ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่ายรักหัวใจอสูร

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 370
      1
      15 ก.ย. 66

    คมกริชแวะมาเยี่ยมพี่ชายและพี่สะใภ้ในตอนสายของวันหยุดพักผ่อน เด็กชายตัวน้อยส่งเสียงดังลั่นสร้างความสุขสดชื่นให้กับทุกคนที่อยู่รอบข้างได้เป็นอย่างมาก สองพี่น้องคุยกันเรื่องงานสักพักใหญ่ก่อนที่พี่ชายจะเอ่ยถามถึงภาสินี

    "ไปร้านคุณแพทมาหรือยัง"

    "ไปมาแล้ว คุณแม่ให้ไปดูขนมที่จะเอาเลี้ยงแขกในงานวันเกิดเดือนหน้า"

    คมกริชไม่ได้เล่ารายละเอียดว่าไปทำอะไรไว้ที่ร้านของภาสินีบ้าง เพราะหลังจากวันที่ไปก่อกวนประสาทเจ้าของร้านคนสวยให้โมโหแล้วนั้น เขาก็ติดภารกิจงานที่บริษัทและยังไม่ได้มีโอกาสกลับไปอีกเลยจนกระทั่งวันนี้

    "ใครไปร้านยัยจุ้นมาเหรอครับ" คมกริชถามเมื่อเห็นเกษราถือกล่องขนมที่จำได้ว่าเป็นของร้านภาสินี

    "ไม่มีใครไปค่ะ คุณแพทแวะเอาขนมมาให้เมื่อคืนนี้" เกษราพูดพลางตักขนมเค้กใส่จานเล็กให้สามีพร้อมกับกาแฟ

    "มาเมื่อไร ไม่เห็นมีใครบอก" คมกริชบ่นเบาๆ แล้วยกกาแฟขึ้นจิบ

    "เป็นอะไรคะ คุณกริช" เกษราถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นคมกริชวางถ้วยกาแฟลงด้วยสีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไร

    "มันหวานไป สงสัยน้องเกดคงลืมว่าพี่ไม่กินกาแฟหวาน"

    ทำไมนะ เขาถึงคิดถึงกาแฟแก้วนั้นขึ้นมาทันที รสชาติมันก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ แต่วันนี้กลับรู้สึกอยากจะกินมันอีก คมกริชพยายามกลบเกลื่อนความรู้สึกในใจบางอย่างไม่ให้ใครสังเกตเห็น ก้มหน้าก้มตาดื่มกาแฟแก้วที่เกษราชงให้จนหมด

    "น้ำตาลหนึ่งกาแฟสอง ก็ถูกนี่คะ เกดจำได้" เกษรามั่นใจว่าชงตามนี้ไม่ผิดแน่ และทุกครั้งที่ชงให้คมกริชก็มีแต่บอกว่าอร่อยถูกปาก เพิ่งมีครั้งนี้นี่แหล่ะ ที่บอกว่าหวานไป

    "ไม่เป็นไรครับ น้องเกดไม่ต้องชงใหม่หรอก พี่กินได้"

    "ลองนี่ค่ะเค้กร้านคุณแพทอร่อยมาก นี่เห็นว่าจะขยายสาขาไปเปิดในห้างด้วย" เกษราตักขนมเค้กใส่จานเล็กยื่นให้คมกริช

    "ขายดีขนาดนั้นเชียวเหรอครับ ขายในห้างค่าที่เดือนเท่าไร" คมกริชคำนวนค่าใช้จ่ายในใจแล้วก็ส่ายหน้า ไม่คิดว่าร้านขนมของหญิงสาวจะมีรายได้พอที่จะจ่ายค่าเช่าเดือนละเป็นหลักหมื่นได้

    "นายไม่รู้อะไรเสียแล้ว ขนมร้านคุณแพทขายดีมาก รับออร์เดอร์ไม่หวาดไม่ไหว" วัชระยืนยันอีกคน

    "คิดยังไงมาทำขนมขาย หรือว่าว่างจัดเอาเงินพ่อแม่มาผลาญเล่น ทำสนุกไปวันๆ" คมกริชยังติดใจว่าอะไรเป็นสาเหตุให้ภาสินีคิดมาทำขนมพวกนี้ขาย

    "ทีแรกคุณแพทก็ไม่คิดจะทำจริงจังหรอก เห็นบอกว่าตอนอยู่ที่อังกฤษ รูทเมททำให้กินทุกวันก็เลยสงสัยว่ามันอร่อยตรงไหน พอได้ไปลองทำออกมารสชาติอร่อยก็เลยติดใจ ที่นี่แทนที่จะลงเรียนในสาขาที่ตั้งใจไว้แต่แรก ก็เลยเปลี่ยนเป็นไปเรียนทำขนมแทน แล้วรู้ไหมว่าเปิดร้านมาปีกว่าแต่มีขาประจำเพียบ ที่สำคัญเงินที่คุณหญิงลงทุนให้ก็คืนกลับมาตั้งแต่ปีแรกแล้วด้วยซ้ำ" วัชระพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม

    "ตอนมาปรึกษาคุณวัชว่าจะลงทุนทำร้านขนม เกดยังตกใจเลยค่ะ แต่พอเอาเข้าจริงขายดีมาก น่าภูมิใจแทนนะคะ" เกษราชื่นชมอีกคน

