ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์รักชินอ๋อง อัพทุกวัน (ตีพิมพ์กับสนพ.แสนรักอ้ายหนี่)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.55K
      54
      5 พ.ย. 63

    บทที่ 1

     สายฝนตกกระหน่ำไม่ขาดสาย ทั้งที่เป็นต้นฤดูร้อน แต่สายฝนที่เทจากฟากฟ้าหลงฤดูไม่ทำให้ผู้ใดเย็นลงสักนิด เมื่อร่างนายหญิงที่กำลังตั้งครรภ์เข้าสู่ห้องทำคลอด นายท่านก็เอาแต่เดินไปเดินมาอยู่ข้างนอกไม่หยุด ทุกคราที่มีเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดจากข้างใน ยิ่งทำให้เขานั่งไม่ติดที่ ต่างกับสตรีวัยชราที่นั่งอยู่โต๊ะริมระเบียง ภายนอกดูสงบนิ่ง แต่นิ้วเรียวที่เริ่มเหี่ยวย่นปรากฏข้อขาว ซึ่งเกิดจากการเกร็งฝ่ามือเป็นเวลานาน

    “หกชั่วยามแล้ว ใยนางยังไม่คลอดเสียที!” นายท่านเพียงหนึ่งเดียวถึงกับตะคอกใส่สาวใช้อย่างหัวเสีย หกชั่วยามนานราวหกปี   

    “หยุดเดินได้แล้วหนานเจิ้น” เหยียนเหม่ยเหนียงถอนหายใจด้วยความกดดัน นางทนมองบุตรชายเดินวนไปวนมาหลายสิบรอบจนเวียนหัวไปหมด ดีที่สามแสบยังเดินทางมาไม่ถึง มิเช่นนั้นคนเป็นย่าคงชราลงไปหลายปี บุตรชายผู้เคารพมารดานั่งลงราวสั่งได้ แต่กระนั้นขาขวาของเขาก็กระทืบพื้นอย่างเสียกิริยา นายหญิงเฒ่าได้แต่ส่ายศีรษะ หลับตาสวดมนต์ขอพรให้สตรีในห้องและทายาทของนางคลอดออกมาอย่างปลอดภัย

    เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายดังขึ้น ก่อนที่เสียงเล็กใสของทารกจะตามมา สร้างความโล่งใจระคนสุขใจให้คนรอบข้างมากนัก นายหญิงปลอดภัย คุณหนูเล็กก็แข็งแรงดี บุรุษวัยกลางคนพร้อมสตรีวัยชราเดินเข้าไปในห้องพร้อมกัน เมื่อสาวใช้จัดการพื้นที่เสร็จสิ้น

    “ดูนั่นสิ”

    ท่ามกลางความสุขที่เอ่อล้น สมาชิกหนึ่งในห้องร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น พร้อมชี้ชวนให้สาวใช้อีกคนหนึ่งมองตาม หยาดพิรุณที่เคยโปรยปรายราวฟ้าพิโรธ แปรเปลี่ยนเป็นกลีบดอกเหมยสีนวลปลิวไสวพร้อมส่งกลิ่นอบอวลทั่วบริเวณ กลีบเหมยหนึ่งกลีบแนบหน้าผากของเด็กทารกในอ้อมกอดนายท่าน ฉับพลันเปลือกตาอ่อนนุ่มก็ลืมขึ้น ปรากฏเป็นนัยน์ตาสีฟ้ากระจ่างราวกับมองเห็นถึงจิตใจมนุษย์

    ความประหลาดใจฉายชัดบนใบหน้านายหญิงเฒ่า ก่อนเสียงหัวเราะนุ่มหูของนางจะตามมา ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยรับเด็กน้อยเข้าสู่อ้อมกอด ลูบศีรษะเล็กอย่างทะนุถนอม “เหม่ยเซียน เหยียนเหม่ยเซียน เซียนน้อยผู้ส่งกลิ่นหอม ดีหรือไม่”

    “แอ้”

    เด็กสาวส่งเสียงทักทายพร้อมหัวเราะคิกคัก ราวกับชื่นชอบชื่อนี้ สร้างความสุขให้คนรอบข้างเพิ่มหลายเท่า เสียงตึงตังจากระเบียง พร้อมกับร่างเด็กชายสามคนที่ยิ้มร่าเดินเข้ามาในห้อง พวกเขาต่างยิ้มแย้มมองร่างเหี่ยวย่นของน้องสาวด้วยความดีใจ

     

    หุบเขาสยบมารเป็นหุบเขาที่ยาวที่สุดในแคว้น เทือกเขาน้อยใหญ่ไล่เรียงกันเป็นแนว ทั้งอันตรายและลึกลับน่าค้นหามีไม่น้อยที่ชาวยุทธหรือนักเดินทางหาของป่าล้ำค่า ลองดีเหยียบย่างขึ้นหุบเขา ล้วนจบไม่ดีเลยสักคน บ้างก็หายไปอย่างลึกลับ บ้างก็กลายเป็นศพไร้ญาติ ว่ากันว่าหุบเขาแห่งนี้ถูกพิทักษ์โดยสำนักเทียบสุริยันและสำนักเสียงธรรม สำนักเทียบสุริยันเป็นที่มีชื่อเสียงอันดับหนึ่ง แต่ลูกศิษย์ลูกหาน้อยจนแทบนับนิ้วได้ วิชาลับที่สืบทอดรุ่นต่อรุ่น สืบทอดจากทายาทเพียงไม่กี่คน อีกทั้งลูกศิษย์สำนักนี้ล้วนเร้นกายฝึกฝนตนในหุบเขา เมื่อจบวิชาก็กระจัดกระจายไปตามมุมต่างๆ ไม่สุงสิงกับการเมืองหรือวิถีชีวิตชาวบ้าน ทำให้ยากนักต่อการพบเจอ ส่วนสำนักเสียงธรรมเร้นกายหลบหลีก ไม่มีประวัติความเป็นมาแน่ชัด ฝีมือของสำนักนี้ก็กำงำความลับจนชาวยุทธหลายคนอยากลองดี เข้าไปท้าตีท้าต่อยกับศิษย์ของสำนักเสียงธรรม จนท้ายที่สุดก็พ่ายแพ้กลับมา เหล่าชาวยุทธจึงตั้งข้อตกลงเงียบๆว่าจะไม่ยุ่งกับสองสำนักนี้เด็ดขาด

