ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (รีไวxเอเลน)

    ลำดับตอนที่ #24 : 24

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.36K
      119
      9 มิ.ย. 57

    บทที่ 24

    สิ่งที่ได้ยินจากสส.แมทธิว ฟูลไชน์ เหนือความคาดหมายของเอลวินมาก เพราะเขาคิดว่าแอนนี่เป็นเพียงลูกลับๆของสส.โจนาธานเท่านั้น การถูกละเลยจากบิดาและการโดนมองข้าม ทำให้เธอพยายามดิ้นรนช่วยตัวเองทุกอย่างจนมีพฤติกรรมก้าวร้าวและกลายเป็นฆาตกรไปในที่สุด

    ข้อมูลที่หลุดออกจากปากของสส.หนุ่มทำให้เขาต้องวิเคราะห์เรื่องราวใหม่ทั้งหมด

    “กรุณาอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ด้วยครับ” เขาขอร้องอย่างสุภาพ เพราะกลัวแมทธิวจะเปลี่ยนใจ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะปลงตกและคิดได้ เพราะเขาถอนใจยาวก่อนพูด

    “เบลทรูทคงจะบอกพวกคุณว่า เธอเป็นลูกลับๆของพ่อกับโสเภณี” สส.หนุ่มชะงักเมื่อเห็นสายตาฉงนจากหัวหน้าทีมเอฟบีไอ “ผมรู้จักเบลทรูท เพราะแอนนี่เคยพาเขามาที่บ้านครั้งหนึ่ง เธอบอกกับผมว่าเคยอยู่บ้านอุปถัมภ์เดียวกันและนับถือกันเหมือนพี่น้อง”

    “แล้วโทมัสล่ะ”

    “ใครหรือครับ” สส.ฟูลไชน์ถามด้วยสีหน้างงงัน เอลวินจึงส่ายหน้าช้าๆ

    “ช่างเถอะครับ เล่าเรื่องของแอนนี่ต่อดีกว่า”

    สส.หนุ่มพยักหน้าและสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเหมือนตัดสินใจเล่าสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตก่อนจะพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    “เบลทรูทเข้าใจผิด เพราะแท้จริงแล้วแอนนี่เป็นสายเลือดของฟูลไชน์ ส่วนลูกของโสเภณีที่เขาพูดถึง คือตัวผมเอง”

    เขามองเอลวินกับรีไวเหมือนคาดหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าพิศวง ตระหนก แปลกใจหรืออะไรทำนองนั้น แต่สส.หนุ่มคิดผิด เพราะเอฟบีไอทั้งสองยังคงรักษาอาการสงบนิ่ง ไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา

    “ดูจากแฟ้มประวัติ แอนนี่แก่กว่าคุณสามปี แสดงว่าเธอเคยอยู่ในบ้านสส.โจนาธานมาก่อน แต่ทำไมไม่ปรากฏชื่อของเธอในทะเบียนบ้าน”

    แมทธิว ฟูลไชน์นิ่งเงียบไม่ตอบ รีไวจึงเป็นคนพูดแทน

    “มันถูกลบโดยฝีมือคนใน” พูดพลางมองหน้าคนเจ็บที่นั่งหน้าซีดบนเตียง “ถ้าคิดไม่ผิดคงเป็นอดีตนายอำเภอที่โดนเป่าสมองในบ้านของคุณ”

    “ใช่”

    “ทำให้คนที่อยู่ด้วยกันมาถึงสามปีหายไปจากชีวิต” เอลวินเปรยและหยุดไว้แค่นั้นพร้อมกับกลืนประโยค เป็นคนที่ใจร้ายมาก กลับลงไปในคอ จากนั้นก็นิ่งไปเล็กน้อยก่อนวกกลับมาถามอีกครั้ง “ในเมื่อกำจัดแอนนี่ไปแล้ว เธอหวนกลับมาได้ยังไง”

