ผมเป็นมนุษย์หมาป่า
    ไม่ใช่มนุษย์หมาป่าธรรมดา แบบที่พ่อมดแม่มดคนอื่น ๆ หรือแม้แต่พวกมักเกิ้ลรู้จักหรอกนะครับ แบบที่ว่า ในยามปกติจะเป็นคนธรรมดา แต่เมื่อเห็นจันทร์เต็มดวงก็จะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าออกอาละวาดฆ่ามนุษย์ อะไรแบบนั้น หากแต่ผมป่วยเป็นโรคหมาป่าเรื้อรัง
    คุณไม่รู้จักโรคหมาป่าเรื้อรังหรอกเหรอ?
    มันก็คือ ต้องเป็นหมาป่าตลอดเวลาน่ะสิครับ ผมรู้สึกตัว ผมมีสติ แต่สติของผมไม่สามารถควบคุมสัญชาติญาณแบบมนุษย์หมาป่าได้เลย จะมีก็แต่ในช่วงคริสต์มาสของทุกปีเท่านั้น ที่ผมจะพอมีสติ และเกือบจะได้กลับคืนเป็นมนุษย์(เกือบ)ธรรมดาเสียบ้าง แต่มันก็แค่วันเดียวในหนึ่งปี และพอวันรุ่งขึ้น ผมก็ต้องกลับไปเป็นหมาป่าอีก ถึงกระนั้นผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นวันคริสต์มาส
    เพราะอย่างนี้น่ะเอง ผมจึงต้องถูกแม่แท้ ๆ ของผม ล่ามโซ่เอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่ผมจำความได้มาแล้ว ซึ่งอันที่จริง มันก็คงจะเป็นตั้งแต่ผมเกิดนั่นแหละ
    คุณคงจะแปลกใจว่า ในเมื่อผมต้องเป็นมนุษย์หมาป่าที่ไม่สามารถใช้สติควบคุมสัญชาติญาณได้ตลอดเวลา ทำไมผมจึงมาอยู่ตรงนี้ เล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังได้
    นั่นก็เพราะตอนนี้ผมหายแล้วน่ะสิครับ (ไชโย!)
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    ตอนนั้นผมอายุสิบแปดปี ถ้าหากว่าผมเป็นมนุษย์ธรรมดา ผมก็คงเป็นพ่อมดหนุ่มที่เพิ่งจบการศึกษาจากโบซ์บาตงมาหมาด ๆ แต่น่าเสียดายที่มันไม่เป็นเช่นนั้น แน่นอน ผมถูกล่ามโซ่อยู่ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์ตระกูลลักซิม โดยมีเอลฟ์ประจำบ้านชื่อดอลตันคอยนำอาหารมาส่งให้ผมเสมอ ๆ และบางครั้ง แม่ของผมก็จะนำอาหารมาให้ผมด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่แม่มา แม่จะคอยพูดกับผม แน่นอนว่าแม่รู้ดีว่าผมยังมีสติ แม่จึงพยายามคุยกับผมเหมือนกับผมเป็นมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ผมมองเห็นไม่ค่อยชัดเจนนักว่าแม่ของผมน้ำตาไหล เพราะน้ำตาของผมก็ไหลเหมือนกันทุกครั้งที่เห็นแม่
    ผมไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวัน จะมีก็แต่แสงที่ลอดมาจากช่องระบายอากาศที่อยู่เหนือศีรษะของผมขึ้นไปสักสิบเมตรได้ หากแต่มันก็เลือนรางเหลือเกินจนมันไม่อาจช่วยให้ผมเห็นอะไรได้เลย นอกจากตอนที่มีใครเข้ามาใน...คุก...ใช่ เข้ามาในคุกนี้พร้อมกับคบไฟในมือเท่านั้นเอง
    ชีวิตของผมก็เป็นอย่างนั้นแหละ หากแต่ที่ผมต้องยกเอาตอนที่ผมอายุสิบแปดปีมาเล่าให้คุณฟัง ก็เป็นเพราะตอนนั้นเกิดเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผมขึ้นยังไงล่ะครับ