    "ขายดียังไง ถ้าไม่ได้ทำเองก็เท่านั้น จ้างลูกจ้างก็คงไม่เหลือกำไรมากหรอก ลูกจ้างเอากำไรไปกินหมด" คมกริชไม่คิดว่าขนมอร่อยพวกนี้จะเป็นฝีมือของภาสินีจริงๆ

    ถึงเจ้าหล่อนจะไปร่ำเรียนมาไกลถึงอังกฤษ แต่การทำขนมให้อร่อยต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและการฝึกฝน เท่าที่จำได้และเห็นกันมานาน คมกริชไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าภาสินีจะมีความชอบหรือความรู้ในสิ่งเหล่านี้ เรื่องเดียวที่เห็นชัดเจนในตัวเจ้าหล่อนก็คือ ชี้นิ้วสั่งคนอื่น นั่นแหล่ะงานถนัดเลย

    "ใครว่าคุณแพทไม่ได้ทำ ขนมทุกอย่างคุณแพททำเองกับมือ ลูกจ้างสองคนนั่นแค่มาเป็นลูกมือเท่านั้น"

    "อะไรนะครับ" คมกริชแทบจะสำลักเค้ก เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่ชายพูด

    "ยัยจุ้นทำเองทุกอย่างเลยเหรอ"

    "ค่ะ ทำเองหมด" เกษรายืนยันอีกคน

    "ไม่เชื่อหรือไง ถามเกดดูก็ได้บางวันยังถูร้านเองด้วยซ้ำ ถ้าลูกน้องทำงานไม่ทัน"

    "ก็ดีครับ หัดทำอะไรเองซะบ้างจะได้เลิกชี้นิ้วสั่งคนอื่น"

    คมกริชไม่คิดว่าสิ่งที่ใครต่อใครพูดจะเป็นเรื่องจริง ก็เมื่อวันก่อนเขาเพิ่งเห็นเจ้าหล่อนหลบงานไปทำอะไรในห้องส่วนตัวหลังร้าน ปล่อยให้ลูกน้องทำงานงกๆ รับแขกอยู่แค่สองคนเท่านั้น  

    "นายนี่มันเป็นอะไรกับคุณแพทนักหนานะ ชอบว่าเธออยู่เรื่อย"

    วัชระไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมคมกริชถึงได้ไม่ยอมลงให้กับภาสินีตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สองคนเหมือนศรศิลป์ไม่กินเส้นกันทั้งๆ ที่น่าจะพูดกันรู้เรื่องตามวัยที่ใกล้กัน แต่กลายเป็นว่าภาสินีกลับมาติดเขามากกว่า อะไรๆ ก็คุณวัชทำให้

    เพราะความที่ไม่มีน้องสาวทำให้วัชระยอมตามใจภาสินีเสียทุกเรื่อง และไม่ว่าหญิงสาวจะขอร้องหรือขอความช่วยเหลืออะไรก็ตามแต่ หากทำได้เขาก็ยินดีที่จะมีส่วนร่วมในทุกกิจกรรม

    "ผมไม่ได้ว่า ที่พูดเพราะหวังดีอยากให้ทำอะไรด้วยตัวเองได้ ไม่ใช่ดีแต่สั่งคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ" คมกริชแก้ต่าง

    "ถ้างั้นก็มองเสียใหม่ ตอนนี้คุณแพทโตแล้วถึงขนาดเป็นเจ้าของกิจการตัวเองได้ เพราะงั้นนายเลิกว่าเสียทีไอ้เรื่องชี้นิ้วสั่งคนอื่นเนี่ย"

    "ครับๆ ผมไม่แตะต้องน้องสาวคนโปรดพี่ก็ได้ แต่จะคอยดูว่าจะทำได้สักกี่น้ำเชียว ไอ้ร้านขนมแสนอร่อยเนี่ย" คมกริชประชดในทีด้วยความหมั่นไส้ ดูเหมือนว่าแม่จอมจุ้นจะเป็นคนโปรดของทุกคนในบ้านไอยสุวรรณไปเสียแล้ว

     

    เพราะฝีมือการชงกาแฟของเกษราเปลี่ยนไป หรือเพราะหัวใจของคมกริชโหยหารสชาติกาแฟจากร้านของใครบางคนกันแน่ ทำให้บ่ายนี้เขาขับรถมาจอดที่หน้าร้านของภาสินีอีกครั้ง ตั้งใจว่าวันนี้จะมาหาขนมอร่อยกินกับกาแฟสักแก้ว และจะแนะนำวิธีเพิ่มยอดขายร้านกาแฟให้มากขึ้นกว่านี้

    แต่ความคิดและอารมณ์ดีของคมกริชต้องหมดสิ้นลง เมื่อเปิดประตูร้านเข้าไปเห็นภาสินีนั่งคุยอยู่กับใครคนเดิมที่โต๊ะตัวเดิม มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าหลายวันที่ยุ่งอยู่กับงานที่บริษัทนั้น เจ้าหล่อนและไอ้หมอนี่นั่งคุยกันเช่นนี้ทุกวันหรือเปล่า

