[LOTR] More than love Aragorn x Legolas - [LOTR] More than love Aragorn x Legolas นิยาย [LOTR] More than love Aragorn x Legolas : Dek-D.com - Writer

    [LOTR] More than love Aragorn x Legolas

    โดย ReignOverME

    เมื่อเวลาแห่งกาลาจากมาถึง ความรู้สึกที่แม้จะพยายามลืม... แต่ก็ไม่อาจทำได้ และพรายหนุ่มจะทำเช่นไรกับรักที่เพียรเก็บซ่อน แล้วความรู้สึกของอารากอร์นนั้นเล่า แท้จริงคืออะไร

    ผู้เข้าชมรวม

    3,767

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    23

    ผู้เข้าชมรวม


    3.76K

    ความคิดเห็น


    17

    คนติดตาม


    59
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  28 ธ.ค. 56 / 23:19 น.


    ข้อมูลเบื้องต้นของเรื่องนี้
     

    ฟิคเวิ่นเว้อขณะทำงานตอนดึก มิได้กรองภาษาอะไรทั้งสิ้น เวิ่นตอนตีสามกว่า
    หากพิมพ์ผิดหรือแปลกๆอย่างไรก็ขออภัยด้วยจ้าorz
    ส่วนชื่อเรื่องไก่กามาก คิดไม่ออกT^T





    มีบางสิ่งระหว่างเขากับเลโกลัส...



    ความรู้สึกอันแปลกประหลาด ที่เขามีต่ออีกฝ่าย...

    “อย่าคิดว่าเป็นการทอดทิ้งสิ สหายข้า”

    คล้ายกับความรัก...

    “คิดเสียว่า เอเลสซาร์ได้จากไป แต่อารากอร์นคนจรกำลังจะเริ่มการเดินทางครั้งใหม่”

    หากมิใช่รัก...

    มือแกร่งขยับอย่างเชื่องช้า สัมผัสเส้นผมสีทอง

    “และข้าเชื่อว่าสักวันจะได้พบกับเจ้าอีกครั้ง”

    หากลึกล้ำกว่านั้น หากสิ่งที่รู้สึกต่ออาร์เวนคือรัก ความรู้สึกต่อเลโกลัสก็ลึกล้ำกว่านั้น... ทั้งคิดถึงและไม่คิดถึง แสนห่วงใย มากมายเกินมิตรภาพที่พึงมอบแก่สหาย และเขาปรารถนาจะให้อีกฝ่ายมีเพียงแต่ความสุข



    **เผื่อบางคนงงนะคะ เอลเลสซา สไตร์เดอร์ และอารากอร์น เป็นชื่อเรียกขานอารากอร์นทั้งหมดค่ะ ใครที่ไม่ได้อ่านนิยาย ดูหนังอย่างเดียว อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูค่า**
    **เราใช้คำว่าพรายแทนเอลฟ์ตามนิยายฉบับภาษาไทยเวอร์ชั่นแรกค่ะ(รู้สึกว่าปกใหม่จะแปลว่าเอลฟ์แทนแล้ว?)***

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      บางครั้งนะ... ข้าก็ครุ่นคิดสงสัย

      หากว่าเอสเทลไม่ได้พบกับอาร์เวนที่ริเวนเดล์... สไตร์เดอร์จะหันมาสนใจข้าบ้างไหม

      หากว่าข้านั้นใกล้ชิดกับสไตร์เดอร์นั้นยิ่งผู้ใด... อารากอร์นจะรักข้าบ้างหรือไม่

      และหากว่าอารากอร์นรักข้าแม้สักเพียงนิด ที่ยืนอยู่เคียงกายท่านในยามนี้ก็คงจะเป็นข้าใช่หรือไม่ เอเลสซาร์...

       

      ดวงตาสีฟ้ามิได้มองตามร่างสูงที่เดินผ่านเขาไปหาดาราสนธยาที่เบื้องหลัง หากเพียงจ้องมองไปเบื้องหน้า มองดูภาพของผู้คนที่มีความสุข ในวันที่กษัตริย์หวนคืนสู่บรรลังก์ ทุกคนต่างยิ้มแย้มแก่ยุคสมัยใหม่ที่เริ่มต้นขึ้น เป็นภาพที่งดงามละลานตา หากไม่ติดว่ามันช่างพร่ามัวเหลือเกิน...