    วันนั้นเป็นวันที่แสงที่ส่องเข้ามาจากช่องระบายดูสว่างสดใสเป็นพิเศษ ดอลตันวิ่งหน้าตื่นเข้ามาบอกว่า “คุณหนูขอรับ! เป็นนายหญิงบอกว่าจะมีแขกมาพบคุณหนูขอรับ! เป็นดอลตันดีใจเป็นที่ยิ่งเลยขอรับ เป็นดอลตันดีใจเป็นที่ยิ่ง” พูดไว้แค่นั้นดอลตันก็วิ่งออกไป
    เป็นคุณจะงงเหมือนผมไหมล่ะครับ
    หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ผมมองเห็นแสงจากคบไฟ ตามด้วยเงาของคนสองคน กับเอลฟ์อีกหนึ่งตน กึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากข้างบน เงาเอลฟ์ดูลุกลี้ลุกลนไม่ต่างจากเงาคนคนหนึ่ง ซึ่งผมเดาเอาเองว่าคงจะเป็นแม่ของผมนั่นแหละ เพราะเงาอีกเงาหนึ่งเดินเหินอย่างมั่นคง ดูไม่เหมือนแม่ของผมเอาเสียเลย
    ร่างแรกที่ผมมองเห็นเป็นตัวเป็นตนก่อนก็คือดอลตันนั่นแหละ เขา(เธอ? มัน?)ชูคบเพลิงอยู่สูงเหนือศีรษะด้วยมือขวา ใบหน้าคอยมองไปข้างหลังเกือบตลอดเวลา อึดใจต่อมาผมก็เห็นปลายเท้าหน้าตาประหลาดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน หลังจากนั้นก็เป็นชุดคลุมที่ปกปิดร่างตั้งแต่ข้อเท้าขึ้นไปจนถึงหัวไหล่ ผมคิดเอาเองว่าภายในผ้าคลุมนั้นคงมีอะไรอยู่หลายอย่างเป็นแน่ สูงขึ้นไปเป็นใบหน้าของคนคนนั้น ผมบอกได้เลยว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยังหนุ่มแน่น หากแต่ดูมีราศีและเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างแปลกประหลาด ถัดจากชายคนนี้แล้ว จึงเป็นแม่ของผม ที่กำลังพูดคุยกับเขาด้วยสีหน้ายินดี
    “นี่หรือครับ เด็กคนที่คุณพูดถึง” ชายคนนั้นพูด ฟังดูมีพลังอะไรบางอย่างแทรกมากับเสียงนั้น มันทำให้ผมขนลุก
    “ใช่ค่ะ” แม่ของผมตอบ “อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะ อิฉันต้องล่ามโซ่เขาเอาไว้”
    ผมคิดว่า... โอ๊ ไม่จริง ร่างกายของผมมันเริ่มไปเองอีกแล้ว ผมรู้สึกว่าผมคำรามดังลั่นห้อง เอ่อ... คุก แล้วยันร่างขึ้นยืน พยายามจะเดินตรงไปยังชายคนนั้น ผมรู้สึกได้ว่าร่างกายของผมต้องการจะทำร้ายชายคนนั้น ร่างของผมยกมือ(ขาหน้า)ทั้งสองข้างขึ้น หมายจะตะปบหน้าชายคนนั้นให้แหลกเหลวคามือ
    แต่แน่นอนว่ามันเป็นไปไม่ได้ มีเสียงดังกึงขึ้น อันเนื่องมาจากโซ่ที่ผูกมัดมือของผมอยู่ถูกตรึงไว้กับกำแพง ทำให้ร่างของผมไม่สามารถจะออกไปไกลกว่านี้ได้
    ถึงกระนั้นตอนนี้หน้าของผมกับชายคนนั้นก็อยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งศอก และผมรู้สึกได้ชัดเจนว่าใบหน้าของผมกำลังแยกเขี้ยวขู่ชายคนนั้นด้วยท่าทางนี่น่าสยดสยองเป็นที่ยิ่ง หากแต่ผมไม่รู้สึกถึงความหวาดกลัวบนใบหน้านั้นเลยแม้แต่น้อย
    ชายคนนั้นหันไปพูดกับดอลตันว่า “ช่วยพาคุณนายออกไปก่อนได้ไหม?”
