ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่ายรักหัวใจอสูร

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 601
      1
      15 ก.ย. 66

    บ้านไอยสุวรรณ

    “คุณแม่ครับ ผมยังใช้ชีวิตโสดไม่เต็มที่ งานการก็ยังทำได้ไม่เท่าไร ทำไมคุณแม่ต้องรีบหาเมียให้ผมด้วย” ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยท่าทางกลัดกลุ้ม เมื่อได้ฟังเรื่องที่มารดาสุดที่รักเอ่ยคำขออย่างไม่เข้าท่าจบลงหมาดๆ

    เขา...คมกริช ไอยสุวรรณหนุ่มน้อยวัยยี่สิบแปดปีผู้รักอิสระ ไม่ชอบการผูกมัด ไม่ต้องการมีใครเป็นจริงเป็นจัง และที่สำคัญยังมีภาระความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงรออยู่ เพราะมันคือบทพิสูจน์ความสามารถที่อุตส่าห์ไปเล่าเรียนมาจากเมืองนอกเมืองนามาเสียหลายปี

    ยิ่งไปกว่านั้นพี่ชายสุดที่รักก็เพิ่งวางมือจากตำแหน่งท่านประธานบริษัทส่งออกอันดับหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นกิจการหลักที่มั่นคงและยาวนานของครอบครัวมานานหลายปี ไปสวมบทบาทคุณพ่อมือใหม่กับครอบครัวที่เพิ่งเป็นรูปเป็นร่าง ไหนจะกิจการโรงแรมที่นับวันก็จะมีแต่ขยายมากขึ้น

    คมกริชยังสนุกกับงานและมีไฟที่อยากจะเรียนรู้มันอีกมาก เขาอยากได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จเฉกเช่นเดียวกับบิดาที่ล่วงลับไปแล้ว มารดาสุดที่รักที่ได้ชื่อว่าเป็นนักธุรกิจหญิงตัวอย่าง และพี่ชายแสนเก่งที่ต่างก็เป็นที่ยอมรับในแวดวงธุรกิจว่าเป็นมืออาชีพ แน่นอนว่าในฐานะเลือดไอยสุวรรณอีกคน คมกริชก็จะต้องทำมันให้ได้เช่นเดียวกัน

    ดังนั้นการแต่งงานมีครอบครัวมีลูก การหยุดอยู่ที่ผู้หญิงคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียว ในความคิดของคมกริชนั่นเท่ากับหยุดโลกทั้งใบของเขาให้จบสิ้น มันต้องไม่เป็นอย่างนั้น ไม่มีทางที่จะหาบ่วงมาผูกคอหรือมีใครที่ต้องมาคอยนั่งเอาใจเพียงแค่คำว่าเมียแน่ ผู้หญิงที่เหมาะสมจะเคียงข้างในเวลานี้ ของ่ายๆ ไม่พูดมาก ไม่เรียกร้องและที่สำคัญต้องเข้าใจว่านี่คือเวลาอะไร....

    "มีเมียดีเป็นศรีแก่ตัวเอง ดูตาวัชซิเป็นไง พอแต่งกับหนูเกษราแล้วทุกอย่างเข้าที่มีความสุขจะตาย แม่อยากให้กริชมีความสุขเหมือนกันนี่ลูก" คุณนวลอ้างผลงานชิ้นสำคัญ ในการจับคู่ให้กับบุตรชายคนโตที่ประสบความสำเร็จมีครอบครัวแสนอบอุ่นเรียบร้อยแล้ว

    "นั่นมันน้องเกด คนเนื้อแท้ที่คุณแม่ไปเฟ้นหามาให้พี่วัช แต่นี่... ให้ผมแต่งกับยัยจุ้น ผมยอมเป็นโสดจนตายดีกว่า"

    อยากจะบ้าตายเมื่อรู้ว่าผู้หญิงที่มารดาคิดทาบทามให้แต่งงานด้วยคือยัยจอมจุ้น ที่ชอบวุ่นวายเรื่องของคนอื่นโดยเฉพาะกับคนในครอบครัวไอยสุวรรณมาตลอด แค่คิดว่าเป็นเจ้าหล่อน...คมกริชก็ปิดประตูตายท่าเดียวว่าไม่ต้องการจะเกี่ยวดองกับแม่จอมจุ้นคนนี้  

    ทำไมพูดถึงหนูแพทแบบนั้นล่ะลูก ไม่น่ารักเลยนะ" คุณนวลตำหนิบุตรชายด้วยสายตาเล็กน้อย

    "ผมพูดตามความจริงครับแม่" ลูกชายคนเล็กไม่สนใจสายตาตำหนิติเตียนคู่นั้นของมารดา

    “เท่าที่ผมเห็นยัยจุ้นมาตั้งแต่เกิด ก็ไม่เห็นว่าจะทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง วันๆ ดีแต่ไปบ้านคนโน้นคนนี้เรียกร้องขอความสนใจไปหมด แม่นี่ไม่เหมาะจะมาเป็นสะใภ้เกี่ยวดองกับเราหรอกครับ เป็นได้อย่างมากก็แค่ลูกลิงที่เที่ยวเกาะคนโน้นคนนี้ไปวันๆ ไร้สาระสิ้นดี”