      ด้วยม่านน้ำตาบางๆที่คลออยู่ในนัยน์ตา เลโกลัสรู้ดีว่าตอนนี้ถึงคราต้องตัดใจ...

      ***************

                      เรื่องราวของสงครามครั้งยิ่งใหญ่ ชัยชนะของมนุษย์ ความปราชัยแห่งจอมมารผู้สูญเสียแหวนครองภิพบ ถูกเล่าขานต่อกันปากต่อปาก สู่สมุดปกแดงของฮอบบิทผู้กล้า เรื่องราวที่บางคนอาจคิดว่าเป็นเพียงสิ่งที่ถูกแต่งเติม แน่นอน    บิลโบอาจเติมต่งเรื่องของเขาเล็กน้อย หากเหตุการณ์ภายในนั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เช่นเดียวกับคณะเดินทางทั้งเก้าที่มีอยู่จริง และต่างแยกย้ายกันไปสู่วิถีทางของตนเอง

      เวลาผันผ่าน... ความเกรียงไกรเป็นของมนุษย์ เป็นยุคที่สงบสุขและรุ่งเรือง เต็มไปด้วยความหวัง ด้วยความเข้มแข็งแห่งกษัตริย์เอเลสซ่า และราชินีเคียงบรรลังก์อาเวนผู้เป็นเฉกแสงดาวส่องประกาย หากจะเรียกยุคสมัยนี้ว่ายุคทองก็คงมิเกินจากความจริง

      ...หากไม่มีสิ่งใดที่เป็นนิรันด์...

      นัยน์ตาสีเทาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้ มองผืนฟ้าครามที่ทั้งชีวิตเขาโลดแล่นอยู่ภายใต้ความไพศาลของมัน ยิ่งครั้งที่ยังไร้ภาระแห่งกษัตริย์ ชีวิตกลางผืนฟ้าและนิทราบนผืนดินเป็นสิ่งที่คุ้นเคย และชวนให้คิดถึง

      ครั้งสุดท้ายที่เขาออกเดินทาง... มันช่างดูเหมือนเนิ่นนาน หากเพียงหวนนึกถึง ก็ราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวาน ตอนที่เดินทางออกจากริเวนเดลพร้อมคณะ สหายจากต่างเผ่าพันธ์ ฮอบบิท คนแคระ และ...

      ...พราย...

      รอยยิ้มบางเบาปรากฏบนเรียวปากยามที่นึกถึงใบหน้าของสหายพรายผู้นี้ เลโกลัส... ยุวราชแห่งป่าเมิร์กวู้ด

      ไม่ได้พบเจอมานานเพียงใดแล้วนะ... แต่สำหรับพราย เวลาแค่นี้คงแสนสั้นกระมัง

      เอเลสซาร์เพิ่งคิดได้ว่าตนได้พบกับเลโกลัสน้อยครั้งเหลือเกิน นับจากพิธีอภิเสกของเขาและอาร์เวน สหายพรายก็มาพบกับเขาอีกพียงสองสามครั้งเท่านั้น  

      มีบางอย่างระหว่างเขากับเลโกลัส... เป็นความเบาบางที่ไม่อาจอธิบายได้ว่าคืออะไร มันคือรัก แต่ก็มิใช่รัก คือห่วงหา แต่ก็มิได้ห่วงหา ขัดแย้งกันในใจที่เหมือนจะเข้าใจว่าสิ่งนี้คืออะไร แต่ก็มิเคยเข้าใจ...

      “ท่านแลดูเหนื่อยล้า เอเลสซาร์”น้ำเสียงไพรเราะอ่อนหวานดังขึ้น พร้อมสัมผัสอบอุ่นที่กุมมือของเขาเอาไว้

      “ข้าใช้ชีวิตมานานเหลือเกินหากเทียบกับมนุษย์ทั่วไป อาร์เวน แม้ข้าอาจดูยังไม่โรยรา... แต่ข้ารู้ว่าความเหน็ดเหนื่อยนี้กำลังพรากชีวิตข้าไป”กษัติรย์เอ่ย ดวงตาผินมาสบกับนัยน์ตาของราชินีแห่งตน มองใบหน้าที่ยังคงงดงามไม่แปรเปลี่ยจากคราแรกที่พานพบ

