Yowamushi Pedal : Can't be returned [TouMaki]
บางครั้ง คำว่า 'โอกาส' ก็มีเพียงแค่หนเดียว -Yowamushi Pedal FanFiction: Toudou x Makishima
ผู้เข้าชมรวม
1,176
ผู้เข้าชมเดือนนี้
11
ผู้เข้าชมรวม
Can't be returned
Fandom: Yowamushi Pedal
Pairing: Toudou Jinpachi x Makishima Yuusuke
Rate: PG-13
สวัสดีค่ะทุกคนนนนน//กราบงามๆ
ฟิคนี้เกิดมาด้วยความติ่งล้วนๆ มโนสดๆ กึ่งๆจะเป็นAUฟิคอยู่แล้ว คาร์แร็คเตอร์หลุดไปบ้างขออภัยนะคะTwT
จริงๆเด็กจักรยานเนี่ย ไรท์เตอร์รักอาราริตะที่สุดค่ะ แต่ถ้าสำหรัยคู่วายขอยกให้TouMaki คู่นี้มันเรียลมากกก
เป็นการเวิ่นเว้อที่ยาวพอสมควร(14หน้าA4) ไม่ได้แต่งฟิคแบบบ้าพลังยาวๆม้วนเดียวจบมานานละ เหนื่อยมาก(แก่แล้วT-T)
ห่างหายไปจากการเขียนฟิคนาน ภาษาฝืดเคืองยิ่งนัก พิมพ์ผิดอะไรไปบ้างหรืออ่านแล้วมึนๆก็ขออภัยด้วยนะคะ มันมาด้วยความติ่งล้วนๆ~~ 555+
***คำเตือน***
1. มีเนื้อหาเกี่ยวกับชายรักชาย ใครต่อต้านLGBTกรุณาปิดนะคะ♥
2. เป็นเพียงการมโนของคนเขียน กรุณาอย่าใส่ใจหากผิดแผกไปจากเรื่องหลัก
3. พิมพ์ผิดจงมองข้าม(?!)
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Talk: คุยกันสักเล็กน้อยก่อนอ่าน ฟิคเรื่องนี้มโนขึ้นจากคอนเซปว่า ‘โอกาสครั้งเดียว’ ที่ถ้าพลาดไปก็ย้อนกลับไม่ได้ ดังนั้นฟิคนี้ออกแนวดราม่านิดๆนะคะ ถ้าชอบอย่าลืมคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันหน่อยน้า ไรท์เตอร์ไม่ได้แตะฟิคนานมาก ปั่นมาด้วยพลังติ่งล้วนๆ ผิดพลาดประการใดขออภัยค่ะ ขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านนะคะ :D
- Can't be returned -
โทโด จินปาจิ ไม่แน่ใจนักว่าความรู้สึกนี้คืออะไร...
เมื่อตอนมอต้นล่ะมั้ง ที่เขาได้พบกับมาคิชิมะ ยูสึเกะ เป็นครั้งแรก
ความประทับใจแรกพบนั้นแทบจะติดลบ ภาพของคนผมสีฉูดฉาดบาดตาที่บังอาจเด่นเกินหน้าหล่อๆของเขา แถมยังมาว่าที่คาดผมสุดเท่ของเขาซะเสียหาย คนแบบนี้ให้ตายยังไงก็จะไม่ขอญาติดีด้วยเด็ดขาด
แต่เดี๋ยวก่อนนะ... เขาขอถอนคำพูดก็แล้วกัน
เพราะไม่ว่าจะเป็นเส้นผมสีบาดตา หน้าตาบึ้งตึงไม่รับแขก หรือปากที่พูดน้อยแต่เหิมเกริมมาว่าสลีปปิ้งบิวตี้แห่งป่าอย่างเขา เมื่อยามที่เริ่มปั่นจักรยานแข่งกันอย่างสุดกำลัง สิ่งเหล่านี้ที่เขานึกเกลียดกลับดูสวยงามขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ
แม้คำว่าสวยจะไม่เหมาะกับเด็กผู้ชายก็เถอะ... แต่เขาก็พบว่าสามารถใช้คำๆนี้บรรยายถึงมาคิชิมะ ยูสึเกะได้อย่างไม่กระดากปากเลยสักนิด เช่นเดียวกับการเรียกชื่อเล่นที่เขาถือวิสาสะตั้งให้เอง
‘มากิจัง’ โทโดไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสามคำนี้จะเป็นคำที่เขาพูดบ่อยสุดๆในเวลาถัดมา ไม่ว่าจะเป็นตอนแข่งกัน ตอนพบหน้า ตอนคุยโทรศัพท์ หรือการส่งอีเมลล์หาอีกฝ่ายวันละหลายฉบับ ไม่รู้หรอกว่าทางนั้นจะรำคาญหรือเปล่า แต่เขาก็คิดว่าการที่ต้องเรียกหามากิจังอย่างน้อยสามเวลาหลังอาหารกลายเป็นเรื่องปกติของชีวิตไปเสียแล้ว
ตอนมอปลาย พวกเขาก็ยังคงเป็นคู่แข่งกันเหมือนเดิม...
คำว่าสวยคงไม่เพียงพอจะบรรยายถึงมากิจังในสายตาของเขาได้อีกต่อไป อีกฝ่ายไว้ผมยาว เส้นผมสีเขียวสลับแดงที่พริ้วไหวยามปะทะกับสายลม รับกับใบหน้าเรียวยาวเป็นอย่างดี ฝีมือของมากิจังพัฒนาขึ้นมาก ในตอนนี้โทโดแน่ใจแล้วว่า คู่แข่งที่ดีที่สุด ชั่วชีวิตของเขาแล้วนอกจากมาคิชิมะ ยูสึเกะ ก็จะไม่มีใครอีก
แต่ทุกอย่างไม่จบลงเพียงแค่นั้น... เขาเริ่มมารู้ตัวอีกทีก็ช่วงอินเตอร์ไฮตอนปีสาม โทโดรู้สึกว่ามากิจังงดงามมากขึ้น และมากขึ้น แปลกเหมือนกันที่คนภูมิใจในหน้าตาอันหล่อเหลาของตัวเองอย่างเขาจะคิดว่ามีคนอื่นที่งดงามมากกว่าตนเอง แปลกที่เขาชอบมองสีหน้าอันหลากหลายของมากิจัง แปลกที่รู้สึกหวงแหนรอยยิ้มอันเป็นธรรมชาติซึ่งเขาคนเดียวที่มีโอกาสได้เห็น แปลกที่เขาแทบทนไม่ไหวหากวันใดวันหนึ่งไม่ได้ยินเสียงหรือไม่ได้อ่านข้อความจากอีกฝ่าย
ยิ่งไปกว่านั้น... โทโดพบว่าเหตุผลที่เขาพยายามขึ้นไปบนยอดเขาให้เร็วกว่าใครๆนั้นเปลี่ยนไป เขาไม่ได้กระหายในชัยชนะมากเท่าแต่ก่อน ไม่ได้ทำเพื่อหวังเรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนๆ แต่เพราะเขารู้ว่า ยิ่งขึ้นไปให้เร็วที่สุดมากเท่าไร ก็จะได้อยู่กับมากิจังตามลำพังเร็วขึ้นเท่านั้น ในโลกส่วนตัวของพวกเขาที่ไม่มีใครสามารถสอดมือเข้ามายุ่งด้วยได้ ที่แห่งนั้นก็คือถนนสู่เส้นชัยในสเตจภูเขา
เขาลองเอาเรื่องเหล่านี้ไปโพสต์ถามในอินเตอร์เน็ท(แน่นอนว่าต้องใช้มุขเพื่อนสุดหล่อฝากมาถาม) และเหล่าสิราณีคีย์บอร์ดทั้งหลายต่างฟันธงฉับๆว่าเขากำลัง ‘รัก’ มากิจัง ไม่ใช่แค่รักธรรมดา แต่เป็นรักแบบโงหัวไม่ขึ้น
เอาล่ะ... มันน่าอายนิดหน่อยที่รู้ว่าตัวเองกำลังหลงรักมากิจัง(จริงๆแล้วโทโดหลังอ่านกระทู้เสร็จก็วิ่งไปกรีดร้องกับผนังบ้าน) ขั้นตอนต่อไปก็คือสารภาพรัก และเขาก็วางแผนอันสมบูรณ์แบบไว้แล้วว่าจะบอกความรู้สึกกับมากิจังในวันแข่งอินเตอร์ไฮวันสุดท้าย ช่างเป็นแผนการณ์ที่สมบูรณ์แบบชะมัด!