    “ดูว่าเข้า” หญิงวัยกลางคนกางปีกปกป้องสาวน้อยที่ตนชื่นชอบเต็มที่

    “หนูแพทไม่ได้เป็นอย่างที่กริชว่าเสียหน่อย มองน้องเสียหายแบบนั้นสักวันกริชจะต้องเสียใจเพราะคำพูดตัวเอง” คำพูดของคุณนวลทำให้คมกริชสงบลง เพราะรู้ว่าถึงอย่างไรเสียนางก็รักและเอ็นดู ยัยจุ้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

    “แม่ยังไม่ได้บอกว่าจะให้กริชแต่งงานตอนนี้เสียหน่อย แม่รู้ว่าลูกอยากทำงานมากกว่าสิ่งอื่น แต่การมีคู่หมั้นสักคนมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย โดยเฉพาะคู่หมั้นที่มีความสามารถอย่างหนูแพท”

    “ความสามารถอะไรครับ เท่าที่ผมจำได้ก่อนจะไปเรียนต่อ ผมเห็นหนูแพทของคุณแม่ลอยไปลอยมาไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง วิ่งไปบ้านโน้นทีบ้านนี้ที ทำเรื่องให้คนอื่นปวดหัวได้ตลอด ผมว่าคุณแม่มองคนผิดแล้ว”

    คมกริชนึกถึงแม่สาวน้อยจอมจุ้นลูกสาวคุณหญิงท่านนายพลที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ภาสินี ศิลป์สวรรค์ คุณหนูจอมยุ่งที่วุ่นไปทุกเรื่องได้ตลอดเวลา ถ้าให้เจ้าหล่อนเป็นคู่หมั้นรับรองได้ว่าชีวิตเขาคงมีแต่เรื่องวุ่นๆ ไปตลอดแน่ ทางที่ดีอยู่ให้ห่างไว้เป็นดีที่สุด

    “กริช” คุณนวลตั้งท่าพูดกับลูกชายด้วยท่าทีจริงจังอย่างเห็นได้ชัด คมกริชนิ่งเมื่อเห็นท่าทีของมารดาในเวลานี้

    “นั่นมันเมื่อก่อน กริชไปอยู่เมืองนอกตั้งหลายปีรู้ไหมว่าอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ถ้ากริชอยู่แต่เรื่องเก่าๆ ก็จะมองไม่เห็นสิ่งที่เป็นปัจจุบัน แม่อยากให้กริชมองหนูแพทเสียใหม่และทำความคุ้นเคยกันไว้ให้มาก ไอ้เรื่องสมัยเด็กๆ ลืมมันไปซะ เพราะไม่ว่าอย่างไรแม่ก็ไม่มีวันยอมให้สะใภ้เป็นคนอื่นไปได้นอกจากหนูแพทคนเดียวเท่านั้น”

    “คุณแม่” คมกริชถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินคำสั่งประกาศิตที่มารดาเอ่ย

    “แม่มีลูกแค่สองคนเท่านั้น ชีวิตแม่ไม่ต้องการอะไรนอกจากเห็นลูกทั้งสองเป็นฝั่งเป็นฝามีครอบครัวที่ดี ตาวัชมีความสุขเพราะมีหนูเกษรากับลูกมาเติมเต็ม แม่ก็อยากให้กริชเป็นแบบนั้นบ้าง”

    “คุณแม่ครับ แต่ว่าผม...”

    “กริชยังพอมีเวลาที่จะคิดทบทวนเรื่องนี้ใหม่ เพราะแม่ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับคุณหญิงเรื่องหาฤกษ์แต่งงาน ดังนั้นแม่อยากให้กริชหมั่นไปหาหนูแพทและทำความคุ้นเคยกันไว้ ส่วนเรื่องงานกริชจะทำอะไรแม่ไม่ว่าและยินดีสนับสนุน เข้าใจที่แม่พูดไหม”

    คราวนี้เป็นคมกริชเสียเองที่พูดอะไรไม่ออก เขาเป็นลูกคนเล็กที่มารดาเอาใจและตามใจมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จะว่าไปคมกริชเองก็ไม่เคยขัดใจมารดาในเรื่องใดเลยสักครั้ง ยกเว้นเรื่องที่คิดจะให้ยัยจอมจุ้นมาเป็นเมียนี่แหล่ะ

    “ชีวิตแม่ไม่ต้องการอะไรมาก ก่อนตายแค่อยากเห็นกริชกับตาวัชมีความสุข ตอนนี้ตาวัชก็ทำให้แม่สบายใจไปแล้วหนึ่งคน แล้วกริชจะทำให้นอนตายตาไม่หลับหรือไง นะลูกนะ อย่าทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของแม่ต้องทุกข์ใจเพราะเรื่องแค่นี้เลย หนูแพทน่ารักเป็นเด็กดีแม่ว่าเหมาะกับกริชมากที่สุดจริงๆ นะ” คุณนวลไอเบาๆ สองสามทีด้วยโรคประจำตัวที่เป็นอยู่ คมกริชได้แต่นั่งนิ่งเถียงไม่ออก

    “นะลูกนะ ก่อนตายแม่ขอแค่นี้จริงๆ”

    นับหนึ่งถึงร้อย คมกริชอยากจะเอื้อนเอ่ยตอบไปว่าไม่ แต่เมื่อคุณนวลไอติดๆ กันหลายหนและมีท่าทีว่าจะเหนื่อยหอบ สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือเข้าไปโอบกอดมารดาไว้แล้วกุมมือเพื่อให้กำลังใจเพียงเท่านั้น คำปฏิเสธที่คิดอยู่ในใจทำได้แค่ลืมมันไปชั่วขณะ

