คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : 23
บทที่ 23
แม้จะได้หลักฐานยืนยันว่าแอนนี่คือฆาตกรต่อเนื่อง เอลวินก็ยังไม่สามารถขอหมายจับได้เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน เขาจึงทำได้เพียงส่งเจ้าหน้าที่ไปคอยเฝ้าบริเวณที่พักของเธอเท่านั้น และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ทำให้รีไวเริ่มหงุดหงิด เพราะสัญชาตญาณของคนที่คลุกคลีกับเหล่าฆาตกรเตือนเขาว่า การต้อนแอนนี่ในวันนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เธอลงมือทำอะไรบางอย่างที่ร้ายกาจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
“เรามีทั้งดีเอ็นเอ ทั้งลายนิ้วมือ แค่นี้ก็บุกไปจับเธอได้แล้ว”
“ขืนทำแบบนั้นพวกเราทั้งหมดมีหวังโดนจับกินทั้งเป็นแน่” เอลวินค้านและถอนใจออกมา “ใจเย็นหน่อยรีไว ที่ตอนนี้เรายังลงมือทำอะไรไม่ได้เพราะตำแหน่งหน้าที่การงานซึ่งอยู่ในระดับ เลขานุการพิเศษของสส. ทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะหากพลาดเพียงนิดเดียว ทนายราคาแพงของแอนนี่ก็จะฉวยโอกาสดึงเธอหลุดจากคดี แล้วสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดก็จะกลายเป็นการสูญเปล่า”
“ถ้ามัวแต่รออยู่อย่างนี้ แม่นั่นคงออกไปฆ่าคนอีก”
“ฉันส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าเธอเอาไว้แล้ว” เอลวินพูด แต่รีไวกลับส่ายหน้า
“ขนาดมีคนตามทุกฝีก้าวเธอยังดอดมายิงโทมัสได้ เชื่อเถอะเอลวิน ต่อให้อยู่ในคุก ผู้หญิงคนนี้ก็สามารถหักคอผู้คุมได้อย่างสบายโดยที่มีใครรู้”
“ฉันก็คิดเหมือนนายแหละรีไว แต่การจะจับกุมใครสักคนมันต้องมีขั้นตอน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะกลายเป็นโมฆะ หลักฐานที่ได้มาทั้งหมดจะใช้ไม่ได้ในทันที”
“แต่....”
“ฉันว่านายใจเย็นไว้ก่อนดีกว่า” ฮันซี่พูดทั้งที่ปากยังเคี้ยวโดนัทที่ค้นมาจากโต๊ะของเอลวิน “เอาอย่างนี้ นายกลับบ้านไปนอนพักหรือจะแวะไปทักทายเอเลนก่อนก็ได้ ไม่แน่นะ บางทีหน้าสวยๆของเจ้าหนูนั่นอาจทำให้จิตใจของนายสงบลงมากกว่านี้”
“หยุดเลยยายเพี้ยน”
“แต่ฉันเห็นด้วยกับฮันซี่” เอลวินเสริม “นายกลับไปนอนพักเอาแรงก่อน พรุ่งนี้พอได้หมายมาแล้วเราค่อยไปจับแอนนี่กัน”
รีไวมีท่าทางลังเลก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “ตกลง”
“อย่าลืมแวะทักทายเอเลนด้วยล่ะ” เอฟบีไอสาวป้องปากกระเซ้า ชายหนุ่มหันไปถลึงตา
“ยุ่งน่ายายแว่น” เขากัดฟันพูดก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นและหลุดปากอ้อมแอ้มออกมาเบาๆ “ป่านนี้เจ้าหนูนั่นคงหลับไปแล้วละ”
“พนันกันมั้ย” ฮันซี่พูดพร้อมกับชูโดนัทไปข้างหน้า “ถ้าเอเลนยังไม่นอนนายต้องเลี้ยงมื้อกลางวันฉันหนึ่งอาทิตย์ แต่ถ้าเขาหลับไปแล้ว ฉันก็จะเลี้ยงนายหนึ่งอาทิตย์เหมือนกัน แถมเบียร์อีกขวดด้วย”
รีไวไม่ตอบแต่กลับหันไปทางเอลวิน
“เป็นพยานนะ”
“ได้” หัวหน้าทีมรับคำ ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตาไปที่ฮันซี่อีกครั้งก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง ตรงไปที่รถจากนั้นก็ขับออกไป
