ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (รีไวxเอเลน)

    ลำดับตอนที่ #23 : 23

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.31K
      110
      8 มิ.ย. 57


    บทที่ 23

                แม้จะได้หลักฐานยืนยันว่าแอนนี่คือฆาตกรต่อเนื่อง เอลวินก็ยังไม่สามารถขอหมายจับได้เนื่องจากช่วงนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืน เขาจึงทำได้เพียงส่งเจ้าหน้าที่ไปคอยเฝ้าบริเวณที่พักของเธอเท่านั้น และด้วยเหตุผลดังกล่าวนี้เองที่ทำให้รีไวเริ่มหงุดหงิด เพราะสัญชาตญาณของคนที่คลุกคลีกับเหล่าฆาตกรเตือนเขาว่า การต้อนแอนนี่ในวันนี้จะเป็นการกระตุ้นให้เธอลงมือทำอะไรบางอย่างที่ร้ายกาจกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

                “เรามีทั้งดีเอ็นเอ ทั้งลายนิ้วมือ แค่นี้ก็บุกไปจับเธอได้แล้ว”

                “ขืนทำแบบนั้นพวกเราทั้งหมดมีหวังโดนจับกินทั้งเป็นแน่” เอลวินค้านและถอนใจออกมา “ใจเย็นหน่อยรีไว ที่ตอนนี้เรายังลงมือทำอะไรไม่ได้เพราะตำแหน่งหน้าที่การงานซึ่งอยู่ในระดับ เลขานุการพิเศษของสส. ทำให้เราต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะหากพลาดเพียงนิดเดียว ทนายราคาแพงของแอนนี่ก็จะฉวยโอกาสดึงเธอหลุดจากคดี แล้วสิ่งที่พวกเราทำมาทั้งหมดก็จะกลายเป็นการสูญเปล่า”

                “ถ้ามัวแต่รออยู่อย่างนี้ แม่นั่นคงออกไปฆ่าคนอีก”

                “ฉันส่งเจ้าหน้าที่ไปเฝ้าเธอเอาไว้แล้ว” เอลวินพูด แต่รีไวกลับส่ายหน้า

                “ขนาดมีคนตามทุกฝีก้าวเธอยังดอดมายิงโทมัสได้ เชื่อเถอะเอลวิน ต่อให้อยู่ในคุก ผู้หญิงคนนี้ก็สามารถหักคอผู้คุมได้อย่างสบายโดยที่มีใครรู้”

                “ฉันก็คิดเหมือนนายแหละรีไว แต่การจะจับกุมใครสักคนมันต้องมีขั้นตอน ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะกลายเป็นโมฆะ หลักฐานที่ได้มาทั้งหมดจะใช้ไม่ได้ในทันที”

                “แต่....”

                “ฉันว่านายใจเย็นไว้ก่อนดีกว่า” ฮันซี่พูดทั้งที่ปากยังเคี้ยวโดนัทที่ค้นมาจากโต๊ะของเอลวิน “เอาอย่างนี้ นายกลับบ้านไปนอนพักหรือจะแวะไปทักทายเอเลนก่อนก็ได้ ไม่แน่นะ บางทีหน้าสวยๆของเจ้าหนูนั่นอาจทำให้จิตใจของนายสงบลงมากกว่านี้”

                “หยุดเลยยายเพี้ยน”

                “แต่ฉันเห็นด้วยกับฮันซี่” เอลวินเสริม “นายกลับไปนอนพักเอาแรงก่อน พรุ่งนี้พอได้หมายมาแล้วเราค่อยไปจับแอนนี่กัน”

                รีไวมีท่าทางลังเลก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเสียไม่ได้ “ตกลง”

                “อย่าลืมแวะทักทายเอเลนด้วยล่ะ” เอฟบีไอสาวป้องปากกระเซ้า ชายหนุ่มหันไปถลึงตา

                “ยุ่งน่ายายแว่น” เขากัดฟันพูดก่อนจะเบือนหน้าหนีไปทางอื่นและหลุดปากอ้อมแอ้มออกมาเบาๆ “ป่านนี้เจ้าหนูนั่นคงหลับไปแล้วละ”

                “พนันกันมั้ย” ฮันซี่พูดพร้อมกับชูโดนัทไปข้างหน้า “ถ้าเอเลนยังไม่นอนนายต้องเลี้ยงมื้อกลางวันฉันหนึ่งอาทิตย์ แต่ถ้าเขาหลับไปแล้ว ฉันก็จะเลี้ยงนายหนึ่งอาทิตย์เหมือนกัน แถมเบียร์อีกขวดด้วย”