     

    โบราณว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน หลังจากนั้นเพียงแค่วันเดียวคุณนวลก็จัดการให้คมกริชได้พบกับภาสินีในที่สุด แม้เจ้าตัวจะเอ่ยปากบอกว่ายุ่งติดประชุมใดๆ ก็แล้วแต่ สุดท้ายมารดาก็ให้คนขับรถมารับถึงบริษัทและไปพบกันที่บ้านของหญิงสาว

    คมกริชมาถึงบ้านศิลป์สวรรค์ก่อนเวลาอาหารเย็นเล็กน้อย คุณหญิงวิมลมารดาของหญิงสาวทักทายชายหนุ่มด้วยความเป็นกันเอง และถามไถ่สารทุกข์สุขดิบหลังจากที่ไม่ได้พบกันเสียนาน โดยไร้เงาของภาสินีที่กว่าจะปรากฏตัวให้เห็นก็อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมา

    คุณนวลสังเกตเห็นว่าสายตาของบุตรชายกำลังมองหาใครอยู่ ไม่ต้องให้เดาก็พอรู้ว่าเจ้าลูกชายตัวดีคงมองหาว่าที่คู่หมั้นเป็นแน่ แต่เพราะความหมั่นไส้และอยากจะแกล้งเสียให้เข็ด ทำให้นางไม่เอ่ยปากบอกว่าภาสินีไปไหนและจะมาเมื่อไร รอจนกระทั่งเจ้าตัวกลับเข้ามาเอง

    “หนูแพท ทางนี้ลูก” คุณหญิงวิมลร้องเรียกบุตรสาวที่เพิ่งกลับเข้าบ้านมา

    ร่างเล็กสมส่วนเดินตรงเข้ามานั่งข้างคุณหญิงวิมลด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มือเรียวยกขึ้นทำความเคารพหญิงวัยกลางคนทั้งสองด้วยความอ่อนช้อย ใบหน้าหวานแต่งแต้มเครื่องสำอางเบาบางจนแทบมองไม่เห็น ผมดำเงาดัดเป็นลอยสวยเข้ากับบุคลิกและใบหน้า สายตาคนที่จับจ้องมองไม่วางตานั้นคือคมกริช ที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าแม่จอมจุ้นตัวดีจะสวยบาดใจถึงเพียงนี้

    “วันนี้ที่ร้านมีขนมที่คุณป้าชอบด้วย นี่ค่ะ”

    ภาสินียื่นกล่องขนมที่เตรียมมาเป็นของฝากให้คุณนวลด้วยรอยยิ้ม แม้จะรู้ว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ แต่เธอเลือกที่จะทำเมินเหมือนไม่เห็นราวกับว่าไม่ได้อยู่ในห้องนี้ด้วย

    คมกริชอึดอัดเล็กน้อยเมื่อการสนทนาส่วนใหญ่มีเพียงภาสินี คุณหญิงวิมลและมารดา เขากลายเป็นตุ๊กตาประดับฉากที่ไร้ชีวิตไปเสียแล้ว แม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามหาช่องจังหวะแทรกเข้าไปในการสนทนานั้น แต่ก็ดูเหมือนว่าภาสินีจะจงใจมองข้ามไปอย่างเห็นได้ชัด

    คุณนวลขอตัวกลับพร้อมคมกริชในเวลาต่อมา คุณหญิงวิมลออกปากให้บุตรสาวไปส่งแขกที่รถแทนตน ภาสินีถือกล่องขนมเดินประคองคุณนวลมาจนถึงรถ คมกริชยื่นมือมารับกล่องขนมในมือของหญิงสาว โดยหวังจะใช้โอกาสนี้พูดคุยทักทายด้วย แต่ภาสินีส่งเพียงกล่องขนมให้และไม่พูดไม่จาอะไรสักคำ

    "ไม่ยักรู้ว่าเป็นใบ้" จู่ๆ คมกริชก็เอ่ยขึ้นลอยๆ จงใจให้เจ้าของขนมได้ยิน ภาสินียังเฉยเหมือนว่าไม่มีใครพูดอะไร

    "เป็นใบ้ก็ดี ต่อไปมลพิษทางเสียงจะได้น้อยลง"

    ภาสินีเฉย สีหน้าท่าทางเหมือนไม่รับรู้ในสิ่งที่คมกริชพูดเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าความจริงแล้วจะได้ยินก็ตามทีแต่ก็แสร้งทำเป็นไม่สนใจทั้งคนทั้งเสียง

    “รู้จักทำมาหากินก็ดีแล้ว ว่าแต่ขายขนมแค่นี้พอค่าแต่งตัวหรือเปล่า”

    "ยุ่ง" เสียงเล็กย้อนกลับทันควัน ใบหน้าหวานเชิดใส่อย่างไม่ไยดี คมกริชอมยิ้มรู้แล้วว่าการแหย่ของตนได้ผล และแน่นอนว่าคนอย่างเขาไม่ชอบให้ใครมาอวดดีด้วย ภาสินีคงลืมไปแล้วกระมังว่าการเอาชนะของคมกริชเป็นแบบไหน และทุกครั้งเจ้าหล่อนก็พ่ายแพ้ต่อการเอาชนะของชายหนุ่มทุกที