    อันสำนักเทียบสุริยัน ขึ้นชื่อเรื่องกระบี่ไร้เทียมทาน ยารักษาล้ำค่าที่แม้แต่ฮ่องเต้ก็มิอาจเอื้อม และยังดนตรีสยบจิตที่ฟังอย่างเพลิดเพลินก็สามารถพาวิญญาณให้หลุดจากร่างได้ ลูกศิษย์หนึ่งคนเรียนได้เพียงหนึ่งวิชา เมื่อเรียนจบก็ส่งต่อให้ศิษย์รุ่นต่อไปได้เพียงหนึ่งคน การศึกษาของสำนักเทียบสุริยันว่ายากนัก บางคราอาจารย์สิ้นใจ ลูกศิษย์ก็ยังไม่สำเร็จการศึกษาสักที ดังนั้นการถ่ายทอดวิชาจำต้องเลือกให้ถูกคน

    “ลงมา ลงมานะ” เด็กสาววัยห้าหนาวกระโดดโลดเต้นอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พลางส่งเสียงเชิงบังคับให้ลูกแมวตัวสีขาวสะอาดลงจากต้นไม้ที่สูงกว่าพื้นดินมาก เธอพยายามเขย่งก็แล้วกระโดดก็แล้ว แต่ก็มิอาจคว้าร่างเล็กของลูกแมวมาได้เสียที นัยน์ตาสีฟ้าสว่างเริ่มฉายแววขุ่นเคือง

    ระหว่างที่ร่างเล็กกระโดดโลดเต้นอยู่นั้น เด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีก็ยืนดูอยู่ไม่ไกล ไม่แม้แต่จะเข้าไปช่วยเหลือ เปล่า..เขามิได้โกรธเกลียดหรือโมโหอันใดนาง แต่การยืนมองน้องสาวสุดที่รักของตัวเองเขย่งปลายเท้าพยายามดึงกิ่งไม้ท่ามกลางดอกไม้ปลิวไสว และสายลมเอื่อยๆที่พัดพากลิ่นหอมหวนของนางในตอนนี้ เป็นภาพที่น่าดูยิ่ง!

    อ่า...น้องหญิงของข้าช่างงดงามโดยแท้

    เหยียนเหวินอี้พึมพำกับตัวเองในขณะที่ร่างกายที่เริ่มโตเป็นผู้ใหญ่ ได้แต่แอบอยู่หลังต้นไม้ไม่ใกล้ไม่ไกล สายตาแพรวพราวประหนึ่งว่าตนเองเป็นกิ่งไม้ที่ถูกให้ความรักโดยนาง ริมฝีปากบางเม้มแน่นด้วยความปลาบปลื้มจนแทบล้นทะลัก เหลือบซ้ายแลขวาไม่เห็นน้องชายสายเลือดเดียวกันก็ยิ่งได้ใจ มีเพียงเวลานี้เท่านั้นที่เขาสามารถชื่นชมน้องสาวได้เพียงผู้เดียว!

    “พี่ใหญ่ทำอะไรหรือ”

    บัดซบ มารดามัน!

    “น้องรอง”

    “ถ้ำๆมองๆเยี่ยงนี้ไม่ใช่วิถีบุรุษ ข้าจะไปฟ้องท่านแม่” ว่าจบ คุณชายรองของบ้านก็ทำท่าจะเดินไปทางเรือนใหญ่จริงๆ แต่ก้าวได้ครึ่งก้าวตะเกียบเงินพุ่งด้วยความเร็วเฉียดใบหน้าหล่อเหลาของเขาเพียงนิด หันมองพี่ใหญ่เห็นเส้นผมสีดำสยายเต็มหลังก็เริ่มตระหนัก เหยียบหางเสือเข้าแล้ว!  

    “ฟ้องบุพพการีก็มิใช่วิถีบุรุษเช่นกัน น้องรองไม่สู้ปะมือกับพี่ชายของเจ้าสักหน่อยเล่า” รังสีทะมึนแผ่ขยายทั่วร่าง อันว่าบุตรชายคนโตศึกษาเรื่องพิษจนแตกฉาน อาวุธลับประจำตัวเพียงหนึ่งเดียวคือตะเกียบเงินที่เสียบมวยผม นานทีถึงมีผู้พบเห็น แต่...ภายในเขตสำนักเป็นข้อยกเว้น

    “น่าอายแล้ว พี่ใหญ่ก็รู้น้องชายของท่านมิชื่นชอบวิธีโหดร้าย” กล่าวจบคุณชายรองของบ้านก็ล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบขลุ่ยหยกสีเขียวมรกตออกมา พี่ใหญ่แค่นยิ้ม ปากพูดว่าหน้าอาย ใบหน้าแผ่รอยยิ้ม แต่กลับคว้าขลุ่ยออกมาข่มขู่ศัตรู หากไม่รู้จักมักคุ้นกันมาก่อน คงกล่าวได้ว่า วาดมังกรวาดเสือยากที่จะวาดให้เห็นกระดูก รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ[1] 

    “เหม่ยเอ๋อร์ ท่านย่าเรียกหา”

    ระหว่างสงครามประสาทของคนทั้งคู่ เด็กหนุ่มอายุสิบเอ็ดหนาว นามเหยียนเสวี่ยหมิง คุณชายสามของสกุล มีท่าทางสงบเสงี่ยมก็โผล่มา เขาเข้าไปหาน้องสาวคนสุดท้องของบ้าน ก่อนจะจับจูงมือเล็กๆให้เดินไปพร้อมกัน ท่ามกลางความงุนงงของพี่ชายทั้งสอง คนหนึ่งใบหน้าดำคล้ำคล้ายแมวโดนขโมยปลาย่าง อีกคนตวัดค้อนบาดคมจนแทบเชือดเฉือนเนื้อน้องชายออกเป็นชิ้นๆ เหยียนเหวินอี้ลอบมองเหยียนหย่งเล่อครู่หนึ่ง ก่อนที่เด็กหนุ่มทั้งสองจะพุ่งตัวไปในทิศทางเดียวกัน การดวลวิ่งแข่งเกิดขึ้นอย่างลับๆทันใด

     “เหม่ยเอ๋อร์คารวะท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่เจ้าค่ะ” เด็กสาวตัวน้อยที่เรียบร้อยและรู้กาลเทศะเกินวัยจนคนเป็นพ่อแม่ชื่นชมและอดห่วงไม่ได้ โดยปกติแล้ววัยห้าหนาวเป็นช่วงซุกซน สมัยสามแสบอายุเท่านี้ยังวิ่งเล่นจนบางคราหายเข้าไปในป่าหลายวันก็มี บางทีก็ติดบนต้นไม้แล้วลงไม่ได้ เป็นเดือดเป็นร้อนให้พ่อแม่เป็นคนพาลง

