คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #58 : Puubate's Eyes ♛ Eps.01
Puubate’s Eyes
(Story of Puubate & Pan-tor)
ไหนว่าจะไม่หลอกกัน ไหนว่าเธอจะมีฉัน
ไหนว่าเธอจะเป็นเหมือนเก่า
ตลอดไป…เหมือนเก่า
เพราะฉันมีเพียง…
มีเพียงหยดน้ำตาที่มันไหลออกมา
เหตุมันคงเป็นเพราะเธอทำฉันเจ็บ
มีเพียงหยดน้ำตา ที่มันไม่มีแม้ค่า
แต่เจ็บข้างในมันลึกจนปานจะขาดใจ
Song :: Silly Fools – ไหนว่าจะไม่หลอกกัน
Puubate’s Eyes 01
Don’t You Lie to Me
Puubate’s talking…
ผมก็ไม่เคยคิดหรอกนะ ว่าอยู่ตั้งปีสามแล้ว ยังจะมาเข้าค่ายอะไรกันที่มหาวิทยาลัยอีก…
เอาเถอะ อย่างน้อยก็ได้ผ่อนคลายความเครียดกันสักหน่อย แต่มันตลกตรงที่ผมกับเพื่อนอีกหลายคนไม่เคยขึ้นรถไฟมาก่อนน่ะสิ มันไม่ใช่รถไฟฟ้าในกรุงเทพนะ มันคือรถไฟของแท้ของจริง หาได้ยากที่บนโลกนี้ที่จะมีรถไฟอายุมากกว่าพ่อแม่เราแล่นได้อยู่น่ะ…
ผมกับเพื่อน ๆ ขึ้นโบกี้ท้ายสุดแล้วยึดครองเป็นเมืองของเรา ล้อเล่นหรอกน่า ไม่ได้ยึดอะไรหรอก ใครอยากมานั่งด้วยก็มาได้ ถ้าไม่กลัวพวกเราซะก่อนน่ะนะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันถึงได้มีแต่คนกลัวกลุ่มของเรามาตั้งแต่เข้าปีหนึ่งแล้ว จริง ๆ นะ นี่ไม่ใช่โรงเรียนอาชีวะด้วย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้กลัวกันอย่างนั้นแหละ
ช่วงนี้ผมไม่ค่อยหงุดหงิดหรือหัวเสียเท่าไหร่ ที่เราต้องมาเข้าค่ายอะไรด้วยกัน เพราะอะไรน่ะเหรอ…
ก็เพราะจะได้เจอหน้าผู้หญิงที่ไม่ได้เจอมาพักใหญ่แล้วล่ะสิ
“เบศ ไอ้ภูเบศ มาแล้วนะ น้องนิ่มน่ะ…”
ใช่ครับ ‘ภูเบศ’ นั่นคือชื่อของผมเอง ส่วนน้องนิ่ม หรือ ‘นุ่มนิ่ม’ ก็เป็นคนที่กำลังอยากจะเจอหน้าอยู่ยังไงล่ะ
อันที่จริงนุ่มนิ่มไม่ใช่ชื่อจริงของเธอหรอก แต่เป็นเพราะนิสัยของเธอดูนุ่ม ๆ นิ่ม ๆ หัวอ่อนแล้วก็ไม่สู้คนเลยนั่นแหละ ถึงได้สมญานามนี้มา แต่จะว่าไปเธอไม่ได้หัวอ่อนเท่าไหร่นัก แต่หัวดื้อรั้นเอาเรื่องเลยล่ะ
ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะน้องนิ่มคนนี้เป็นคนที่กล้ามาท้าชนผมยังไงล่ะ…
“ไหนวะ…” ผมถามเพื่อนอย่างสนใจ นี่ตั้งใจตื่นแต่เช้ามาขึ้นรถเพราะคุณน้องนุ่มนิ่มเลยนะ…
“เฮ้ย เบศ พอเหอะว่ะ” เพื่อนของผมคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนจะดึงแขนของผมเอาไว้
ผมหันไปมองมันแล้วก็มองหน้า อยากรู้ว่ามันจะว่าอะไรอีก
“กูขอ…”
“มึงชอบน้องนิ่มเหรอเจย์…” ผมหันไปถามเพื่อนที่สนิทที่สุดในกลุ่ม จากนั้นก็มองลึกเข้าไปในดวงตาของมัน
“มึงเลิกพูดเรื่องนี้ เลิกยุ่งกับป่านสักทีเหอะว่ะ กูเบื่อแล้ว กูไม่อยากเห็นมึงทำอะไรแบบนี้อีก” เจย์ถอนหายใจ
มันมองผมแล้วก็ส่ายหน้า สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง เฮอะ… ผมต่างหากล่ะที่อยากจะทำสายตาแบบนี้กับมัน ก็เพราะยัยนุ่มนิ่มไม่ใช่เหรอ ที่ผมกับมันแล้วก็เพื่อนอีกสองคนถึงต้องลงซ่อมวิชาช่วยที่แม่งไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด ผมตั้งใจจะเก็บหน่วยกิตให้ครบเลยลงวิชานี้ แต่เพราะความโง่ของน้องนิ่มนั่นแหละ ทำให้ผมตกวิชานั้นจนต้องดร็อปแล้วก็ต้องลงทะเบียนเรียนซ้ำอีกครั้งตอนซัมเมอร์ เรื่องค่าหน่วยกิตที่มันแพงบรรลัยน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่มันทำให้ผมชวดไปเที่ยวกับครอบครัวนี่สิ ซัมเมอร์ปีก่อนตั้งใจจะหยุดพักไม่ลงวิชาเรียนแท้ ๆ
อ้อ ลืมบอกไป ชื่อจริงของน้องนุ่มนิ่มคือ ‘ป่านทอ’ แค่ชื่อก็น่าหมั่นไส้แล้ว ว่าป่ะ…
“เรื่องนี้มึงไม่เกี่ยวแล้วเจย์ เพราะกูลุยเอง” ผมบอกก่อนจะดึงแขนออกจากมือของเพื่อน แล้วลุกขึ้นเพื่อมองหาเหยื่อตัวน้อยของผม แม่นุ่มนิ่มหัวฟูแว่นหนาไปไหนแล้ววะ ทำไมผมหาไม่เจอล่ะ
“มึงหลอกกูเหรอไอ้เน็ท…” ผมด่าเพื่อน เพราะไม่เห็นจะเจอตัวน้องนิ่มอย่างที่มันบอกเลย
“เอ๊ะ…นั่น” ผมพึมพำไม่ได้รอคำตอบจากเพื่อนเมื่อเจอกับผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งเข้าจนได้…
“น้องนิ่มนี่นา…” เมื่อเจอตัวแล้วผมก็ไม่รอช้าเดินเข้าไปหาเธอทันที
เธอตกใจมากเมื่อเจอผม ทำท่าจะลุกแต่ผมยกเท้าขวางเอาไว้ ก่อนจะโน้มหน้าเข้าไปใกล้จนเธอต้องนั่งลงตามเดิม
“แหมไม่ได้เจอกันตั้งนานเลยนะน้องนิ่ม…” เมื่อเธอนั่งลงตามเดิม ผมก็นั่งลงใกล้ ๆ แล้วมองหน้าเธอด้วยความคิดถึง แหงสิ ตั้งหน้าตั้งตาอยากจะมาเจอเลยนะ
“เฮ้ ไม่พูดอะไรสักหน่อยเหรอน้องนิ่ม…”
End Puubate talk…
จะให้พูดเหรอ ให้พูดเรื่องอะไร ในเมื่อเขาหาเรื่องจะแกล้งฉันมาตลอดน่ะ…
ไอ้ฉันก็โง่เดินมาติดกับดักเขาอีกแล้ว หลังจากที่ถูกเขาแกล้งมาตลอดปีที่ผ่านมา…
เพราะความไม่ได้ตั้งใจ ไม่สิ ฉันตั้งใจ เพราะความตั้งใจของฉันทำให้ภูเบศคนนี้เข้ามาหาเรื่องตามจองล้างจองผลาญฉันมาตลอดปี… ทั้งที่เราดูไม่มีอะไรเข้ากันได้เลยสักอย่างเดียว
ปีก่อน เราเจอกันตอนเรียนวิชาเสริมซึ่งเป็นวิชาเลือกลงอิสระ ฉันเลือกลงวิชาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ภาพยนตร์เพราะชอบดูหนังอยู่แล้ว จนได้มาเจอกับภูเบศและเพื่อน ๆ ของเขาที่ลงเรียนวิชานี้ด้วยกันหลายคน
คงเพราะฉันเป็นเด็กเนิร์ดแว่นหนาแถมยังหัวฟูซะอีก ภูเบศเลยพยายามเอาเปรียบฉันด้วยการมาอยู่กลุ่มทำรายงานด้วยกัน แต่เรื่องอะไรล่ะ ฉันต้องทำงานอยู่คนเดียวแล้วพวกเขากินคะแนนฟรี ๆ เพราะฉะนั้น ฉันเลยไม่ลงชื่อของพวกเขาในรายงาน และปรึกษากับอาจารย์ประจำวิชา ท่านก็เลยปรับพวกเขาตกกันทุกคน
นั่นแหละ เรื่องราวความแค้นของภูเบศ…
และจากนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ ฉันก็ได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่รู้เลย ว่าเขาจะทำให้ฉันเจ็บเข้าขั้วใจได้เลย
“น้องนิ่ม แฟนเก่าน้องนิ่มก็มาด้วยนะ” ภูเบศส่งยิ้มให้ เอียงคอพยายามจะมองหน้าฉันตลอดเวลา แต่ฉันเลือกที่จะหลบสายตาของเขาไม่ยอมมองหรือสบตาด้วยทั้งนั้น
ฉันตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียใจ ไม่หวนคิดถึงเรื่องในอดีต ตั้งแต่ไปทำเลสิก[1]เลิกใส่แว่นตา ผมให้ดูเป็นผู้เป็นคนมากขึ้น คิดว่าภูเบศและคนอื่น ๆ คงไม่สนใจฉันแล้ว แต่กลับไม่เป็นแบบนั้นเลย
ภูเบศเจอตัวฉันทันที แล้วก็ยังขยับเข้ามาหายิ้มให้พูดคุยทักทายด้วย แต่อย่าคิดนะ ว่าทำแบบนี้แล้วฉันจะดีใจ ตรงกันข้ามฉันกลัวเขาจนไม่กล้าพูดอะไรออกมาได้เลย ได้แต่เบือนหน้าไปทางอื่นเพราะไม่อยากจะยุ่งด้วยอีกแล้ว
“น้องนิ่ม… ไอ้เจย์แฟนเก่าของน้องนิ่มก็มาด้วยนะ มันนั่งอยู่เบาะหลังถัดไปเนี่ยแหละ หันไปทักทายสุดที่รักหน่อยสิ” พูดจบภูเบศก็หัวเราะ ทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะตามไปด้วย ส่วนฉันเหรอ น้ำตากำลังตกในเลยล่ะ
ฉันเองก็โง่…ไม่รู้เลยว่าการที่ผู้ชายหน้าตาดีเข้ามาจีบน่ะเป็นการเล่นสนุกของพวกผู้ชายสารเลวต่างหาก เขาไม่ได้ชอบฉันเลย แต่นี่เป็นการแก้แค้นของภูเบศที่ฉันทำให้เขาเจ็บใจ ส่วนฉันก็เสียใจและเสียความมั่นใจทุกอย่างไม่เหลืออะไรเลย
“น้องนิ่มนี่เสียมารยาทว่ะ…” ภูเบศพูด แล้วก็ถือวิสาสะจับหน้าฉันให้หันไปสบตาด้วย
ฉันปัดมือเขาออก หัวใจเต้นโครมครามในอกข้างซ้าย หลงคิดว่าเขากับเพื่อน ๆ จะไปนั่งขบวนหน้า ๆ เพราะแถวนั้นมีผู้หญิงสาวสวยหลายคน แต่เขากลับมาอยู่ตรงนี้ และกำลังหยอกล้อลูกหนูไร้ทางสู้อย่างฉันอยู่
“แก้มของน้องนิ่มก็นิ่มสมชื่อเลยเนาะ…” เขายิ้มหวาน แต่สายตาของเขาไม่ได้ยิ้มด้วย ฉันอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่พูดไปก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ดีไม่ดี ภูเบศอาจจะยิ่งหงุดหงิดไม่สบอารมณ์กับเสียงของฉันอีก เพราะฉะนั้นฉันเลยเบือนหน้าหนีและกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ให้มันไหลลงมาต่อหน้าคนใจร้ายที่เหมือนกันปีศาจร้าย
“สนใจแฟนเก่าหน่อยสิ หมอนั่นน่ะคิดถึงน้องนิ่มมากเลยนะ” เสียงหัวเราะที่ชั่วร้ายของภูเบศทำให้ฉันอยากเอามือปิดหู แต่ที่ทำได้คือการไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และไม่อยากให้พวกเขาเข้าใจผิดด้วย ว่าการที่ฉันเปลี่ยนแปลงตัวเองในทางที่ดีขึ้นก็เพื่อให้เจย์กลับมาสนใจ…
ฉันแค่อยากเปลี่ยนตัวเองไม่ให้พวกเขาจำป่านทอที่แสนงุ่มง่ามเงอะงะคนเดิมได้เท่านั้น แต่สุดท้ายแล้วมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น…
ฉันไม่รู้ว่าตัวเองเผลอเอาหัวพิงกับกรอบหน้าต่างรถไฟแล้วหลับไปตั้งแต่ตอนไหน ทั้งที่ปีศาจร้ายอย่างภูเบศก็ยังนั่งหาเรื่องด้วยแท้ ๆ คงเพราะว่าเมื่อคืนนอนไม่หลับที่รู้ว่าวันนี้ยังไงก็ต้องเจอเขานั่นแหละ
เรามาอยู่แคมป์ในป่าเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งเป็นกิจกรรมสานสัมพันธ์อะไรสักอย่างของทางมหาวิทยาลัย ซึ่งถ้าเข้าทำกิจกรรมละลายพฤติกรรมนี้จะไม่ต้องทำรายงานของวิชาหนึ่ง ซึ่งฉันกับภูเบศลงเรียนด้วยกันเป็นวิชาเสริม ไม่ใช่เพราะความบังเอิญด้วย เขาตั้งการเข้ามาเพื่อกดดันให้ฉันหายใจไม่ออกต่างหากล่ะ
รถไฟหยุดแล้ว และเราต้องเดินเท้าขนสัมภาระของตัวเองไปที่บ้านพักซึ่งไม่ไกลจากสถานีรถไฟเท่าไหร่ ฉันรั้งท้ายอยู่ข้างหลังเพราะไม่อยากวุ่นวายกับใครอีก วิชานี้ฉันก็ไม่มีเพื่อนอยู่แล้ว ต้องมารับมือกับหนุ่มฮอตของมหาวิทยาลัยก็เลยต้องเจียมตัวทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเท่าที่จะทำได้
อ้อ ฉันคงลืมบอกไปสินะ ว่าภูเบศน่ะเป็นหนุ่มหล่อชื่อดังของมหา’ลัย เพราะเขาเป็นน้องเล็กในจำนวนสามพี่น้อง ทลิทโทฤกษ์ ซึ่งได้แก่ ‘ภูริช’ ‘ภูเมษ’ ซึ่งเขาเป็นคนสุดท้อง ภูเบศ
การที่สามพี่น้องสุดหล่อเรียนที่เดียวกัน และมีอายุห่างกันเพียงคนละหนึ่งปี ทำให้ทั้งสามภูเป็นที่ฮือฮาและฮอตสุด ๆ เพียงแต่ว่าพี่ชายทั้งสองคนของภูเบศมีแฟนและเรียนจบไปแล้ว ตอนนี้สาว ๆ เลยหันมาหมายตาเขาเพียงคนเดียว ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมีใครได้คำว่าแฟนจากเขาเลยแม้แต่คนเดียว ขนาดดาวมหา’ลัยที่ทั้งน่ารัก เรียนดี เซ็กซี่ก็ยังจีบเขาไม่ติด ไม่รู้ว่าในสายตาของผู้ชายคนนี้จะตั้งมาตรฐานผู้หญิงเอาไว้ระดับไหน แต่ที่รู้คือฉันไม่มีทางแม้แต่จะติดหนึ่งในร้อยที่เขาจะมอง ซึ่งฉันดีใจมากที่เป็นแบบนั้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่หวังเลยเพราะภูเบศยังตามหาเรื่องระรานฉันได้ตลอด
“เฮ้อ…” ฉันหอบฮั่กเมื่อรู้สึกว่ากระเป๋าเดินทางมันช่างหนักมากเหลือเกิน จำได้ว่าตอนที่ออกมาจากหอพักมันไม่ได้หนักแบบนี้เลยนี่นา
ฉันหายใจหอบ ขาสั่นไปหมดจนเดินทางตามหลังกลุ่มเพื่อน ๆ ที่มาเข้าแคมป์กันราว ๆ ห้าสิบคน
“เอากระเป๋าไปเก็บแล้วลงมาทานมื้อเที่ยงกันได้ แต่บอกไว้ก่อนนะ เพราะมีอุบัติเหตุนิดหน่อย อาหารกลางวันเลยมีแค่แฮมเบอร์เกอร์ อดทนรอถึงตอนเย็นก็แล้วกันนะ” อาจารย์ประจำวิชาตะโกนบอก ท่ามกลางเสียงโวยวายของหนุ่มสาวที่หิวโหยเหมือนซอมบี้รออาหาร ฉันเองก็เหมือนกัน หิวจะตายอยู่แล้ว ได้กินแค่แฮมเบอร์เกอร์งั้นเหรอ
“แย่จริง…” ฉันพึมพำแล้วลากกระเป๋าเข้าบ้านพัก ซึ่งเป็นเหมือนกับหอพักขนาดกลาง ๆ สามชั้นเป็นรูปตัว U
“ผู้หญิงอยู่ปีกซ้าย หน้าห้องจะมีชื่อติดเอาไว้ พักตามรายชื่อที่ติดเอาไว้นะ ผู้ชายอยู่ปีกขวา พวกอาจารย์กับสตาฟฟ์จะพักที่ห้องพักกลาง สิบนาทีออกมารับอาหารได้”