    ชายหนุ่มเลือกโต๊ะมุมตรงข้ามที่ภาสินีนั่งอยู่กับพีระ จงใจหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านแต่ความจริงแล้วลอบสังเกตพฤติกรรมของทั้งสองตลอดเวลา เขาแทบจะลุกขึ้นไปไล่ไอ้หมอนั่นให้ไปพ้นๆ หน้า เพราะแสนจะขัดหูขัดตาเมื่อเห็นเจ้าของร้านคนสวยก้มหน้าเข้าไปหา กระซิบกระซาบชี้ชวนให้ดูโน่นนี้อย่างใกล้ชิด

    ไม่เพียงเท่านั้นแสนจะหมั่นไส้ภาสินีเหลือเกิน ทีกับเขานั้นเจ้าหล่อนทำพูดจาไม่อยากอยู่ใกล้ไล่ให้ไปไกลๆ แต่ละคำไม่รักษาน้ำใจกันเลย แต่ทีกับคนอื่นหัวเราะยิ้มร่ามีความสุข ทั้งที่คมกริชและเธอรู้จักกันมานานกว่าคนที่แม่เจ้าประคุณยิ้มหวานให้เสียอีก

    คมกริชรู้ดีว่าภาสินีชอบคนตามใจ แน่นอนล่ะ มันไม่ใช่นิสัยของคมกริช ถึงแม้ว่าเมื่อแรกรู้จักเจ้าหล่อนจะตามติดเขาแจแทบจะเป็นเงาตามกัน

    แต่เมื่อโตขึ้นนิสัยช่างสั่ง ความวุ่นวายโน่นนี่ของเจ้าหล่อนทำให้ชายหนุ่มมักจะมีคำตำหนิต่อว่าและไม่ตามใจทุกเรื่อง ภาสินีจึงเปลี่ยนคนติดแจไปหาวัชระ แน่นอนว่าพี่ชายสุดที่รักตามใจแม่น้องสาวนอกไส้ทุกเรื่อง และในบางครั้งก็กางปีกปกป้องยามที่เขาขัดใจ

    ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ตามใจทุกเรื่อง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ทำตามที่เจ้าหล่อนต้องการหากว่าสิ่งนั้นถูกต้อง คมกริชนี่แหล่ะ ที่เป็นคนคอยเช็ดน้ำตาทุกครั้งยามเจ้าหล่อนถูกขัดใจ

    และเขานี่แหล่ะ ที่เป็นคนสร้างรอยยิ้มให้กับสาวน้อยขี้แยในยามที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ และก็เขาอีกนี่แหล่ะ ที่เป็นคนผู้สรรหาสิ่งที่ภาสินีต้องการแล้วไม่ได้จากคนอื่นทุกครั้ง

    คมกริชไม่ได้อคติหรือเกลียดชังเจ้าหล่อน เพียงแต่หมั่นไส้นิสัยออดอ้อนช่างออเซาะประจบประแจ ที่ภาสินีแสดงออกกับทุกคนที่อยู่ใกล้ เหมือนที่ทำอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ มันหมั่นไส้อยากจะจับมาตีก้นเสียให้เข็ด และสั่งสอนให้จำไว้ว่าอย่าใกล้ชิดกับใครเกินตน คนเดียวที่จะเนรมิตทุกสิ่งให้ได้มีแค่คมกริชคนเดียวเท่านั้น และค่าตอบแทนในสิ่งที่ทำให้ไม่ได้ต้องการอะไรมาก นอกจากรอยยิ้มหวานๆ ให้ชื่นใจแค่นั้น

    พีระคุยกับภาสินีต่อสักพักแล้วจึงลุกจากโต๊ะออกไปจากร้าน เปิดโอกาสให้คมกริชได้จังหวะเดินไปหาเจ้าของร้านคนสวยที่ง่วนอยู่กับการเก็บข้าวของบนโต๊ะ และแน่นอนว่าเมื่อสบโอกาสอยู่เพียงลำพัง มีหรือที่เขาจะไม่เอาคืนในสิ่งที่ไม่พอใจ

    "ขนมขายไม่ดีหรือไง ถึงได้ต้องใช้วิธีใหม่เรียกลูกค้า" คมกริชถามเสียงดังด้วยสีหน้าบึ้งตึง

    โชคดีที่ในร้านไม่มีลูกค้า มีเพียงแค่พนักงานที่หน้าเคาน์เตอร์ซึ่งกำลังเก็บของอยู่ ภาสินีหันมาเห็นคมกริชยืนหน้าบึ้งเหมือนกับโกรธใครมาสักร้อยปี ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาจะมาหาเรื่อง

    "แก้วตา ปิดร้านซะ พรุ่งนี้อย่าลืมที่เรานัดกันตอนเช้า" ภาสินีไล่ทางอ้อม รีบเดินเข้าไปในห้องทำงานและปิดประตูทันที แต่คมกริชก็ดันประตูตามเข้าไปจนได้

    "ฉันว่าจะช่วยซื้อขนมสักหน่อย เผื่อจะทำให้ยอดขายของร้านดีขึ้น"

    "ถ้าจะซื้อขนมก็รีบไปสั่งที่เคาน์เตอร์ซะ ไม่งั้นของที่เหลือเราจะจัดการ"

    “แต่ละวันคงทิ้งเกินครึ่งซินะ แล้วแบบนี้จะเอากำไรที่ไหน เหลือเท่าไรฉันเหมาหมดเลยก็ได้ เผื่อว่าจะได้กำไรเพิ่มขึ้นมาหน่อย”