เมื่อไปถึงรีไวจึงพบว่าไฟในร้านถูกปิดหมดทุกดวงแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าเอเลนคงง่วงจนรอไม่ไหวเลยขึ้นไปนอนก่อน แต่ก็ต้องใจเต้นเมื่อประตูเปิดออก พอเห็นหน้าคนที่โผล่ออกมาความดีใจทั้งหมดก็แห้งเหี่ยวหายไป ชายหนุ่มถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนก้าวลงจากรถเดินตรงไปหาเพื่อนที่กำลังยืนขยี้ตาอย่างงัวเงีย
“มีอะไรเหรอ” แจนถามพร้อมกับเปิดปากหาว รีไวขมวดคิ้วเหมือนไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเขามาทำไมแต่ยังแกล้งถาม
“เอเลนหลับไปแล้วหรือยัง”
อีกฝ่ายมองหน้าด้วยความแปลกใจ
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เขาอยู่กับนายไม่ใช่เหรอ”
คิ้วของรีไวขมวดเข้าหากัน จู่ๆใจก็เต้นแรงขึ้นด้วยลางสังหรณ์บางอย่างซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องดี
“ไม่” ตอบสั้นๆก่อนมองเข้าไปในร้านเหมือนอยากให้สิ่งที่แจนพูดเป็นการหยอกเล่นมากกว่าแต่เพื่อนของเขาซึ่งดูเหมือนจะตาสว่างแล้วกลับทำหน้ามุ่ยเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร
“ฉันไม่ได้พูดเล่น เอเลนไม่อยู่ที่นี่จริงๆ”
“แล้วเขาหายไปไหน” รีไวถามด้วยน้ำเสียงตระหนก นิ้วทั้งห้ารวบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว แจนตอบโดยไม่ต้องคิด
“เขาไปหาอาร์มิน เห็นบอกว่าบางทีอาจจะเลยไปอพาร์ตเม้นต์นาย” เขามองหน้ารีไว “เข้าไปดูแล้วหรือยัง”
“ยัง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆก่อนดึงมือถือออกจากกระเป๋าและกดหมายเลขของเอเลนอย่างร้อนใจ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลเมื่อไม่มีคนรับสาย จะบอกว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะนับตั้งแต่รู้จักกัน เขาสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มมักจะพกมือถือติดตัวอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่เขาแอบล้วงออกมาเพื่อดูเบอร์โทร. พยายามอยู่นานจนครั้งสุดท้ายสัญญาณก็ขาดหายไปเหมือนถูกปิด รีไวจึงรู้ในทันทีว่าเวลานี้เอเลนกำลังอยู่กับใครบางคน ซึ่งเขาภาวนาขออย่าให้เป็นแอนนี่
“เป็นไง” แจนถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นรีไวปิดมือถือด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดจนน่ากลัว
“ฉันคิดว่าเขาโดนใครบางคนจับตัวไป” ตอบเบาจนเสียงแทบไม่หลุดจากปาก แจนเบิกตาโพลง
“ว่าไงนะ!” เขาร้องเสียงดังและหุบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตากร้าวของรีไว
“อยากให้มิคาสะได้ยินหรือยังไง” ชายหนุ่มติง แจนจึงเอี้ยวตัวมองกลับเข้าไปในร้าน พอไม่เห็นคนที่กำลังพูดถึงเขาก็ถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะหันกลับไปที่เพื่อนร่วมทีม
“ฝีมือแอนนี่หรือเปล่า”
รีไวยืนนิ่งไม่ตอบอะไรกลับมา แจนจึงเข้าใจว่าเขาเองก็กำลังคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน คำถามก็คือแอนนี่จะจับตัวเอเลนไปเพื่ออะไร ข่มขู่ให้พวกเขาวางมือจากคดีหรือเป็นการแก้แค้นส่วนตัว ซึ่งหากเป็นอย่างหลัง โอกาสรอดดูจะน้อยเต็มที