ฉันถอนหายใจ ลากกระเป๋าเดินดูชื่อของตัวเองอย่างเหนื่อยอ่อน โชคดีได้อยู่ชั้นล่างสุดไม่ต้องเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองหรือชั้นสาม และยังไม่วายได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของกลุ่มภูเบศตามหลังมา ฉันไม่รู้ว่าเขาพวกเขาหัวเราะอะไรกัน จนกระทั่งเข้าห้องพักซึ่งมีรูมเมทอีกสองคนนั่นแหละ ฉันถึงได้รู้ว่าทำไมหลายคนถึงได้มองฉันเหมือนตัวประหลาด ผมของฉันที่อุตส่าห์ไปยืดมาอย่างดีตอนนี้ถูกหนีบด้วยไม้หนีบผ้าหลายสีบนหัว แกะออกก็ทั้งกระดกและเป็นรอยไม่รู้ว่าผมจะเสียไปเลยหรือเปล่า
“บ้าจัง…” คงไม่ต้องถามหรอกนะว่าใครเป็นคนทำ เรื่องแย่ ๆ ร้ายกาจแบบนี้มีคนเดียวที่ทำได้
ฉันพยายามไม่อารมณ์เสียและเปิดกระเป๋าเพื่อหาเสื้อผ้าเปลี่ยนก็เข้าใจแล้วว่าทำไมกระเป๋ามันถึงได้หนักบรรลัยนัก ในกระเป๋าฉันมีดัมเบลยัดอยู่ข้างในถึงสองอัน แต่ละอันน่าจะหนักราว ๆ สองกิโลกรัม… ฉันถึงกับหมดแรงล้มตัวลงนอนแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
วันแรกยังโดนหนักขนาดนี้ วันต่อไปฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าจะโดนหนักแค่ไหน ฉันส่งยิ้มให้รูมเมททั้งสองคนเมื่อพวกเธอเข้ามา แต่ไม่มีใครกล้าพูดกับฉัน ฉันเข้าใจดี ไม่แปลกและไม่ผิดหรอกที่พวกเธอไม่อยากสุงสิงด้วย ถ้ามาสนิทกับฉัน คงได้ถูกภูเบศหมายหัวไปด้วยแน่
เพราะความหิวฉันเลยต้องเปลี่ยนเสื้อแล้วเดินออกไปข้างนอกเพื่อรับป้ายชื่อแล้วเข้าแถวรอรับอาหาร
อย่างที่อาจารย์บอกว่าจะมีแฮมเบอร์เกอร์เท่านั้น แต่ก็ยังมีเครื่องดื่มและผลไม้เพิ่มเติมให้ด้วย แล้วแต่ว่าจะเลือกอะไร ฉันเลือกจะหยิบนมกับแอปเปิลลูกหนึ่งวางลงในถาด แล้วก็พยายามมองหาที่นั่ง
แต่ทุกคนทำท่าไม่ชอบใจที่ฉันเดินเข้าไปใกล้ บางคนถึงกับเอาของวางที่เก้าอี้เพื่อที่ฉันจะนั่งไม่ได้ ฉันเริ่มท้อใจ และอยากกลับบ้านตอนนี้เลย กลัวว่าจะไม่รอดจากภูเบศด้วย
“น้องนิ่ม พี่เบศขอนะ พี่เบศหิวกินแฮมเบอร์เกอร์ก้อนเดียวแล้วมันไม่อิ่มอะ…” คิดถึงซาตาน ซาตานก็มา
ภูเบศเดินโฉบฉันก่อนจะขโมยเอาแฮมเบอร์ออกไปจากถาดของฉัน ก่อนจะเดินเลยไปนั่งที่โต๊ะกับเพื่อน ๆ ของเขา ฉันก็ถอนหายใจอีกครั้งไม่รู้จะทำยังไงเลยเดินออกมาจากลานหน้าห้องพักซึ่งทำโต๊ะเอาไว้ให้คนที่มาพักได้นั่งรับประทานอาหารและสังสรรค์กัน
ฉันรู้ดีว่าตัวเองเป็นส่วนเกินที่ไม่มีใครต้องการ สุดท้ายก็เลือกจะเดินเข้าห้องน้ำแล้วนั่งลงบนชักโครกก่อนจะร้องไห้ออกมา…
สาบานได้ว่าฉันไม่ได้อยากจะร้องไห้ ไม่อยากเป็นพวกขี้แพ้หลบอยู่ในห้องน้ำเหมือนเด็กประถม แต่ตอนนี้ฉันกลัวและเหนื่อยมากจริง ๆ ไม่อยากเจอหน้าภูเบศ ไม่อยากออกไปไหนไปเจอใคร และอยากกลับบ้านมากกว่าอะไรทั้งนั้น
ตอนที่กำลังร้องไห้อยู่ ฉันก็ต้องสะดุ้งเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกตอนที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
“ป่าน…”
“…เจย์” ฉันครางชื่อของคนที่เปิดประตูเข้ามา นึกอยากหายตัวไปตอนนี้เลยที่เขาเห็นสภาพที่น่าทุเรศเวทนาของตัวเอง
เจย์ทรุดตัวลงนั่งคุกเข่ากับพื้น และทำให้ฉันหลุดสะอื้นออกมาทั้งที่พยายามห้ามมันเอาไว้แล้วแท้ ๆ
“ป่าน…ฉันขอโทษ…” เขาเอ่ยขอโทษทั้งที่มันไม่ใช่ความผิดของเขาเลย
ฉันพูดอะไรไม่ออกเป็นนาน รู้สึกทั้งกลัวทั้งไม่สบายใจ ไม่อยากเจอหน้าภูเบศและอยากจะกลับบ้านแล้ว
“เธออยู่ในนี้ไม่ได้ เข้าใจมั้ย?” เขาบอก
ฉันเองก็รู้อยู่แล้ว แต่จะให้ทำยังไงได้ล่ะ ก็ตอนนี้ฉันไม่มีเพื่อน ไม่มีใคร และไม่รู้ว่าจะอยู่ในแคมป์ให้ภูเบศรังแกอีกทำไม
“ออกมา”
“ไม่เอา ฉันไม่อยากออกไปตอนนี้” ฉันบอกเขาเสียงเครือ กลั้นก้อนสะอื้นเอาไว้ไม่ให้หลุดเสียงออกมา
“ฉันไม่ให้เธอนั่งอยู่ในนี้แน่ ออกมาป่าน” เจย์ไม่รอคำตอบจากฉัน เขาคว้าต้นแขนของฉันก่อนนะรั้งให้ลุกขึ้นและลากออกมาจากห้องน้ำ
“เบอร์เกอร์ไม่กินเหรอ อ้อ เข้าใจละ…” เขาส่ายหน้าพลางถอนหายใจ ลากฉันออกมาจากห้องน้ำแล้วหาที่นั่งได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าหลายคนกินเสร็จแล้ว และแยกย้ายกันไปทำอย่างอื่นจึงมีโต๊ะว่าง
“ฉันจะไปดูว่าพอมีเบอร์เกอร์เหลือมั้ย นั่งตรงนี้ไปก่อนนะ อย่าไปไหนล่ะ” เจย์บอกแบบนั้น ฉันเองก็ไม่กล้าไปไหนอยู่แล้ว
ฉันได้แต่ก้มหน้าก้มตาวางถาดอาหารลงที่โต๊ะ ไม่กล้าจะมองไปทางกลุ่มคนที่กำลังเฮฮาสนุกกันอยู่ โดดเด่นเสียงดังขนาดนั้นไม่บอกก็รู้ว่าเป็นกลุ่มของใคร ฉันนั่งนิ่งอยู่นานและสะดุ้งเมื่อเจย์กลับมาที่โต๊ะอีกครั้ง
“มีเหลือด้วยล่ะ รีบกินเข้าเดี๋ยวจะหมดเวลาพักแล้ว” เจย์ส่งแฮมเบอร์เกอร์มาให้ ฉันเองก็ยื่นมือออกไปรับด้วยความรู้สึกขอบคุณ เพราะตอนนี้ฉันหิวมาก การลากกระเป๋าเดินทางที่หนักมากกว่าสิบกิโลนั่นทำให้ร่างกายแหลกละเอียดได้เลย…
“นายมาคุยกับฉันทำไม…” ฉันช้อนสายตามองเขาหลังจากกัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากแล้วคำหนึ่ง
เพราะก่อนหน้านี้ร้องไห้ในห้องน้ำในปากของฉันเลยเค็มขมปร่า รสชาติแฮมเบอร์เกอร์ที่กินอยู่เลยรู้สึกแปลก ๆ ยังไงชอบกล
“นั่นสิ ฉันเข้ามาคุยกับเธอทำไมก็ไม่รู้…” เจย์หัวเราะทั้งที่คำถามไม่ได้ตลกเลยสักนิดเดียว
“นายไม่กลัวจะทะเลาะกับภูเบศเหรอ…” ฉันยกมือเช็ดน้ำตาที่ยังเปื้อนหน้าอยู่ออก รู้สึกแปลกใจที่เจย์ไม่ได้ตัวติดกับภูเบศเหมือนเคย
“อย่าไปพูดถึงหมอนั่นเลย…” เขาทำท่าไม่สนใจ แต่มันทำฉันไม่สบายใจมากจริง ๆ
“กินให้หมดเร็วเข้า เดี๋ยวเริ่มกิจกรรมต่อแล้ว”