    “ถ้าไม่ซื้อก็กลับไปซะ ฉันจะปิดร้านไม่ต้องการคนนอกแล้ว” สาวน้อยไล่กันตรงๆ

    "ใช่ซิ ฉันมันคนนอกไม่เหมือนคนใน ที่ป่านนี้คงเข้านอกออกในกันจนทะลุไส้ทะลุพุงแล้ว" ชายหนุ่มประชดเสียงดัง

    "พูดเรื่องอะไร" ภาสินีหันมามองหน้าเขาด้วยความไม่พอใจ

    "ก็พูดตามที่เห็น ทีหลังทำอะไรก็อย่าประเจิดประเจ้อนัก ร้านมันจะเสียภาพพจน์ คนจะนึกว่าเป็นร้านอื่นแทนร้านขนม"

    "มีแต่คนไม่มีสมองเท่านั้นที่คิดได้แบบนี้ บอกแล้วใช่ไหม ถ้าจะมากวนประสาทกันก็ไม่ต้องมา จะซื้อขนมก็ไปหน้าร้าน หรือถ้าจะให้ดีไม่ต้องมาเลยจะขอบคุณมาก" ภาสินีตอกกลับอย่างไม่เกรงกลัว

    เธอกับคมกริชชาตินี้คงไม่มีวันพูดจากันรู้เรื่องแน่ เขากวนประสาทแบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ และไม่เคยมีสักครั้งเลยที่จะพูดดีด้วย ถ้าไม่แหย่ให้โมโหจนร้องไห้ ก็ต้องพูดอะไรสักคำให้เสียใจ ปากพล่อย ปากเสีย ปากไม่ดี น่าโมโหที่สุด

    "ถ้าไม่มาก็จะไม่ได้เห็นของดีซิ ไม่ได้รู้วิธีทำการตลาดแบบใหม่ที่ต้องเอาตัวเป็นสินค้าด้วย”

    "เมื่อไรคุณจะเลิกกวนประสาทฉันเสียที" หญิงสาวสุดจะทนกับคำพูดไม่เข้าหูของเขาแล้ว

    "ฉันอุตส่าห์ไม่ยุ่งกับคุณแล้ว คุณก็ไม่ควรมาหาเรื่องฉันอีก"

    ภาสินีเน้นทุกคำชัดเจน สายตาและท่าทางบ่งบอกว่าโมโหและไม่ไยดีอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย

    "ใครอยากยุ่งด้วย ก็แค่แวะมาซื้อขนม" ไม่วายที่คมกริชจะตอบโต้

    ชายหนุ่มประหม่าเล็กน้อยเมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองของภาสินีในเวลานี้ มันทำให้หัวใจรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก เพราะแววตาคู่นี้ไม่มีความหวาดหวั่นต่อเขาเลยแม้แต่น้อย เหมือนความอาทรที่เคยมีต่อกันมลายหายไปจนหมดสิ้น

    "กรุณาออกไปจากร้านฉัน ถ้าไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้องคุณป้าว่ามีคนบ้ามาอาละวาดไม่เลิกแถวนี้"

    "จะมากไปแล้วนะ กล้าดียังไงมาบอกว่าฉันเป็นคนบ้า” คมกริชโกรธขึ้นมาบ้าง

    “ที่ฉันมาก็เพื่อจะช่วยอุดหนุน”

    "ถึงไม่มีคุณ ขนมร้านฉันก็ขายได้" หญิงสาวสวนกลับทันที

    "อ๋อ ลืมไป มีวิธีทำการตลาดแบบพิเศษด้วย” น้ำเสียงคนพูดถากถางในที

    "พูดบ้าอะไรของนาย"

    "ก็พูดความจริงไง ขายขนมพร้อมกับบริหารเสน่ห์ ก็บอกแล้วว่าค่าขนมอย่างเดียวไม่พอรายจ่าย มันต้องมีสปอร์เซอร์มาอุดหนุน"  คมกริชพูดอย่างรู้ทันต่อไปอีกว่า

    "หมอนั่นมันเหมาขนมทีละเท่าไรล่ะ หมดร้านหรือเปล่า หรือว่าเป็นนายทุนหลักให้ร้านเธอ"

    "ไอ้..." ภาสินีอยากจะบีบคอคนตรงหน้าให้ตายคามือเสียจริงๆ

    "คนอื่นคงไม่รู้ว่า ไอ้ที่บอกว่าขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ก็เพราะมีวิธีขายแบบพิเศษหรือไม่ก็ไม่ต้องขาย แต่ใช้เสน่ห์หว่านขายแทนขนม"

    "ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้" เจ้าของร้านคนสวยตะโกนไล่อย่างหมดความอดทน

    ไม่ใช่ไล่แค่ปากแต่ภาสินีไล่ด้วยการกระทำอีก สองแขนเล็กผลักให้คนที่ยืนเป็นทองไม่รู้ร้อนออกไปจากห้อง คมกริชไม่ขยับเสียอย่างใครจะทำไม ตัวเล็กแค่นี้จะมีแรงผลักได้สักเท่าไรเชียว

    "ก็บอกแล้วไงว่าเธอมันเก่งแต่ชี้นิ้วสั่ง ทำขนมทำงานทำการกับเขาได้ที่ไหน บอกให้นะ นั่งแต่งตัวสวยๆ ยิ้มหวานๆ แค่นี้เดี๋ยวก็มีไอ้ผู้ชายบื้อๆ มาซื้อมาเหมาเอาไปแจก แต่หวังว่าจะบริหารแค่เสน่ห์ให้คนซื้อขนมนะ คงไม่ต้องลงทุนแถมอย่างอื่นให้ลูกค้าหนุ่มๆ หน้าโง่ของเธอล่ะ"