************
และแล้ววันนั้นก็มาถึง โทโดรู้สึกกระวนกระวายจนทำอะไรติดๆขัดๆไปหมด ทั้งการเดินเหม่อไปชนอาราคิตะที่กำลังดื่มน้ำอยู่จนอีกฝ่ายตบเขาแทบหัวทิ่ม หรือเดินเข้าเต้นท์ผิดโรงเรียนจนโดนด่าซะหูชา
แต่ก็นั่นแหละ... คนเคยเป็นแต่ฝ่ายถูกสารภาพรักนี่หน่า! พอจะต้องมาสารภาพเสียเองก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา!
เขานึกเข้าข้างตัวเองไว้ก่อน พยายามสงบสติอารมณ์ให้จดจ่อกับการแข่งขัน แม้ว่ามันจะยากเต็มทีก็เถอะ
สัมผัสที่หน้าผากทำให้เขาสะดุ้ง ดวงตาที่เหม่อลอยไปสุดขอบการมโนรีบกลับมาโฟกัสภาพตรงหน้า และพบว่าเป็นมากิจังที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“มะ... มากิจัง”โทโดทั้งตกใจและประหม่า ไม่คิดว่าคนที่กำลังคิดถึงอยู่จะโผล่มาตอนนี้ แถมยังอยู่ใกล้มากเสียจนได้กลิ่นจางๆจากแชมพูที่อีกฝ่ายใช้ประจำอีกด้วย...
“ก็สบายดีนี่หน่า”มากิจังบ่นพึมพำ แล้วเอามือออกจากหน้าผากของเขา ซึ่งโทโดก็แอบเสียดายอยู่เหมือนกัน เพราะปกติมากิจังน่ะหวงเนื้อหวงตัวจะตาย!
“อย่าเหม่อให้มันมาก วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะ”พีคสไปเดอร์แห่งโซโฮคุพูดกึ่งๆตำหนิ แล้วกำลังจะเดินกลับไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ แต่กลับถูกนักไต่เขาคนดังแห่งฮาโกเนะคว้ามือเอาไว้ก่อน
“มากิจัง!”เขาเรียก ความอบอุ่นจากมือของอีกฝ่ายทำให้โทโดรู้สึกหน้าร้อนผ่าว เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าแม้จะรู้จักกันมานาน แต่เขาแทบไม่เคยได้จับมือมากิจังแน่นๆแบบนี้เลย
“คือว่า... หลังแข่งเสร็จ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วยน่ะ”เขาพูด รู้สึกว่าความหน้าด้านที่เคยมีหายไปอย่างน่าสมเพชเมื่ออยู่ต่อหน้าสายตางงๆของคนตรงหน้า
มากิจังน่ารักเกินไปแล้ว!!
มาคิชิมะมองคู่แข่งของตนอย่างสงสัย วันนี้อีกฝ่ายดูแปลกไปจากเดิมนิดหน่อย ตอนแรกเขาเป็นห่วงว่าจะไม่สบาย แต่ก็ไม่ใช่... อาจเพราะว่าวันนี้เป็นการแข่งอย่างเป็นทางการครั้งสุดท้ายละมั้ง
เขาไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่พยัคหน้านิดหน่อยเป็นเชิงว่าตกลง แล้วเดินกลับไปสมทบกับเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ
โทโดมองตามเส้นผมสีแปลกนั้น ก่อนจะก้มลงมองมือของตัวเอง ดวงตาทอประกายระยับ
วันนี้เขาจะเลื่อนขั้นตัวเองจากคู่แข่งเป็นอย่างอื่นให้ได้!
*************
การแข่งขันอันดุเดือดยาวนานกว่าสามวันจบลงแล้ว... มีผู้ชนะก็ต้องมีผู้พ่ายแพ้ แต่ทุกคนก็มีน้ำใจนักกีฬามากพอ ระหว่างโซโฮคุและฮาโกเนะ เป็นศตรูขยี้กันแทบแหลกสลายในสนาม แต่นอกสนามก็อาจเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนที่มีความจริงใจต่อกันในฐานะนักกีฬา
ผลการแข่งขันนั้นน่าดีใจ แต่โทโดกลับรู้สึกตื่นเต้นกับเรื่องต่อจากนี้ไปมากกว่า เขาปลีกตัวมาจากคนอื่นอย่างเงียบๆ รีบเดินจะเกือบจะวิ่งไปยังที่ที่เขานัดมากิจังเอาไว้
“ช้า”คนที่มาถึงก่อนบน ใบหน้านั้นยังคงบึ้งตึงเหมือนเดิม ซึ่งโทโดชินซะแล้ว
“ขอโทษทีๆ มากิจังก็รู้นี่หน่าว่าฉันมันคนดัง”ดูท่าว่าเขาจะพูดจาอวดตัวเองไปนิด อีกฝ่ายจึงได้กรอกตาไปทีหนึ่งอย่างเอือมระอา
“แล้วนี่มีอะไรจะพูด”
คำถามตรงๆไม่มีอ้อมค้อมของมากิจังทำให้เขารู้สึกประหม่า แม้จะซักซ้อมหน้ากระจกประหนึ่งการ์ตูนสาวน้อยมาแล้วก็เถอะ แต่มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยในสถาณการณ์จริงๆที่มีมากิจังจ้องมองมาแบบนี้
“เออ... คือว่า... คือว่าฉันน่ะ... มากิจัง... คือ...”คำพูดต่างๆนาๆที่เคยร่างเอาไว้ยาวเหยียดในหัวหายวับไปในพริบตา ได้แต่อึกๆอักๆ ยิ่งพูดไม่ออกก็ยิ่งร้อนใจ
ให้ตายสิ! นี่มันไม่ใช่การสารภาพรักสุดเท่าที่เขาคิดไว้เลยสักนิด!
“ตกลงมีอะไรจะพูด ถ้ายังนึกไม่ออก งั้นฉันพูดก่อนนะ”อีกฝ่ายดูเหมือนจะใกล้หมดความอดทนเต็มที โทโดจึงรีบพยัคหน้ารัวๆ
“มากิจังมีอะไรจะบอกกับฉันด้วยหรอ! พูดเลยๆ!”เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าตอนที่ฮาร์ทเรตเข้าสู่ขีดอันตรายเวลาสปริ้นท์เกินกำลังเสียอีก
อา... อย่าบอกนะว่ามากิจังก็ชอบเราเหมือนกัน!
ถึงจะเป็นแค่การมโนล้วนๆ แต่โทโดก็รู้สึกเขินจนแทบอยากเอาหน้าซุกต้นไม้
มาคิชิมะถอนหายใจให้กับท่าทางประหลาดๆของอีกฝ่าย นึกทบทวนเรื่องที่จะพูดอยู่สักครู่ ก่อนจะเริ่มเอ่ยปาก
“หลายปีที่ผ่านมา ฉันกับนายแข่งกันตลอด แต่ละครั้งเป็นการแข่งที่ดีมากจริงๆ”เขาพูด รู้สึกขัดเขินนิดหน่อยจนต้องเว้นจังหวะ เขาไม่ใช่คนพูดเก่งอยู่แล้ว การจะพูดสื่อความรู้สึกออกไปแบบนี้ยิ่งยากเข้าไปใหญ่
“แม้ว่าบางครั้งนายจะน่ารำคาญไปบ้าง เสียงดังำปหน่อย และยังหลงตัวเองสุดๆด้วยก็เถอะ แต่ฉันต้องขอบคุณนาย ที่คอยเป็นห่วงฉันยิ่งกว่าแม่แบบนี้”
ประโยคยาวๆที่พบเห็นไม่บ่อยนักของมากิจังทำให้โทโดไม่รู้ว่าควรร้องไห้ด้วยความซาบซึ้งหรือเสียใจดี เพราะเนื้อหากว่าครึ่งมันด่าเขาชัดๆ!
...มากิจังใจร้ายที่สุด!...