                รีไวไม่ตอบแต่กลับหันไปทางเอลวิน

                “เป็นพยานนะ”

                “ได้” หัวหน้าทีมรับคำ ชายหนุ่มจึงเลื่อนสายตาไปที่ฮันซี่อีกครั้งก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้อง ตรงไปที่รถจากนั้นก็ขับออกไป

                เมื่อไปถึงรีไวจึงพบว่าไฟในร้านถูกปิดหมดทุกดวงแล้ว ตอนแรกเขาคิดว่าเอเลนคงง่วงจนรอไม่ไหวเลยขึ้นไปนอนก่อน แต่ก็ต้องใจเต้นเมื่อประตูเปิดออก พอเห็นหน้าคนที่โผล่ออกมาความดีใจทั้งหมดก็แห้งเหี่ยวหายไป ชายหนุ่มถอนใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนก้าวลงจากรถเดินตรงไปหาเพื่อนที่กำลังยืนขยี้ตาอย่างงัวเงีย

                “มีอะไรเหรอ” แจนถามพร้อมกับเปิดปากหาว รีไวขมวดคิ้วเหมือนไม่ชอบใจที่อีกฝ่ายก็รู้ดีอยู่แล้วว่าเขามาทำไมแต่ยังแกล้งถาม  

                “เอเลนหลับไปแล้วหรือยัง”

                อีกฝ่ายมองหน้าด้วยความแปลกใจ

                “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง เขาอยู่กับนายไม่ใช่เหรอ”

                คิ้วของรีไวขมวดเข้าหากัน จู่ๆใจก็เต้นแรงขึ้นด้วยลางสังหรณ์บางอย่างซึ่งเขาแน่ใจว่าไม่ใช่เรื่องดี

                “ไม่” ตอบสั้นๆก่อนมองเข้าไปในร้านเหมือนอยากให้สิ่งที่แจนพูดเป็นการหยอกเล่นมากกว่าแต่เพื่อนของเขาซึ่งดูเหมือนจะตาสว่างแล้วกลับทำหน้ามุ่ยเหมือนรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

                “ฉันไม่ได้พูดเล่น เอเลนไม่อยู่ที่นี่จริงๆ”

                “แล้วเขาหายไปไหน” รีไวถามด้วยน้ำเสียงตระหนก นิ้วทั้งห้ารวบเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว แจนตอบโดยไม่ต้องคิด

                “เขาไปหาอาร์มิน เห็นบอกว่าบางทีอาจจะเลยไปอพาร์ตเม้นต์นาย” เขามองหน้ารีไว “เข้าไปดูแล้วหรือยัง”

                “ยัง” ชายหนุ่มตอบสั้นๆก่อนดึงมือถือออกจากกระเป๋าและกดหมายเลขของเอเลนอย่างร้อนใจ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความกังวลเมื่อไม่มีคนรับสาย จะบอกว่าลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะนับตั้งแต่รู้จักกัน เขาสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มมักจะพกมือถือติดตัวอยู่ตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่เขาแอบล้วงออกมาเพื่อดูเบอร์โทร. พยายามอยู่นานจนครั้งสุดท้ายสัญญาณก็ขาดหายไปเหมือนถูกปิด รีไวจึงรู้ในทันทีว่าเวลานี้เอเลนกำลังอยู่กับใครบางคน ซึ่งเขาภาวนาขออย่าให้เป็นแอนนี่

                “เป็นไง” แจนถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นรีไวปิดมือถือด้วยสีหน้าที่ดูเคร่งเครียดจนน่ากลัว

                “ฉันคิดว่าเขาโดนใครบางคนจับตัวไป” ตอบเบาจนเสียงแทบไม่หลุดจากปาก แจนเบิกตาโพลง

                “ว่าไงนะ!” เขาร้องเสียงดังและหุบปากแทบไม่ทันเมื่อเห็นสายตากร้าวของรีไว

                “อยากให้มิคาสะได้ยินหรือยังไง” ชายหนุ่มติง แจนจึงเอี้ยวตัวมองกลับเข้าไปในร้าน พอไม่เห็นคนที่กำลังพูดถึงเขาก็ถอนใจออกมาเบาๆก่อนจะหันกลับไปที่เพื่อนร่วมทีม

                “ฝีมือแอนนี่หรือเปล่า”

                รีไวยืนนิ่งไม่ตอบอะไรกลับมา แจนจึงเข้าใจว่าเขาเองก็กำลังคิดแบบนี้เช่นเดียวกัน คำถามก็คือแอนนี่จะจับตัวเอเลนไปเพื่ออะไร ข่มขู่ให้พวกเขาวางมือจากคดีหรือเป็นการแก้แค้นส่วนตัว ซึ่งหากเป็นอย่างหลัง โอกาสรอดดูจะน้อยเต็มที