    ดอลตันทำหน้าเลิ่กลั่ก แล้วพูดกับชายคนนั้นว่า “เป็นดอลตันต้องขออนุญาตนายหญิงก่อนขอรับ” แล้วเขา(เธอ? มัน?)ก็หันไปพูดกับแม่ของผมว่า “เป็นนายหญิงจะยอมทำตามที่ท่านชายท่านนี้เอ่ยหรือไม่ขอรับ?”
    ผมเห็นแม่ของผมพยักหน้า แล้วเดินออกจากห้องไป
    ดอลตันหันไปพูดกับชายคนนั้นว่า “เป็นท่านชายจะให้ดอลตันถือคบไฟให้หรือไม่ขอรับ?”
    ชายคนนั้นหันไปมองดอลตันแล้วยิ้ม “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณมาก”
    ดอลตันโค้งตัว แล้วจึงเดินตามแม่ของผมไป ห้องมืดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็เกือบจะมืดสนิท คงมีแต่เพียงแสงที่ลอดเข้ามาจากช่องระบายอากาศเท่านั้น
   
“ลูมอส!”
    ชายคนนั้นเอ่ยคาถา พลันห้องทั้งห้องก็สว่างวาบขึ้น สว่างชนิดที่ผมไม่ได้สัมผัสมาตลอดสิบแปดปีนอกจากในวันคริสต์มาสที่ผมจะได้แอบออกไปยังโลกภายนอก ผมเดาเอาเองว่าชายคนนั้นคงจะใช้คาถาอะไรสักอย่าง แต่น่าแปลกที่เขาไม่ได้ถือไม้กายสิทธิ์เอาไว้เลย
    ผมมองหน้าเขา
    เขามองหน้าผม
    “เธอคงจะทรมานมากสินะ”
    ผมพยายามพยักหน้า หากแต่ผมไม่อาจควบคุมร่างกายของผมได้เลย มันพยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ แล้วไปขย้ำชายคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี่ให้เป็นซากเสียให้ได้ แต่ใจของผมพยายามจะบอกชายคนนี้เหลือเกินว่า
   
ช่วยผมที
    “งั้นหรือ ฉันจะพยายามนะ”
    ผมเบิกตากว้าง เขารู้ความคิดของผมเหรอ?