    "นายคมกริช" ภาสินีกรีดร้องอย่างสุดกลั้น สองมือเล็กระดมทุบไปทั่วทั้งร่าง มีแรงเท่าไรก็ทุบไปที่ตัวของคมกริชเต็มที่

    "เอาน่า สัญญาจะไม่บอกใครให้รู้ เธอจะได้มีภาพลักษณ์เป็นคนเก่งให้คนอื่นชื่นชมอย่างไรล่ะ" คมกริชลอยหน้าลอยตาพูดยั่วให้อีกฝ่ายโกรธจนทนไม่ไหวอีกครั้ง

    "ไอ้บ้า ไอ้นิสัยไม่ดี ไอ้คนบ้า" ภาสินีทุบตีเพื่อระบายความโกรธ คมกริชแรงเยอะกว่ากุมมือไว้แล้วยิ้มเยาะลอยหน้าลอยตา โดยที่หญิงสาวทำอะไรตอบโต้คืนไม่ได้นอกจากโกรธจนน้ำตาคลอและร่วงหล่นมาด้วยความคับแค้นใจ

    "ร้องไห้ทำไม" คมกริชถามด้วยความตกใจ เมื่อเห็นน้ำตาหยดแรกร่วงลงมาที่ข้างแก้ม

    ไม่ใช่แค่น้ำตาที่ไหล แต่ร่างเล็กสั่นสะท้านด้วยความโกรธปนความเสียใจที่ถูกพูดจาไม่ดีใส่ โมโหแต่ทำอะไรไม่ได้

    "เลิกขี้แยได้แล้ว ไม่แกล้งก็ได้" เขาปล่อยมือที่กุมไว้เป็นอิสระ

    "อย่าร้องน่า โตแล้ว" ชายหนุ่มชักใจไม่ดีที่เห็นภาสินีไม่หยุดร้องไห้ แถมยังมองด้วยสายตาอาฆาตอีกด้วย

    "ออกไปเลยนะ"

    เธอสะอื้นยกมือปาดน้ำตาที่แก้มให้แห้ง พยายามสั่งตัวเองว่าไม่ให้ร้องไห้ อย่าร้องไห้ให้ผู้ชายคนนี้เด็ดขาด

    "หยุดร้องก่อนซิ" ชายหนุ่มควักผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้

    "ไม่ต้อง" หญิงสาวหันหน้าหนีเช็ดน้ำตาด้วยสองมือของคนเอง

    "หยุดร้อง เช็ดหน้าซะ" เขาก้าวเข้ามาซับน้ำตาบนแก้มนวลอย่างเบามือ อารมณ์ที่คิดจะเย้าแหย่เมื่อครู่หยุดชะงักลงไปทันที

    "ไม่ต้องมายุ่ง" สาวน้อยเมินหน้าหนีผ้าเช็ดหน้าที่บรรจงซับข้างแก้ม

    "มานี่" คมกริชคว้าตัวคนงอนให้หันมา แล้วใช้แขนรั้งเอวสวยเข้าหาก่อนจะซับน้ำตาให้อย่างถนอม

    เขารู้ว่าแหย่แรงเกินไป แต่ไม่รู้ทำไมปากมันถึงได้พูดแบบนั้น ก็แค่หมั่นไส้ที่เห็นเธอนั่งหัวร่อต่อกระซิกกับไอ้หนุ่มที่ไหนไม่รู้ต่อหน้า มันก็เลยยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เท่านั้นเอง

    "โตเป็นสาวแล้วยังร้องไห้เป็นเด็กๆ ไปได้" คมกริชซับน้ำตาที่ข้างแก้มด้วยรอยยิ้ม หัวใจอิ่มเอมบอกไม่ถูกหวังจะเห็นรอยยิ้มหวานๆ จากสาวน้อยขี้แยสักครั้ง

    ปกติถ้าแหย่ให้ภาสินีโกรธ เขาก็เป็นคนต้องซับน้ำตาให้ทุกคราอยู่แล้ว แต่คราวนี้ไม่เหมือนทุกครั้ง เพราะน้ำตาถูกซับจนแห้งหายไปหมดสิ้น แต่คมกริชกลับไม่ยอมปล่อยคนร้องไห้ออกจากอ้อมแขน

    เขากำลังเพลินกับการชื่นชมใบหน้าหวานปากจิ้มลิ้ม โดยเฉพาะเรียวปากอิ่มที่ยังจำมิรู้ลืมกับจูบที่แสนหวาน อดคิดไม่ได้ว่าถ้าได้จูบอีกสักครั้งจะดีไม่ใช่น้อย แต่คงไม่ใช่เวลานี้ เพราะไม่งั้นคงมีคนร้องไห้ขี้มูกโป่งอีกเป็นแน่