“เอาไงดี” แจนถาม ยังไม่ทันได้คำตอบ โทรศัพท์ของรีไวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน พอเห็นว่าเป็นเอลวิน เขาก็กดรับพร้อมกับถามสั้นๆ
“มีอะไร”
พอได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมา ความร้อนใจก็เปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียด สีหน้าเคร่งขรึมงอง้ำมากกว่าเก่าจนแจนแทบจะเห็นเงาทะมึนแผ่ออกมาจากตัวของรีไว
“ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ชายหนุ่มตอบสั้นๆก่อนปิดโทรศัพท์และหมุนตัวกลับไปที่รถ แจนรีบฉวยไหล่เอาไว้
“เกิดอะไรขึ้น”
“อดีตนายอำเภอปีเตอร์สันกับสส.ฟูลไชน์ถูกยิง คนแรกตายคาที่ส่วนคนหลังตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
“เรื่องใหญ่เลยนะ รู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนยิง”
“เอลวินคิดว่าน่าจะเป็นคนใกล้ตัว” รีไวตอบและเตรียมขึ้นรถ แต่พอเห็นแจนทำท่าจะตามเขาก็ห้าม “นายอยู่ที่นี่ดีกว่า”
“แต่...”
“มันเป็นคำสั่งของเอลวิน เขาไม่อยากให้มิคาสะกับเอเลนเป็นอันตราย”
น้ำเสียงในตอนท้ายช่วงที่พูดถึงเด็กหนุ่มสั่นเล็กน้อย ทำให้แจนรู้ว่าแท้จริงแล้วรีไวเป็นห่วงเอเลนมาก แต่เพราะหน้าที่ทำให้เขายังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเอลวิน ปัญหาก็คือหากเกิดเรื่องร้ายกับเด็กหนุ่มขึ้นมาจริงๆ รีไวอาจโกรธจนขาดสติ และลงมือจัดการคนร้ายจนถึงตาย
“นายน่าจะแวะไปที่อพาร์ตเม้นต์ก่อน” แจนเตือน อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับและขับรถออกจากที่นั่นโดยไม่พูดอะไรอีกเลย
.ใช้เวลาราวยี่สิบนาที รถของรีไวก็แล่นเข้าไปจอดที่โรงพยาบาล พอลงจากรถเขาก็ตรงดิ่งไปยังห้องพิเศษชั้นบนสุดซึ่งสงวนไว้สำหรับบุคคลสำคัญเท่านั้น ตอนแรกหน่วยอารักขาไม่ยอมเปิดทางให้แต่พอเห็นบัตรประจำตัวและรู้ว่าเป็นรีไว เจ้าหน้าที่พิเศษมือหนึ่งของเอฟบีไอ ทุกคนก็ยอมให้เขาผ่านเข้าไปในห้องของสส.แต่โดยดี
“ท่านสส.” ชายหนุ่มเอ่ยทักพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพตามลำดับชั้น อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ เอลวินจึงรีบกล่าวแนะนำ
“เจ้าหน้าที่พิเศษรีไว มือหนึ่งในทีมของผม”
“รีไว” สส.ฟูลไชน์ทวนคำด้วยสีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้น “ผมได้ยินกิตติศัพท์ของคุณมานานแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีโอกาสได้พบตัวจริง”
“เช่นกัน” รีไวพูดสั้นๆก่อนหันไปทางเอลวิน “รู้หรือยังว่าใครเป็นคนยิง”
ทั้งห้องพากันเงียบกริบ เจ้าหน้าที่อารักขาต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไร ในขณะที่ตัวสส.ฟูลไชน์นั่งหน้าซีดตัวสั่น
“แอนนี่”
เขาหลุดปากบอกเสียงเบาจนเกือบจะเป็นกระซิบ ทั้งคู่หันไปมองคนบนเตียงพร้อมกัน เอลวินจึงถามต่อ
“พอจะทราบหรือเปล่าว่า ทำไม” พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ตอบ เขาจึงพูดต่อ “เธอระเบิดหัวของคุณปีเตอร์สันในบ้านพักของท่าน ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจและเป็นเจตนาฆ่าซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการล้างแค้นส่วนตัว”
เอลวินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและมองสส.แมทธิว ฟูลไชน์เหมือนจะหยั่งความรู้สึก พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในความหวาดกลัวและเริ่มลังเล เขาจึงตัดสินใจกล่าวตามตรง
“คำถามของผมก็คือ แอนนี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับอดีตนายอำเภอปีเตอร์สัน”
สส.หนุ่มไม่ตอบแต่กลับขยำผ้าห่มแน่น ช่วงเวลานั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเอลวินก็ดังขึ้น เขากล่าวขอตัวก่อนกดรับ หลังจากฟังปลายสายแจ้งข่าวจบเขาก็ปิดโทรศัพท์ยัดกลับลงกระเป๋าตามเดิมและหันไปพูดกับรีไวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังเหมือนเจตนาให้สส.ฟูลไชน์ได้ยิน
“ผอ.โรงพยาบาลวินเซนต์หายตัวไป”
เขาลอบมองคนบนเตียงด้วยหางตา ส่วนรีไวถาม
“หายไปนานแค่ไหน”
“5 ชั่วโมง”
“เวลาแค่นั้นตำรวจยังไม่รับแจ้งความหรอก” รีไวพูดด้วยท่าทางที่เหมือนจะไม่ใส่ใจนัก เอลวินส่ายหน้า
“แต่ญาติเข้ามาร้องกับเอฟบีไอ”
รีไวยกนาฬิกกาขึ้นมาดู
“ดีกป่านนี้ยังมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องอยู่อีกเหรอ”
“พวกเขาต่อสายตรงไปที่ผอ.” หัวหน้าของเขาพูดพลางมองลูกน้องมือหนึ่งที่กำลังเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนชำเลืองตาไปทางสส.แมทธิว “ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าผอ.โรงพยาบาลธรรมดาจะมีความสำคัญถึงขนาดเรียกเจ้าหน้าระดับสูงของเอฟบีไอให้ลุกจากที่นอนได้”
สิ่งที่ได้ยินทำให้สส.หนุ่มทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ความหวาดกลัวที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจทำให้เขายังคงลังเล ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เอลวินมองใบหน้าซีดเผือดกับมือซึ่งกำลังสั่นเทานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงขยับเข้าไปหาพร้อมกับพูดอย่างสุภาพ
“ท่านมีอะไรจะบอกเราหรือเปล่า” ถามพลางมองดวงตาที่เหลือบขึ้นมาสบกับเขาอย่างขลาดกลัว “ผมเข้าใจดีว่าเวลานี้ท่านรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าท่านไม่กำจัดต้นเหตุ ก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากฝันร้าย”
“คุณไม่มีวันช่วยผมได้หรอก เอลวิน ผมจมอยู่กับมันมานาน รู้ดีว่าไม่มีทางสลัดเจ้าสิ่งน่ากลัวนี้ออกไปได้”
สส.แมทธิวพูดด้วยใบหน้าเศร้า แต่เอลวินกลับย้อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มเหมือนแพทย์ผู้ใจดีกำลังปลอบคนไข้
“ไม่มีทางหรือคุณไม่ยอมสลัดมันออกไปเอง” เขามองคนตรงหน้าที่กำลังเบิกตาโพลงเหมือนคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดทำนองนี้ก่อนกล่าวต่อ “จากการสนทนากันในครั้งก่อนและความร่วมมือของคุณ ทำให้ผมทราบว่าคุณกับแอนนี่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ถ้าเดาไม่ผิดคุณรู้มานานแล้วว่าเธอเป็นใคร แต่เพราะอิทธิพลของพ่อ ทำให้คุณไม่กล้าแสดงอะไรออกมามาก กระทั่งเขาตายแอนนี่จึงก้าวเข้ามาในชีวิตและคอยบงการทุกอย่าง ความร้ายกาจของเธอทำให้คุณหวาดกลัวแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่พ่อเคยกระทำกับเธอ คุณเลยยอมทำทุกอย่างตามที่แอนนี่ต้องการ แม้กระทั่งปกปิดคดีฆาตกรรม”