ในขณะที่กำลังตัดพอต่อว่าอีกฝ่ายในใจอยู่นั้น ร่างเพรียวก็เดินเข้ามาหา ใบหน้าเรียวขยับเข้ามาใกล้มากเสียจนโทโดแทบลืมหายใจ มากิจังยื่นหน้าผ่านเขาไป เรียวปากบางนั้นอยู่ใกล้กับหูของเขา พร้อมประโยคสั้นๆที่กระซิบแผ่วเบา
“ฉันดีใจที่ได้รู้จักนายนะ จินปาจิ”
ประโยคนั้นพูดอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะถอยห่างออกไป ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่ออย่างน่ามองเป็นที่สุด โทโดรู้สึกอยากตบหน้าตัวเองแรงๆหนึ่งทีเพื่อให้รู้ว่าตัวเองตื่นอยู่ แต่ก็นึกขึ้นมาได้ว่าถ้าทำแบบนั้นจะเสียบรรยากาศหมด
“อะ...อะไรเล่า อย่ามองฉันแบบนั้นนะ!”พีคสไปเดอร์ที่รู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำเรื่องน่าอับอายที่สุดในชีวิตไปหมาดๆตวาดแก้เขิน ไม่รู้จะจัดการกับใบหน้าที่ร้อนผ่าวนี้อย่างไรดี ทั้งมือไม้ก็ดูเกะกะไปเสียหมด
“ก็มากิจังน่ารักมากเลยนี่หน่า! ฉันดีใจมากๆเลยนะ!”แม้ไม่มีกระจก แต่โทโดก็พนันได้เลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยิ้มกว้างจนปากแทบฉีก เขารีบคว้ามืออีกฝ่ายมากุมไว้ มือของมากิจังนั้นประกอบด้วยนิ้วมืออันเรียวยาว ความนุ่มนิ่มจากผิวเนื้อและความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น แรงขึ้น
“ฉันก็ดีใจมากๆเลยนะ การได้พบกับมากิจังเป็นเรื่องที่วิเศษที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของฉันเลย! ขอบคุณมากิจังที่ปั่นจักรยาน ขอบคุณที่เป็นไคลม์บิ้ง ขอบคุณที่มากิจังยอมรับฉันเป็นคู่แข่ง ขอบคุณทุกๆอย่างที่ทำให้ฉันได้พบกับมากิจัง ฉันมีความสุขมากจริงๆ”
มาคิชิมะมองโทโด มองดูดวงตาพราวระยับของอีกฝ่าย แล้วจึงยิ้มออกมาบางๆ
จะดีแค่ไหนกันนะ หากว่าเราสามารถเป็นเด็กมอปลายไปได้ตลอดกาล...
“โทโด มีอีกเรื่อง... ที่ต้องบอก”เขาพูด ทั้งๆที่เตรียมคำพูดมาอย่างดี แต่เมื่อต้องเอ่ยออกไปจริงๆ กลับรู้สึกว่าริมฝีปากหนักกว่าปกติ
“พูดเลยมากิจัง! ฉันรอฟังอยู่นะ!”
คนผมสีแปลกนิ่งไปสักพัก พยายามเรียงลำดับคำพูดให้เรียบง่ายได้ใจความที่สุดว่ายากแล้ว การจะเค้นเสียงพูดออกมายิ่งยากกว่า
เขาไม่รู้ว่าโทโดจะรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เขาจะบอก... แต่เขาสังหรณ์ใจไม่ดีเอาซะเลย
“ฉันจะไปเรียนต่อที่อังกฤษ”
ประโยคสั้นๆนั้นเหมือนน้ำเย็นที่สาดเข้าสู่ใบหน้าอย่างจัง โทโดรู้สึกเย็นไปทั้งตัว กระทั่งมือที่กุมอยู่หรือหัวใจที่เคยเต้นแรงบัดนี้กลับเย็นเฉียบราวกับไม่มีชีวิต รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าเลือนหายไปในทันที
ความเปลี่ยนแปลงนั้นชัดเจนจนอีกฝ่ายสังเกตุได้ มาคิชิมะพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็นึกคำพูดไม่ออก ยิ่งเห็นแววตาเย็นเยียบของอีกฝ่ายแล้ว ยิ่งทำให้เสียงต่างๆกลืนหายไปในลำคอ
“ไปเรียนต่อหรอ...”โทโดทวน เขาปล่อยมือจากอีกฝ่าย จ้องมองดวงตาสีฟ้าเบื้องหน้าอย่างโกรธเคือง
“ดีนี่... เพิ่งมาบอกเอาตอนนี้ ฉันควรจะดีใจมั้ยที่อย่างน้อยมากิจังก็บอกฉันน่ะ”
ความรู้สึกมากมายปนเปอยู่ในใจ ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกด้านลบทั้งสิ้น
ผิดหวัง... ใช่ เขาผิดหวัง ทั้งๆที่เขาตั้งใจจะสารภาพความรู้สึกของตัวเองในวันนี้แท้ๆ
เสียใจ... ที่ทั้งๆที่เขารักมากิจังมาก เห็นอีกฝ่ายสำคัญกว่าใครๆ แต่มากิจังเพิ่งมาบอกว่าจะไปเรียนต่อเอาวันนี้ ในใจของอีกฝ่าย เขาเป็นอะไรกันแน่ ไม่ได้มีความสำคัญเลยใช่มั้ย...
ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลรวมตัวกันเป็นความเจ็บปวด ปวดไปทั้งใจจนอยากควักออกมาเขวี้ยงทิ้ง...
“มันไม่ใช่แบบนั้น...”
“ไม่ใช่แบบนั้น?”เขารีบพูดแทรกโดยไม่รอฟังคำแก้ตัวใดๆ เขาไม่อยากจะฟัง... “ไม่ใช่แบบนั้นแล้วจะแบบไหน!? ทั้งๆที่ฉันเห็นว่ามากิจังสำคัญกับฉันมากขนาดนี้ แต่เรื่องไปเรียนต่ออีกซีกโลกนึงนั่นมันอะไรกัน! มาบอกเอาตอนนี้เพื่ออะไรน่ะมากิจัง จะให้ฉันยิ้มแล้วบอกว่าโชคดีจังเลยนะ ได้ไปเรียนต่อแบบนี้ อย่างนั้นน่ะหรอ?! มากิจังคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นได้หรอ!?”
ถ้อยคำต่างๆหลั่งไหลออกมาเองจากความรู้สึกในอก โทโดแทบไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ จะให้เขาปั้นหน้ายิ้มแล้วมองดูอีกฝ่ายจากไปอยู่ในที่ไกลๆ จะให้เขาทำแบบนั้นได้ยังไงกัน! มันกระทันหันเกินไป และเขายอมรับมันไม่ได้!
คนถูกตวาดใส่กำมือแน่นจนสั่นระริก เช่นเดียวกับดวงตาสีฟ้า เขาไม่เคยคิดว่าจะออกมาเป็นแบบนี้ โทโด จินปาจิที่เขารู้จักไม่เคยมีสีหน้าที่น่ากลัวแบบนี้มาก่อน...
“ฉันเคยพูดเล่นๆว่ามากิจังใจร้าย แต่รู้อะไรมั้ย มันไม่ใช่แค่เรื่องล้อเล่นแล้วล่ะ! ดี... ไปเลย ไปโดยไม่ต้องมาบอกฉันก็ได้! นั่นแหละถึงสมเป็นคนใจดำอย่างมากิจัง!!”
มาถึงตรงนี้ เส้นความอดทนของพีคสไปเดอร์ขาดผึ่ง เสียงพูดที่ปกติแผ่วเบาตอนนี้ตวาดดังลั่น “เป็นอะไรของนายน่ะจินปาจิ! ถ้าไม่อยากให้ฉันไปก็พูดกันดีๆ ไม่ใช่มาประชดกันแบบนี้!”
“ใครว่าฉันประชด”โทโดเอ่ยเสียงเย็น และกว่าจะมีสติรับรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง ความรู้สึกน้อยใจก็ผลักดันให้เขาพูดประโยคที่ทำให้เขาต้องมานั่งเสียใจไปตลอดชีวิต
“รู้อะไรมั้ยมากิจัง ฉันไม่สนหรอกว่ามากิจังจะไปเรียนต่อที่ไหน... อยากไปก็ไปเลยสิ! ไม่ต้องมาบอกลาด้วย เพราะฉันไม่แคร์เลยสักนิด! โชคดีนะ!”