    "ปล่อย" ภาสินีพยายามดันตัวเองออกห่างคนที่กำลังเช็ดหน้าให้

    สมัยเด็กคมกริชเช็ดน้ำตาให้ทีไร เธอก็ยิ้มออกมาได้อย่างมีความสุขทุกครั้ง ทว่าคราวนี้เขาซับน้ำตาให้ แต่หัวใจและร่างกายกลับรู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    หัวใจมันอิ่มเอมในการกระทำอันอ่อนโยนของเขา แต่ในขณะเดียวก็ไม่ลืมว่าใครเป็นคนทำให้ต้องร่ำไห้ออกมา และใครที่ทำให้หัวใจที่ไม่เคยรู้สึกแปลกประหลาด ต้องมาหวั่นไหวนับจากคืนที่ถูกปล้นจูบแรกไปจากชีวิตต่อหน้าต่อตา

    "ปล่อยได้แล้ว"

    "อย่าทำตัวขี้แยซิ ไหนว่าเป็นคนเก่ง มีร้านเองแล้วไง" ในที่สุดคมกริชก็ยอมปล่อยเธอออกจากอ้อมแขนตามคำขอ แต่เป็นการปล่อยที่เรียกว่าตัดใจปล่อยมากกว่าเต็มใจปล่อย

    “โตป่านนี้แล้วยังร้องไห้ขี้แยเป็นเด็กๆ ไปได้ เข้มแข็งหน่อยไม่มีเวลามาตามเช็ดน้ำตาให้ตลอดหรอกนะ"

    "ไม่จำเป็น มีคนอื่นรอเช็ดให้อีกมาก" ภาสินีเมินหน้าหนีจึงไม่ทันได้เห็นสายตาวาววับของดวงตาคู่คม ที่แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่เมื่อจินตนาการตามคำพูดว่า มีคนอื่นเช็ดน้ำตาให้เจ้าหล่อนแทนที่เขา

    "ใช้อะไรเช็ด ผ้าหรือว่าอย่างอื่น แล้วบ่อยแค่ไหน" คมกริชเค้นไรฟันถาม

    ร่างสูงก้าวเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าบึ้งตึงจนภาสินีรู้สึกกลัว ท่าทางเอาจริงบ่งบอกให้รู้ว่าพ่อเจ้าประคุณกำลังโกรธและโกรธมากเสียด้วย

    "ถอยไปนะ จะทำอะไร”

    ห้ามไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคนที่กำลังโกรธกระชากร่างเล็กเข้ามาใกล้เสียจน ลมหายใจร้อนเพราะความโมโหรดลงที่เรือนผมสวยของภาสินี

    "ไอ้หน้าไหนมันเช็ดน้ำตาให้บ้าง แล้วเช็ดกันไปถึงขั้นไหนใช้อะไรเช็ด" ชายหนุ่มตวาดถามอย่างลืมตัว

    "ปล่อยนะ ฉันเจ็บ"

    แรงบีบที่สองแขนเจ็บจนน้ำตาแทบไหลแต่ภาสินีก็กลั้นมันเอาไว้ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้เห็น หน้าตาขึงขังของคมกริชทำให้เธอรู้สึกกลัวมากกว่าและไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรอีก

    "พูดมาซิ ว่าให้ใครเช็ดน้ำตามากี่คนแล้ว พูดมา" เขาตะโกนถามอย่างคนบ้าหัวใจเต้นรัวยิ่งกว่ากลองเพล

    ความรู้สึกทั้งโกรธทั้งโมโหทั้งเจ็บและแค้นปะปนอย่างแยกไม่ออก อยากจะจัดการไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ที่กล้าบังอาจมาทับรอยตนและอยากจะจัดการกับแม่ตัวดี ที่ปล่อยให้คนอื่นมาทำหน้าที่นี้แทนโดยไม่ได้รับอนุญาต

    “ปล่อยนะ คุณคมกริช จะบ้าหรือไง ฉันเจ็บนะ”

    "เจ็บเหรอ เจ็บก็ร้องไห้ซิ ฉันจะได้เช็ดน้ำตาให้เหมือนที่เคยทำไง แต่คราวนี้อาจจะไม่ใช้ผ้าเช็ดหน้าให้เหมือนเดิม แต่จะใช้อย่างอื่นที่เธอน่าจะชอบมากกว่า” ดวงตาวาววับบนใบหน้าคมทำให้ภาสินีรู้สึกกลัว ท่าทางของเขาโกรธมากอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่รู้และไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมต้องโกรธกันขนาดนี้

    “จะบอกหรือไม่บอกว่าใครบ้างที่เช็ดน้ำตาให้เธอ ไอ้หมอนั่นด้วยหรือเปล่า” แค่คิดว่าพีระใกล้ชิดจนถึงขั้นเช็ดน้ำตาให้กันแล้ว คมกริชก็แทบจะอยากฆ่าไอ้หมอนั่นให้ตายคามือเสียรู้แล้วรู้รอดไป

    “คนที่เช็ดน้ำตาให้ควรเป็นคนที่ไม่ได้ทำให้ฉันร้องไห้ ไม่ใช่ประเภทตบหัวแล้วลูบหลังเหมือนใครบางคนหรอก แล้วที่พวกเขาเช็ดน้ำตาให้ก็เพราะไม่อยากเห็นฉันเสียใจ”

    "พูดแบบนี้แสดงว่าคงร้องไห้บ่อยซิท่า และก็คงมีไอ้หน้าโง่ที่ไม่ทันมารยาทเธอมาเช็ดน้ำตาให้ในฐานะสุภาพบุรุษแสนดี กี่คนแล้วล่ะ"