“อืม…” ฉันครางในคอแล้วก็กัดแฮมเบอร์เกอร์อีกคำหนึ่ง รู้สึกไม่สบายใจขึ้นไม่ดีเลยจริง ๆ
ฉันยังจำได้ วันแรกที่ได้เจอกับเจย์คนนี้ เขามานั่งเรียนด้วยในวิชาบรรยายที่ชวนง่วงมาก เขามาพร้อมกับรอยยิ้มที่จงใจส่งให้ฉันคนเดียวเป็นครั้งแรก
‘ขอนั่งด้วยคนนะ’ เขาบอกทั้งที่ความจริงแล้วเลือกจะนั่งตรงไหนก็ได้
เขาส่งยิ้มมาให้และชวนคุยหลายต่อหลายเรื่อง จนสุดท้ายเขาก็บอกว่า
‘คบกันมั้ย?’ คำพูดและสีหน้าจริงจังของเขาทำให้ฉันหลงเชื่อสนิทใจเลยว่า ที่เขาพูดน่ะ มันเป็นเรื่องจริง
จนกระทั่ง ฉันตาสว่างเมื่อเมื่อได้เจอกับภูเบศ คนที่ทำให้ฉันได้สติ ว่าผู้หญิงอย่างป่านทอคนนี้คงไม่มีค่าไม่มีความหมายอะไรเลยกับพวกเขา
‘เธอคิดเหรอว่าไอ้เจย์มันชอบเธอจริง ๆ ไอ้หมอนี่ก็แค่แกล้งแหย่เธอเท่านั้นแหละ หมอนี่เพื่อนฉัน โถ เธอนี่ใจง่ายเหลือเกินนะ น้องนุ่มนิ่ม…’ เขาหัวเราะเยาะฉัน บอกฉันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก็เหมือนตอนที่เราเรียนด้วยกันตอนนั้น…
ฉันหลอกให้เขาคิดว่าฉันยอมให้เขาเข้าร่วมกลุ่มทำรายงานด้วย สุดท้ายก็หักหลังเขาด้วยการไม่ใส่ชื่อของเขา บอกอาจารย์ แต่กลับไม่บอกเขาตรง ๆ…
ฉันเลยถูกเอาคืนด้วยการที่คิดเข้าข้างตัวเอง ว่าเจย์จะมาชอบฉัน ซึ่งมันไม่ใช่แบบนั้นเลย
มันคงสมควรแล้วที่เป็นแบบนี้…
Puubate’s talking…
“เฮ้อ…ไอ้เจย์นี่มันยังไงนะ” เน็ทพูดขึ้น ผมเลยหันไปตามสายตาที่มันมองอยู่
ผมเห็นเจย์พาตัวน้องนิ่มออกมาจากห้องน้ำ…
เดี๋ยวห้องน้ำเหรอ หมอนั่นเข้าไปทำอะไรกับน้องนิ่มในห้องน้ำกัน ผมคิดด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
แต่เดี๋ยวก่อน สองคนนั้นหายไปไม่ถึงห้านาที คงไม่ใช่แล้ว ไอ้เจย์มันก็เก่งเรื่องอย่างว่าพอตัว คงไม่ใช่แค่ห้านาทีแล้วจบหรอก แล้วเข้าไปทำอะไรกันในห้องน้ำวะ
“ท่าทางไอ้เจย์คงกลับไปคบกับน้องนิ่มแน่”
ชิ! ฟังแล้วทำไมหงุดหงิดจังเลยวะ ผมกัดปากมองดูไอ้เจย์ที่กำลังประคบประหงมน้องนิ่มแล้วมันชวนให้หงุดหงิดใจถึงขีดสุด
“ผู้หญิงที่คิดว่าน้ำตาจะทำให้ผู้ชายใจอ่อนน่ะ ฉันเกลียดที่สุด” ผมพึมพำกับตัวเองแล้วเพื่อนคนอื่นก็หัวเราะด้วย
มันจริงใช่ไหมล่ะ น่าเบื่อน่ารำคาญต้องคอยตามเอาใจทุกอย่าง เฮอะ ผู้หญิงแบบนี้มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ เลยเชียว
“แต่ท่าทางไอ้เจย์คงใจอ่อนแล้วล่ะ ดูมันห่วงน้องนิ่มมากเลย” ไอ้เน็ทพูดผมเลยยิ่งกลืนอะไรไม่ลง
“อย่าพูดให้กูหงุดหงิดได้ไหม ไม่งั้นยัยน้องนิ่มได้กลายเป็นเครื่องมือระบายอารมณ์ของกูแน่…”
“มึงจะปล้ำน้องนิ่มเหรอ”
“ไอ้บ้า ไม่ได้ปล้ำเว้ย!” ผมบอกก่อนจะกัดแฮมเบอร์เกอร์ที่ได้มาจากน้องนิ่มเข้าปากอีกคำหนึ่ง สายตายังมองดูไอ้เจย์กับน้องนิ่มที่กำลังหนุงหนิงจู๋จี๋กันอยู่ น่ารักน่าเอ็นดูกันซะเหลือเกิน
“แล้วจะทำยังไงวะ เอาดัมเบลยัดใส่กระเป๋าน้องนิ่มอีกงั้นเหรอ”
“ดัมเบลเหรอ…” ผมครางแล้วก็ทำหน้าครุ่นคิดแวบหนึ่ง
“ไม่หรอก ไม่มีอะไรแบบนั้นแน่…” ก็ให้มันรู้กันไปสิ ว่ามีผู้ชายคนหนึ่งคุ้มหัวแล้วคิดว่าจะรอดน่ะ ไม่มีทาง ผมขยำกระดาษห่อแฮมเบอร์เกอร์แล้งโยนมันลงในถังขยะที่ตั้งอยู่ในไกลออกไป
หลังจากพักทานข้าวกันเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เลยต้องจับกลุ่มเพื่อทำภารกิจด้วยกันตลอดเวลาห้าวันหลังจากนี้ ให้จับกลุ่มกันกลุ่มละสี่คน ผมคว้าแขนเพื่อนอีกสองคนให้ตามมา แล้วตรงไปหาน้องนิ่มทันที
“อ๊ะ…” เธอครางแต่เสียใจด้วยนะ
“ที่รัก ช้าไปแล้ว…” ผมบอกเธอและลากเธอให้ออกห่างจาไอ้เจย์ที่ทำหน้างง ๆ และเดินเข้ามาใกล้
“เบศ อะไรกันวะ” เจย์ดูหัวเสีย ถามผมเลยไหวไหล่ไม่ยอมปล่อยมือจากน้องนิ่มที่พยายามจะแกะมือผมออกจากข้อมือของเธอ จนผมเริ่มรำคาญออกแรงบีบแขนเธอแรงกว่าเดิม
“ฉันเจ็บนะ…” น้องนิ่มว่าแบบนั้นผมเลยหัวเราะ
“ก็อย่าดิ้นสิ ไปกันได้แล้ว เราอยู่กลุ่มเดียวกัน” ผมพูดท่ามกลางสายตาตกใจของใครหลายคน
แต่เสียใจด้วย ช้าไปก้าวหนึ่งนะเจย์ น้องนิ่ม เพราะตอนนี้ผมลงชื่อลงทะเบียนเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเราอยู่กลุ่มเดียวกัน
“ทำแบบนี้ทำไม” น้องนิ่มเดินถอยหลังแล้วกุมข้อมือตัวเองเมื่อผมปล่อยมือจากเธอแล้ว
ข้อมือเล็ก ๆ นั่นแดงขึ้นเป็นรอยนิ้วเลย เห็นแล้วมัน… ช่างเถอะ ทำตัวเองนี่นา ไม่ดิ้นก็ไม่เจ็บตัวแล้ว
“ก็เราจะอยู่ด้วยกันจนชั่วฟ้าดินสลายไม่ใช่เหรอน้องนิ่ม” ผมยิ้มแต่เธอดูไม่เข้าใจ
เหมือนกับเจย์ที่มองหน้าผมอย่างหงุดหงิด แต่มันทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปรวมกลุ่มกับเพื่อนคนอื่นแทน เพราะตอนนี้ต้องร่วมกลุ่มกันทำกิจกรรมบ้าบอคอแตกอะไรนี่แหละ ถ้าไม่ได้มาเพราะอยากเจอเธอคงไม่มาที่นี่แน่
“นายหมายความว่ายังไง” สีหน้าของเธอดูไม่สบายใจ แต่ผมไม่สนใจเดินเข้าไปกอดคอของเธอแล้วลากให้เดินมาด้วยกัน
ป่านทอสะดุ้งสุดตัวเมื่อผมกอดเธอ ท่ามกลางสายตาของหลายคนที่มองมาด้วยความแปลกใจ หรืออาจจะรู้สึกอย่างอื่นด้วย แต่ผมไม่สนใจ ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องแคร์สายตาคนอื่นนี่ จริงไหมล่ะ
“เราเป็นแฟนกันนี่นาน้องนิ่ม…”
End Puubate talk…
“ฮะ…” ฉันถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกใจ ถอยหลังออกมาโดยไม่รู้ตัว
หัวใจเต้นแรงมากไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อวินาที ฉันกุมแขนเอาไว้แน่น ส่ายหน้าเมื่อเขายังกอดไม่ปล่อย
“เราเป็นแฟนกันน้องนิ่ม เราเป็นแฟนกัน”