      “มีสิ่งใดที่ข้าช่วยท่านได้บ้าง”นางถาม แววตาไหวระริก ด้วยรู้ว่าเขาจะอยู่กับนางอีกไม่นาน... ความสูญเสียที่นางเฝ้าพยายามลืมเลือนกลับมาตอกย้ำ แม้รู้ว่าสุดท้ายทุกสิ่งต้องเป็นเช่นนี้ หากอาร์เวนก็ยังคงหวังลมๆแล้งๆว่าเขาจะอยู่กับนางตลอดไป

      “เจ้าช่วยข้ามามากเกินพอแล้ว อาร์เวน เพียงรักที่เจ้ามอบให้ข้าเสมอมาก็มากมายเหลือเกิน”มือกร้านโอบใหล่บาง อ้อมแขนอบอุ่นที่ทำให้น้ำตาของดาราสนธยาใหลรินอย่างเงียบงัน

      ด้วยรู้ว่าต่อจากนี้ ความอบอุ่นจะหายไป... และจะมีเพียงความอ้างว้างที่โอบกอดนางเป็นนิรันด์

      ***************

                      เสียงของใบไม้ที่เสียดสีกัน กลายเป็นสำเนียงไพรแว่วกระทบโสตของร่างเพรียวที่ยืนอยู่ใต้แสงจันทราสีเงิน

      ข่าวคราวจากพฤษายามนี้ทำให้ดวงตาสีนภาวูบไหว จนต้องปรือตาปิดลง

      ถึงเวลาที่ข้าหวาดกลัวที่สุดแล้วสินะ... เวลาที่ความไม่เป็นนิรันด์จักแหลกสลาย เวลาที่กษัตริย์แห่งมนุษย์จักจากโลกนี้ไป

      ข้าควรไปหาเขา...

      ครุ่นคิดอยู่ในใจ

      เลโกลัสนึกถึงสหายที่ไม่ได้พบกันมานาน ใจหนึ่งร่ำร้องให้รีบควบม้าไปกอนดอร์ทันที แต่อีกใจกลับกวาดกลัวกับความจริงที่ต้องพบเจอเบื้องหน้า

      ข้ากลัวที่จะเห็นเขาตาย... แต่หากข้าไม่ไปตอนนี้ จะกล้าเรียกตนได้ว่าเป็นสหายได้อย่างไรเล่า

      หลังตัดสินใจได้ ร่างเพรียวจึงรีบสวมชุดคลุมสำหรับเดินทาง แล้วควบเจ้าม้าพรายสีขาวออกไปจากปราสาทแห่งเมิร์กวู้ดอย่างเร่งรีบโดยมิได้บอกใครๆ

      หัวใจของเขาร่ำร้องไปกอนดอร์... แม้ความหวาดกลัวนั้นจะยังคงอยู่ในใจก็ตาม

      หวังว่าจะไม่สายเกินไป....

      **********

                      อาร์เวนร้องไห้... หยาดน้ำตาไหลรินบนใบหน้างดงามอันเปื้อนทุกข์ สวมอาภรณ์สีดำ นั่งกุมมือของเอเลสซาร์ที่นอนหายใจแผ่วเบาบนแท่นศิลา

      ไม่พ้นวันนี้หรอก... ที่เขาจะจากนางไป

      ร่างสูงสง่านอนหลับตา ลมหายใจแม้สม่ำเสมอหากก็อ่อนแรงเต็มที เช่นเดียวกับการเต้นของหัวใจ... สิ่งเดียวที่ยังคงอยู่ครบถ้วนคือสติรับรู้ รับรู้ถึงความโศกเศร้าของดาราสนธยา และรับรู้ได้ถึงการมาของใครบางคน

      ในความมืดนั้น... คลับคล้ายว่าเขาได้เห็นแสงสว่าง... มิใช่แสงเรืองรองเช่นอาร์เวน หากเป็นประกายแสงอ่อนจางสีเงินที่ทำให้รู้สึกคิดถึง

      “เลโกลัส”

      เสียงพึมพำแผ่วเบาดังลอดผ่านเรียวปาก เป็นเวลาเดียวกับที่ร่างแห่งเจ้าของนามเดินเข้ามาใกล้

      เอเลสซาร์ลืมตาขึ้น แม้จะยากเย็น... หากเขาหวังจะพบหน้าสหายเก่าอีกสักครั้ง

      เลโกลัสที่ยืนอยู่ตรงนี้กับในความทรงจำยังคงเหมือนเดิมมิแตกต่าง... หากไม่ติดว่าประกายตาร่าเริงนั้นถูกแทนที่ด้วยความหม่นเศร้า