    “เป็นคำขอร้องของคุณแม่ ช่วงนั้นท่านป่วยกระเสาะกระแสะ พ่อเลยยอมตามใจ แต่ก็ไม่บ่อยนัก” สส.ฟูลไชน์ตอบและยิ้มอย่างเจ็บปวด “อย่าเข้าใจผิด มันไม่ใช่เพราะความใจดีหรอก ตอนนั้นมีเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับพวกคอรัปชั่น หมอเบอร์นาร์ดเลยแนะให้ท่านสร้างภาพด้วยการบริจาคเงินให้บ้านอุปถัมภ์และยอมให้เด็กกำพร้าเข้าไปเที่ยวเล่นในบ้านได้” 

    “หมอเบอร์นาร์ดที่พูดถึงคือผอ.โรงพยาบาลที่หายตัวไปหรือเปล่า”

    “ใช่”

    “งั้นเขาก็น่าจะเป็นผู้มีพระคุณที่ทำให้แอนนี่กลับเข้าบ้านได้อีกครั้ง” เอลวินพูด แมทธิวส่ายหน้า

    “ตรงกันข้าม เขานี่แหละที่เป็นคนบอกให้พ่อเปลี่ยนตัวผมกับแอนนี่ จากนั้นก็ปลอมแปลงใบเกิด สร้างหลักฐานปลอมทุกอย่าง ตอนแรกเขาเสนอให้เอาแอนนี่ไปทิ้งที่อื่นด้วยซ้ำ แต่โสเภณีคนนั้นขอรับเลี้ยงไว้เองโดยมีข้อแม้ว่าจะต้องสร้างบ้านอุปถัมภ์และห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธออย่างเด็ดขาด รวมทั้งห้ามแตะต้องแอนนี่ด้วย”

    “คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” เอลวินถาม แมทธิวเม้มปากน้อยๆก่อนตอบ

    “ผมเจอสัญญาของเธอในลิ้นชักเก็บเอกสารสำคัญ และเคยได้ยินหมอเบอร์นาร์ดเอาเรื่องนี้มาขู่พ่อหลายครั้ง จนกระทั่งเขาได้เป็นผอ.โรงพยาบาล”

    “แอนนี่จึงจับตัวเขาไป ส่วนนายอำเภอมีความผิดน้อยกว่าเลยโดนตัดสินแค่ยิงทิ้ง” เอลวินพูด “แสดงว่าเหยื่อทุกคนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหมด เลยถูกทรมานเพื่อระบายความแค้นและให้สาสมกับความผิด”

    “ฉันว่าที่นายอำเภอโดนยิงเพราะเรารู้เรื่องของเธอแล้วมากกว่า” รีไวพูด “ส่วนหมอเบอร์นาร์ด..” เขาหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและนิ่งคิดก่อนจะเบิกตากว้างเหมือนนึกขึ้นได้ “งั้นก็หมายความว่า”

    เขาหันไปทางเอลวิน “ตำรวจยังเฝ้าบ้านอุปถัมภ์นั่นอยู่หรือเปล่า”

    อีกฝ่ายรีบโทร.ไปสอบถามทันที สีหน้าที่เคร่งขรึมฉายแววตระหนกจางๆเมื่อได้ยินคำตอบ รีไวจึงถามอย่างร้อนใจ

    “ว่าไง”

    “พวกเขาได้รับคำสั่งให้ถอนกำลังจากที่เกิดเหตุ...” เขาชะงักคำพูดค้างและเบิกตากว้างเมื่อเห็นอีกฝ่ายผลุนผลันออกจากห้อง “นายจะไปไหน รีไว!

    “บ้านอุปถัมภ์ เอเลนอยู่ที่นั่น”

    ชายหนุ่มตะโกนตอบก่อนจะผลุบหายเข้าไปในลิฟต์ เอลวินสบถออกมาเบาๆว่า “บ้าจริง!” ก่อนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง แต่แมทธิวชิงพูดขึ้นก่อน

    “คุณต้องการหมายจับ” เขาเอื้อมไปหยิบสมาร์ตโฟนของตัวเองบนโต๊ะ “ผมจะติดต่อท่านผู้พิพากษาให้เอง”