    "ใครอยากจะยุ่งด้วย แค่จะบอกให้รู้ว่าถ้าคิดจะไปอยู่ด้วยกันก็ต้องรู้จักประหยัด ไม่มีหรอกนะเงินถุงเงินถังมาให้ผลาญเล่นๆ หมดไปกับเสื้อผ้าข้าวของที่ไร้สาระ"

    "แล้วใครบอกว่าจะไปอยู่ด้วย" ในที่สุดภาสินีก็อดที่จะโต้ตอบกลับไม่ได้

    เธออุตส่าห์ข่มใจตัวเองว่าจะไม่พูดไม่ยุ่งไม่คุยกับเขาแล้ว แต่ในที่สุดก็ทนการก่อกวนของคมกริชไม่ไหว ผู้ชายอะไรกี่ปีกี่ชาติก็จิกกัดไม่ปล่อยพูดจาเหน็บแนมเก่งนัก นิสัยเหมือนผู้หญิงจู้จี้จุกจิกเสียเหลือเกิน

    "ก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่เหรอ"

    "ต่อให้โลกนี้เหลือผู้ชายคนเดียวในโลกคือคุณ ฉันก็ขออยู่คนเดียวสบายใจกว่า" ภาสินีโต้ตอบอย่างไม่ลดละ และไม่มีทีท่าว่าจะยอมอ่อนข้อให้เหมือนเมื่อครั้งในอดีต

    "แน่ใจว่าทำได้" พูดแบบนี้ต้องได้เห็นดีกันหน่อยแล้ว คมกริชรุกเดินเข้าไปใกล้จนเกือบจะประชิดตัวภาสินี

    "ใช่" ปากบอกว่าใช่ใจบอกว่าไม่กลัว แต่เอาเข้าจริงภาสินีก็ถอยหลังกรูเมื่อเห็นคมกริชเข้ามาใกล้

    ภาสินีไม่มีวันลืมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว เขาปล้นจูบแรกของชีวิตไปหน้าตาเฉย และพูดใส่หน้าว่าทำอะไรไม่เป็นโล้เป็นพาย นั่นคือที่มาที่ทำให้คุณหนูจอมจุ้นลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองให้กลายเป็นสาวสวยมากความสามารถ เพื่อลบคำสบประมาทที่ใครบางคนถูกดูถูกไว้

    "ทำบ้าอะไร ถอยไปนะ" ภาสินีรีบร้องห้ามเมื่อเห็นว่าอีกเพียงก้าวเดียว พ่อเจ้าประคุณก็จะถึงตัวเธอแล้ว

    "ไม่ถอยจะทำไม" คนอยากเอาชนะแกล้งทำทีว่าจะเดินเข้าไปหาอีก

    "อย่าเข้ามานะ" แม้กลัวแต่เธอก็พร้อมจะสู้และไม่ยอมให้เขารังแกได้อีกเด็ดขาด

    "นึกว่าอยากให้อยู่ใกล้ๆ" คนพูดยื่นหน้าเข้ามายั่ว

    "หน้ายังไม่อยากจะเห็นด้วยซ้ำ" ภาสินีเมินหน้าหนี

    "ไม่เจอกันนานตั้งสองปี ไม่คิดถึงกันบ้างหรือไง" คมกริชถือวิสาสะเชยคางสวยให้หันหน้ามาสบตา

    "ไม่มีในหัวสมองแม้แต่วินาทีเดียว" คุณหนูจอมจุ้นตอบอย่างไม่รักษาน้ำใจ

    "แน่ใจว่าไม่คิดถึงสักวินาที" ชายหนุ่มย้อนถาม

    สายตาของคมกริชจ้องมองไปในดวงตาคู่สวยของหญิงสาว เขาไม่รู้หรอกว่าสองปีนานแค่ไหน แต่มันก็นานพอที่จะทำให้รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวของภาสินี

    จากคุณหนูจอมจุ้นที่แสนวุ่นวาย เด็กสาวตัวน้อยที่เอะอะอะไรก็ตามเขาแจ ชอบสั่งโน่นสั่งนี้ให้ยอมทำตามคำบัญชา ตอนนี้กลับกลายมาเป็นสาวน้อยแรกแย้มที่ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็สวยบาดใจเสียเหลือเกิน

    ยิ่งมองเห็นเรียวปากสวยสีระเรื่อ คมกริชก็ยิ่งต้องกลืนน้ำลายตัวเองที่เคยพูดไว้ทั้งหมดในทันที เขาเคยครอบครองเป็นเจ้าของและรู้ดีว่าริมฝีปากนี้หอมหวานเพียงไร ไม่เคยลืมเลยสักวันว่ายามที่แตะสัมผัสในวันนั้นมันตราตรึงติดใจมากแค่ไหน

    ยิ่งในเวลานี้ด้วยแล้วไม่ใช่แค่ริมฝีปากที่เป็นเจ้าของ แต่กายสาวที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจให้ใครมาแตะต้องครอบครองได้ เขาหวง หวงอย่างที่ไม่เคยหวงใครมาก่อน