      อาร์เวนบีบมือของเอเลสซาร์เบาๆ ก่อนลุกขึ้น ยิ้มฝืนๆทักทายพรายหนุ่ม แล้วเดินจากไป ด้วยรู้ว่าทั้งคู่คงมีเรื่องต้องพูดกันมากมาย

      “นึกว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกแล้ว”กษัตริย์เอ่ย มองร่างเพรียวที่คุกเข่าลงข้างแท่นศิลา มือเรียวนั้นกุมมือของเขาไว้อย่างแผ่วเบา

      “นั่นคือคำที่เจ้าใช้ทักสหายที่ไม่เจอมานานงั้นหรือ เอเลสซาร์ อย่างน้อยท่านก็น่าจะพูดว่ายินดีที่ได้พบ”พรายหนุ่มว่า พยายามทำตัวให้เป็นปกติ แม้พบว่าแสนยากเหลือเกินเมื่อยามนี้ใจเขาโศกเศร้า

      “ยินดีที่ได้พบ เลโกลัส เรียกอารากอร์นเถิด เหมือนสมัยที่ข้ายังพจญภัยไปทั่ว”เอ่ยพร้อมยิ้มน้อยๆ ความรู้สึกยินดีแผ่ซ่านในหัวใจ

      เขาไม่เคยรู้ว่าตนคิดถึงสหายพรายผู้นี้มาก กระทั่งตอนที่ได้พบเจอกันอีกครั้ง...

      “อารากอร์น...”เลโกลัสพึมพำ ดวงตาสีฟ้ามองดูใบหน้าอันอ่อนล้าของอีกฝ่าย นึกถึงเรื่องราวสมัยที่เดินทางด้วยกัน ช่างเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุข... แม้จะอยู่ในกาลแห่งสงคราม หากเมื่อมีร่างนี้อยู่เคียงข้าง แม้จะเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแห่งการฆ่าฟัน หากเขาก็ยังมีความสุข...

      เพียงเพราะได้อยู่ข้างๆ... ในช่วงเวลาอันแสนสั้นเท่านั้น

      “มีสิ่งใดที่ข้ามอบให้เจ้าได้มั้ย เลโกลัส”อารากอร์นเอ่ย

      “เจ้าช่วยข้าไว้มาก... เป็นสหายที่ข้ารักที่สุด หากมีสิ่งใดในตอนนี้ที่เจ้าปรารถนา จงบอกมาเถิด”

      พรายหนุ่มหลับตา เก็บซ่อนแววตาไหววูบไว้ภายใน

      สิ่งที่ข้าต้องการนั้นหรือ...

      สิ่งนั้น... ไม่มีอยู่หรอก

      ไม่สิ... มันอาจมีอยู่ก็จริง เพียงแต่...

      “ไม่... อารากอร์น สิ่งที่ข้าปรารถนา เจ้ามอบให้ข้าไม่ได้”

      เพราะมันเป็นของนาง... เป็นของอาร์เวน

      ...ความรักของเจ้า...

      “อย่าทำหน้าแบบนั้น...”เสียงทุ้มกล่าว ทำให้ยุวราชเลิกคิ้วอย่างฉนง

      “เจ้าทำหน้าเหมือนจะร้องไห้... ข้าไม่อยากให้เจ้าโศกเศร้า เลโกลัส”อารากอร์นว่า พร้อมบีบมือเรียวเย็นเฉียบไว้

      พรายหนุ่มสบดวงตาสีเทาที่จ้องมองมา

      ข้าสงสัยนัก...

      หากก่อนหน้านี้ ข้าได้บอกถึงความรู้สึกของตนออกไป เขาจะยังมองข้าด้วยสายตาอันมั่นคงนั้นอยู่รึเปล่า

      จะมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ หากข้าเอ่ยปาก บอกว่ารัก...

      แต่ข้าก็เลือกที่จะไม่ทำมัน... เช่นเดียวกับในตอนนี้ และตลอดไป ที่ข้าจะเก็บมันไว้

      “จะไม่ให้ข้าเศร้าได้อย่างไร ในเมื่อสหายกำลังจะทิ้งข้าไปเช่นนี้”

      เพียงเพื่อเจ้าจะได้จดจำว่าข้าคือ สหาย ของเจ้าชั่วนิรันด์...