    “ไม่ได้รู้หรอก แค่รู้สึกได้ เท่านั้นเอง” ชายคนที่อยู่ตรงหน้าผมพูด “ปกติแล้ว ฉันไม่ค่อยจะทำอะไรให้ใครฟรี ๆ หรอกนะ แต่ครั้งนี้ เป็นกรณีพิเศษ แลกกับอาหารและที่พักที่แม่ของเธอให้ฉัน”
    ผมพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
    “เดี๋ยวไว้ค่อยถามแม่ของเธอทีหลังก็ได้” ชายคนตรงหน้าของผมพูดพลางล้วงมือเข้าไปในเสื้อคลุม ทำท่าเหมือนจะควานหาอะไรบางอย่าง
    ผมพยายามจะกลืนน้ำลาย แต่อย่างที่คุณรู้ ผมทำไม่ได้
    เสียเวลาหาอยู่พักหนึ่ง เขาก็รำพึงว่า “หายากจังเลยแฮะ ของเยอะชะมัด” อึดใจต่อมา เขาก็เปิดเสื้อคลุมออกทั้งหมด เผยให้เห็นสารพัดอุปกรณ์หน้าตาประหลาด ในวูบนั้น ผมเห็นอะไรบางอย่างรูปร่างคล้ายสามง่าม บางอันก็คล้ายกับพลอง และดูเหมือนจะมีสนับมืออยู่สองหรือสามอันเสียด้วย ก่อนที่เขาจะหาของที่หาอยู่เจอ และพับเสื้อคลุมเข้าสู่สภาพเดิม
    “ขอโทษทีนะที่ต้องเสียเวลา ของมันเยอะน่ะ กว่าจะหาเจอแต่ละชิ้นก็ยุ่งยากแบบนี้แหละ เอ้า อย่าเสียเวลาเลย เข้ามาใกล้ ๆ หน่อยซิ”
    ผมก็อยากเหมือนกันนะ แต่ผมควบคุมร่างกายไม่ได้ เอาแค่ว่าจะมองดูว่าในมือของเขาถืออะไรอยู่ยังยากเลย วูบหนึ่งผมพอจะเห็น อะไรบางอย่างที่คล้ายกับดาบ... ทว่ามันมีแต่ด้าม
    “ไม่ได้งั้นเหรอ... อืม... ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
    เขาถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง มือซ้ายยังคงถือด้ามดาบนั้นอยู่ เขายื่นมือขวาออกมาข้างหน้า มือนั้นดูมีรอยแผลเป็นทางยาว เหมือนกับเคยโดนผ่ามาก่อน
   
“อาโลคาโทร่า”
    พลันผมรู้สึกได้ โซ่ที่พันธนาการผมอยู่หลุดออก เขาทำอะไรของเขาน่ะ?
    “ฉันรู้ตัวดีน่าว่ากำลังทำอะไรอยู่” ผมได้ยินเสียงเขาพูด ในขณะที่ร่างของผมสะบัดมือออกจากโซ่ คำรามใส่หน้าเขา แล้วจึงพุ่งตรงไปหมายทำร้ายให้ถึงฆาต
    ในพริบตานั้น ผมแทบลำดับไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้น ผมเห็นชายคนนั้นใช้มือซ้ายยกด้าบดาบที่ดูไม่มีพิศสงอะไรตรงมายังตัวผม ในขณะที่มือขวาก็ชี้ตรงมายังใบหน้าของผม มีเสียงดังขึ้นว่า
“สโตปิโอ!” แล้วผมก็รู้สึกได้ว่าร่างของผมหยุดแข็งไป ขยับไม่ได้ พริบตาต่อมาเขาก็เอาด้าบดาบนั้นแทงเข้าที่ท้องของผม ในเสี้ยววินาทีนั้นผมรู้สึกราวกับว่ามันดูดเอาสิ่งที่ผมมีอยู่ออกไป มันดูดออก ดูดออก ดูดออก ผมก้มหน้าลงไปมองดู เห็นด้ามดาบนั้นค่อย ๆ มีตัวดาบโผล่ขึ้นมา
    เดี๋ยวก่อน
    ผมก้มหน้าลงไปมองด้วยตัวเองได้หรือนี่?
    จะอะไรก็ตามแต่ มันยังคงดูดอะไรบางอย่างออกไปจากร่างของผม ดูดออกไป ดูดออกไป ตอนนี้ผมแทบไม่หลงเหลือสติแล้ว ภาพข้างหน้าค่อย ๆ มืดลง มืดลง (ทั้ง ๆ ที่ยังมีแสงสว่างของลูมอสอยู่)
    ภาพสุดท้ายที่ผมมองเห็น คือ ชายคนนั้น ดึงดาบที่สมบูรณ์พร้อมออกจากตัวของผม
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    ภาพตรงหน้าค่อย ๆ สว่างขึ้น
    มันสว่างจนแสบตา
    น่าแปลก... ผมควรจะอยู่ในห้องใต้ดินที่แทบจะมืดมิดนี่นา
    ผมพยายามยกมือขึ้นทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางทำได้ หากแต่ในพริบตาที่ผมพยายามทำนั้น แขนของผมกลับพุ่งลอยขึ้นชี้ฟ้า ผมตกใจจนเผลอปล่อยแรง แขนก็กลับตกลงมากระแทกกับพื้น
    ผมร้อง “โอ๊ย” ด้วยความเจ็บ
    นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ร่างกายของผมที่ไม่น่าจะควบคุมได้ กลับว่าง่ายเช่นนี้เฉย ๆ น่ะหรือ?