    "ไม่" ภาสินีพูดเสียงดังฟังชัดและจะเดินหนี

    หัวใจเธอมันปั่นป่วนเมื่อต้องสบตาเขา ร่างกายเธอร้อนผ่าวเมื่อเห็นคมกริชในระยะใกล้ ทุกอย่างมันไม่เป็นตัวของตัวเองและที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ มันคิดถึง โหยหา เหตุการณ์บ้าๆ ที่ไม่เคยลบเลือนจากหัวใจ

    "เดี๋ยว ไหนเล่าให้ฟังซิ ทำขนมอะไรขาย" คมกริชพยายามจะคว้าข้อมือเธอไว้ เพื่อยื้อให้ได้คุยกันต่อ

    "ไม่เล่าอะไรทั้งนั้น อยากรู้ก็ไปดูเองซิ"

    ภาสินีหน้าแดงเมื่อเห็นรอยยิ้มของคมกริช เธอพลาดไปเสียแล้วที่เผลอพูดถ้อยคำที่เหมือนจะเชื้อเชิญให้อีกฝ่ายเข้ามาในชีวิตมากขึ้น ยิ่งเห็นสายตาที่ชายหนุ่มมองสบมาด้วยแล้ว มันเหมือนกับว่าเขาจะรู้ความรู้สึกนึกคิดภายในที่ปิดบังซ่อนไว้

    “คนบ้า” เจ้าหล่อนตะโกนเบาๆ หน้าตาแดงก่ำหันหลังวิ่งหนีเข้าบ้านไปในทันที ปล่อยให้คมกริชยืนยิ้มมองตามจนลับสายตาด้วยความสุขใจเพียงลำพัง

     

    คุณนวลสั่งให้บุตรชายคนเล็กแบ่งขนมของภาสินีไปให้วัชระและเกษราในตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ สองแม่ลูกนั่งคุยเรื่องสัพเพเหระจนดึก หญิงวัยกลางคนขอตัวขึ้นบ้านเพื่อไปพักผ่อน ในขณะที่คมกริชนั่งมองกล่องขนมที่ได้มาจากแม่จอมจุ้นอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิม

    “คิดยังไงมาเปิดร้านขนม”

    คมกริชจับกล่องขนมขึ้นมาถือไว้แล้วพิศดูหน้าตามันอย่างช้าๆ รสชาติจะเทียบยี่ห้อดังในท้องตลาดได้หรือไม่ แล้วเพราะอะไรเจ้าหล่อนถึงนึกสนุกมาทำงานพวกนี้ แทนที่จะกรีดกรายไปวันๆ เหมือนเมื่อก่อน

    “จะพอค่ากินในแต่ละมื้อไหม หรือจะพอค่าแต่งตัวหรือเปล่าก็ไม่รู้” ชายหนุ่มวางกล่องขนมลงบนโต๊ะแล้วเตรียมจะลุกขึ้นไปอาบน้ำนอน

    "พอไม่พอไม่รู้ รู้แต่ว่าขายหมดมีคนสั่งขนมทุกวัน" คุณนวลซึ่งกำลังจะก้าวขึ้นบันไดหันมาตอบ

    "นึกยังไงถึงมาเส้นทางนี้ครับ ดูท่าทางแล้วไม่น่าจะมีความสามารถเรื่องพวกนี้"

    "เมื่อกี้ก็เห็นคุยกันตั้งนาน ไม่ได้ถามน้องเหรอ" มารดาแอบสังเกตท่าทีของบุตรชายได้ว่า คมกริชเองก็สนใจภาสินีไม่น้อย จะว่าไปเรียกว่ามากเลยก็ว่าได้

    "หวังว่าจะไม่เลิกวันนี้พรุ่งนี้นะ" ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ มองกล่องขนมอีกครั้งแล้วก็อดจะคิดถึงคนที่ให้มาไม่ได้

    "กริชไม่ลองไปชิมขนมที่ร้านหนูแพทล่ะ จะได้รู้ว่าอร่อยจริงหรือเปล่า"

    "ไว้ว่างแล้วจะไปนะครับ แต่ผมต้องเตรียมยาแก้ท้องเสียไว้ด้วยหรือเปล่า"

    "แหม คงไม่ขนาดนั้นหรอกลูก นี่ แม่จะบอกอะไรให้นะ ร้านหนูแพทมีลูกค้าประจำเพียบ บางคนนะมาจิบกาแฟกินขนมนั่งเพลินๆ ไปทั้งวันจนร้านปิดก็ยังมีเลย"

    "อร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอครับ" สีหน้าชายหนุ่มเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อฟังคำบอกเล่าว่าอร่อยจนบางคนนั่งเพลินถึงเวลาปิดร้าน

    "ต้องลองถึงจะรู้จ้ะ อร่อยไม่อร่อยลูกค้าประจำเพียบ ก็อย่างที่บอกบางคนไปไหนมาเหนื่อยๆ ก็แวะมากินกาแฟนกินขนมอยู่จนร้านปิดเลยก็เยอะ" หญิงวัยกลางคนสำทับคำเดิมอีกครา

    "ร้านอยู่ที่ไหนครับ ไกลหรือใกล้จะคุ้มค่าน้ำมันที่ขับไปชิมหรือเปล่า" บุตรชายแกล้งถาม

    "ไว้พรุ่งนี้แม่จะเขียนแผนที่กับเบอร์โทร.ให้ กริชลองไปดูซิว่ามีขนมอะไรถูกใจบ้าง เผื่อวันเกิดแม่เดือนหน้าจะได้สั่งขนมมาเลี้ยงแขกงานทำบุญ"