    ยิ่งเจ้าหล่อนพูด เขาก็ยิ่งอยากจะจัดการไอ้คนพวกนั้น รวมถึงจัดการภาสินีด้วย

    "ไม่รู้ แต่ทุกครั้งที่ฉันร้องไห้ก็ไม่เคยต้องเช็ดน้ำตาเอง"

    ใช่ เพราะมีเขา เขาคนนี้นี่แหล่ะ คนที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวปลอบเดี๋ยวว่า คนนี้คนเดียวที่ภาสินียอมให้เช็ดน้ำตาให้

    “คงจะมีความสุขมากซินะ คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงหรือไง ร้องไห้ทีไรก็มีอัศวินขี่ม้าขาวมาเช็ดน้ำตาให้”

    “ใช่ ฉันรู้สึกดีมากและซาบซึ้งไม่มีวันลืมเลยล่ะ” เจ้าหล่อนกล้าตอบด้วยถ้อยคำที่ไม่เกรงกลัวเลยว่า คนกำลังโมโหจะเป็นเกรี้ยวกราดมากแค่ไหน

    "ซาบซึ้งมากใช่ไหม เธอคงไม่ชอบใช้ผ้าเช็ดหน้าเหมือนคนอื่น แต่คงชอบอะไรที่ติดอกติดใจไปนานแสนนาน งั้นฉันก็จะเปลี่ยนวิธีเช็ดน้ำตาในแบบที่เธอชอบ รับรองได้ว่าติดอกติดใจซาบซึ้งจนลืมคนอื่นไปเลยล่ะ"

    คมกริชรั้งตัวคนปากดีเข้ามาหาอย่างว่องไว แล้วโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ชนิดที่เรียกว่าไร้ที่ว่าง เรียวปากสวยสัมผัสริมฝีปากที่ครั้งหนึ่งเคยแนบชิด ภาสินีหันหน้าหนีแต่ไม่อาจรอดเงื้อมมือคนที่กำลังโกรธพ้น

    สติของคมกริชหลุดลอยไม่อาจกลับคืนได้ง่ายๆ เขาง้างปากอิ่มให้เผยอรับจูบที่มอบให้ด้วยไฟโกรธ รุกไล่อย่างบ้าคลั่งหวังจะสั่งสอนให้รู้ว่าอย่าได้แหย่เสือหลับ มิฉะนั้นอาจจะต้องพบกับความเร่าร้อนซาบซ่านเช่นนี้

    ภาสินีไม่ทันตั้งตัวเพราะไม่คิดว่าเขาจะกล้าจูบเธออีกเป็นครั้งที่สอง จูบครั้งที่แล้วทำให้หัวใจสาวหวั่นไหวจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งจูบครั้งนี้ถึงกับทำให้เจ้าตัวสั่นสะท้านด้วยความซาบซ่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะนอกจากจูบแล้ว มือไม้ของคมกริชยังอาจหาญรุกล้ำร่างกายแสนหวงของเธออีกด้วย

    เขารุกไล่ฟาดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช้ความโกรธนำหน้าทุกสิ่งจนเรียวปากงามเจ่อช้ำ คมกริชบดขยี้กวาดความหวานจากริมฝีปากของภาสินีตักตวงมาเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว ราวกับว่าจะไม่เหลือไว้ให้ใครได้มีโอกาสลองลิ้มชิมรสความหวานนี้อีก

    รสจูบที่ร้อนแรงแผดเผาให้ร่างเล็กสั่นสะท้านไปหมดทุกส่วน มือไม้ที่ลูบไล้ผิวกายปลุกเร้าไฟปริศนาให้ลุกโชนขึ้น คุณหนูจอมจุ้นไม่รู้ว่าสัมผัสนี้คืออะไร รู้เพียงแค่ว่าแตะไปตรงไหนก็เหมือนไฟร้อนที่เผาให้ลุกไหม้จนระทวยไปทุกสัดส่วน

    เรียวปากงามมีโอกาสได้พักจากจูบที่ถาโถม แต่คมกริชไม่หยุดแค่นั้นเพราะต้องการจะสั่งสอนคนที่กล้าให้ชายอื่นมาเช็ดน้ำตาให้ ริมฝีปากร้อนระดมพรมจูบไปทั่วทั้งใบหน้า แม้ภาสินีจะหันหนีแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้น

    "อย่านะ" เธอร้องเสียงสั่นห้ามพยายามดิ้นรนหนี แต่ยิ่งดิ้นคมกริชก็ยิ่งกอดรัดนานมากขึ้นไปอีก

    ไร้ประโยชน์เมื่อคมกริชหน้ามืดตามัวเสียแล้ว หัวใจสุภาพบุรุษแปรเปลี่ยนเป็นอสูรใจร้าย ปลายจมูกคมเคลื่อนต่ำลงมาที่ซอกคอและใบหู แระเล็มอย่างย่ามใจมีความสุข ภาสินีสะท้านซาบซ่านอยากจะผลักไสแต่ไร้เรี่ยวแรงจะต่อสู้

    เธอต้องระทวยอีกครั้งเมื่อเขาเคลื่อนริมฝีปากมาที่เนินอกอิ่ม เสื้อเชิ้ตตัวสวยติดกระดุมไว้หลุดออกจากกันอย่างง่ายดาย ภาสินีทั้งเกร็งทั้งกลัวเพราะประตูห้องทำงานเปิดค้างไว้เพื่อไล่คนบ้าให้ออกไป