     “มาพอดี เหม่ยเอ๋อร์รู้หรือไม่ว่าวันนี้ย่าเรียกมาทำไม”

    “ไม่ทราบเจ้าค่ะ”

    “เจ้าคงจำไม่ได้ ตอนที่เจ้าครบหนึ่งหนาว พิธีจวาโจว[2] เจ้าไม่ได้หยิบตำรายา ตำราพิชัยยุทธ หรือแม้กระทั่งเครื่องดนตรี จึงทำนายอนาคตไม่ได้ว่าเจ้าชอบสิ่งใด อยากทำสิ่งใด เด็กดีบอกพ่อหน่อยเถิด ว่าเจ้าสนใจร่ำเรียนสิ่งใดเป็นพิเศษหรือไม่” เหยียนหนานเจิ้น นายท่านของสกุลเหยียน เจ้าสำนักตำหนักตะวันตก คลี่ยิ้มกว้างอย่างหลอกล่อ ตัวเขาเป็นอาจารย์ผู้สอนวิชาดนตรีสยบจิต เพลงพิณสยบมาร ในใจวาดหวังไว้สูงอยากให้บุตรสาวชื่นชอบเพลงพิณ แค่คิดว่าร่างน้อยๆของนางนั่งเล่นพิณ คลอเสียงขลุ่ยผสมผสานจนใต้หล้าสั่นสะเทือน อ่า...จะต้องมีความสุขมากแน่ๆ

    “ไม่ถูกนะท่านพ่อ นางอาจจะชอบวิชาปรุงยาเช่นลูกก็ได้” พี่ใหญ่พูดขึ้น เพราะกลัวน้องสาวไปฝึกวิชาตำหนักตะวันตกแล้วจะไม่ได้เห็นหน้า เพราะตัวเขาเรียนวิชาหมอเทวดา ตำรายาสะเทือนฟ้ากับท่านย่าผู้เป็นเจ้าสำนักตำหนักกลาง

    “พี่ใหญ่จะบีบบังคับเหม่ยเอ๋อร์หรือ นางไม่ชอบปรุงยาหรอก นางชอบเพลงพิณแน่แท้ ท่านดูมือเล็กๆของนาง ดูร่างกายอ่อนช้อยของนาง ช่างเหมาะกับเพลงพิณที่สุด!” พี่รองของบ้านเถียงกลับทันควัน

    สงครามย่อมๆที่อยู่รอบข้างไม่ได้เข้าโสตประสาทของเหม่ยเซียนเท่าไหร่ เธอในตอนนี้ไม่อาจพูดได้เต็มปากว่าอายุห้าปี เธอเป็นหมอ ไม่ใช่หมอในยุคนี้เป็นยุคใดยุคหนึ่งที่เธอไม่มั่นใจ ความทรงจำขาดๆหายๆเพราะเหตุใดไม่อาจทราบ อีกทั้งความสามารถบางอย่างในชาติก่อนก็ปะติดปะต่อไม่เป็นเรื่องเป็นราว รู้เพียงสัญชาติญาณในร่างกายบอกเธอ ว่าเธอต้องรักษาคน

    เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากที่เธอจะเลือกเรียนกับท่านย่า ที่ดูเข้าเค้ากับความสามารถเธอที่สุด แต่ว่า...เธอยังอยากสนุกสนานกับวัยเด็กของตนอยู่ ไม่รู้ทำไมเธอถึงชื่นชอบช่วงเวลานี้นัก คล้ายว่าเมื่อชาติก่อนเธอไม่ได้ใช้ชีวิตที่ตัวเองต้องการเท่าไหร่ ท่านย่าเป็นคนเข้มงวด เวลาอยู่ใกล้ๆทำให้เธอรู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก

    “ว่าอย่างไรเหยียนเหม่ยเซียน เจ้าต้องการกราบใครเป็นอาจารย์” น้ำเสียงเรียบนิ่งแฝงความแข็งกระด้างเล็กน้อย พลอยให้คนรอบข้างเงียบเสียงลงทันใด นายหญิงเฒ่าเป็นคนดุเช่นไรใครบ้างไม่รู้ การที่เร่งรัดให้หลานสาวเพียงคนเดียวเลือกอาจารย์แสดงให้เห็นว่านางไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินอีก หากเป็นธิดาของสกุลอื่น ย่อมอยากเรียนเย็บปัก ถักร้อย วาดรูป อะไรทำนองนี้ แต่กับผู้สืบทอดสกุลเหยียนนั้นต่างกัน

    กฎสำนักเทียบสุริยันเจ้าสำนักต้องรับศิษย์ไม่เกินสามคนต่อสิบปี ส่วนลูกศิษย์ที่จบการศึกษาต้องไม่รับศิษย์เกินหนึ่ง ลำพังประคองชีวิตให้รอดปลอดภัยก่อนเรียนจบถือว่ายากแล้ว อย่าว่าแต่รับศิษย์รุ่นต่อรุ่นเลย การจะสอนวิชาให้คนภายนอกที่ไม่ใช่สายเลือดจึงยากยิ่ง

    “เหยียนเหม่ยเซียน ขอคารวะเจ้าสำนักเหม่ยเหนียงแห่งตำหนักกลาง”

    สิ้นเสียงหวานกังวานใสของนาง รอยยิ้มบางเบาบนมุมปากของประมุขบ้านก็ปรากฏ แต่เพียงชั่วครู่เดียวนั้นก็จางหายไป จนไม่มีใครสังเกตเห็น  นายท่านได้แต่มีสีหน้าเสียดายเหลือคณา นายหญิงเองก็ไม่ต่าง แต่นางสามารถเก็บงำสีหน้าได้มากกว่าสามี

    อันว่าลูกใครมักเหมือนคนนั้น บุตรชายคนโตเหยียนเหวินอี้กราบท่านย่าเป็นอาจารย์ ร่ำเรียนวิชาหมอเทวดามีอาวุธประจำตัวเป็นตะเกียบคู่งามที่เสียบมวยผมแทนปิ่นหรือกวาน ตอนเด็กบิดาเป็นคนเลี้ยงดู จนติดเป็นนิสัยหวงของ ชอบทะเลาะเบาะแว้ง ยั่วยุเก่งเป็นที่หนึ่ง แต่..เมื่อใดที่ได้รับงานสำคัญ นิสัยเสียๆเหล่านั้นล้วนถูกฝังในส่วนลึก อายุเพียงสิบห้าก็สามารถเก็บงำสีหน้าได้อย่างน่าชื่นชม คงเพราะติดนิสัยท่านย่ามาจึงสามารถตีสีหน้าอ่อนโยนต่อหน้าศัตรูได้ จนทำให้ศัตรูตายใจ และเชือดนิ่มๆ