    “เป็นคุณหนูรู้สึกตัวแล้วขอรับ! นายหญิง! ท่านชาย! เป็นคุณหนูรู้สึกตัวแล้ว!”
    เสียงดอลตันนี่นา ผมเอี้ยวคอไปทางต้นเสียง ... ร่างกายยอมทำตามคำสั่งของผมอีกแล้ว! ผมเห็นดอลตันอยู่ข้าง ๆ ผม
    ผมสะดุ้ง ผุดตัวลุกขึ้นนั่ง มีเสียงคนกำลังวิ่งมาทางผม มีเสียงแม่ของผมร้องว่า “ลูกแม่! ลูกแม่!” และเสียงคนอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งมาพร้อมกัน คงจะไม่พ้นเป็นชายคนนั้นแน่นอน
    “คุณแม่...” ผมพูด ผมพูดได้หรือนี่? “นี่มันเกิดอะไรขึ้นครับ?”
    “เธอหายเป็นปกติแล้ว” เสียงชายคนนั้นตอบผม ผมเงยหน้าขึ้นมอง เพิ่งสังเกตเดี๋ยวนี้เองว่าชายคนนั้นร่างสูงกว่าแม่ของผมเกือบสองศอก “คิดเสียว่าเป็นการตอบแทนที่แม่ของเธออุปการะฉันเมื่อวานนี้ก็แล้วกัน”
    “ผม...หายเป็นปกติ?” ผมอดสงสัยไม่ได้
    “ใช่แล้ว” เขายิ้ม “ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองดูร่างกายของเธอสิ”
    ผมก้มลง ยกมือทั้งสองขึ้นมาดู มันเป็นมือของมนุษย์ ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ผมยกมือทั้งสองขึ้นมาสัมผัสใบหน้า มันเป็นใบหน้าของมนุษย์! ผมดีใจจนบอกไม่ถูก
    “คุณ...คุณทำได้อย่างไรครับ?” ผมถามออกไปด้วยสงสัยยิ่งนัก
    “ฉันแทบไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาตอบยิ้ม ๆ แล้วหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากเสื้อคลุม “ที่ฉันทำก็แค่ เอาหมาป่าในตัวเธอมาเก็บไว้ในดาบเล่มนี้เท่านั้นเอง”
    เขาชูดาบขึ้น มันเป็นเล่มเดียวกันกับด้ามดาบที่ผมเห็นเมื่อตอนนั้น หากแต่ตอนนี้มันดูสมบูรณ์แบบ ตัวดาบเป็นสีเงินมันวาว ดูคบกริบ
    “เธอต้องเก็บไว้กับตัวเธอ” เขาพูด แล้วยื่นดาบให้ผม
    ผมยังไม่กล้ารับ
    “เก็บไว้...กับตัวผมหรือครับ?”