จบประโยคนั้น โทโดก็รู้สึกถึงความแสบร้อนที่ข้างแก้ม... และต้นเหตุก็ไม่ใช่อะไร แต่คือฝ่ามือเรียวสวยของคนตรงหน้า
นี่เป็นการทำร้ายร่างกายคนอื่นครั้งแรกในชีวิตของมาคิชิมะ ยูสึเกะ และยังเป็นครั้งแรกที่เขาร้องไห้ต่อหน้าคนอื่น ขอบตานั้นร้อนผ่าว และเมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็พบว่าตัวเองกำลังร้องไห้...
ทั้งๆที่ถ้าหากนายบอกว่าไม่อยากให้ฉันไปแค่คำเดียว ฉันก็จะอยู่ที่นี่แล้วแท้ๆ...
เขาหันหน้าหนี แล้วรีบพาตัวเองออกไปจากตนนั้นให้เร็วที่สุด เพราะเขารู้ตัวดีว่า หากยืนยู่ตรงนั้นนานกว่านี้อีกหน่อย เขาคงไม่มีแรกจะก้าวขาแน่ๆ...
และเมื่อพ้นจากสายตาของอีกฝ่าย ร่างเพรียวก็ทรุดล้มลงกับพื้น เรี่ยวแรงต่างๆหายไปจนหมด กระทั่งเสียงก็ยังหายไปด้วย ดังนั้นจึงมีเพียงน้ำตาหยดแล้วหยดเล่าที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นราวกับสายฝน....
...นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลย...
************
โทโดรู้สึกเหมือนทำวิญญาณหลุดหายไป... สภาพของเขาหลังจากทะเลาะกับมากิจังคงแย่เอามากๆถึงขนาดที่เพื่อนร่วมทีมไม่ปริปากถามอะไรจากเขาสักคำ เพียงแต่ไล่ให้รีบกลับไปพักเท่านั้น
เขาล้มตัวลงบนเตียง ซุกหน้าลงกับหมอน ปล่อยให้น้ำตาไหลรินจนปลอกหมอนสีขาวสะอาดนั้นเปียกชื้น นานแล้วที่เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมาแบบนี้ แต่นั่นยังเทียบไม่ได้กับความเจ็บปวดภายในอก
ทำไมล่ะมากิจัง... ทำไมต้องไปด้วย... ทำไมถึงเพิ่งมาบอกเอาตอนนี้...
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้เมื่อตอนที่เขาลุกขึ้นจากเตียงเพราะรู้สึกว่าตัวเองช่างน่าสมเพชเกินทางทน เขาได้แต่ร้องไห้ แล้วก็หลับ ตื่นมาก็ร้องไห้อีก สุดท้ายจึงตัดสินใจเดินเข้าไปอาบน้ำเพื่อให้หัวเย็นลง
สายน้ำเย็นๆไหลผ่านเส้นผมและผิวกาย ชะล้างคราบน้ำตาเหนียวๆบนใบหน้า โทโดยืนตากฝักบัวจนแทบจะไปสมัครเป็นพระเอกเอ็มวีได้ และเขาก็ได้พบว่าการมายืนเอาน้ำรดหัวแบบนี้ช่วยสงบสติอารมณ์ได้มากทีเดียว
และเมื่อสติกลับมาแจ่มชัด เขาก็ทบมวนทุกอย่างอีกครั้ง และพบว่าตัวเองช่างโง่สิ้นดี
โง่... ทั้งๆที่รู้ดีว่ามากิจังเป็นคนพูดไม่เก่ง กว่าที่อีกฝ่ายจะมาบอกเรื่องไปเรียนต่อกับเขาได้นั้นคงต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว นิสัยมากิจังไม่ใช่คนที่ป่าวประกาศไปทั่ว บางทีเขาอาจเป็นคนแรกด้วยซ้ำที่ได้รู้ว่ามากิจังจะไปเรียนต่อ
โง่... ที่ไม่ยอมคิดให้ดี ปล่อยให้ความน้อยใจควบคุมสติจนพูดอะไรแรงๆออกไป ทั้งยังขี้ขลาดเกินกว่าจะยอมรับความจริงและบอกออกไปว่าเขารักมากิจังมาแค่ไหน ทั้งๆที่ควรจะดีใจที่มากิจังได้โอกาสไปเรียนต่อในที่ดีๆแท้ๆ
และที่โง่ที่สุด... คือการที่เขาทำให้มากิจังต้องร้องไห้
มือขาวเอื้อมไปปิดน้ำ ตัดสินใจได้ว่าตัวเองควรไปพบมากิจังเดี๋ยวนี้ เขาเดินออกจากห้องน้ำ เช็ดตัวอย่างลวกๆพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเครื่อง มิสคอลจากเพื่อนร่วมทีมเกือบยี่สิบสายไม่ได้ทำให้เขาตกใจเท่ากับวันที่ที่แสดงอยู่บนจอ
จากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วสามวัน... ให้ตายเถอะ เขาอยู่ไปได้ยังไงกับสภาพแบบนี้ตั้งสามวัน
โทโดหยิบสายชาร์จมาต่อกับโทรศัพท์ พร้อมนั่งลงบนเตียง นึกคำพูดต่างๆเพื่อไปเผชิญหน้ากับมากิจัง ก่อนจะถอนหายใจออกมาหนักๆเมื่อพบว่าตัวเองไม่กล้าพอจะไปพบอีกฝ่ายในตอนนี้
ไว้รอพรุ่งนี้นะ... ความผิดพลาดทั้งหมด เขาจะแก้ไขมันเอง
โทโดคิด แล้วจึงตัดสินใจหาอะไรมากินให้เป็นเรื่องเป็นราวหลังจากอดอาหารมานานกว่าสามวัน
โดยที่ตอนนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยว่า มันไม่เคยมีวันพรุ่งนี้รอเขาอยู่...
มากิจังย้ายไปแล้ว... โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าอีกฝ่ายไปที่ไหน...
**************************
ดวงตาสีฟ้ามองออกไปนอกหน้าต่างเล็กๆอย่างเหม่อลอย ภาพของพื้นดินที่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาได้กลับมาถึงบ้านเกิดที่จากไปนานถึงห้าปีแล้ว และนั่นทำให้ความทรงจำเก่าๆสมัยเรียนมัธยมปลายหวนกลับมาเป็นฉากๆ
มาคิชิมะ ยูสึเกะ ไปเรียนต่อที่อังกฤษห้าปี และแทบไม่ได้กลับมาญี่ปุ่นเลย...
เขามักอ้างว่าขี้เกียจนั่งเครื่องบินนานๆ แต่ลึกๆแล้ว เขารู้ดีกว่าใครว่า เหตุผลแท้จริงก็คือเขา ‘กลัว’ ที่จะกลับมามากกว่า
และเมื่อถูกคนข้างกายสะกิดเข้าเบาๆ มาคิชิมะก็ดึงสติตัวเองกลับมา เอื้อมมือไปหยิบกระเป๋าแล้วค่อยๆเดินลงจากเครื่อง
สนามบินฮาเนดะยังคงเต็มไปด้วยผู้คน... ผู้โดยสารและพนักงานกราวด์เดินกันขวั่กไขว่ท่ามกลางเสียงประชาสัมพันธ์ เป็นภาพเดิมๆของสนามบินทั่วไป ไม่ว่ากี่ปีก็ไม่เปลี่ยน
ร่างสูงโปร่งเดินคิดอะไรในใจเรื่อยเปื่อย ทั้งเรื่องที่จะกลับไปเยี่ยมโรงเรียนดีหรือไม่ และจะติดต่อกับเพื่อนร่วมทีมยังไงดี ตอนที่เขาไปเรียนต่อก็แทบไม่ได้ติดต่อกับใครเลย ไม่รู้ตอนนี้แต่ละคนจะเป็นยังไงบ้าง
และยังมีเรื่องของคนๆนั้น...
และเพราะไม่ได้สนใจมองทางเท่าไหร่ ทำให้เขาเดินชนกับคนอื่นอย่างแรง ร่างผอมนั้นเซไปด้านหลัง ยังดีที่อีกฝ่ายคว้ามือเขาไว้ได้ มาคิชิมะพึมพำคำขอบคุณเสียงเบา ครั้นจะเดินต่อก็ต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อพบว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปล่อยมือเขา
“ขอโทษนะครับ คุณ...”คำพูดพลันกลืนหายเขาไปในลำคอ ดวงตาเรียวรีนั้นเบิกกว้าง
ให้ตายสิ...