    บุตรชายคนที่สองเหยียนหย่งเล่อ อายุสิบสามหนาวห่างจากพี่ชายสองปี ด้วยความอ่อนช้อยคล้ายใบไม้ลู่ลมจะหยิบดาบก็กลัวมือกระด้าง จะคว้าขวดยาก็เกรงเสียโฉม จึงกราบท่านพ่อเป็นอาจารย์ ร่ำเรียนวิชาเพลงพิณสะเทือนฟ้า ใช้ขลุ่ยหยกเป็นอาวุธประจำกาย ซุกซ่อนไว้ในแขนเสื้อข้างใดข้างหนึ่ง ถึงแม้กิริยาท่าทางจะอ่อนโยนประหนึ่งบุปผางาม แต่ความจริงคุณชายรองทั้งแข็งแกร่งและเด็ดขาด

    บุตรชายคนที่สามเหยียนเสวี่ยหมิง แค่ชื่อก็บ่งบอกถึงนิสัย เพราะบุตรชายคนนี้มารดาไม่ยินยอมให้นายท่านเลี้ยงอีก เขาจึงติดนิสัยพูดน้อยของมารดามา หากกล่าวว่าพี่ใหญ่ติดเล่น พี่รองสง่างาม พี่สามคงเป็นคนเดียวที่ฉลาดเฉลียว ถึงแม้กราบมารดาเป็นอาจารย์ ร่ำเรียนวิชาต่อสู้ใช้กระบี่เป็นอาวุธ แต่ชายผู้นี้ยังสามารถเล่นหมากล้อมชนะบรรดาพี่ชายได้อย่างขาดลอย พูดน้อยแต่มันสมองมากมายนัก

    และคนสุดท้าย เหยียนเหม่ยเซียน อายุห่างจากพี่ใหญ่สิบปี ห่างจากพี่รองแปดปี จากพี่สามหกปี แต่กิริยาท่าทางอ่อนช้อย เก็บงำความคิดและสีหน้าได้อย่างดี ความคิดความอ่านเฉียบขาดแต่ไม่แสดงออก ทุกการกระทำของนางล้วนอยู่ในสายตาของผู้เป็นย่า หลานสาวคนนี้ฉลาดเกินไป ยังดีที่นางรู้จักเก็บงำความสามารถจึงวางใจได้เปลาะหนึ่ง แต่...คงไม่อาจวางใจได้ทั้งหมด การที่จะฝึกนางให้ฉลาดหลักแหลมมากกว่าเดิมทำให้คนเป็นย่าคันไม้คันมือยิ่งนัก อยากให้นางกราบเป็นศิษย์ใจจะขาด แต่ความเป็นผู้อาวุโสไม่สามารถบีบบังคับนางได้ จึงได้แต่กดดันกลายๆให้นางได้เลือกเอง

    “เหวินอี้ไปช่วยน้องสาวเจ้าเก็บของเสีย เราจะไปหมู่บ้านตะวันตกกัน”

    สิ้นเสียงคำสั่งของผู้อาวุโส สมาชิกในห้องได้แต่หน้าซีดปากสั่น หมู่บ้านตะวันตกเป็นสถานที่ๆพวกเขาล้วนผ่านความเป็นความตายมาทั้งสิ้น พี่ใหญ่ต้องนอนเตียงถึงสามเดือน พี่รองเดินไม่ได้ครึ่งปี พี่สามก็สะบักสะบอมกำลังภายในไม่คืบหน้าเกือบปีครึ่ง แล้วน้องสาวของเขาเล่า...จะทนทานไหวหรือ!

    “ไม่ได้ยินหรือเหยียนเหวินอี้” คนเป็นย่าย้ำคำสั่งอีกรอบ จนเจ้าของชื่อสะดุ้ง ลุกขึ้นโค้งคำนับหนึ่งคำรบแล้วเดินออกจากห้องไปด้วยสติเลื่อนลอยคิดถึงยามที่ตนเดินทางร่วมกับท่านย่าไปหมู่บ้านตะวันตก ครั้งแรกที่ได้ยินว่าจะได้ออกจากสำนักไปท่องยุทธภพ เขาเองก็ลิงโลดในใจ ไม่เคยรู้เลยว่าเบื้องหน้าคือนรกดีๆนี่เอง

    เหม่ยเซียนเองก็คารวะผู้ใหญ่ทั้งหลายก่อนออกจากห้องไปเก็บข้าวของของตนเอง สังเกตจากสีหน้าบิดามารดา และพี่ชายทั้งหมด การเดินทางครั้งนี้คงไม่ง่ายอย่างที่คิด

     

    ช่วงนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ อากาศหนาวเริ่มคลายลงสายฝนก็เริ่มตกโปรยปราย ไม่ถือว่าหนักจนเดินทางไม่สะดวก แต่ก็อันตรายยิ่งเมื่อเดินเท้าตามสันเขา หรือเดินทางยามกลางคืน แน่นอนว่าผู้เดินทางส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยงการเดินทางไกล เว้นแต่...หนึ่งบุรุษสองสตรีต่างวัยที่เดินไล่เรียงกันมา โดยมีสตรีวัยกลางคนผมสีดอกเลาร่างกายแข็งแรงเดินนำหน้า ตามด้วยดรุณีน้อยวัยห้าหนาวที่ก้าวด้วยขาสั้นๆพยายามตามให้ทันผู้เป็นย่า ท่ามกลางสายตาระมัดระวังของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าที่ตามหลัง

    คนเป็นย่าเดินเร็วไม่สนใจคนข้างหลัง เหยียนเหม่ยเซียนก็สับขาสั้นๆเป็นก้าวเล็กๆแต่เร็วให้ทันก้าวยาวๆของย่า มีล้มบ้างสะดุดบ้างตามประสาของเด็ก แต่ทุกครั้งที่ล้มเธอมักสังเกตเห็น ว่าฝีเท้าของคนนำหน้าจะผ่อนลงไปด้วย ถึงแม้ไม่หันหลังมามองหรือไม่ได้หยุดเดินก็ตาม