                “เอาไงดี” แจนถาม ยังไม่ทันได้คำตอบ โทรศัพท์ของรีไวก็ดังขึ้นมาเสียก่อน พอเห็นว่าเป็นเอลวิน เขาก็กดรับพร้อมกับถามสั้นๆ

                “มีอะไร”

                พอได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายตอบกลับมา ความร้อนใจก็เปลี่ยนเป็นความเคร่งเครียด สีหน้าเคร่งขรึมงอง้ำมากกว่าเก่าจนแจนแทบจะเห็นเงาทะมึนแผ่ออกมาจากตัวของรีไว

                “ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

                ชายหนุ่มตอบสั้นๆก่อนปิดโทรศัพท์และหมุนตัวกลับไปที่รถ แจนรีบฉวยไหล่เอาไว้

                “เกิดอะไรขึ้น”

                “อดีตนายอำเภอปีเตอร์สันกับสส.ฟูลไชน์ถูกยิง คนแรกตายคาที่ส่วนคนหลังตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”

                “เรื่องใหญ่เลยนะ รู้หรือเปล่าว่าใครเป็นคนยิง”

                “เอลวินคิดว่าน่าจะเป็นคนใกล้ตัว” รีไวตอบและเตรียมขึ้นรถ แต่พอเห็นแจนทำท่าจะตามเขาก็ห้าม “นายอยู่ที่นี่ดีกว่า”

                “แต่...”

                “มันเป็นคำสั่งของเอลวิน เขาไม่อยากให้มิคาสะกับเอเลนเป็นอันตราย”

                น้ำเสียงในตอนท้ายช่วงที่พูดถึงเด็กหนุ่มสั่นเล็กน้อย ทำให้แจนรู้ว่าแท้จริงแล้วรีไวเป็นห่วงเอเลนมาก แต่เพราะหน้าที่ทำให้เขายังไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเอลวิน ปัญหาก็คือหากเกิดเรื่องร้ายกับเด็กหนุ่มขึ้นมาจริงๆ รีไวอาจโกรธจนขาดสติ และลงมือจัดการคนร้ายจนถึงตาย   

                “นายน่าจะแวะไปที่อพาร์ตเม้นต์ก่อน” แจนเตือน อีกฝ่ายนิ่งไปเล็กน้อยก่อนพยักหน้ารับและขับรถออกจากที่นั่นโดยไม่พูดอะไรอีกเลย

                .ใช้เวลาราวยี่สิบนาที รถของรีไวก็แล่นเข้าไปจอดที่โรงพยาบาล พอลงจากรถเขาก็ตรงดิ่งไปยังห้องพิเศษชั้นบนสุดซึ่งสงวนไว้สำหรับบุคคลสำคัญเท่านั้น ตอนแรกหน่วยอารักขาไม่ยอมเปิดทางให้แต่พอเห็นบัตรประจำตัวและรู้ว่าเป็นรีไว เจ้าหน้าที่พิเศษมือหนึ่งของเอฟบีไอ ทุกคนก็ยอมให้เขาผ่านเข้าไปในห้องของสส.แต่โดยดี

                “ท่านสส.” ชายหนุ่มเอ่ยทักพร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพตามลำดับชั้น อีกฝ่ายพยักหน้ารับอย่างเนือยๆ เอลวินจึงรีบกล่าวแนะนำ

                “เจ้าหน้าที่พิเศษรีไว มือหนึ่งในทีมของผม”

                “รีไว” สส.ฟูลไชน์ทวนคำด้วยสีหน้าที่ดูมีชีวิตชีวาขึ้น “ผมได้ยินกิตติศัพท์ของคุณมานานแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะมีโอกาสได้พบตัวจริง”

                “เช่นกัน” รีไวพูดสั้นๆก่อนหันไปทางเอลวิน “รู้หรือยังว่าใครเป็นคนยิง”

                ทั้งห้องพากันเงียบกริบ เจ้าหน้าที่อารักขาต่างมองหน้ากันโดยไม่มีใครกล้าปริปากพูดอะไร ในขณะที่ตัวสส.ฟูลไชน์นั่งหน้าซีดตัวสั่น

    “แอนนี่”

    เขาหลุดปากบอกเสียงเบาจนเกือบจะเป็นกระซิบ ทั้งคู่หันไปมองคนบนเตียงพร้อมกัน เอลวินจึงถามต่อ