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่มีวันเหม่อขณะเดินอีกเป็นอันขาด!
เส้นผมสีดำ... ใบหน้าคมคายที่ถึงไม่อยากยอมรับ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าดูดีจริงๆ และยังที่คาดผมสีขาวเสร่อๆแบบนั้น ไม่ใช่โทโด จินปาจิ แล้วจะเป็นใครได้...
“มากิจัง?”อีกฝ่ายเรียก น้ำเสียงคล้ายไม่แน่ใจนัก ดวงตาของอีกฝ่ายมองสำรวจเขา และนั่นทำให้เขารู้สึกอึดอัด
คนที่ไม่อยากเผชิญหน้าที่สุด ทำไมถึงได้มาเจอกันตั้งแต่เพิ่งลงจากเครื่องด้วย...
มาคิชิมะรู้ดีว่าตัวเองเป็นคนพูดไม่เก่งอยู่แล้ว ยิ่งกับคนตรงหน้า ทำให้หลังจากพยายามอย่างที่สุดก็ได้แค่เรียกชื่ออีกฝ่ายเบาๆ
“โทโด...”
************
โทโด จินปาจิบังเอิญต้องมาทำธุระที่สนามบิน และเขาก็รู้สึกขอบคุณความบังเอิญนี้จริงๆที่ทำให้เขาได้มาพบกับมาคิชิมะ ยูสึเกะ...
เขาเดินชนกับร่างผอมบางที่กำลังเหม่อ มือของเขาคว้าข้อมืออีกฝ่ายไว้โดยอัตโนมัติ และยิ่งตกใจเมื่อพบว่าคนๆนั้นคือใคร...
มากิจังที่ไม่ได้เจอมาห้าปีเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เรือนผมสีแปลกเป็นเอกลักษณ์นั้นยังคงยาวสยาย มันถูกรวบสูงจนเห็นลำคอขาวผ่อง ผิวที่ขาวอยู่แล้วดูขาวซีดลงกว่าเดิม อาจเป็นเพราะว่าอังกฤษเป็นเมืองหนาว ไม่ก็เพราะอีกฝ่ายไม่ได้ปั่นจักรยานตากแดดทุกวันเหมือนเมื่อก่อนแล้ว โครงหน้าดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แต่คิ้วตกๆนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
และเมื่อเสียงแผ่วๆนั้นเรียกชื่อเขา โทโดไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ว่าตัวเองดีใจแค่ไหน ดีใจมากจนกระทั่งลืมเรื่องราวก่อนจากกันไปเสียสนิท และเขาก็แทบรวบอีกฝ่ายมากอดแน่นๆ หากไม่ใช่เพราะมีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“Yuusuke”สำเนียงญี่ปุ่นแปร่งๆนั้นเอ่ยชื่อจริงของมากิจัง ต้นเสียงคือผู้ชายคนหนึ่ง ผมสีน้ำตาลทอง ดวงตาสีน้ำเงิน จากลักษณะและสำเนียงการพูด บอกชัดเจนว่าอีกฝ่ายเป็นชาวต่างชาติ
“You’re late Charles”มากิจังหันไปพูดกับคนคนนั้นด้วยเสียงเอือมๆ อีกฝ่ายเดินเข้ามาใกล้ และวางมือพาดบ่าของมากิจังอย่างสนิทสนม
ท่าทางของทั้งสองคนนั้นทำให้โทโดรู้สึกเหมือนมีใครโยนหินหนักๆลงบนหัว สมองพลันอื้ออึนไปหมด แน่ล่ะ... จากท่าทางสนิทสนมกันแบบนั้น ไอ้ฝรั่งคนนี้อาจเป็นเพื่อนสมัยเรียนที่อังกฤษของมากิจัง อาจเป็นรูมเมท หรืออะไรประมาณนั้น ซึ่งหากว่ามันเป็นแค่นั้นจริงๆเขาจะไม่ตกใจขนาดนี้เลย... ไม่เลย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาสังเกตเห็น แหวนทองเกลี้ยงๆที่นิ้วนางของมากิจังกับอีกฝ่ายเหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว...
“คุณเป็นเพื่อนกับยูสึเกะหรอ”และเหมือนกับเพิ่งสังเกตุได้ว่าเขายื่นอยู่ตรงนี้ ชาวต่างชาติคนนั้นหันมาถามเขาด้วยภาษาญี่ปุ่นสำเนียงทุเรศๆ เอาเถอะ ความจริงมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ต้องไม่ใช่ในความคิดของโทโดซึ่งไม่ชอบหน้าอีกฝ่ายตั้งแต่แรกเห็น
“ใช่”เขาตอบเสียงเย็น ทั้งยังทำเป็นมองไม่เห็นมือที่ยื่นมาด้านหน้าของอีกฝ่าย มาคิชิมะเห็นว่าบรรยากาศชักจะไม่ดี ปากกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ก็ยังไม่ทันได้พูด
“ผมชื่อชาร์ล ภาษาญี่ปุ่นผมไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยินดีที่ได้พบนะครับ”ชาร์ลยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าขณะที่ลดมือกลับมาไว้ข้างลำตัว ไม่นึกใส่ใจกับกริยาที่ค่อนข้างหยาบคายของอีกฝ่าย ดวงตาสีน้ำเงินหันกลับมามองคนผมเขียว แล้วจึงเอ่ย
“Is he Toudou right? You should talk with him.”
“No…”มาคิชิมะปฏิเสธแทบจะในทันที เขายังไม่พร้อมจะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น!
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ที่ควรจะเป็นน่ะคือลงจากเครื่องบินแล้วตรงดิ่งกลับไปนอนกลิ้งที่บ้านต่างหาก! การมาเจอกับโทโดตอนนี้เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมาย และมันก็แย่สุดๆ!
โทโดรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกิน และความรู้สึกของการเป็นส่วนเกินก็ขมขื่นจนอยากเดินหนีไปให้พ้นๆ แต่ขากลับก้าวไม่ออก
เขาอยากมองหน้ามากิจังให้นานกว่านี้... อยากพูดคุยกันให้มากกว่านี้...
ความรู้สึกสองอย่างที่ย้อนแย้งกันในใจทำให้เขาแทบเสียสติ ชั่วชีวิตนี้โทโด จินปาจิ ไม่เคยต้องเป็นส่วนเกินนอกวงสนทนา และยิ่งแค้นเคืองที่คนซึ่งกำลังเมินเขาคือมาคิชิมะ ยูสึเกะ...
แม้ว่ามาคิชิมะจะพยายามปฏิเสธเพียงไร ที่ชาร์ลทำก็เพียงแค่หัวเราะเบาๆ บอกว่าตัวเองอยากไปเดินเล่นรอบๆนี้สักหน่อย จากนั้นลูบหัวเขาทีหนึ่งแล้วเดินหนีไปเลย
ไอ้เจ้าบ้า! ที่สนามบินมีอะไรน่าเดินเล่นกัน!!
มาคิชิมะก่นด่าชาร์ลอยู่ในใจ แล้วจึงจำใจหันมาเผชิญหน้ากับความเป็นจริง
“งะ...ไง โทโด ไม่ได้เจอกันนานนะ”ประโยคทักทายโง่ๆเป็นสิ่งเดียวที่เขาคิดออก ในใจยิ่งรู้สึกเหือดแห้งเมื่อพบว่าสีหน้าของโทโดบึ้งสนิท
“มากิจัง... คนนั้นใคร”โทโดไม่ได้ทักกลับอย่างที่ควรเป็น แต่กลับถามไปถึงคนที่ตอนนี้เดินห่างไปแล้ว
“อ่า... คนนั้น ชื่อชาร์ล เจอกันที่มหาลัย”
โทโดมองท่าทางอึกอักและสีหน้าลำบากใจของมาคิชิมะ แล้วจึงถอนหายใจออกมา พยายามปรับอารมณ์ให้เย็นลง
“เราไปหาที่นั่งกันก่อนเถอะ”
***********
เขากับมากิจังนั่งลงที่คอฟฟี่ชอปแห่งหนึ่งใกล้ๆสนามบิน ระหว่างที่มากิจังหันไปสั่งเครื่องดื่ม เป็นโอกาสดีที่ทำให้โทโดได้มองหน้าอีกฝ่ายชัดๆ
เสี้ยวหน้าด้านข้าง นัยน์ตาเรียวคม ไฝที่ใต้นัยน์ตาและมุมปาก ลาดไหล่ที่แบบบางและไหปลาร้านูนชัด เส้นผมบางส่วนคลอเคลียอยู่ตรงข้างแก้ม เป็นใบหน้าที่เขาเคยได้มองอยู่บ่อยๆ และแม้จะเคยเห็นมาหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่คิดว่าจะมีใบหน้าของใครที่งดงามเกินไปกว่า...