ฉันไม่เข้าใจเลยว่านี่เป็นการเล่นตลกแบบไหนของเขากัน ภูเบศพูดเสียงดังชัดเจนว่าฉันเป็นแฟนของเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องล้อเล่นอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
“นายไม่ใช่…” ฉันส่ายหน้า แต่เขาเลื่อนใบหน้าเขามากใกล้จนมองเห็นรายละเอียดใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
เพิ่งรู้ว่าภูเบศหล่อมากซะจนหัวใจสั่นถึงจะเกลียดและกลัวเขามากแค่ไหนแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขามีใบหน้าสวยราวกับผู้หญิง ขนตางอนหนากว่าฉัน ผิวเรียบตึงไร้ริ้วรอยแม้กระทั่งรูขุมขนก็ยังไม่มี ยิ่งดูก็ยิ่งรู้สึกตัวเองขี้เหร่เหลือเกิน แต่ตอนนี้ที่ต้องทำก็คืออยู่ให้ห่างจากเขาเท่านั้น
“ไม่ใช่อะไร ก็เราคบกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ป่านทอ…”
เป็นครั้งแรกที่เขาเรียกชื่อของฉันได้ถูกต้องชัดเจน และทำให้สยองยิ่งกว่าอะไรทั้งนั้น
ฉันยังทำอะไรไม่ถูก เจย์ก็กลับมาหาอีกครั้งด้วยสีหน้างุนงงไม่เข้าใจพอ ๆ กับที่ฉันรู้สึกอยู่ตอนนี้
“เบศ กูขอล่ะ…”
“ขอเหี้ยไรวะ ก็บอกแล้วว่านี่แฟนกู…” ภูเบศลากฉันเข้าไปใกล้แล้วกุมข้อมือของฉันเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ไอ้เบศ กูก็บอกอยู่ว่าเลิกแกล้งป่านเถอะ”
“ก็แกล้งตรงไหนวะ กูก็อยู่เฉย ๆ ของกู ก็แค่เป็นแฟนกันเท่านั้น หรือมึงอยากให้กูพิสูจน์ว่ากูกับป่านทอเป็นแฟนกันจริง ๆ เอามั้ยล่ะ กูไม่แคร์หรอกนะว่าป่านทอจะเป็นแฟนมึงมาก่อน มันก็ดีเพราะไม่ต้องสอนให้เสียเวลา”
ที่เขาพูดมานั่น มันหมายความว่า…
เจย์เป็นฝ่ายหน้าเสียไป เขามองหน้าฉันแล้วทำท่าครุ่นคิด ส่วนภูเบศก็หัวเราะอยู่คนเดียวกุมมือฉันไม่ยอมปล่อยด้วย
“ต้องงั้นสิ เข้าใจง่าย ๆ แบบนี้ก็ดีเลย” ภูเบศหัวเราะเมื่อเจย์ส่ายหน้ากัดฟันแล้วถอยหลังเดินไปรวมกลุ่มของเขา
ฉันไม่โทษเจย์หรอกถ้าเขาจะไป อยู่ใกล้คนพาลอย่างภูเบศไม่มีอะไรดีขึ้น อีกอย่าง การแกล้งของภูเบศคงจะไม่เลวทรามอย่างที่กำลังกลัวหรอก ใช่ไหม…
“น้องนิ่ม ทีนี้น้องนิ่มก็เป็นแฟนของพี่เบศแล้วนะ รู้ตัวมั้ย?”
คำถามของเขาเหมือนทำให้ฉันจมน้ำในฉับพลัน ทั้งหายใจไม่ออกและรู้สึกทุรนทุรายอย่างบอกไม่ถูก
“มาเถอะน่า ได้เวลาสนุกกับการเข้าแคมป์กันแล้วน้องนิ่ม…”
เขากลับมาเรียกฉันว่าน้องนิ่มอีกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมมันกลับทำให้รู้สึกปลอดภัยกว่าการที่เขาเรียกชื่อของฉันได้ถูกต้องก็ไม่รู้
เจย์มองมาเป็นระยะ แต่เขาก็อยู่ห่างไปแล้ว ฉันมองเขาแวบหนึ่งแล้วก็เบือนหน้าหนี ไม่ว่าใครอยู่ใกล้ฉันคนคนนั้นก็ต้องซวยตามไปด้วยแน่ เพราะอย่างนั้นฉันเลยต้องอยู่คนเดียวนั่นแหละ ดีที่สุดแล้ว
ภูเบศไม่ได้จับมือถือแขนฉันอีก แน่ล่ะว่าไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นแล้วเมื่อเจย์ไม่ได้อยู่ปกป้องคอยดูแลฉันอีกต่อไป
“น้องนิ่ม มาสิ ยืนทื่อเป็นก้อนหินแบบนั้นทำไม…”
เหนื่อย… ขอบอกเลยว่ามันเหนื่อยมากที่ต้องรับมือกับอันธพาลอย่างภูเบศ แต่ก็ยังดีที่วันนี้เป็นการแนะนำตัวกันเล่น ๆ ไม่มีอะไรมากมาย ก็มีจำชื่อจำหน้ากัน เล่นเกมเล็ก ๆ น้อย ๆ จนถึงเวลาอาหารเย็น หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับคนนิสัยแย่อย่างภูเบศอีกครั้ง
อาหารเย็นวันนี้ ให้ทุกคนถือถาดที่เหมือนกับถาดอาหารของเด็กอนุบาลนั่นแหละ ตักอาหารที่อยากจะกินได้แค่ครั้งเดียว แต่จะตักจนพูนถาดหรือล้นถาดก็ได้ แต่มีข้อแม้อย่างเดียวว่าห้ามกลับไปตักอีกและต้องกินให้หมด
ฉันเลือกอาหารสองสามอย่างง่าย ๆ ลงในถาดไม่ลืมแอปเปิลที่ชอบกินเป็นประจำลงในถาดด้วย แล้วมองหาที่นั่งกินเงียบ ๆ คราวนี้ฉันไม่หลบเข้าห้องน้ำอีกแล้ว เพราะบรรยากาศมันไม่ให้เลยจริง ๆ
ภูเบศนั่งลงข้าง ๆ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนถาดอาหารของฉันกับเขา
“ทำไม มีปัญหาเหรอ…” ภูเบศเลิกคิ้วถามอย่างยียวน พอมองถาดอาหารฉันก็อยากร้องไห้ เพราะมันเป็นคั่วกลิ้ง[2]ที่แค่มองและได้กลิ่นก็รู้ว่ามันเผ็ดมากแค่ไหน เขาเริ่มต้นตักข้าวเข้าปากฉันก็เลยไม่มีทางเลือกนอกจากกินแต่ข้าวเปล่า เพราะรู้ดีว่ากินกับข้าวนี่ไม่ได้ กลัวว่าจะอาหารเป็นพิษแล้วป่วยอีก
“กินไม่ได้เหรอ แหม่ ลิ้นสูงจริงนะ…” เขาประชดแต่ฉันไม่สนใจ ไม่อยากมีเรื่องเลยต้องกินแต่ข้าวเปล่าอย่างเดียวเท่านั้น
“ไม่รู้เหรอ ว่ากฎเขาห้ามกินเหลือน่ะ…” ภูเบศถามแล้วก็จ้องหน้าฉันนิ่ง
ตอนที่กำลังตกอยู่ในช่วงเวลาที่แสนลำบาก เจย์ก็เดินมานั่งตรงกันข้ามกับที่ฉันนั่งอยู่ เขาเหลือบมองภูเบศแวบหนึ่ง แล้วก็ดึงถาดอาหารตรงหน้าฉันแลกกับของเขา
“รีบกินข้าวเถอะป่าน จะได้นอนพัก หน้าเธอแดงมาก คงมีไข้” เจย์พูดกับฉัน โดยไม่สนใจสายตาขุ่นขวางของภูเบศที่มองมาเลยสักนิด
“ว่าแล้วว่าต้องมีเรื่องแบบนี้ ฉันเอานี่ติดตัวมาด้วยน่ะ” แล้วเจย์ก็ส่งคูลเจลที่เอาไว้ใช้ติดหน้าผากลดไข้มาให้ ฉันก็รับมาด้วยความขอบคุณ ก่อนจะถามอย่างเป็นห่วง
“นายกินคั่วกลิ้งได้เหรอ มันดูเผ็ดนะ…” ฉันอดถามไม่ได้ เจย์หัวเราะแล้วตักมันเข้าปากให้ดู
“ไม่มีปัญหา เธอนั่นแหละ รีบกินเข้า จะหมดเวลาพักแล้ว”
“อือ…” ฉันรับคำก่อนจะก้มหน้าก้มตากินข้าว รู้สึกขอบคุณเจย์มากที่ยังนึกถึงฉัน อาหารที่เขาเลือกมามีแต่ของที่ฉันชอบทั้งนั้น เหมือนกับรู้ว่าภูเบศตั้งใจจะแกล้งแบบนี้แต่แรกอยู่แล้ว พอมองด้วยหางตาก็เห็นว่าอันธพาลอย่างภูเบศก็จ้องเอา ๆ เหมือนตัวจะสึกหรอจากการจ้องของเขาให้ได้
หลังจากที่จบจากมื้อค่ำที่แสนกระอักกระอ่วนแล้ว ฉันก็รีบหลบเข้าห้องพักเพื่อพักผ่อน คงเป็นทางเดียวที่ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคนพาล…