    “เหม่ยเอ๋อร์ ไหวหรือไม่” พี่ใหญ่แอบกระซิบเบาๆให้ได้ยินกันสองคน หลังจากร่างของสตรีวัยชราเดินไปไกลหลายก้าว นัยน์ตาเขาสั่นระรัวด้วยสงสารน้องจับใจ จะช่วยจับให้ลุกยืนก็ไม่กล้า จะมองผ่านก็ไม่อาจหักใจได้ ตัวเขาโดนฝึกตอนห้าหนาวเช่นเดียวกัน แต่ตนเองเป็นบุรุษ ซ้ำยังฝึกยุทธ์มาบ้าง แต่น้องน้อยของเขาไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่ ร่างกายก็เล็กจ้อยคล้ายซาลาเปาก้อนกลมกลิ้งหลุนๆตามพื้น

    “ไหวเจ้าค่ะ” เจ้าของชื่อแย้มยิ้มเล็กๆที่แสนเหนื่อยอ่อนให้ เดินทางไกลถึงสองวัน หยุดพักเพียงไม่กี่ครั้ง ทุกครั้งที่พักต้องหาสัตว์เล็กสัตว์น้อยกิน อยากกล่าวโทษขาน้อยๆของตนเองที่ทำให้ก้าวพลาดหลายครั้ง ซ้ำยังสะดุดบ่อยจนหน้าคะมำล้มไม่เป็นท่า

    พี่ชายผู้แสนดีไม่ได้พูดสิ่งใดอีก เขามองร่างของน้องสาวอีกครั้งพลางถอนหายใจ แก้มนุ่มนิ่มที่เคยขาวสะอาดเต็มไปด้วยคราบโคลนและฝุ่น ผมเผ้ายาวเหยียดยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ตามเนื้อตัวที่ถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์สีดำเริ่มขาดบ้างแหว่งบ้าง ตามสถานการณ์ที่ผ่านมา ยังดีที่ดวงตากลมใสไม่มีวี่แววความขุ่นเคืองหรือน้อยอกน้อยใจให้เห็น พานทำให้เขานึกถึงตนเองในยามนั้น

    เขาจำความรู้สึกน้อยใจและโกรธแค้นท่านย่าของตนอยู่มาก เพราะตัวเองยังเด็กซ้ำยังต้องมาลำบากลำบน อดทนเดินในเส้นทางนี้ไม่รู้วันคืนว่าจะได้หยุดพักที่ไหนเมื่อไหร่ ทุกครั้งที่ท่านย่าเดินเร็วเขาจะสาปส่ง ทุกครั้งที่ท่านย่าปีนขึ้นต้นไม้หลับนอน ปล่อยให้เขาอยู่บนพื้นต่อสู้กับสัตว์ป่าน่ากลัว เขาจะยิ่งทวีความโกรธแค้น จะหันหลังกลับก็ไม่สามารถจดจำทิศทางได้ จะเดินต่อไปก็ไม่รู้ว่าจุดหมายอยู่ที่ใด

    ยามนี้ล่วงเข้ายามซวี[3]รอบด้านเริ่มคืบคลานเข้าสู่ความมืดมิดอีกครา นับเป็นราตรีที่สามหลังจากเดินทางออกจากสำนักเทียบสุริยัน ทั้งๆที่เดินทางทั้งวันทั้งคืน แต่พื้นที่ๆยืนอยู่หันมองทางที่จากมายังเห็นหลังคาตำหนักกลางอยู่ไกลๆ จึงเดาได้ว่า ตอนนี้ห่างจากสำนักไม่กี่ลี้

    เธอเข้าใจแล้วที่เขาบอกว่าเดินขึ้นเขาลัดเลาะตามป่าจะยาวนานกว่าเดินบนพื้นราบเป็นเช่นไร อีกทั้งร่างเล็กๆเวลาเดินจะขัดใจ สร้างความรำคาญไม่น้อย เดินมากก็เหนื่อยเพราะปอดยังไม่ใหญ่เท่าคนหนุ่มสาว

    เหม่ยเซียนเดินตามท่านย่าจนมาถึงลำธารขนาดกลาง รอบด้านเต็มไปด้วยโขดหินและต้นไม้สูงใหญ่ มีลานน้อยๆแสดงให้เห็นว่าบริเวณนี้เป็นจุดหยุดพักอย่างที่ท่านย่าพูด มาดว่านักเดินทางคนอื่นก็มาพักบริเวณนี้เช่นกัน พอรู้ว่าคืนนี้ได้หลับนอนที่ไหนร่างเด็กวัยห้าหนาวก็ออกสำรวจรอบบริเวณ หากิ่งไม้แห้งมาทำฟืน น่าเสียดายนัก พิรุณโปรยปรายไม่ขาดสาย ถึงแม้ตอนนี้จะลงเม็ดไม่หนามาก แต่กิ่งไม้ทั้งหลายที่หักลงมาก็ไม่อาจแห้งได้ ใบไม้ก็ชื้นจนถึงขั้นเปียก

    เห็นแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ไม่มีฟืนก็ไม่มีไฟ ไม่มีไฟโอกาสที่จะโดนสัตว์ป่าจู่โจมก็มีมากกว่า เดินวนดูรอบบริเวณหลายรอบก็ตัดใจ เดินกลับมายังจุดพัก ท่านย่ากับพี่ใหญ่ที่ควรจะอยู่ตรงลานกลับว่างเปล่า แหงนมองขึ้นด้านบนต้นไม้ใหญ่ถึงกับขมวดคิ้ว

    พวกเขาปีนขึ้นต้นไม้กันอย่างพร้อมเพรียงเช่นนี้… หรือว่า

    โฮกกกก!