“มากิจัง ทำไมไม่ติดต่อมาบ้างเลยล่ะ”โทโดเอ่ยปากขึ้นก่อน เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ถนัดเป็นฝ่ายพูด
“ใครจะกล้าล่ะ”มาคิชิมะพึมพำเบาๆ สำหรับโทโด เรื่องเมื่อห้าปีก่อนอาจลืมไปแล้วหรือทำเป็นไม่สนใจก็ได้ แต่สำหรับเขานั้นมันไม่ง่ายเลย แค่จะมองหน้าอีกฝ่ายตรงๆแบบเมื่อก่อนยังรู้สึกว่าทำได้ไม่ค่อยสนิทใจ
โทโดได้ยินดังนั้นแล้วก็ชะงักไปชั่วครู่ ใช่ว่าเขาจะลืมว่าตอนจากกันนั้นจากกันแบบไม่ดีนัก เรื่องนั้นกลายมาเป็นฝันร้ายที่ทำให้เขาสะดุ้งตื่นมากลางดึก และหากย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่มีวันทำแบบนั้นเลย...
มากิจังไม่รู้หรอก ห้าปืที่ผ่านมานั้นเขามองโทรศัพท์ทุกวัน การเฝ้ารออีเมลล์ที่ไม่มีวันมาถึงทรมาณแค่ไหนมันทรมาณมากแค่ไหน...
“นี่... มากิจัง”เขาเรียก มองสบดวงตาสีน้ำเงิน แล้วจึงเอ่ยต่อ “คิดถึงนะ...”
ประโยคตรงๆของโทโดทำให้มาคิชิมะแทบสำลักกาแฟ ใบหน้าขาวซีดคล้ายมีริ้วสีแดงพาดผ่านจางๆ
“พูดอะไรบ้าๆ!”
เขาว่า แล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง โทโดก็ยังคงเป็นโทโด... พูดประโยคน่าอายออกมาได้คล่องปากเกินไป
เรื่องเก่าๆสมัยที่ยังเป็นคู่แข่งกันย้อนกลับมา ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้ม แม้จะเป็นรอยยิ้มบางๆที่แทบมองไม่เห็นก็เถอะ
“มากิจังยิ้มแล้ว”โทโดหัวเราะร่า “ฉันไม่ได้พูดบ้าๆสักหน่อย ก็คิดถึงจริงๆนี่ คิดถึงเส้นผมของมากิจัง คิดถึงน้ำเสียง สีหน้า รอยยิ้ม ฉันคิดถึงมากิจังมากๆเลยนะ”
“จินปาจิ!”มาคิชิมะตวาดอีกฝ่ายเบาๆ ดวงตาหันมองไปรอบๆเมื่อพบว่าพวกเขาเริ่มเป็นจุดสนใจ จากนั้นก็ก้มหน้าบ่นพึมพำ “พูดดังเกินไปแล้ว”
“ก็ฉันดีใจมากเลยนี่หน่า”อดีตไคลม์บิ้งคนดังแห่งฮาโกเนะยิ้มกว้าง “ไม่ได้เจอมากิจังมาตั้งห้าปีเลยนะ ปล่อยให้ฉันคิดถึงอยู่คนเดียวแบบนี้ใจร้ายชะมัดเลย”
คำพูดตัดพ้อเหล่านั้นทำให้มาคิชิมะรู้สึกหน้าร้อนวูบ สาบานกับตัวเองในใจว่าให้ตายยังไงก็จะไม่มีวันบอกโทโดว่าเขาเองก็คิดถึงอีกฝ่ายเหมือนกัน
“นายเป็นยังไงบ้าง”เขารับเปลี่ยนเรื่องแก้เขิน ทั้งยังรู้สึกโล่งอกที่บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่สลายไปหมด ราวกับว่าพวกเขากลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีกครั้ง
นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้นั่งคุยกับโทโดแบบนี้...
“ก็เรื่อยๆแหละ ยังคงหล่อและแฟนคลับเยอะเหมือนเดิม”คนถูกถามกล่าวติดตลก ทั้งยังทำหน้าตาภูมิใจสุดๆ ซึ่งในสายตาคนมองมันช่างกวนบาทายิ่งนัก
“มากิจังล่ะ อยู่ที่โน่นเป็นยังไงบ้าง ยังปั่นจักรยานอยู่รึเปล่า”เขาถามกลับ
“ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ส่วนจักรยานก็ยังขี่อยู่ แต่ไม่ค่อยได้ไต่เขาแล้ว”
จักรยานเป็นเหมือนปัจจัยหนึ่งในชีวิตเขา... ถ้าใครเคยได้ลองปั่นดูสักครั้ง ก็ยากที่จะลืมความรู้สึกตอนที่ทะยานไปเบื้องหน้าโดยอาศัยกำลังขาและสายลม ความรู้สึกหนักอึ้งท้อแท้ในตอนที่เจอลมต้าน ความปิติยินดีและทิวทัศน์อันงดงามเมื่อเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก กระทั่งน้ำตาของความเจ็บใจเมื่อพ่ายแพ้...
แน่นอนว่าเมื่อเข้ามหาลัย เวลาที่จะได้ปั่นก็น้อยลง และอีกเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ได้จับจักรยานบ่อยนัก เพราะเขามักเผลอหันไปมองข้างๆเสมอ และรู้สึกแย่ที่ลึกๆแล้ว เขาหวังว่าที่ข้างๆเขา โทโด จินปาจิ จะอยู่ตรงนั้น...
“ถ้าได้แข่งกันอีกสักครั้งก็ดีนะ นี่... หลังจากนี้มากิจังว่างบ้างมั้ย ฉันเองก็ไม่ได้แข่งกับใครมานานแล้ว ยิ่งได้เจอกับมากิจังอีกครั้ง ฉันก็ยิ่งอยากแข่งด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน”
ประโยคนั้นทำให้มาคิชิมะขมวดคิ้วเข้าหากัน สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นลำบากใจ ก่อนจะเอ่ยอย่างติดขัด
“ช่วงนี้... ไม่ได้หรอก ฉันกลับญี่ปุ่นมาเตรียมเรื่องหลายๆอย่าง... ก็เลย...”
โทโดมองคนตรงหน้า อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวัง ยิ่งเห็นท่าทางก้มหน้าต่ำและหมุนแหวนที่นิ้วไปมา ก็เริ่มเดาเรื่องได้ลางๆ และนั่นทำให้ใจของเขายิ่งรู้สึกเจ็บแปลบ
“ไม่เป็นไรหรอกน่า เรายังจะได้เจอกันบ่อยๆนี่เนอะ มากิจัง”เขาพูด แสร้งทำเป็นร่าเริงทั้งๆที่ขอบตาร้อนผ่าว โทโดกรอกตาขึ้นฟ้าทีหนึ่ง แล้วปั้นรอยยิ้มที่คิดว่าเป็นปกติที่สุด
“คนเมื่อกี๊... ชาร์ลสินะ ดูเป็นคนดีนะมากิจัง เหมาะกันมากๆเลยล่ะ”
พูดออกไปแล้ว... คำโกหกคำโต
ที่จริงเขาอยากจะพูดว่าไอ้ชาร์ลห่าเหวนั่นมันเป็นใคร... อยากจะตะโกนดังๆว่าไม่มีใครเหมาะสมไปกับมากิจังยิ่งไปกว่าเขาอีกแล้ว ซึ่งถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน เขาก็คงอาละวาดไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาโตขึ้น มีความเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะเก็บกลั้นความรู้สึก
แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน...
....พระเจ้าครับ ถ้าท่านมีตัวตนอยู่จริงก็อย่าได้เสกฟ้าฝ่ากระบานคนหล่อๆแบบผมเลยนะ...