ฉันเคลิ้มหลับด้วยความอ่อนเพลีย มีไข้อย่างที่เจย์บอกเอาไว้จริง ๆ ตอนที่กำลังจะหลับก็เห็นรูมเมทเดินไปเปิดประตูได้ยินเสียงแว่ว ๆ ว่ามีคนมาเคาะ ฉันก็ได้แต่หวังว่าคงไม่ใช่อันธพาลภูเบศหรอกนะ
“ให้ตายสิ เป็นแฟนฉันแล้ว ไปรับของจากคนอื่นได้ไงวะ…”
เสียงนี้มันคุ้น ๆ… ฉันคิดก่อนจะลืมตาขึ้น และเห็นว่าเป็นภูเบศจริง ๆ ด้วยความตกใจฉันทะลึ่งตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ถูกเขาผลักให้นอนลงตามเดิม ก่อนที่เขาจะกระชากคูลเจลบนหน้าผากของฉันโยนทิ้งอย่างไม่ไยดี
“มา…มาทำให้เหงื่อออกจนไข้ลดกันดีกว่านะ น้องนิ่ม” มือของภูเบศสอดเข้ามาใต้ชายเสื้อของฉัน ก่อนจะลูบขึ้นสูงจนน่ากลัว
“คืนนี้ฉันจะนอนห้องนี้ พวกเธอสองคนจะไปนอนห้องไหนก็ไป…” เขาตะคอกเล่นเอาหัวใจฉันสั่นไปหมด
“เดี๋ยว!” ฉันพูด แต่ไม่แน่ใจว่าบอกใครกันแน่
“ไม่เอานะ ไม่…” เสียงฉันขาดหายเมื่อสองคนนั้นเดินออกไปจากห้องพักจริง ๆ
ฉันหายใจหอบถี่ รู้สึกเหมือนอากาศมันหายไปหมด ในความมืดสลัวก็ยังเห็นว่าภูเบศคนพาลยังยิ้มอย่างสาแก่ใจ
“ใส่บรานอนแบบนี้เดี๋ยวก็หายใจไม่ออกหรอก ไม่สบายอยู่ไม่ใช่รึไง…” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนไม่ค่อยพอใจนัก
คนอย่างภูเบศน่ะเหรอจะมาเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นด้วย โดยเฉพาะคนคนนั้นคือฉัน
“ไม่เอานะ ขอร้องล่ะ นายอย่าทำแบบนี้เลยนะ” ฉันสะอื้น กลัวเขามากจริง ๆ ถ้าภูเบศเอาจริงขึ้นมาฉันก็ขัดขืนอะไรไม่ได้เลย
“ยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ปากเขาบอกแบบนั้น แต่มือดึงเอาบราเซียออกมาจากตัวของฉันแล้ว
“ทีนี้ก็นอนได้…” แล้วนอกจากนั้นเขาก็ยังเอาเจลลดไข้มาติดหน้าผากให้ใหม่อีกอันด้วย
ฉันใจสั่นไม่เป็นอันทำอะไร เมื่อห้องนี้เราอยู่ด้วยกันแค่สองคน และดูจากเจตนาแล้ว ภูเบศคงไม่ได้หวังดีกับฉันเท่าไหร่ด้วย
“จะร้องไห้ทำไมวะ นอนสิ ไม่รู้รึไง ฉันเกลียดเสียงร้องไห้กระซิก ๆ แบบนี้ที่สุด”
แล้วมันเกี่ยวกับฉันไหมล่ะที่เขาจะชอบหรือไม่ชอบอะไร ในเมื่อเขาเล่นคุกคามกันขนาดนี้ จะให้ยิ้มร่านอนกอดเขาเหรอ…
เตียงนอนที่เรานอนด้วยกันก็เล็กและคับแคบมาก แต่คนพาลก็พาตัวเองมานอนเบียด แขนขากอดพาดจนหายใจไม่ออก ไม่คิดจะออกไปด้วย
“น้องนิ่ม นอนได้แล้ว บอกว่ารำคาญยังไงล่ะวะ” เขาตะคอกฉันเลยกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ แต่น้ำตาก็ยังไม่หยุดไหลซะทีเดียว ได้แต่ตัวแข็งทื่อในอ้อมแขนของเขาโดยที่ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้เลย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ฉันตัวแข็งทื่อแน่นิ่งในอ้อมกอดของภูเบศ แต่รู้สึกว่าลมหายใจของเขาเริ่มเป็นจังหวะสม่ำเสมอมากขึ้นแล้ว เลยพยายามจะปลดแขนของเขาออกจากตัว แล้วออกไปข้างนอกก่อนที่ทุกอย่างจะเลวร้ายมากกว่านี้
แต่แค่ผลักแขนของภูเบศแค่เล็กน้อยเท่านั้น เขาก็ครางแล้วกอดฉันแน่นมากขึ้นจนสะดุ้ง
“จะออกไปข้างนอกแล้วจะนอนที่ไหนล่ะ อย่ามาดื้อ นอนดี ๆ อย่าหาว่าไม่เตือน” เขากระซิบขู่ ฉันถึงเพิ่งรู้ว่าเขาไม่ได้หลับอย่างที่เข้าใจ
ฉันยังน้ำตาไหลอยู่แต่ไม่มีเสียงสะอื้นที่มันน่ารำคาญสำหรับภูเบศแล้ว ตอนที่นอนอยู่ก็ใจสั่นหวั่นหวาม กลัวว่าถ้าเขาหงุดหงิดแล้วปล้ำขึ้นมาจะเอาแรงที่ไหนไปสู้ แค่นี้ก็ยังหอบหายใจไม่ทันอยู่แล้ว
ยิ่งตอนที่ใบหน้าของเขาเข้ามาใกล้ หัวใจก็เต้นเหมือนไม่กลัวพังอยู่แล้ว เพราะเผชิญหน้ากันเมื่อตอนบ่ายเลยรู้ว่าภูเบศหน้าตาดีเหมือนกับเทพบุตรมากแค่ไหน ตอนนี้ฉันเอาแต่จินตนาการถึงใบหน้าของคนพาลที่เอาคางมาเกยที่บ่า ใกล้ซะจนรู้สึกได้ว่าปลายจมูกโด่งใสได้รูปของเขาคลอเคลียข้างแก้ม ไหนจะลมหายใจร้อนผ่าวที่เป่ารดข้างแก้มตลอดเวลานั่นอีก มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะขาดใจตายได้เลย
ทั้งที่สถานการณ์มันหน้าสิ่วหน้าขวานขนาดนั้น แต่ฉันก็ยังเผลอหลับไปได้อย่างไม่รู้ตัว
มาตื่นตอนเช้าเมื่อตอนที่ได้ยินเสียงเปิดปิดประตูและเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนในห้องก็เลยลืมตาตื่น
รูมเมทของฉันทั้งสองคนมองหน้าฉันแล้วก็แอบยิ้ม ฉันเลยทำหน้าเหลอหลา เกือบลืมไปแล้วว่าภูเบศมานอนด้วย และตอนนี้เขาก็ยังกอดฉันตัวกลมอยู่บนเตียงด้วยกัน
“รู้ยังว่ากินข้าวเช้าแปดโมงครึ่ง รีบอาบน้ำแล้วตามออกไปด้วยล่ะ…” รูมเมทคนหนึ่งบอกกับฉันยิ้ม ๆ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำ ฉันแทบจะร้องไห้ด้วยความตื้นตันใจที่เพิ่งจะมีคนยอมคุยด้วยเป็นครั้งแรก
พอจะลุกก็ทำไม่ได้ติดที่วงแขนแข็งแรงของภูเบศยังวางพาดตัวเอาไว้ ฉันก็ไม่อยากคุยกับเขาหรอกนะ แต่ว่า…
“ภูเบศ…”
นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ฉันเรียกเขาก่อน แต่เขาก็แค่ครางไม่ยอมขยับตัว ฉันเลยต้องทั้งเรียกและเขย่าแขนของเขาไปพร้อมกัน
“ภูเบศ ตื่นได้แล้ว นี่เช้าแล้วนะ” ฉันพูด แล้วก็อายรูมเมทอีกคนที่ยังอยู่ในห้องด้วยกัน เธอส่งยิ้มมา ฉันก็ไม่รู้จะซ่อนหน้าแดง ๆ ของตัวเองตรงไหนเลย
สถานการณ์แบบนี้พวกเธอต้องเข้าใจผิดกันแล้วแน่เลยว่าฉันกับภูเบศมีอะไรกันเมื่อคืน แต่ถ้าจะให้รีบปฏิเสธตอนนี้เลยก็เหมือนกับเป็นการร้อนตัวยังไงก็ไม่รู้ อีกอย่างตัวการก็ยังครางอืออาไม่พอใจไม่ยอมตื่นอีกด้วย
“ภูเบศ ตื่นได้แล้ว” ฉันทั้งผลักแขนของเขาทั้งเขย่าตัว จนสุดท้ายคนพาลนิสัยไม่ดีก็ยอมลืมตาขึ้นอย่างไม่เต็มใจ
“เรียกทำไม” เขาถามอย่างเอาเรื่อง ฉันเลยเป็นฝ่ายอึ้งแล้วก็พูดไม่ออกแทน