    "อย่า" เธอร้องเสียงสั่นเมื่อยอดอกสวยถูกรุกล้ำด้วยริมฝีปากร้อน

    แม้บราเซียร์ตัวสวยจะกั้นความงามเนื้อแท้ไว้ แต่คมกริชก็ใช้ริมฝีปากรั้งมันให้เผยความงามที่แท้จริงให้เห็น ก่อนจะครอบครองดูดกลืนอย่างกระหาย แค่นี้ภาสินีก็แทบไม่มีสติจะครองตัวเองให้รอดพ้นจากเงื้อมมือคนบ้าคลั่งได้อีกต่อไป

    คมกริชตั้งใจแค่ว่าจะจูบสั่งสอนคนปากดีที่กล้าพูดให้โมโห แต่เมื่อจูบได้สมใจหมายก็ไม่อาจหยุดปรารถนาส่วนลึกในจิตใจได้ เขาต้องการทำให้ภาสินีรู้ว่าอย่าได้คิดใช้วาจาหรือการกระทำใดๆ ที่ทำให้ไม่พอใจเป็นอันขาด เพราะมิฉะนั้นจะต้องถูกจัดการด้วยวิธีเฉพาะเช่นนี้

    ทรวงอิ่มแดงช้ำเล็กน้อยเพราะไรฟันที่ขบเม้ม คมกริชชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นร่ำไห้ ร่างกายที่เขากำลังมีความสุขสั่นสะท้านไม่ใช่เพราะแรงเสน่หา แต่เป็นเพราะความเสียใจที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้ต่างหาก

    "แพท" เขาเงยหน้าขึ้นจากอกงาม เพียงแค่เห็นคราบน้ำตาบนแก้มสวยก็แทบจะหมดความปรารถนาที่ลุกโชนในใจทันที

    "อย่าร้อง" คมกริชใช้จูบเช็ดน้ำตาที่ไหลเปรอะแก้มเนียนอย่างถนอม

    ยิ่งจูบคนร้องก็ยิ่งร่ำไห้ ยิ่งกอดคนร่ำไห้ก็ยิ่งสะอื้น ยิ่งแต่งตัวติดกระดุมให้ใหม่ เสียงสะอื้นก็ยิ่งดังขึ้น จนในที่สุดคมกริชก็กอดรัดร่างที่กำลังสะอื้นไว้แนบอก หยุดการกระทำทุกสิ่งอย่างไว้แค่นั้น

    ภาสินีร่ำไห้อย่างสุดกลั้น อับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดิ้นรนหนีออกจากการกอด คมกริชผวาจะตามแต่ถูกสั่งห้ามด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด

    "ออกไปนะ" คนขี้แยตะโกนไล่ลั่นห้อง

    "คนนิสัยไม่ดี คนฉวยโอกาส คนเอาเปรียบ พอใจแล้วใช่ไหม ถ้าพอใจแล้วก็ไปซะ" เธอไล่ทั้งน้ำตา

    "แพท ไม่ใช่นะ" ชายหนุ่มพยายามจะอธิบาย

    "อย่ามายุ่งกับฉัน ไม่ต้องมาพูดเลย ไปให้พ้นหน้าเดี๋ยวนี้" หญิงสาวไล่อีกครั้ง

    "แพท พี่กริชไม่ได้ตั้งใจ พี่กริชแค่..."

    คมกริชอยากจะเข้าไปกอดแล้วเช็ดน้ำตาที่แก้มนวลเหลือเกิน ยิ่งเห็นท่าทีเสียใจร่ำไห้ของเธอแล้ว เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดเหลือเกินที่เมื่อครู่สติอารมณ์มืดมัวตามใจตนเอง จนทำให้ภาสินีต้องร้องไห้อีกครั้ง

    "ฉันมันแย่ ไร้สาระ ไม่เป็นโล้เป็นพาย กรีดกรายไปวันๆ แต่นายก็ไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับฉัน ต่อไปนี้เราต่างคนต่างอยู่ ฉันจะไม่ไปบ้านนายอีก แล้วนายก็ไม่ต้องมาที่นี่"

    "แพท มันไปกันใหญ่แล้วนะ"

    "ไม่ต้องมาพูดดี นายมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย คนฉวยโอกาส ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่นายจะมาทำแบบนี้ ออกไปนะ ออกไปเดี๋ยวนี้ ไอ้คนบ้า ไอ้คนปากเสีย"

    ภาสินีโกรธจริงๆ ข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะเป็นอาวุธขับไล่คนเอาแต่ใจที่รุกรานให้พ้นหน้า คมกริชไม่ได้กลัวเจ็บจากของชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เขวี้ยงมา แต่ไม่อยากให้เธอร้องไห้มากไปกว่านี้ จึงตัดสินใจเดินออกจากห้อง ไว้อารมณ์ดีๆ แล้วค่อยมาขอโทษกันใหม่

    คมกริชเดินพ้นห้องไป ภาสินีรีบวิ่งไปปิดประตูแล้วปล่อยโฮใหญ่ลั่นห้องด้วยความเสียใจ ไม่คิดเลยว่าเขาจะกล้าทำแบบนี้ เห็นเธอเป็นผู้หญิงไม่มีค่าที่คิดจะทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้ โดนไม่สนความรู้สึกกันแม้แต่น้อย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×