      อารากอร์นมองแววตาไหวระริกตรงหน้า ในใจบังเกิดความรู้สึกอยากโอบกอด... หากร่างเขาตอนนี้ชืดชาเฉกศิลา มิอาจขยับได้ดั่งใจปรารถนา

      มีบางสิ่งระหว่างเขากับเลโกลัส...

      ความรู้สึกอันแปลกประหลาด ที่เขามีต่ออีกฝ่าย...

      “อย่าคิดว่าเป็นการทอดทิ้งสิ สหายข้า”

      คล้ายกับความรัก...

      “คิดเสียว่า เอเลสซาร์ได้จากไป แต่อารากอร์นคนจรกำลังจะเริ่มการเดินทางครั้งใหม่”

      หากมิใช่รัก...

      มือแกร่งขยับอย่างเชื่องช้า สัมผัสเส้นผมสีทอง

      “และข้าเชื่อว่าสักวันจะได้พบกับเจ้าอีกครั้ง”

      หากลึกล้ำกว่านั้น หากสิ่งที่รู้สึกต่ออาร์เวนคือรัก ความรู้สึกต่อเลโกลัสก็ลึกล้ำกว่านั้น... ทั้งคิดถึงและไม่คิดถึง แสนห่วงใย มากมายเกินมิตรภาพที่พึงมอบแก่สหาย และเขาปรารถนาจะให้อีกฝ่ายมีเพียงแต่ความสุข

      สักวัน เลโกลัส...

      จะมีสักเส้นทางหนึ่งในอนาคตอันแสนยาวไกล ที่เราจะได้พบกันอีกครั้ง

      และเมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะได้บอกกับเจ้า ถึงความรู้สึกทั้งหมดนี้ ที่ข้าจะหาคำตอบให้ได้ว่า คืออะไร

      จนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบกันอีกครั้ง....

      แขนตกลงสู่พื้นผิวเย็นเฉียบของแท่นศิลา นัยน์ตาสีเทาปิดลง และจะไม่ปรือเปินขึ้นมาอีกตลอดกาล....

      พรายหนุ่มมองดูคนที่จากไปแล้ว ความไม่เป็นนิรันด์พรากชีวิตของอารากอร์น ของเอเลสซาร์ ของสไตร์เดอร์ ของเอสเทล ของผู้ที่เขารัก...

      หยาดน้ำตาไหลรินอย่างเงียบงัน...

      “สู่การเดินทางเถิด อารากอร์น”

      เขาเอ่ย เสียงนั้นสั่นเครือ มือเรียวกุมมือที่ยังคงหลงเหลือความอบอุ่นไว้แน่น

      พรายนั้นคงความนิรันด์กาล... ทั้งอายุ ความทรงจำ หรือกระทั่งความรัก...

      แม้เจ้าจะไม่เคยรู้ อารากอร์น...

      หากรักของข้าจะติดตามท่านตลอดไป...

       

      บางครั้งนะ... ข้าก็ครุ่นคิดสงสัย

      หากว่าเอสเทลไม่ได้พบกับอาร์เวนที่ริเวนเดล์... สไตร์เดอร์จะหันมาสนใจข้าบ้างไหม

      หากว่าข้านั้นใกล้ชิดกับสไตร์เดอร์นั้นยิ่งผู้ใด... อารากอร์นจะรักข้าบ้างหรือไม่

      และหากว่าอารากอร์นรักข้าแม้สักเพียงนิด ที่ยืนอยู่เคียงกายท่านในยามนี้ก็คงจะเป็นข้าใช่หรือไม่ เอเลสซาร์...

      ทว่าในที่สุด ข้าก็คิดว่าให้มันเป็นเช่นนี้ดีแล้ว...

      เพราะหากทุกสิ่งแปรเปลี่ยน เจ้าก็อาจไม่ใช่อารากอร์นที่ข้ารัก และหากทุกสิ่งแปรเปลี่ยน อาร์เวนอาจต้องเป็นฝ่ายเจ็บช้ำ

      ให้เป็นเช่นนี้ดีแล้ว...

      ให้ข้าเก็บรักนี้ไว้ชั่วกาลปวสานเช่นนี้ล่ะ ดีแล้ว...

       

       

       --Fin?--

        

       

       

       

       

       

       

      นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      คำนิยมล่าสุด

      ยังไม่มีคำนิยมของเรื่องนี้

      ความคิดเห็น

      ×