“อือ เป็นรูมเมทกันน่ะ คอยช่วยอะไรหลายๆอย่างตลอดเลย”
มากิจังรับคำ และนั่นยิ่งทำให้เขาอยากร้องไห้ ในหัวนึกหาประโยคดีๆมาพูดเป็นร้อยเป็นพัน แต่ลำคอรู้สึกขมปร่าจนกว่าจะเค้นเสียงออกมาได้แต่ละคำช่างยากเย็นเหลือเกิน...
“เป็นคนดีจริงๆด้วยสินะ”
“อืม”
“ดีจังเลย... ฉัน...”
“แต่ไม่เท่านาย”
ประโยคที่พูดแทรกขึ้นมานั้นทำให้เขาชะงัก โทโดแทบไม่แน่ใจว่าตัวเองหูฝาดไปหรือเปล่า ดวงตาที่เบิกกว้างมองดูใบหน้าเรียว พบว่าในดวงตาสีฟ้าที่สะท้อนภาพของเขาอยู่นั้นสั่นระริก
“มากิจัง... คือฉัน...” หากแต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร อีกฝ่ายชิงพูดขัดขึ้นเสียก่อน
“ขอโทษนะ ลืมมันไปเถอะ”
มาคิชิมะหันหน้าหนีไปอีกทาง ริมฝีปากเม้มเข้าหากันจนเป็นเส้นตรง ความรู้สึกในใจคล้ายตะกอนใต้ผิวน้ำ ทับถมอย่างสงบนิ่งมาเนิ่นนาน แต่ตอนนี้กลับถูกกวนขึ้นมาให้สับสน
เขาไม่น่าพบกับโทโด...ไม่น่าเลยจริงๆ...
“มากิจัง...”โทโดเรียกเสียงเบา เขาเอื้อมมือไปจับมือเรียวไว้อย่างไม่แน่ใจนัก และกุมแน่นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ขัดขืนอะไร
ผิวหนังของมากิจัง... ฝ่ามือที่เขาเคยจับเอาไว้แน่น มันยังคงอบอุ่นและนุ่มนวล ยังคงเป็นมือเดียวกับที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง แต่ทำไมตอนนี้หัวใจของเขากลับเต้นแผ่วอย่างเจ็บปวดขนาดนี้...
“ขอโทษนะ”
มีถ้อยคำร้อยพันคำ ที่เขาคิดทบทวนมาตลอดห้าปี เขาควรพูดอะไรกับมากิจัง ควรจะบอกความรู้สึกนี้ออกไปอย่างไรดี แต่สุดท้ายที่หลุดออกจากปากกลับเป็นเพียงแค่คำสั้นๆเท่านั้น
การพบกันครั้งนี้ มันเร็วเกินจะทำใจ และช้าเกินกว่าที่จะบอกความรู้สึกที่เฝ้าเก็บเอาไว้มานานปี...
“นายมาพูดอะไรตอนนี้”มาคิชิมะยกมุมปากขึ้นอย่างขมขื่น เรื่องผ่านมาตั้งนานแล้ว... สิ่งที่เขาอยากได้ยินไม่ใช่คำขอโทษ หรือการมาพร่ำบอกว่าเสียใจขนาดไหน
มันไม่มีประโยชน์... เขารู้ดี และคิดว่าโทโดก็คงจะรู้ แต่อีกฝ่ายก็ยังเลือกจะพูดออกมา
เจ้าบ้าจินปาจิ... นายจะทำให้ฉันเสียใจไปอีกกี่ครั้งกัน...
“ฮ่ะๆ นั่นสินะ ฉันมาบอกช้าไปจริงๆ แต่ก็อยากให้มากิจังได้รู้ ว่าเมื่อครั้งนั้น... ที่ทำลงไป ฉันเสียใจมากๆ ฉันทำให้มากิจังต้องเจ็บปวด และยิ่งทำให้ตัวเองเป็นทุกข์ ไม่ต้องยกโทษให้ฉันก็ได้ แต่ขอให้ฉันได้ขอโทษมากิจังอย่างจริงจังสักครั้งนะ”โทโดเอ่ย สีหน้าและน้ำเสียงที่เคยระรื่นอยู่เสมอตอนนี้ดูจริงจัง เขายังคงกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่น และลึกลงไปในใจนั้น เขาปรารถนาจะกุมมือนี้ไว้ตลอดกาล...
“ช่างมันเถอะ”เขาพูดเสียงเบา มาคิชิมะเงยหน้าขึ้นสบตาอีกฝ่ายตรงๆ แล้วจึงกล่าวต่อ “ฉันยกโทษให้นายตั้งนานแล้ว”
เขาดึงมือออกอย่างแผ่วเบา หยิบซองเล็กๆซองหนึ่งขึ้นมา วางไว้ทางฝั่งของอีกฝ่าย
“ถ้าว่างก็มานะ”เขาพูด... เว้นจังหวะไปชั่วครู่ก่อนจะพูดใหม่อีกครั้ง “ฉันจะดีใจถ้านายมา”
“ไว้จะตอบอีกทีนะ”โทโดตอบ พยายามปั้นยิ้มบนใบหน้า แม้ว่ามันจะยากแค่ไหนก็เถอะ แต่เขาไม่อยากร้องไห้ออกมาตอนนี้หรอกนะ การทำตัวขี้แยต่อหน้าเพื่อนในวัยยี่สิบสี่ปีเป็นอะไรที่ไม่เท่เอาเสียเลย
“นี่... มากิจัง ฉันจะยังส่งเมลล์หามากิจังได้รึเปล่า”เขาลองถาม เมลล์ที่ยังคงเปิดเช็คทุกวัน แม้ตั้งแต่ที่มากิจังไปเรียนต่อ ตัวเขาจะไม่กล้าส่งไปหาเลยสักฉบับก็เถอะ...
คิ้วตกๆนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่มากิจังจะยิ้มออกมา ยิ้มบางๆที่เป็นธรรมชาติที่สุด ไม่ใช่ยิ้มแปลกๆแบบที่คนอื่นเคยเห็น รอยยิ้มอันบริสุทธิ์งดงามเช่นนี้... ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยเป็นของเขาคนเดียวแท้ๆ ทำไมถึงได้ยอมปล่อยให้หลุดมือไปกันนะ...
“ได้สิ นายเคยพูดไว้นี่ เราเป็นคู่แข่งชั่วชีวิต”
มาคิชิมะก้มลงมองนาฬิกา เมื่อเห็นว่าสมควรต้องไปแล้วจึงลุกขึ้นยืน วางค่ากาแฟเอาไว้บนโต๊ะ
“ไว้เจอกัน”เขาพูด ขณะที่กำลังเดินออกไปจากร้านนั้น โทโดก็ทักขึ้นก่อน
“นี่ มากิจัง”
เขาหันกลับไป ภาพของอีกฝ่ายที่มองตรงมา ดวงตาที่จริงจังและกึ่งๆจะเว้าวอน สะกดให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้
“ถ้าหาก... เมื่อสี่ปีก่อนฉันกล้าที่จะบอกความรู้สึกออกไป ระหว่างฉันกับมากิจัง จะเป็นได้มากกว่าคู่แข่งชั่วชีวิตหรือเปล่า”
ถ้าหากว่า... หัวใจถูกผนึกไว้ด้วยแม่กุญแจอันแน่นหนาตั้งแต่เมื่อสี่ปีก่อน คำพูดของโทโดในวันนี้ก็เป็นเสมือนลูกกุญแจ... อดีตพีคสไปเดอร์แห่งโซโฮคุขยับยิ้ม แม้ว่าขอบตาจะรู้สึกร้อนผ่าว...
“แต่นายก็ไม่ได้พูด... จริงมั้ย”
โทโดนิ่งงันไป... ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะขยับยิ้มกว้าง แล้วพยัคหน้า
“นั่นสินะ”
มันไม่มีประโยชน์เลยที่จะถามออกไป ในเมื่อเขาเองก็รู้คำตอบดี
...เราไม่สามารถย้อนเวลากลับไปได้อีกแล้ว...
************
มาคิชิมะแทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกลับมาถึงบ้านแล้ว การได้พบกับโทโดอย่างไม่คาดคิดทำให้ความรู้สึกหลายๆอย่างหวนกลับมา และยังทำให้เขาได้สะสางเรื่องที่เคยติดค้างในใจ
มือเรียวเปิดประตูห้อง และพบกับชาร์ลที่กลับมารออยู่ก่อนแล้ว
“Is everything alright ?”