    “ใช่สิ” เขาตอบยิ้ม ๆ “ในดาบเล่มนี้มีหมาป่าของเธอสถิตอยู่ มันจะไม่ยอมเชื่อฟังคำสั่งของใครนอกจากเธอ”
    ผมทำหน้าเหมือนไม่เชื่อ
    เขายิ้มแล้วพูด “ไม่เชื่อคอยดูนะ”
    พูดจบ เขาก็ขว้างดาบออกมา ราวกับว่าหมายจะให้โดนคอผม ผมตกใจมาก ยกมือขึ้นปัดป้องสุดชีวิต หากแต่มันไม่เป็นเช่นนั้น ดาบหยุดลงตรงหน้าผม แล้วหล่นลงบนพื้นดังแคร้ง
    ผมเหงื่อแตกพลั่ก แม่ของผมก็แทบจะร้องกรี๊ด ดอลตันเอามือปิดตา
    “เห็นไหม” เขายักไหล่
    ผมเงยหน้าขึ้น แล้วเอื้อมมือไปหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาจากพื้น เหมือนกับมีอะไรบางอย่างตอบรับ ความอบอุ่นไหลวาบไปทั่วมือของผม
    มันเป็นดาบของผมจริง ๆ
    “นี่...ตกลงว่า...ผมต้องเก็บดาบเล่มนี้ไว้กับตัวตลอดเวลาอย่างนั้นหรือครับ?”
    “ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรให้ห่างตัวเป็นดีที่สุดนั่นแหละนะ” เขาขยิบตา แล้วจึงพูดต่อ “โอเคครับ ท่าทางว่าทุกคนจะมีความสุขกันดีแล้ว ผมก็คงต้องไปสักที” เขาพูดพลางเก็บของ เพียงแค่เขาชี้มือขวาที่มีแผลเป็นไปยังสิ่งของแต่ละชิ้นเท่านั้น ของก็ลอยมาอยู่ในมือเขาทันที ในตอนสุดท้าย หมวกของเขาลอยมาอยู่ในมือ แล้วเขาก็เอาหมวกสวมหัว หลังจากนั้นก็พูดว่า “ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างนะครับ”
    “เดี๋ยวก่อนครับ” ผมร้อง “ผมยังไม่ทราบเลยว่าคุณชื่ออะไร”
    เขายกมือขึ้น ยิ้มให้ผมครั้งหนึ่ง พูดว่า “เรียกผมว่าลูเป้เถอะ” แล้วก็ดีดนิ้ว มีเสียงดัง ป๊อบ พริบตาต่อมาเขาก็หายตัวไป
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    แล้วผมก็หายเป็นปกตินับแต่นั้นมา
    จริง ๆ แล้ว จะบอกว่ามันเป็นแค่เรื่องของผู้ชายคนหนึ่งที่ช่วยเหลือมนุษย์หมาป่าตนหนึ่งเท่านั้นเองก็ว่าได้ แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมลูกเด็กเล็กแดงแถวบ้านผมชอบเอาเรื่องนี้ไปคุย ไปเล่าต่อ ๆ กัน ไป ๆ มา ๆ เรื่องนี้ก็กลายเป็นตำนานผู้กล้าลูเป้ที่ปลดปล่อยมนุษย์หมาป่าผู้ถูกกักขังให้เป็นอิสระไปเสียได้
    มิหนำซ้ำ พอผมเสียชีวิตไปแล้วเผลอทำดาบหล่นไว้ที่โคลน สักแปดร้อยปีต่อมาก็ดันมีคนมาพบ แล้วเอาไปตีความกันว่าเป็นดาบในตำนานที่ชื่อว่าดาบของลูเป้เสียอีก
    ว่ายังไงนะครับ? คุณสงสัยว่าผมเสียชีวิตไปตั้งแปดร้อยปีแล้ว ทำไมถึงมาเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังได้น่ะเหรอ?
    ก็ผมขึ้นมาจากหลุมเพื่อมาหาคุณโดยเฉพาะยังไงล่ะ ไม่เชื่อลองหันหลังกลับไปดูสิ ผมนั่งมองคุณอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    เอ้อ ผมบอกหรือยังว่า ผมชื่อพาร์ซูล ลักซิม
= = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = = =
    *เรื่องสั้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิยายเรื่อง LOCKHART\'S ADVENTURE เกี่ยวกับที่มาของตำนานดาบของลูเป้ สามารถติดตามอ่านได้ที่ http://www.dekdee.com/entertain/viewlong.php?id=381 ตอนใหม่คงอีกนานครับ
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น