    เสียงคำรามกู่ก้องดังทั่วผืนป่า ร่างใหญ่สูงเทียบเท่าอาคารชั้นสองของตึกๆหนึ่งได้เลย ยิ่งมันเดินเข้ามาใกล้ ร่างของเธอก็หดเกร็งขึ้นเรื่อยๆ จะปีนขึ้นต้นไม้ก็คงไม่ทันเสียแล้ว สบตาฝ้าฟางของท่านย่าแวบหนึ่งถึงกับบางอ้อในใจ นี่คงเป็นบททดสอบแรกของการเดินทาง พินิจสีหน้าพี่ใหญ่ที่เหงื่อแตกพลั่กๆ ก็เดาได้ไม่ยากว่าพี่ชายของตนคงเป็นสหายเก่าเจ้าหมีตัวนี้แน่

    แล้วเธอจะทำอันใดเล่า ยืนคุยกับมันเหมือนนางเอกนิยาย? หรือดึงวิชาต่อสู้ออกหมัดมวย ล้มหมีตัวใหญ่? อืม... เกินธรรมชาติไปนิด หมีเป็นสัตว์ไม่ใช่คน ไม่สามารถฟังภาษามนุษย์​ได้ จะให้วิ่งก็คงไม่ทัน ตัวมันใหญ่ราวยักษ์​ตัวเธอสั้นยิ่งกว่าหลักกิโลเมตร มาดว่าวิ่งสามก้าวก็คงโดนเหยียบ

    แล้วจะทำอันใดได้ แกล้งตาย? ไม่ใช่ความคิดที่ดี จากการวิจัยที่เธอเคยอ่านมา การแกล้งตายเวลาเจอหมี มีโอกาสตายจริงสูงมาก นัยน์ตาสองคู่สบประสาน​กัน หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ประจันหน้ากันนิ่งไม่มีทีท่าจะขยับตัว  มองพื้นด้านหลังเห็นรอยเท้าหมีขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่ชัดมาก รวมทั้งยามมันขู่คำรามยังมีหินปูนติดตามไรฟัน อ่า…. เธอเจอทางรอดของตนเองแล้ว

    คล้ายว่าที่ทำงานในชาติก่อนของเธอมีเพื่อนเป็นสัตวแพทย์​ เคยบอกว่าหมีป่ากับหมีเลี้ยงมีลักษณะ​ต่างกัน หมีป่าจะนอนกลางวันหากินตอนกลางคืน กลางวันเชื่องซึมกลางคืนร่าเริง เวลาเดินรอยเท้าจะชัดแผ่นเท้าไม่เรียบ ตามซอกฟันจะขาวสะอาดไม่มีเศษซากหินปูน เพราะหากินเองตามธรรมชาติอาศัยกินต้นไม้ใบหญ้าช่วยในการขัดฟัน ส่วนหมีเลี้ยงจะหากินกลางวัน นอนกลางคืน กลางวันร่าเริงกลางคืนเชื่องซึม แผ่นเท้าจะเรียบรอยเท้าไม่ชัด เพราะไม่ค่อยได้เดิน ฟันจะมีคราบหินปูนขึ้น และคุ้นเคยกับคนมากกว่าหมีป่ามาก

    ดูจากลักษณะหมีตัวนี้ นัยน์ตามันซึมๆลืมไม่ถึงครึ่งตา บ่งบอกว่ามันพึ่งตื่นนอน ซ้ำร่างกายยังโงนเงนไม่มั่นคง คล้ายจะหลับไม่หลับแหล่ เหยียนเหม่ยเซียนเปลี่ยนท่าทีอย่างเชื่องช้า กลับมายืนอย่างสงบนิ่ง ปรับลมหายใจเข้าออกให้สมดุลกัน หัวใจที่เคยรัวเร็วก็กลับมาเป็นปกติ ผิดกับพี่ใหญ่ที่อยู่บนยอดบนสุดของต้นไม้โดยสิ้นเชิง

    เมื่อสิบปีก่อนถึงเขาจะอายุห้าหนาวเทียบเท่าเหม่ยเซียน แต่ยามพบหมีตัวนี้คราแรก เขาถึงกับวิ่งป่าราบไม่เห็นฝุ่น วิ่งวนไปวนมา ตะโกนเรียกท่านย่าๆอยู่นาน สองชั่วยามผ่านพ้นหมีป่าตัวนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างหมดแรงแทน ไหนเลยจะมีจิตใจสงบนิ่งเฉกเช่นน้องสาวเขา ตอนนี้ในใจเขาได้แต่ตะโกนก้อง ‘วิ่งสิเหม่ยเซียน วิ่ง ก่อนที่มันจะจับเจ้ากิน!’ อยากกระโจนลงไปช่วยน้องสาวตนนัก

    ไม่นานเพียงอึดใจร่างใหญ่โตของมันก็ฟุบลงกับพื้น แนบศีรษะกับปลายเท้าเล็กๆของเด็กสาวแล้วแน่นิ่งไป สังเกตจากกระบังลมที่เคลื่อนขึ้นลงช้าๆก็เข้าใจในทันทีว่ามันคงหลับไปแล้ว เหยียนเหม่ยเซียนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เงยหน้ามองเงาร่างของท่านย่าและพี่ชาย ที่กำลังเคลื่อนกายลงจากต้นไม้ช้าๆ

    เหยียนเหม่ยเหนียงเจ้าสำนักตำหนักกลางยกยิ้มบางจนแทบไม่มีใครสังเกตเห็น เหวินอี้ตอนห้าหนาววิ่งหนีหมีป่าราวกับเห็นผี ตะโกนเรียกตนเองไม่หยุดจนสัตว์ร้ายตัวอื่นตื่นตัว รุมเข้ามาทำร้าย จนสุดท้ายก็เป็นนางที่ต้องยื่นมือเข้าไปช่วย หย่งเล่อหลานชายคนรองได้แต่กระโดดลงน้ำว่ายหนีไปทางน้ำเชี่ยว จนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ส่วนหลานชายคนที่สามก็เอาแต่กวัดแกว่งเศษไม้ใส่ ทำราวกับดาบ แม้ยืนประจันหน้าไม่นานก็ต้องวิ่งหนีเช่นเดียวกัน ดีที่ไม่ได้ตะโกนโหวกเหวกเหมือนเหวินอี้ สัตว์ป่าเหล่านั้นจึงไม่ตื่นตัว

    แต่..หลานสาวคนสุดท้องไม่ได้โง่เขลานางสังเกตจากสีหน้าและลักษณะของศัตรูก่อน และยังวิเคราะห์ได้อย่างตรงจุด ผิดแผกจากเด็กวัยห้าหนาวทั่วไปโดยสิ้นเชิง ดังนั้นเหยียนเหม่ยเซียนจึงเป็นเด็กที่มี ‘พรสวรรค์’ อย่างแน่นอน

    “พักจนพอแล้ว เดินทางต่อ”

    เด็กสาวอ้าปากค้าง พึ่งหายตระหนกตกใจได้ไม่ถึงครึ่งเค่อ นอกจากจะไม่ปลอบประโลมให้หายเสียขวัญ บุพการีก็มิเว้นช่วงเวลาให้พักแม้แต่น้อย เร่งฝีเท้าเดินต่อในทิศทางตะวันตก มีเพียงพี่ใหญ่ที่เข้ามาลูบหัวลูบหางปลอบใจ หมุนขวาทีซ้ายทีราวกับตุ๊กตาหาตรวจดูว่ามีสิ่งใดบุบสลายหรือไม่ เมื่อไม่เห็นมีสิ่งใดแตกหักก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ดวงตาเริ่มเอ่อคลอด้วยน้ำใสๆคล้ายจะร่ำไห้ในที