    แม้จะหมั่นไส้พ่อลูกชายตัวดีที่ปากไม่ตรงกับใจสักเท่าไร แต่ในที่สุดคุณนวลก็ต้องยอมเขียนแผนที่ให้เพราะอยากจะใช้โอกาสนี้ ทำให้คมกริชไปพบภาสินีที่ร้านให้เร็วที่สุด

    ร้านขนมของภาสินีหาไม่ยากเพราะอยู่ริมถนน คมกริชได้รับแผนที่และเบอร์โทรศัพท์จากคุณนวลในตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น บ่ายนี้หลังจากประชุมเรื่องสำคัญเสร็จเขาก็ขับรถมาดูด้วยตัวเองว่าขนมร้านนี้อร่อยมากแค่ไหน

    ร้านขนมของภาสินีตกแต่งได้อย่างสวยงาม บรรยากาศน่านั่งเหมาะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจจริงๆ เจ้าของร้านไม่อยู่ที่เคาน์เตอร์มีพนักงานเพียงสองคนคอยรับแขกแทน

    คมกริชสั่งกาแฟที่ชอบมานั่งที่เก้าอี้มุมหนึ่งในร้าน สายตาสอดส่องมองหาว่าเจ้าของร้านจะเข้ามาเวลาไหน ภาสินีเปิดประตูร้านเข้ามาพร้อมกับชายหนุ่มท่าทางภูมิฐานคนหนึ่ง เมื่อมาถึงเจ้าหล่อนก็ตรงไปที่เคาน์เตอร์จัดแจงเครื่องดื่มเย็นๆ ดับความกระหายพร้อมกับขนมจานเล็กบริการให้ถึงที่ด้วยท่าทียิ้มแย้มตลอดเวลา

    คมกริชจ้องมองทุกอิริยาบถไม่คลาดสายตา ยิ่งเห็นภาสินีพูดคุยหยอกเย้าด้วยท่าทีเป็นกันเองกับชายแปลกหน้าคนนั้น มันก็ยิ่งทำให้คมกริชจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่ทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอคิดบัญชีกับแม่จอมจุ้นที่ทำให้หัวใจเขาหงุดหงิดในเวลานี้

    "ขอบคุณคุณพีระมากนะคะ" ภาสินีกล่าวคำขอบคุณชายหนุ่มสำหรับธุระสำคัญของวันนี้

    "เล็กน้อยครับ ขนมอร่อยๆ แบบนี้ต้องเผยแพร่ให้คนกินกันเยอะๆ อีกอย่างถือเป็นเกียรติสำหรับผมมากว่าที่ร้านขนมของคุณแพทยอมใช้บริการที่ห้างผมด้วย" เจ้าของห้างสรรพสินค้าชื่อดังยิ้มอย่างมีความสุข สายตามองจับจ้องเจ้าของร้านคนสวยด้วยความพึงพอใจอย่างเห็นได้ชัด

    "ถ้าสาขาแรกไปได้สวยและคุณแพทต้องการขยายเพิ่ม บอกผมได้ทุกเมื่อนะครับไม่ต้องเกรงใจ"

    "ขอบคุณมากเลยค่ะ" เจ้าของร้านคนสวยยิ้มรับ

    “สำหรับคุณแพท ผมยินดีเสมอครับ”

    “คุณพีระนั่งตามสบายเลยนะคะ แพทขอตัวไปทำงานหลังร้านแป๊ปหนึ่ง" ภาสินียิ้มหวานขอตัวไปจัดการงานที่คั่งค้างอีกมากก่อน ทันทีที่หญิงสาวกลับเข้าไปหลังร้านคมกริชก็ลุกตามไปทันที

     

    เจ้าของร้านคนสวยปลีกตัวมาจากแขกพิเศษเพื่อจัดการวางแผนงานที่คั่งค้างอยู่ให้เสร็จ ร้านขนมของภาสินีก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการเปิดสาขาในห้างสรรพสินค้าชื่อดังที่ก่อสร้างใกล้ร้านและจะเปิดอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้

    โอกาสดีเช่นนี้ไม่ได้หาง่ายๆ เพราะความบังเอิญหรือโชคช่วยก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะจู่ๆ เจ้าของห้างตัวจริงอย่างพีระก็เข้ามาเป็นลูกค้าของร้าน และติดออกติดใจในขนมจนออกปากชวนให้ไปจับจองพื้นที่ในห้างสรรพสินค้าด้วยราคาพิเศษ

    “แก้วตา ช่วยทำป้ายติดหน้าร้านทีว่าเราจะหยุดสักสองวันนะ” เสียงเปิดประตูห้องทำงานดังขึ้น ภาสินีไม่ทันมองว่าใคร เข้าใจว่าเป็นพนักงานในร้านจึงสั่งงานไปตามระบบ

    “เป็นเจ้าของร้านทำไมไม่ออกไปดูงานด้านหน้า มาหมกตัวทำอะไรอยู่ในนี้” คมกริชก้าวเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด

    เขาเดินตามเข้ามาทันทีหลังจากที่ภาสินีขอตัวออกมาจากโต๊ะของพีระ และแกล้งทำทีถามพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ว่าเจ้าของร้านอยู่ที่ไหน ตนมีเรื่องจะติดต่อเกี่ยวกับขนม อาศัยจังหวะที่พนักงานหน้าเคาน์เตอร์ยุ่งกับการรับลูกค้า คมกริชจึงอาสาว่าจะเข้ามาหาเอง