    “พอจะทราบหรือเปล่าว่า ทำไม” พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ตอบ เขาจึงพูดต่อ “เธอระเบิดหัวของคุณปีเตอร์สันในบ้านพักของท่าน ถือว่าเป็นการกระทำที่อุกอาจและเป็นเจตนาฆ่าซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นการล้างแค้นส่วนตัว”

    เอลวินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและมองสส.แมทธิว ฟูลไชน์เหมือนจะหยั่งความรู้สึก พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายกำลังอยู่ในความหวาดกลัวและเริ่มลังเล เขาจึงตัดสินใจกล่าวตามตรง

    “คำถามของผมก็คือ แอนนี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับอดีตนายอำเภอปีเตอร์สัน”

    สส.หนุ่มไม่ตอบแต่กลับขยำผ้าห่มแน่น ช่วงเวลานั้นเองเสียงโทรศัพท์ของเอลวินก็ดังขึ้น เขากล่าวขอตัวก่อนกดรับ หลังจากฟังปลายสายแจ้งข่าวจบเขาก็ปิดโทรศัพท์ยัดกลับลงกระเป๋าตามเดิมและหันไปพูดกับรีไวด้วยเสียงที่ค่อนข้างดังเหมือนเจตนาให้สส.ฟูลไชน์ได้ยิน

    “ผอ.โรงพยาบาลวินเซนต์หายตัวไป”

    เขาลอบมองคนบนเตียงด้วยหางตา ส่วนรีไวถาม

    “หายไปนานแค่ไหน”

    5 ชั่วโมง”

    “เวลาแค่นั้นตำรวจยังไม่รับแจ้งความหรอก” รีไวพูดด้วยท่าทางที่เหมือนจะไม่ใส่ใจนัก เอลวินส่ายหน้า

    “แต่ญาติเข้ามาร้องกับเอฟบีไอ”

    รีไวยกนาฬิกกาขึ้นมาดู

    “ดีกป่านนี้ยังมีเจ้าหน้าที่รับเรื่องอยู่อีกเหรอ”

    “พวกเขาต่อสายตรงไปที่ผอ.” หัวหน้าของเขาพูดพลางมองลูกน้องมือหนึ่งที่กำลังเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจก่อนชำเลืองตาไปทางสส.แมทธิว “ฉันเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าผอ.โรงพยาบาลธรรมดาจะมีความสำคัญถึงขนาดเรียกเจ้าหน้าระดับสูงของเอฟบีไอให้ลุกจากที่นอนได้”

    สิ่งที่ได้ยินทำให้สส.หนุ่มทำท่าเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ความหวาดกลัวที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจทำให้เขายังคงลังเล ไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว เอลวินมองใบหน้าซีดเผือดกับมือซึ่งกำลังสั่นเทานิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงขยับเข้าไปหาพร้อมกับพูดอย่างสุภาพ

    “ท่านมีอะไรจะบอกเราหรือเปล่า” ถามพลางมองดวงตาที่เหลือบขึ้นมาสบกับเขาอย่างขลาดกลัว “ผมเข้าใจดีว่าเวลานี้ท่านรู้สึกอย่างไร แต่ถ้าท่านไม่กำจัดต้นเหตุ ก็จะไม่มีวันหลุดพ้นจากฝันร้าย”

    “คุณไม่มีวันช่วยผมได้หรอก เอลวิน ผมจมอยู่กับมันมานาน รู้ดีว่าไม่มีทางสลัดเจ้าสิ่งน่ากลัวนี้ออกไปได้”

    สส.แมทธิวพูดด้วยใบหน้าเศร้า แต่เอลวินกลับย้อนถามด้วยน้ำเสียงนุ่มเหมือนแพทย์ผู้ใจดีกำลังปลอบคนไข้

    “ไม่มีทางหรือคุณไม่ยอมสลัดมันออกไปเอง” เขามองคนตรงหน้าที่กำลังเบิกตาโพลงเหมือนคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดทำนองนี้ก่อนกล่าวต่อ “จากการสนทนากันในครั้งก่อนและความร่วมมือของคุณ ทำให้ผมทราบว่าคุณกับแอนนี่มีความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด ถ้าเดาไม่ผิดคุณรู้มานานแล้วว่าเธอเป็นใคร แต่เพราะอิทธิพลของพ่อ ทำให้คุณไม่กล้าแสดงอะไรออกมามาก กระทั่งเขาตายแอนนี่จึงก้าวเข้ามาในชีวิตและคอยบงการทุกอย่าง ความร้ายกาจของเธอทำให้คุณหวาดกลัวแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่พ่อเคยกระทำกับเธอ คุณเลยยอมทำทุกอย่างตามที่แอนนี่ต้องการ แม้กระทั่งปกปิดคดีฆาตกรรม”