    “ทำอันใดกันอยู่ เดินทางต่อได้แล้ว” น้ำเสียงเร่งรัดดังจากมุมหนึ่ง ทำให้หนึ่งหญิงหนึ่งชายรีบเดินตามอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเหม่ยเซียนสังเกตหรือไม่ แต่ฝีเท้าของนางเริ่มก้าวทันผู้เป็นย่าขึ้นทุกที

     

    “ทะ...ท่านย่า พี่ใหญ่ กรี๊ด!” เสียงหวีดร้องแรกนับแต่ก้าวเข้าสู่ผืนป่าของเด็กสาว ช่างเสียดแทงเข้าสู่จิตใจของผู้ฟังนัก ครบสามปีแล้วที่เดินทางออกจากสำนัก เหยียนเหม่ยเซียนโดนทดสอบหลายครั้งหลายครา โดยมีพี่ใหญ่ยืนให้กำลังใจอยู่ไม่ไกล แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เด็กสาวจะร้องเรียกให้ใครช่วย นางไม่เคยออกแรงโดยสูญเปล่า ส่วนใหญ่แล้วใช้สมองในการแก้ปัญหาเท่านั้น

    การเดินทางครั้งนี้ช่างยาวนานนัก โดยปกติการเดินทางส่วนใหญ่จะกินเวลาเพียงปีหรือสองปี ท่านย่าก็จะพากลับสำนัก แต่น่าแปลกที่ครั้งนี้กินเวลาถึงสามปี วนเวียนไม่ซ้ำที่จนลืมจุดหมายเดิมไปเสียแล้ว เหวินอี้เติบโตเป็นหนุ่มวัยสิบแปดปี วิชาตะเกียบเทวดารุดหน้าไปไกลกว่าเดิมมาก การใช้ลมปราณช่วยให้ตะเกียบเข้าเป้าก็ดีขึ้นหลายส่วน จนตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่าเป็นหมอเทวดาผู้หนึ่งได้เลย

    ส่วนเหยียนเหม่ยเซียนเติบโตเป็นดรุณีน้อยวัยแปดหนาว ร่างกายสูงกว่าแต่ก่อนหลายเท่า ทั้งโครงหน้าเริ่มเห็นความงามอันแปลกประหลาด ไม่เพียงเท่านั้นทั้งสติปัญญาและความฉลาดรอบรู้ในการเอาตัวรอดยังเพิ่มขึ้นหลายส่วน ตลอดระยะทางถูกท่านย่าวางยาพิษบ้าง ให้หาทางแก้เองบ้าง ลองผิดลองถูกโดยมีพี่ใหญ่คอยแนะนำกลายๆ ศึกษาพืชพรรณหลายๆอย่างที่ไม่เคยเห็นจนเรียกได้ว่าชำนาญ วัยเพียงแปดหนาวแต่สามารถปรุงยาและวางยาได้เฉียบคมจนล้มหมีตัวใหญ่ และเสือป่าได้นับว่าฝีมือมิอาจดูแคลน  

    “พะ..พี่ใหญ่” เธอเอ่ยเรียกพี่ชายเสียงเบาหวังให้เขาได้ยินทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีใครทราบแน่ว่าเธอกำลังเจอกับอะไรอยู่ หลังจากเดินทางออกจากหมู่บ้านเล็กๆท่านย่าก็นำทางไปยังน้ำตก บอกจะค้างคืนที่นี่ ระหว่างที่ท่านย่าและพี่ใหญ่แยกกันไปชำระกาย เธอจึงสำรวจรอบด้านเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ไม่คาดคิดว่าจะเดินตกหลุมอสรพิษนี่เสียเอง

    ฟังไม่ผิดตอนนี้เหม่ยเซียนอยู่ใจกลางอสรพิษนับพัน หลุมขนาดลึกมีความกว้างแค่สิบคนยืนถูกจับจองด้วยงูหลายสิบตัว จะปืนขึ้นก็ไม่ได้ จะยืนรอความตายก็ไม่ใช่ที ผิวงูเลื่อมสะท้อนแสงอาทิตย์อันน้อยนิดทำให้ขนในร่างลุกชัน หลายตัวแผ่แม่เบี้ยขู่ใส่ เธอรู้ทันทีว่าหากขยับผิดเพียงนิดก็สามารถปลิดชีวิตตนเองได้ ภายในหลุมยังมีกลิ่นไม่พึงประสงค์คล้ายกลิ่นเหม็นเน่าที่สะสมมาเป็นเวลานาน มาดว่าคงเป็นแก๊สชนิดหนึ่งที่สามารถติดไฟได้ อีกด้านหนึ่งที่เป็นกำแพงดินยังมีโพรงเล็กโพรงใหญ่ที่เป็นที่อยู่อาศัยของงู และยังมีก้อนหินก้อนใหญ่ที่ถูกจับจองด้วยอสรพิษด้วย

    การเดินทางครานี้เธอเรียนรู้หลายๆอย่างจากท่านย่าเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเจอสัตว์ป่าชนิดไหน โดนวางยาอะไร หรือเจอสิ่งลี้ลับน่ากลัวเพียงใดเธอก็สามารถผ่านพ้นออกมาได้ ด้วยการใช้เทคนิคที่อยู่ในความทรงจำ ยาพิษบ้าง สมุนไพรบ้าง ผสมผสานกับการสอนของท่านย่าจนทุกอย่างลุล่วง

    แต่...การเผชิญหน้ากับอสรพิษนี้เหนือบ่ากว่าแรงเธออยู่มาก!