    "แล้วนิสัยชอบสั่งก็ยังไม่เลิกอีกนะ"

    “เข้ามาได้ไง” เจ้าของห้องทั้งตกใจและแปลกใจที่จู่ๆ ก็เห็นเขาปรากฏตัวที่นี่

    “กาแฟพอใช้ได้ ขนมก็ดีไม่หวานมาก คงไม่ได้ทำเองรับมาอีกต่อล่ะซิ” คมกริชพูดพลางเดินสำรวจรอบห้องทำงานหญิงสาว

    ภาสินีก็คือภาสินีคนเดิมไม่เปลี่ยน รสนิยมการตกแต่งและข้าวของเครื่องใช้ล้วนบ่งบอกความเป็นเธอ หรูหรา สวยงามไม่เปลี่ยน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือไม่มีอะไรผิดปกติที่จะเผยให้เห็นว่าทำอย่างอื่นนอกจากทำงาน แต่...

    “หมอนั่นเป็นใคร” เขาหมายถึงไอ้หนุ่มช่างยิ้มที่เจ้าหล่อนพูดคุยด้วยเมื่อครู่

    “คุณมีธุระอะไรก็พูดมา ฉันจะทำงาน” หญิงสาวไม่ตอบคำถามของเขา

    “จะทำงานก็ทำไปซิ ฉันถามเธอก็ตอบมาก็แค่นั้น”

    “แต่คุณรบกวนการทำงานของฉัน”

    “มืออาชีพหน่อยซิ เป็นถึงเจ้าของร้านแล้วแค่คุยไปทำงานไปคงไม่ทำให้เสียสมาธิหรอกใช่ไหม บอกมาไอ้หมอนั่นเป็นใคร” คมกริชวกกลับมาที่คำถามเดิม

    “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามคุณ ออกไปได้แล้ว ฉันจะทำงาน” ภาสินีเดาว่าเขาคงหมายถึงพีระ แต่เธอคิดว่าไม่จำเป็นต้องรายงานทุกเรื่องให้คมกริชรู้

    “ไม่ตอบก็ไม่เป็นไร แต่ฉันไม่ชอบที่หมอนั่นมาที่นี่บ่อยๆ หวังว่าคงรู้นะว่าต้องทำอย่างไร”

    "พูดจบแล้วก็เชิญออกไปได้ ฉันจะทำงาน" หญิงสาวพยายามข่มอารมณ์ความไม่พอใจไว้ไม่ให้แสดงออกมา รวบรวมสมาธิเพื่อจะทำงานของตนให้เสร็จโดยเร็ว เพราะยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องจัดการ แต่คมกริชยังไม่ยอมออกจากห้องและใช้คำพูดยียวนกวนประสาทเสียเหลือเกิน

    "เปิดร้านหรูแบบนี้คงใช้เงินลงทุนไม่น้อย แต่เสียดายไม่รู้ว่าจะไปได้นานแค่ไหน เพราะเจ้าของร้านทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากสั่งอย่างเดียวเท่านั้น

    "ถ้าจะมาหาเรื่องกันก็ออกไปเลยนะ ฉันจะทำงานไม่ต้องการให้คนอื่นรบกวน" ภาสินีเน้นคำว่าคนอื่นชัดเจน

    "ใครคนอื่น" คมกริชหันหน้ามามองคนพูดด้วยสีหน้าไม่พึงพอใจนัก

    “เราเป็นคู่หมั้นที่ในอนาคตจะแต่งงานกัน ลืมไปแล้วหรือไง”

    "ใครบอกว่าฉันจะแต่งงานด้วย" ภาสินีย้อนกลับทันควัน

    "ฉันบอกแล้วไงว่าต่อให้โลกนี้เหลือผู้ชายคนเดียวคือคุณ ฉันก็ไม่มีวันแต่ง"

    "ฉันจะกลับไปบอกแม่วันนี้เลยว่า ไม่ต้องรออะไรทั้งนั้นแต่งมันวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย ดูซิว่าจะเป็นไง"

    “นายไม่มีปัญญาหาเมียเองหรือไง หรือว่าผิดปกติตรงไหนถึงต้องให้คุณป้าเที่ยวหาเมียให้แบบนี้” เจ้าของร้านคนสวยสุดจะทนกับนิสัยชอบเอาชนะของเขาแล้ว

    "ไม่มีอะไรผิดปกติ ทุกอย่างเป็นปกติและมีประสิทธิภาพดีเสียด้วย มีผู้หญิงอีกมากที่อยากจะมาอยู่ใกล้ๆคลุกวงในกับฉัน"

    "แล้วทำไม ไม่เอาแม่พวกนั้นมาเป็นเมีย" ภาสินีแสนจะหมั่นไส้

    "ถ้าเอามาจริงๆเธอจะทนไหวไม่เสียใจแน่เหรอ"คมกริชยียวนกวนประสาทมากเข้าไปอีก

    “คนโรคจิต จะไปไหนก็ไปอยากจะเอาใครมาเป็นเมียก็เชิญตามสบาย แต่ต้องไม่ใช่คนอย่างฉันแน่”

    “คิดว่าตัวเองสำคัญมากนักหรือไง ถึงได้กล้าพูดแบบนี้”