“นี่เช้าแล้ว ฉันจะ จะเข้าห้องน้ำ” ฉันบอกเสียงตะกุกตะกักไม่กล้ามองสบตาเขาเลยสักแวบเดียว
“กี่โมงแล้ววะ…” ภูเบศพึมพำแล้วก็กอดฉันแน่นขึ้น ฉันถึงกับลืมหายใจเมื่อเขาซุกหน้าลงกับต้นคอแล้วทำท่าหลับต่อ โอย แบบนี้มันไม่ไหวแล้วนะ ไม่ไหวจริง ๆ…
“นี่สายมากแล้ว นายออกไปได้แล้วนะ ขอร้องล่ะ” เสียงของฉันสั่นพร่า กลัวว่าเรื่องนี้จะแพร่ออกไปข้างนอก แต่มันก็คงจะเป็นแบบนั้นแหละ แล้วอาจารย์จะว่ายังไงหลังจากนี้ล่ะ ฉันจะถูกปรับตกรึเปล่า สำหรับภูเบศเขาคงไม่คิดอะไรหรอก แต่สำหรับฉันมันไม่ใช่เรื่องดีเลยจริง ๆ
“อือ ตัวเธอยังอุ่น ๆ อยู่ อย่าอาบน้ำนานล่ะ แล้วเจอกัน” เขาครางเป็นเสียงพึมพำแล้วลุกออกจากเตียงไป
เตียงนอนของฉันติดกับประตูเลย แล้วเขาก็นอนกันตัวฉันไม่ให้ตกเตียงด้วย พอเขาลุกอออกไปจากเตียง มันเลยดูเหมือนว่าเตียงกวางขึ้นถนัดตา
ภูเบศออกไปแล้ว ทิ้งฉันกับความรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ และไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อไปด้วย…
รูมเมทที่ร่วมห้องด้วยกันมองฉันแล้วยิ้ม ๆ ทีแรกฉันคิดว่าเธอจะโกรธที่ถูกภูเบศไล่ออกจากห้องเมื่อคืน แต่กลายเป็นอย่างนี้ซะได้ ฉันรอต่อคิวเข้าห้องน้ำเลยนั่งสางผมแก้เก้อบนเตียงไม่กล้าจะนอนต่อ
เวลาอันแสนยาวนานสิ้นสุดลงก็ตอนที่ฉันออกจากห้องพักเป็นคนสุดท้าย อาการไข้ดีขึ้นมากแล้ว แต่พอออกไปข้างนอกฉันก็เจอกับสายตาของผู้คนที่มองมาเหมือนเป็นฆาตกรโรคจิต คงไม่ต้องบอกหรอกว่ามันเป็นแบบนี้เพราะอะไร ถ้าไม่ใช่เพราะอันธพาลจอมร้ายกาจคนนั้น
ฉันไม่ได้มองหน้าใครตอนที่เดินไปรับถาดอาหาร จะไปหาที่นั่งก่อนหรือหลังมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะรู้ดีว่าถ้าภูเบศอยากแกล้ง ฉันก็ทำอะไรไม่ได้
ฉันพยายามมองหาเจย์ แต่เขากลับเมินฉัน…
แน่ล่ะ ป่านนี้ทุกคนคงคิดกันไปหมดแล้วว่าเมื่อคืนฉันกับภูเบศ เฮ้อ…
เพราะเจย์เป็นคนเดียวที่คอยดูแลฉัน เพราะอย่างนั้นฉันเลยอยากอธิบายให้เขาเข้าใจว่าเมื่อคืนไม่ได้มีเรื่องอะไรอย่างว่าเกิดขึ้นเลย แต่จะให้อธิบายเพราะเหตุผลอะไรล่ะ คิดแล้วฉันก็ได้แต่เศร้า การที่เจย์ทำดีด้วยไม่ได้แปลว่าเขาชอบฉันนี่ เขาอาจจะรู้สึกผิดกับเรื่องที่ผ่านมา ที่ปล่อยให้ภูเบศรังแกฉันเลยอยากไถ่โทษ มันก็เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลย
“เช้านี้กินอะไรเหรอ…”
ภูเบศโผล่มาตอนที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอีกครั้ง เขาส่งยิ้มมาให้ เดินตามเหมือนกับผีหลอกวิญญาณหลอนไม่ให้ฉันสงบ ฉันไม่ได้ตอบคำถามของเขาแต่เลือกจะวางถาดอาหารแล้วนั่งลงพยายามไม่สนใจเขา
แต่ก็เหมือนเดิม ภูเบศดึงเอาถาดอาหารของฉันไปหน้าตาเฉย แล้วก็ผลักถาดอาหารของเขามาให้
“ทำไม…” เขาถามเสียงยียวน ฉันเองก็จนปัญญาจะไปต่อล้อต่อเถียงด้วยอีก
“เราต้องอยู่ด้วยกันอีกหลายวันเลยนะน้องนิ่ม อย่าดื้อกับพี่น่า…”
ได้ยินแล้วอยากจะเถียง ฉันไปดื้อกับเขาตั้งแต่ตอนไหนเมื่อไหร่เหรอ แต่ที่ฉันทำก็คือเงียบไม่โต้ตอบ มองดูถาดอาหารแล้วก็พอจะโล่งใจได้ เพราะไม่มีของที่กินไม่ได้ แต่ความจริงภูเบศก็คงอยากแกล้งอยู่หรอก แต่อาหารเช้ามันเป็นอาหารง่าย ๆ ฉันเลยโชคดีไป
“ทำไมทำหน้าหงุดหงิดแบบนั้นล่ะ เมื่อคืนพี่ก็ช่วยดูแลน้องนิ่มมาตลอดทั้งคืนเลยนะ” เขาจงใจพูดเสียงดังจนฉันต้องหันไปมอง
“ขอล่ะ อะไรที่ฉันทำไปฉันก็ขอโทษ แต่อย่าแกล้งกันเลยได้มั้ย?” นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันยอมคุยกับเขาอย่างตรงไปตรงมา ภูเบศเลิกคิ้วมองมาด้วยสายตาที่เหมือนไม่อยากเชื่อว่าฉันจะขอโทษ
ไม่ว่าใครที่เจอเรื่องแบบเดียวกับที่ฉันเจออยู่คงจะรู้สึกแบบนี้ด้วยกันทุกคน การถูกแกล้งน่ะ มันไม่ใช่เรื่องที่จะยิ้มได้ มันทำให้รู้สึกเจ็บปวด ไม่กล้าเผชิญหน้ากับใครทั้งนั้น แต่ฉันไม่อยากทำตัวขี้ขลาดเป็นคนขี้แพ้แล้วรอให้คนอื่นมาปกป้อง โลกความจริงมันไม่ได้สวยงามขนาดนั้น
“ฉันกลัวนายมากเลยภูเบศ ฉันกลัวไปหมดทุกอย่าง ไม่กล้ามองหน้านายไม่กล้าจะคุยด้วย ฉันผิด ฉันเสียใจกับเรื่องที่เคยทำกับนาย นายจะถ่ายคลิปเอาไว้ก็ได้นะตอนที่ฉันกำลังขอโทษกำลังคุยกับนายอยู่…”
ภูเบศยังดูอึ้ง ๆ มองมาเหมือนไม่เชื่อสายตา ฉันถอนหายใจแล้วก็ก้มหน้าไม่อยากจะมองหน้าเขาอีก
“นายพอใจแล้วใช่มั้ย ตอนนี้ทุกคนก็เข้าใจกันหมดแล้วว่าฉันนอนกับนายเมื่อคืน สาแก่ใจนายรึยัง…”
เขามองหน้าฉันแวบหนึ่งก่อนจะถือถาดอาหารเดินออกไปด้วยท่าทางหัวเสียนิดหน่อย เป็นฉันที่แปลกใจ เพราะไม่เคยเห็นภูเบศเป็นแบบนี้มาก่อน ทุกคนก็เริ่มมองฉันเป็นตัวประหลาดเหมือนกันด้วย
มันไม่สนุกเลยจริง ๆ…
ฉันพยายามมองหาเจย์อีกครั้ง และพบว่าเขานั่งอยู่กับเพื่อนอีกมุมหนึ่ง เราสองคนสบตากันแวบหนึ่งแล้วเขาก็เป็นฝ่ายหลบสายตาก่อน มันทำให้รู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้
มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ ก่อนหน้านั้นเขาก็หลอกแกนี่ เขาเป็นเพื่อนภูเบศ เข้ามาจีบเพราะอยากแกล้ง ฉันถามตัวเอง เพราะไม่ว่าใครก็อยากจะแกล้งฉันทั้งนั้น…
ฉันไม่ได้เจอเจย์อีกเลย เราอยู่คนละกลุ่มกัน และการทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็คนละฐานด้วย รู้ตัวอีกทีก็เย็นมากแล้ว
มีเรื่องน่าแปลกใจอีกเรื่อง นั่นคือการที่ภูเบศไม่เข้ามาหาเรื่องหรือพูดร้าย ๆ กับฉันอีก ขนาดว่าเราอยู่กลุ่มเดียวกัน และพอเขาไม่มายุ่งด้วย คนอื่นก็เลยไม่สุงสิงกับฉันเข้าไปใหญ่ ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องดีหรือไม่ดีกันแน่