    ฟ่อ

    เขี้ยวง้าวยาวออกมาจากปากที่เปิดกว้าง มันตั้งท่าจะฉกสตรีร่างเล็กตรงหน้า แต่เมื่อเข้ามาใกล้ถึงตัวไม่กี่ชุนพวกมันต่างชะงักและเลื้อยไปรอบๆ เห็นดังนั้นทำให้เอะใจนัก มือเล็กเรียวของเหม่ยเซียนล้วงเข้าแขนเสื้อด้านหนึ่งที่เอาไว้เก็บสมุนไพรยามเดินทาง

    ท่านย่าได้มอบถุงผ้าขนาดเล็กมาหลายถุง สำหรับจัดเก็บพืชพรรณที่มีความจำเป็น แน่นอนว่ามันมีจำนวนมากจนจำแทบไม่ได้ แต่มีเพียงสองถุงเท่านั้นที่ยังชื้นอยู่เพราะพึ่งเก็บและยังไม่ทันตากแดดให้แห้งดีก็ตกลงหลุมเสียแล้ว เธอล้วงถุงสองใบออกมาช้าๆ อสรพิษรอบข้างขู่ฟ่อใส่ก่อนจะเลื้อยออกไปเล็กน้อย

    เปิดปากถุงดูพบเป็นว่านโซ่วจวี๋[4]ที่พึ่งเก็บจากหมู่บ้านเล็กๆที่ผ่านมา อีกถุงคือรากโซ่วเซ่า[5] ว่านโซ่วจวี๋เธอเห็นว่าสวยงามดีจึงพกติดตัวไว้ เธอลองยื่นถุงใบแรกไปตรงหน้าท่ามกลางอสรพิษ พวกมันบางตัวต่างเลื้อยหนี บางตัวไม่ขยับแต่ก็ไม่ได้รุกคืบเข้ามา ส่วนใหญ่เมื่อพวกมันรับรู้ถึงกลิ่นของว่านโซ่วจวี๋ก็สะบัดหัวเล็กๆของมันคล้ายกับกลิ่นรุนแรงของดอกไม้รบกวนประสาทสัมผัสในการจู่โจม

    เด็กสาวลอบยิ้มครู่หนึ่ง อย่างน้อยก็ยืดระยะเวลาตายได้ไม่มากก็น้อย มองดูถุงที่สองพลางคิด..แล้วรากของโซ่วเซ่ามีผลต่องูพวกนี้หรือไม่ คิดดังนั้นก็ลองวางรากของโซ่วเซ่าไว้รอบด้านไกลตัวเล็กน้อย เธอไม่กล้าโยนใส่พวกมันเพราะเกรงว่าหากมันไม่มีพิษต่องูอาจกลายเป็นเธอที่จะเกิดอันตราย โซ่วเซ่าไม่มีกลิ่นแรงเหมือนว่านโซ่วจวี๋ ไม่ได้สวยงามแต่มีสรรพคุณทางยามากมายนัก ทั้งช่วยป้องกันอาการหวัดคัดจมูก ปวดหัวตัวร้อนและขับเสมหะ ทั้งต้น ใบ เมล็ดหรือแม้แต่รากของมันสามารถนำมาทำยาได้ทั้งหมด

    ไม่นานเกินรอหลังจากวางรากโซ่วเซ่าไว้ มีงูจำนวนหนึ่งที่กลิ่นว่านโซ่วจวี๋ไม่เป็นผลต่อระบบประสาทหรือบางตัวหายมึนงงแล้ว พุ่งตัวมาทางเธออย่างรวดเร็ว ไม่ทันได้วิเคราะห์อะไร ด้วยความตกใจเหม่ยเซียนจึงกระโดดหลบไปด้านหลังพร้อมหยิบหินสีประหลาดสองก้อนออกมา

    ตูม!

    เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว พร้อมๆกับเปลวเพลิงขนาดใหญ่ที่ลุกท่วมบ่ออสรพิษ สาเหตุเกิดจากเหม่ยเซียนใช้ก้อนหินสองก้อนกระทบกันจนเกิดประกายไฟ ลำพังในหลุมนี้มีแก๊สไข่เน่าอยู่ การจุดไฟจึงไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนเธอเองก็พุ่งตัวไปหลังหินก้อนใหญ่ พยายามใช้มันบดบังร่างกายของตนเองให้มากที่สุด อย่างน้อยให้พี่ใหญ่และท่านย่ารู้ว่าเธออยู่ตรงไหนก็ยังดี

    งูส่วนใหญ่ที่อยู่ตรงกลางถูกไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว บางตัวดิ้นทุรนทุรายผิวค่อยๆเผาไหม้ไป ส่วนงูบางส่วนที่อยู่ใกล้เธอด้วยความตกใจต่างฉกเขี้ยวเล็บใส่ตามลำตัวเธออย่างพร้อมเพรียง

    เหยียนเหม่ยเซียนกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ความร้อนจากไฟลุกลามมาเรื่อยๆ แต่ความแสบร้อนจากเขี้ยวงูยิ่งเพิ่มความกลัวของเธอมากขึ้นทวีคูน หัวใจเริ่มเต้นถี่รัวคล้ายมีกระแสไฟบางอย่างเดือดพล่านภายใน ภายใต้รอยเขี้ยวเล็กๆเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ บ่งบอกความร้ายแรงของพิษที่ไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย

    ร่างเล็กของดรุณีน้อยค่อยๆทรุดกายหมอบกับพื้น มือทั้งสองข้างกอบกุมหัวใจที่ใกล้แหลกสลาย ท่ามกลางอสรพิษนับพันที่เกี่ยวรัดพันรอบกายเหยื่อหวังกินเป็นอาหาร ท่านย่า..พี่ใหญ่ พวกท่านอยู่ที่ไหนกัน



    [1] วาดมังกรวาดเสือยากที่จะวาดให้เห็นกระดูก รู้คนรู้หน้าไม่รู้ใจ  สำนวนจีน หมายความว่า อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน ไม่ได้สอนให้ระแวง แต่มุ่งสอนให้ระวังคนไว้บ้าง

    [2] จวาโจว (抓周)เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา โดยผู้ใหญ่ในบ้านจะวางข้าวของที่ใช้ในการเสี่ยงทายไว้บนถาดน้ำชา หากเป็นเด็กผู้ชายก็จะวางคัมภีร์ต่างๆ ของจีน พุทธคัมภีร์ กระดาษ ของเล่นหรืออาหาร หากเป็นเด็กผู้หญิงก็จะวาง กรรไกร ไม้บรรทัด และเครื่องมือเย็บปักถักร้อยต่างๆ  ผู้ใหญ่จะอุ้มเด็กให้เลือกหยิบของที่ตนเองถูกใจ แล้วทำการทำนายอนาคตเด็กเอาจากของนั้น หากหยิบลูกคิดก็อาจจะประกอบอาชีพเป็นพ่อค้า เป็นต้น

    [3]  ยามซวี  19.00 น. - 20.59 น.

    [4] ว่านโซ่วจวี๋ คือ ดาวเรือง

    [5] โซ่วเซ่า คือ ฟ้าทะลายโจร

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×