    “ฉันพูดความจริงต่างหาก ใครที่เป็นเมียคุณต้องอึดอัดหัวใจไปทั้งชีวิตแน่”

    เรื่องอะไรจะยอมให้คมกริชว่าอยู่ฝ่ายเดียว หมดเวลาที่จะยอมอ่อนข้อให้แล้ว ผู้ชายคนนี้ต้องใช้ระบบตาต่อตาฟันต่อฟันถึงจะเหมาะสมที่สุด ปากไม่มีหูรูดพูดจาไม่คิดถึงใจคนอื่นต้องเอาให้หน้าหงาย

    "ใครกันแน่ที่อึดอัด ต้องเป็นฉันซิที่ต้องทนอยู่กับคนไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเธอ"

    “ก็ไม่ต้องอยู่ ไม่ต้องทนอะไรทั้งนั้นเพราะฉันก็จะไม่ทนอยู่กับผู้ชายนิสัยเสียอย่างคุณแน่ อีกอย่างอย่าดูถูกคนอื่นมากนัก เพราะคนที่คุณว่าไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรสักอย่าง อาจจะมีคนดีที่เห็นค่าต้องการให้คนไม่เป็นโล้เป็นพายไปอยู่เคียงข้างด้วย ซึ่งฉัน..."

    “ทำไม มีไอ้หน้าโง่ที่ไหนหน้ามืดตามัวมาติดกับเธองั้นเหรอ” คมกริชตาวาวทันที ไม่รอให้ภาสินีพูดให้จบพ่อเจ้าประคุณก็ก้าวเข้ามาประชิดตัวทันที

    "ขอดูหน่อยได้ไหมว่าไอ้ที่แม่ใส่พานมาถวายให้ถึงที่ การันตีสรรพคุณเองว่าดีหนักดีหนาเนี่ย จริงๆ แล้วมันดีแท้แค่ไหนหรือว่าของเก๊ที่เร่ขายให้เพราะไม่มีใครเอา" ชายหนุ่มคว้าสองมือของภาสินีไว้แล้วดึงตัวเข้ามาใกล้

    "คิดเหรอว่าไอ้ร้านขนมเล็กๆ มันจะไปรอด ลองมีเจ้าของที่ดีแต่สั่งทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแบบนี้ล่ะก็ รับรองได้เลยว่าไม่นานก็เจ๊ง"

    "ไอ้บ้า ไอ้ปากเสีย ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้นะ" เจ้าของร้านคนสวยโกรธจนหน้าแดง

    "พูดความจริงล่ะซิ แค่นี้ทำไมต้องโกรธด้วย" คมกริชยั่วอีก

    “ออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ” ภาสินีโกรธจนตัวสั่นสะบัดตัวสุดแรงให้หลุดออกจากการถูกรั้ง คมกริชปล่อยอย่างง่ายดายแต่ไม่คิดว่าเมื่อปล่อยแล้วเขาจะได้รับหมอนอิงเป็นรางวัล

    “ทำบ้าอะไร” หมอนใบใหญ่ลอยใส่หน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว ภาสินีตั้งท่าจะทุ่มอีกใบตามด้วยความโมโห

    “ออกไปจากร้านฉันเลยนะ แล้วไม่ต้องมาที่นี่อีก ฉันไม่อยากเห็นหน้านาย”

    "ฉันพูดความจริง ไม่เห็นต้องโกรธกันเลย” ไม่วายที่เขาจะหยอดคำกวนประสาทไว้อีก

    "อีตาบ้า" คนถูกยั่วโมโหพูดอะไรไม่ออก ทั้งๆ ที่อยากจะเล่นงานคนตรงหน้าให้หายแค้น ทางเดียวที่ทำได้คือเขวี้ยงหมอนที่อยู่ใกล้มือไปหาคนปากเสียที่ลอยหน้าลอยตายั่วประสาทคนอื่น และยิ่งโมโหมากขึ้นเมื่อพ่อเจ้าประคุณหลบได้ทุกทีซิน่า

    "ฉันกลับล่ะ" จู่ๆ คมกริชก็บอกลาดื้อๆ

    “อ้อ แต่ก่อนไปอยากให้เธอพิจารณาข้อเสนอฉันนะ ถ้าเราแต่งงานกันฉันมีเงินเดือนทุกเดือนให้ใช้ ดูแลเป็นอย่างดีไม่ให้ลำบาก ขอแค่เธอเอาใจฉันมากๆ ดูแลฉันให้ดีอย่าทำตัวงี่เง่า ส่วนไอ้ร้านขนมเนี่ยถ้าไม่อยากทำฉันจะหาคนมาเซ้งต่อให้ หรืออาจจะช่วยลงเงินทุนสนับสนุนและหาคนมาบริหารแทน ส่วนเธอก็รอรับเงินกำไรสิ้นเดือนแต่มีข้อแม้ว่า ต้องไม่มีคนอย่างไอ้หมอนั่นมานั่งลอยหน้าลอยตาในร้านฉันอีก ตกลงไหม”

    คมกริชส่งยิ้มทิ้งท้ายอย่างคนชนะ ในขณะที่ภาสินีโกรธจนหน้าแดงก่ำคว้าหมอนที่อยู่ใกล้มือที่สุด เขวี้ยงไล่หลังคนที่เดินหัวเราะออกไปอย่างมีความสุขตรงนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×