“I’m ok.” มาคิชิมะตอบสั้นๆ รู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรมากกว่านั้น เขานั่งลงบนเตียง ประโยคต่างๆที่ได้คุยกับโทโดยังคงวนเวียนอยู่ในหัว
‘ถ้าหาก... เมื่อสี่ปีก่อนฉันกล้าที่จะบอกความรู้สึกออกไป ระหว่างฉันกับมากิจัง จะเป็นได้มากกว่าคู่แข่งชั่วชีวิตหรือเปล่า’
“Are you still love him?”คำถามของชาร์ลทำให้เขาสะดุ้ง หันขวับมามองคนข้างตัวทันที
“What?! No way!”
เขารับปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่รู้ว่าเพราะร้อนตัวหรือเพราะอะไรก็ตามแต่....
จริงๆแล้ว เขาไม่อยากยอมรับว่าเมื่อได้พบกัน ได้คุยกับโทโดอีกครั้ง ความรู้สึกเก่าๆที่คิดว่าจะลืมได้หมดแล้วก็กลับเด่นชัดขึ้นมา และเรื่องนี้มันไม่ถูกต้อง...
ชาร์ลส่ายหน้าไปมา ยูสึเกะเป็นคนแปลกๆ ทั้งยังหน้าตาไม่รับแขกสุดๆ ทั้งๆที่ถ้ายิ้มแบบมนุษย์ปกติก็ออกจะสวยขนาดนั้น ทว่าเมื่อได้รู้จักกันนานเข้าเขาถึงได้รู้ถึงมุมที่น่ารักของอีกฝ่าย ความเอาใจใส่ผู้อื่นที่ขัดกับหน้าบึ้งๆ ยูสึเกะเป็นคนพูดไม่เก่งเลยมีปัญหากับคนอื่นบ่อย และอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่เก่งยิ่งกว่าพูดก็คือการโกหก
“Really? Then….”
เขาเอื้อมมือไปแตะหน้าอีกฝ่าย พร้อมพูดต่อ “Why you're crying?”
มาคิชิมะนิ่งไป เขาไม่รู้ตัวเลยว่าตอนนี้ตัวเองกำลังร้องไห้ น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหล่ผ่านแก้ม กลิ้งไปหยุดอยู่ที่ปลายคาง ก่อนร่วงหล่นลงเนื้อผ้า
“Sorry…”เขาพึมพำออกมา เสียงทั้งเบาและสั่นจนแทบฟังไม่ออก อีกฝ่ายดึงเขาไปกอดไว้ และเขาเองก็ยอมอยู่ในอ้อมแขนนั้นโดยดี น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลรินไม่ขาดสาย
ทั้งๆที่คิดว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นแล้วแท้ๆ... ทั้งๆที่คิดว่าความหนาวเย็นของต่างแดนจะทำให้ความรู้สึกที่เคยมีต่อโทโดนั้นถูกแช่แข็งเอาไว้ แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่เลย... น้ำแข็งที่เปราะบางขนาดนั้นถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย
“Sorry… I’m sorry…”
เขาพึมพำคำขอโทษซ้ำไปซ้ำมา ขอโทษชาร์ล ขอโทษโทโด และขอโทษตัวเอง...
“Don’t say again Yuusuke… It’s gonna be ok.”
ถ้อยคำปลอบโยนกระซิบข้างหู และเขารู้ดีว่าพอถึงพรุ่งนี้ ตัวเขาก็จะผ่านมันไปได้ มันผ่านมานานเกินไป... เรื้อรังมานานเกินไป ดังนั้นตอนนี้ถึงได้เจ็บปวดขนาดนี้...
เขารู้จักโทโดมานานเกินไป ผูกพันธ์กันมากเกินไป ทั้งในฐานะอันคลุมเครือ ไม่ว่าจะเพื่อน หรือคู่แข่งก็ตาม แต่มันก็เท่านั้น...
...ระหว่างเขากับโทโด เป็นได้แค่คู่แข่งชั่วชีวิต...
นั่นแหละคือความจริง... และเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึง เขาจะไม่เสียใจอีกต่อไปแล้ว....
**********
เขาไม่เคยเชื่อในโชคชะตา... ยิ่งกับโชคชะตาห่วยๆที่เล่นตลกกับชีวิตของคนแบบนี้ เขายิ่งไม่อยากเชื่อ
การโทษชะตาชีวิตเป็นสิ่งที่มนุษย์อาจทำเพื่อเยียวยาจิตใจตัวเอง แต่เขาไม่ใช่แบบนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะการกระทำ หากว่าวันนั้นเขามีความกล้า... ขอเพียงแค่กล้าบอกความรู้สึกออกไป กล้าที่จะออกตามหาอีกฝ่าย แม้ผลจะออกมาเป็นยังไง เขาก็มั่นใจว่าคงดีกว่ามานั่งติดค้างใจแบบในตอนนี้
เมื่อครั้งยังมีรักกลับขาดความกล้า... เมื่อมีความกล้า ก็ไม่สามารถรักได้อีกแล้ว...
ดวงตามองดูอาคารติดกระจกซึ่งถูกตกแต่งอย่างเรียบหรู เรียวปากบางหยักขึ้นเป็นรอยยิ้มอ่อนจาง ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเข้าไป
ประตูอัตโนมัติเลื่อนเปิดออก แอร์เย็นฉ่ำและกลิ่นหอมจางๆปะทะเข้ากับใบหน้า เมื่อขาแตะลงบนพื้นกระเบื้องเงาวับ พนักงานสาวก็หันมามอง ก่อนเดินเข้ามาหาและกล่าวทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ผมอยากได้สูทสักตัว”เขาเปรย
“ใส่ในโอกาสไหนคะ แต่งงาน?”พนักงานสาวกล่าวยิ้มๆ ลูกค้าหนุ่มวัยประมาณนี้ แถมยังหน้าตาดีเสียด้วย ส่วนมากมักมาตัดสูทเพื่อเตรียมเป็นเจ้าบ่าวกันทั้งนั้น
“แต่งงานน่ะใช่ แต่ผมไม่ได้เป็นคนแต่งหรอกครับ”โทโดหัวเราะ แล้วเดินตามเข้าไปด้านในร้านที่เต็มไปด้วยผ้าหลากหลายชนิทและสูททรงต่างๆแขวนอยู่อย่างเป็นระเบียบ
“เอ๋ งั้นคงเป็นงานของเพื่อนสนิทสิคะเนี่ย”เธอถาม ขณะที่เตรียมเอาแบบวัดตัวต่างๆออกมา ปกติไม่ค่อยมีคนมาตัดสูทเพื่อไปร่วมงานของคนรู้จักธรรมดาอยู่แล้ว
“ใช่ครับ”เขาตอบ ครั้นนึกไปถึงภาพของเจ้าของงาน ดวงตาก็ฉายแววอ่อนโยนเจือริ้วของความเจ็บปวดเบาบาง
คู่แข่งชั่วชีวิตของเขา... มาคิชิมะ ยูสึเกะ คนที่ไม่อาจเรียกเต็มปากได้ว่าเป็นเพื่อน คนที่ต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตเขาก็คงลืมไม่ได้ ทั้งเส้นผมสีแปลกประหลาดยามพลิ้วไปกับสายลม หยาดเหงื่อตรงต้นคอเมื่อตอนห้ำหั่นกันบนภูเขา หรือรอยยิ้มอันหาได้ยากยิ่งของอีกฝ่าย... ทุกๆอย่างยังคงชัดเจนในความทรงจำ มากิจังที่แสนวิเศษ... ทั้งด้านที่แข็งแกร่ง หรือด้านที่อ่อนแอ เขาเคยคิดว่าทั้งหมดของมากิจังเป็นของๆเขามาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ไม่ใช่อีกแล้ว...
รัก...
รักนะ มากิจัง...
รัก... รัก... รัก...
แต่ตอนนี้ไม่สามารถพูดออกไปได้อีกแล้ว... เพราะเมื่อห้าปีก่อน ฉันเป็นคนปิดผนึกคำนี้เอาไว้ และมันไม่สามารถเปิดออกได้อีกตลอดกาล....
“เป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตผมเลย”
-END-
ผลงานอื่นๆ ของ ReignOverME ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ReignOverME
ความคิดเห็น