว่าร่างกายของเธอไม่ไหว เฮือกสุดท้ายของลมหายใจเธอร้องขอต่อสิ่งใดก็ได้ ขอชดใช้กรรมทั้งหมดแทนบิดาบุญธรรม ตอบแทนที่เขาช่วยชีวิตของเธอ หากชาตินี้ชดใช้ไม่หมด ขอให้ชาติหน้าให้เธอได้ชดใช้ต่อด้วย...



    [1] ตุ้ยเย่โต้ว () ภาษาจีนกลาง หรือเรียกว่า ชุมเห็ด

    [2] นรกขุมที่ 2 ชูเจียงหวาง เป็นผู้ปกครอง เมื่อได้รับการพิจารณากรรมจาก ฉินกวงหวางในนรกขุมแรกแล้ว ถ้าไม่ได้รับการปล่อยตัว ดวงวิญญาณก็จะต้องเข้ารับการลงทัณฑ์จากนรกขุมต่อมา   

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×