และช่วงบ่าย ๆ หนุ่ม ๆ ก็เลือกเล่นฟุตบอลกัน แล้วก็เป็นเวลาพักยาวไปจนถึงทานมื้อเย็นตอนหกโมงเย็น ฉันยืนมองดูพวกเขาอยู่ไกล ๆ เพราะในสนามมีเจย์ลงแข่งด้วย ภูเบศเองก็เหมือนกัน พวกเขาอยู่คนละทีม เป็นเพื่อนสนิทที่ดูมีเรื่องต้องแข่งขันกันตลอดเวลา
การเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งมันคงเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขาทั้งคู่ เพราะจะเดินไปข้างหน้าไม่เหมือนกับฉัน ที่อยู่ตัวคนเดียวไม่รู้ว่าจะผลักตัวเองไปข้างหน้าได้ยังไง
เมื่อพวกเขาแข่งฟุตบอลกันจบ ฉันก็เดินตามไปทันที ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องพวกกีฬาเท่าไหร่ และไม่มีสมาธิกระทั่งผลการแข่งขันเมื่อกี้ก็ยังไม่รู้ว่าใครชนะ เอาแต่เหม่อจนรู้ตัวตอนที่ได้ยินเสียงนกหวีดดังขึ้นนั่นแหละ
ตอนนี้เจย์กำลังล้างหน้าอยู่กับก๊อกน้ำข้างสนาม ซึ่งมีคนอื่นอยู่ด้วย แต่ฉันก็เดินเข้าไปใกล้ ไม่รู้ว่าทำไมใจกล้าได้ขนาดนี้
“มีอะไร…” เจย์พูดขึ้น และเราสบตากันผ่านเงาสะท้อนจากในกระจกตรงก๊อกน้ำ ที่เรียงตัวกันตามความยาวราว ๆ สองถึงสามเมตร…
“มีเรื่องอยากคุยด้วยเหรอ” เขาถามแล้วยกผ้าขนหนูซับหน้า สายตายังจ้องฉันผ่านกระจก
“อืม…” ฉันฝืนยิ้มอย่างแห้งแล้งเต็มที แต่ก็อยากจะคุยกับเขาให้เข้าใจ
เจย์เป็นคนเดียวที่ดีกับฉันมาตลอด ถึงแม้ว่าเริ่มแรกเขาคงทำเรื่องแบบนี้เพราะอยากสนุกที่ปั่นหัวฉันได้ แต่เมื่อวานก็มีเขาคนเดียวที่คอยช่วยฉัน เพราะอย่างนั้นฉันเลยอยากจะคุยกับเขาบ้าง
“ว่า…” แล้วเจย์ก็หมุนตัวมาเผชิญหน้าด้วย สายตาของเขาดูหม่นมัวอ่านไม่ออกว่ารู้สึกอะไรอยู่
“นายได้ยินคนอื่นคุยกันรึเปล่า…”
“ที่ไอ้เบศนอนกับเธอเมื่อคืน” เขาสวนมาก่อนที่ฉันจะทันได้พูดจบซะอีก ฉันสะอึกไปแวบหนึ่งแล้วก็ถอนหายใจพลางพยักหน้าให้
“แล้วจะมาคุยอะไร…” น้ำเสียงของเจย์เย็นชาจนหัวใจของฉันเจ็บปวด ฉันไม่ชอบที่มันเป็นแบบนี้เลยจริง ๆ
“ฉันแค่อยากบอกนายว่า มันไม่ใช่แบบนั้น มันไม่ใช่แบบนั้นจริง ๆ” ฉันส่ายหน้าไปด้วยระหว่างที่พูด แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง
“แล้วจะให้ฉันเข้าใจยังไง ไอ้เบศมันเข้าไปนอนกับเธอเฉย ๆ ไม่มีอะไรงั้นเหรอ…”
ฉันพยักหน้าก่อนจะขมวดคิ้วกัดปาก รู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเหลือเกิน ไม่ว่าจะพูดแบบไหนมันก็ฟังไม่ขึ้นสักอย่าง เพราะอย่างนั้นฉันเลยรู้สึกว่าอากาศมันค่อย ๆ หายไปจนหายใจไม่ออก มือเริ่มเปียกชื้นด้วยเหงื่อจนต้องเช็ดมันกับกางเกงที่สวมอยู่ท่าทางดูไม่จืด…
“แล้วเธอมาบอกฉันทำไม ในเมื่อฉันไม่ได้ถาม” เจย์ถามจี้เข้ามาอีก
ฉันก็ขยับริมฝีปากทำท่าจะพูดอยู่หลายครั้ง แต่มันก็พูดออกจนแล้วจนรอด
“ไงป่านทอ เธอมาบอกฉันทำไม…” เขายกแขนกอดอกแล้วมองฉันด้วยสายตาแน่วนิ่งไม่ยอมละสายตาไปไหน
“ฉัน…” ฉันเหมือนจะตายจริง ๆ เมื่อได้สบตากับเขา แต่ถ้าไม่บอกตอนนี้ฉันคงไม่มีโอกาสได้บอกเขาอีกแน่ เพราะอย่างนั้นฉันเลยปล่อยมือที่มันขยำกางเกงขึ้นมากุมเอาไว้เพราะมันสั่นเทาจนน่าหัวเราะ แต่ทำยังไงมันก็ไม่หยุดสั่นฉันเลยเลื่อนไปกุมขยุ้มอกเสื้อข้างซ้ายเอาไว้
เจย์มองมา เหมือนจะยิ้ม แต่ก็เหมือนว่าจะไม่ยิ้ม มันทำฉันเข่าอ่อนไปหมด
เขายังใจเย็นมองฉันโดยไม่พูดอะไร ฉันไม่รู้เลยว่าเวลาผ่านไปกี่นาทีแล้วที่เราเอาแต่จ้องตากันอย่างนี้โดยไม่พูดอะไร และสุดท้ายเป็นฉันที่ตัดสินใจพูดออกไปในที่สุด
“ฉันชอบนาย อย่าเข้าใจผิดได้มั้ยเจย์…”
คำพูดของฉันบอกออกไป และเป็นจังหวะเดียวกับที่ลูกฟุตบอลถูกเตะอัดกระจกตรงก๊อกน้ำอย่างรวดเร็วรุนแรงจนมันแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงกระจกแจกมันกลบเสียงไปเกือบหมด จนไม่รู้ว่าเจย์ได้ยินที่พูดบอกออกไปหรือเปล่า ฉันสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงมันดังสนั่น ทำให้ใครต่อใครพากันมองมาอย่างสนใจ
แต่ว่าฉันกับเจย์ก็ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน
“พูดอีกที…เมื่อกี้ไม่ค่อยได้ยิน” เจย์บอก ฉันก็อยากจะร้องไห้ มองดูลูกฟุตบอลที่กระดอนลงมาหยุดตรงเท้าแล้วใจไม่ดี
ใครเป็นคนเตะมาก็คงรู้ ๆ กันอยู่ แล้วเจย์ก็ยังกอดอกยิ้มมองเห็นเป็นเรื่องสนุก
“ฉันชอบนาย…”
[1] เลสิก (Laser In-Situ Keratomileusis; LASIK) คือเทคโนโลยีการรักษาสายตาโดยการใช้แสงเลเซอร์ในการรักษา สายตาสั้น ,สายตายาว หรือสายตาเอียง ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่สร้างประวัติศาสตร์อันโดดเด่นของการรักษาสายตา ให้ผลอย่างถาวร ทำให้ผู้ที่ได้รับการรักษาไม่ต้องใส่แว่นหรือคอนแทคเลนส์อีก
[2] คั่วกลิ้ง เป็นอาหารพื้นบ้านอย่างหนึ่งของภาคใต้ สามารถปรุงกับ เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว หรือ วัตถุดิบอื่น ๆ ตามชอบ มักมีรสจัด
PuubatesEyes แกล้งร้ายละลายรัก (ภูเบศ & ป่านทอ)
ตอนนี้เปิดให้พรีออเดอร์แล้วค่ะ ตั้งแต่วันนี้ถึง 20 มีนาคม จัดส่งวันที่ 5 เมษายน นี้ค่ะ
หนังสือ 1 เล่ม + ขวดสเปรย์แอลกอฮอล์แบบพกพา 1 ชิ้น + ที่คั่น 2 ชิ้น
****
ขั้นตอนการจองหนังสือ
โอนเงิน
300 บาท (สำหรับจัดส่งลงทะเบียน) หรือ
350 บาท (สำหรับจัดส่งแบบ EMS)
มาที่บัญชี 037-3-75509-5
น.ส.นพรัตน์ ภูมิใจรักษ์ ธ.กสิกรไทย
แล้วแจ้งโอน (แนบสลิปโอนเงิน)
แจ้งชื่อ-ที่อยู่ เบอร์โทร ที่นี่เลยค่ะ
คลิกตรงนี้ได้เลย ➡ m.me/meejairakpublishing
หรือถ้าลิงก์ไม่ขึ้น ค้นหา แฟนเพจ สำนักพิมพ์ Meejairak เลยค่ะ
ฝากพี่เบศตัวร้ายกับน้องนิ่มน่าแกล้งไว้ด้วยนะคะ
Song :: ไหนว่าจะไม่หลอกกัน - SQWEEZ ANIMAL Feat. WHITE ROSE
ความคิดเห็น