“คดีฆาตกรรมอะไร” สส.ฟูลไชน์ถามอย่างงุนงง เอลวินกับรีไวหันไปสบตากัน
“คดีฆาตกรรมต่อเนื่องสิบรายที่พวกเรากำลังตามในตอนนี้”
“ผมไม่รู้เรื่องพวกนั้น” แมทธิวพูด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตระหนกมองเอฟบีไอทั้งสองสลับกันไปมา “ที่แอนนี่สั่งให้ทำก็มีแค่สืบหาคนตามรายชื่อที่เธอให้มากับช่วยเป็นพยานแก้ต่างตอนที่หายตัวไปบางครั้งเท่านั้น”
“ไม่เคยสงสัยบ้างเลยหรือว่าเธอหาควานหาคนพวกนั้นไปทำไม”
“ผมเคยถามเหมือนกัน เธอบอกว่าพวกเขาเคยอยู่บ้านอุปถัมภ์เดียวกัน ที่ตามหาเพราะคนพวกนี้เคยช่วยเหลือเธอมาก่อน”
“เรื่องแค่นั้นถึงกับให้สส.ช่วยเลยหรือ” รีไวถามแต่พอเห็น แมทธิว ฟูลไชน์ทำหน้าเหมือนรู้สึกอึดอัดใจที่จะตอบเขาจึงขยับเข้าไปอีกนิดและพูดต่อ “ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะมีส่วนร่วมอะไรด้วยหรือเปล่า แต่แน่ใจว่าคุณต้องรู้จักเหยื่อฆาตกรรมทั้งสิบรายดี เพราะพวกเขาคือคนที่แอนนี่ตามหา”
ชายหนุ่มโน้มตัวลงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาขลาดของฟูลไชน์
“แต่ที่ถามเพราะตอนนี้มีเด็กคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าคุณมัวแต่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไรเขาอาจจะโดนเชือดเป็นชิ้นๆหรือบางทีอาจจะถูกฆ่าไปแล้ว”
น้ำเสียงที่ใช้เน้นหนักเหมือนต้องการตอกย้ำความรู้สึกของคนฟัง ส่วนเอลวินมองรีไวอย่างนึกเอะใจ
“นายกำลังพูดถึงใคร”
“เอเลน” รีไวตอบทั้งที่ยังคงมองฟูลไชน์อยู่ในท่าเดิม “แอนนี่จับตัวเขาไป”
“ต..แต่เด็กคนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น เธอจะจับตัวเขาไปทำไม” สส.ถามเสียงสั่น รีไวขบกรามก่อนตอบ
“เพราะเขามีความเกี่ยวข้องกับฉัน” มือเลื่อนไปขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “เจ้าหนูนั่นเป็นแค่เด็กอายุ 16 แต่กลับต้องมาเจอกับฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าคนไปเป็นสิบ คิดดูให้ดีกว่าป่านนี้เขาจะเป็นยังไง ไอ้ความหวาดกลัวของคุณในตอนนี้มันยังไม่ถึงครึ่งของเขาเลยด้วยซ้ำ”
“รีไว!” เอลวินเตือน ชายหนุ่มจึงละมือและยอมถอยออกมา พอลูกน้องอยู่ห่างจากสส.แล้วเขาจึงพูดอ้อนวอน “ได้โปรดบอกความจริงกับเราด้วย”
แมทธิว ฟูลไชน์ก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง นั่งเงียบไปชั่วอึดใจจู่ๆเขาก็พูดขึ้น
“ขอผมอยู่กับพวกเขาตามลำพัง”
“แต่ท่านครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแย้ง เขาหันไปจ้องหน้า
“ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง !”
ทุกคนหันไปมองหน้ากันก่อนทยอยออกจากห้อง พอเหลือเพียงแค่เขา เอลวินกับรีไวเท่านั้น สส.หนุ่มจึงเปิดปากพูด
“คุณเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษเอลวิน แอนนี่เป็นญาติของผม หรือถ้าจะพูดให้เจาะจง เธอเป็นพี่สาวของผมและเป็นสายเลือดแท้ๆของสส.โจนาธาน ฟูลไชน์”
*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น