    “คดีฆาตกรรมอะไร” สส.ฟูลไชน์ถามอย่างงุนงง เอลวินกับรีไวหันไปสบตากัน

    “คดีฆาตกรรมต่อเนื่องสิบรายที่พวกเรากำลังตามในตอนนี้”

    “ผมไม่รู้เรื่องพวกนั้น” แมทธิวพูด ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตระหนกมองเอฟบีไอทั้งสองสลับกันไปมา “ที่แอนนี่สั่งให้ทำก็มีแค่สืบหาคนตามรายชื่อที่เธอให้มากับช่วยเป็นพยานแก้ต่างตอนที่หายตัวไปบางครั้งเท่านั้น”

    “ไม่เคยสงสัยบ้างเลยหรือว่าเธอหาควานหาคนพวกนั้นไปทำไม”

    “ผมเคยถามเหมือนกัน เธอบอกว่าพวกเขาเคยอยู่บ้านอุปถัมภ์เดียวกัน ที่ตามหาเพราะคนพวกนี้เคยช่วยเหลือเธอมาก่อน”

    “เรื่องแค่นั้นถึงกับให้สส.ช่วยเลยหรือ” รีไวถามแต่พอเห็น แมทธิว ฟูลไชน์ทำหน้าเหมือนรู้สึกอึดอัดใจที่จะตอบเขาจึงขยับเข้าไปอีกนิดและพูดต่อ “ฉันไม่สนใจหรอกว่าคุณจะมีส่วนร่วมอะไรด้วยหรือเปล่า แต่แน่ใจว่าคุณต้องรู้จักเหยื่อฆาตกรรมทั้งสิบรายดี เพราะพวกเขาคือคนที่แอนนี่ตามหา”

    ชายหนุ่มโน้มตัวลงจ้องลึกเข้าไปในดวงตาขลาดของฟูลไชน์

    “แต่ที่ถามเพราะตอนนี้มีเด็กคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าคุณมัวแต่อ้ำอึ้งไม่พูดอะไรเขาอาจจะโดนเชือดเป็นชิ้นๆหรือบางทีอาจจะถูกฆ่าไปแล้ว”

    น้ำเสียงที่ใช้เน้นหนักเหมือนต้องการตอกย้ำความรู้สึกของคนฟัง ส่วนเอลวินมองรีไวอย่างนึกเอะใจ

    “นายกำลังพูดถึงใคร”

    “เอเลน” รีไวตอบทั้งที่ยังคงมองฟูลไชน์อยู่ในท่าเดิม “แอนนี่จับตัวเขาไป”

    “ต..แต่เด็กคนนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพวกนั้น เธอจะจับตัวเขาไปทำไม” สส.ถามเสียงสั่น รีไวขบกรามก่อนตอบ

    “เพราะเขามีความเกี่ยวข้องกับฉัน” มือเลื่อนไปขยุ้มคอเสื้ออีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว “เจ้าหนูนั่นเป็นแค่เด็กอายุ 16 แต่กลับต้องมาเจอกับฆาตกรโรคจิตที่ฆ่าคนไปเป็นสิบ คิดดูให้ดีกว่าป่านนี้เขาจะเป็นยังไง ไอ้ความหวาดกลัวของคุณในตอนนี้มันยังไม่ถึงครึ่งของเขาเลยด้วยซ้ำ”   

    “รีไว!” เอลวินเตือน ชายหนุ่มจึงละมือและยอมถอยออกมา พอลูกน้องอยู่ห่างจากสส.แล้วเขาจึงพูดอ้อนวอน “ได้โปรดบอกความจริงกับเราด้วย”

    แมทธิว ฟูลไชน์ก้มหน้าลงมองมือของตัวเอง นั่งเงียบไปชั่วอึดใจจู่ๆเขาก็พูดขึ้น

    “ขอผมอยู่กับพวกเขาตามลำพัง”

    “แต่ท่านครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแย้ง เขาหันไปจ้องหน้า

    “ไม่ได้ยินที่ฉันสั่งหรือไง !

    ทุกคนหันไปมองหน้ากันก่อนทยอยออกจากห้อง พอเหลือเพียงแค่เขา เอลวินกับรีไวเท่านั้น สส.หนุ่มจึงเปิดปากพูด

    “คุณเข้าใจได้ถูกต้องแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษเอลวิน แอนนี่เป็นญาติของผม หรือถ้าจะพูดให้เจาะจง เธอเป็นพี่สาวของผมและเป็นสายเลือดแท้ๆของสส.โจนาธาน ฟูลไชน์”

    */*/*/*/*/*

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×