    */*/*/*/*/*

    รถของรีไวปราดเข้าไปจอดไม่ห่างบ้านอุปถัมภ์เท่าใดนัก พอดับเครื่องยนต์เขาก็ดึงปืนทั้งสองกระบอกขึ้นมาตรวจ ระหว่างนั้นตาก็มองไปรอบๆเพื่อดูว่ามีใครซ่อนตัวอยู่บ้างหรือเปล่า พอเห็นว่าปลอดภัยเขาก็ปลดล็อคประตูเตรียมลงจากรถ แต่สังหรณ์บางอย่างทำให้หยุดชะงักและเลื่อนมือไปเปิดลิ้นชักหน้า หยิบปืนพกขนาดเล็กที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้นยัดไว้ที่ขอบด้านหลังของกางเกง

    เตรียมตัวเสร็จเขาก็ดึงปืนพกประจำตัวออกมาและเดินตรงไปที่ประตูทางเข้า จากนั้นจึงใช้มือผลักเบาๆและขมวดคิ้วเมื่อพบว่ามันเปิดออกอย่างง่ายดาย แสดงว่ามีใครบางคนเข้ามาในนี้ ชายหนุ่มคิดพลางมองฝ่าความมืดเข้าไปในตัวบ้าน พอเห็นว่าไม่มีใครเขาจึงเดินเข้าไปด้านในช้าๆ ทีละก้าวอย่างระมัดระวัง

    เสียงแกรกเบาๆดังแทรกความเงียบขึ้นมา รีไวหยุดและเล็งปืนไปยังที่มาของเสียงทันที พอเห็นว่าไม่มีอะไรเขาจึงเดินต่อโดยมุ่งไปยังห้องใต้ดิน เพราะแน่ใจว่าที่แอนนี่มาที่นี่ ก็เพื่อจัดการกับเหยื่อคนสุดท้ายในห้องเชือดของเธอ

    ยิ่งเข้าใกล้ห้องนั้นมากเท่าไหร่ จิตใจที่สงบนิ่งก็เริ่มหวั่นไหว สาเหตุที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะความมืดอันน่าหวาดระแวง หรือความเงียบที่น่าพรั่นพรึง หากเป็นกลิ่นคาวที่ลอยมาตามลม แม้จะบางเบาแต่เจ้าหน้าที่ซึ่งคลุกคลีกับคดีฆาตกรรมมานานอย่างเขารู้ดีว่า มันเป็นกลิ่นเลือด!

    ใจของรีไวเต้นแรงจนแทบจะหลุดออกมาจากอก อาจจะดูเป็นการเห็นแก่ตัวแต่เขาเฝ้าภาวนาขอให้กลิ่นเลือดนั่น มาจากร่างของหมอเบอร์นาร์ด

    แต่ถ้ามันเป็นเลือดของเอเลนล่ะ ?

    คิดพลางกระชับปืนในมือแน่น หากเป็นเช่นนั้น เขาคงยิงแอนนี่โดยไม่ลังเล   

    เสียงร้องครางด้วยความเจ็บปวดดังแว่วมาเป็นระยะทำให้รีไวหยุดความคิดว้าวุ่นทั้งหมดและเงี่ยหูฟัง ซึ่งก็พบว่ามันมาจากห้องใต้ดินนั่นเอง แต่มันอยู่ลึกลงไปถึงสองชั้น แล้วเสียงนั่นลอดออกมาได้ยังไง จะว่าแอนนี่เปลี่ยนสถานที่เชือดก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสำหรับคนที่มีจิตใจอาฆาตและหมกมุ่นอยู่กับการแก้แค้นมักจะลงมือกับเหยื่อในอาณาเขตที่คุ้นเคยมากกว่า นอกเสียจากเธอเปิดประตูค้างไว้ เพื่อต้อนรับการมาของเขา

    รีไวค่อยๆก้าวลงไปตามบันไดอย่างระมัดระวังจนกระทั่งถึงห้องใต้ดิน พอเห็นช่องทางเข้าเปิดอ้า เขาจึงรู้ว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองถูกต้อง แอนนี่กำลังรอการมาของเขาจริงๆ ปัญหาก็คือเธอจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร สารภาพความผิดที่ทำมาทั้งหมด หรือแก้แค้นที่เขามาขวางทาง

    ถ้าเป็นข้อแรก คงหมดห่วงเรื่องเอเลน แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง....

    รีไวสะบัดหน้าตัวเองแรงๆก่อนหยุดยืนเหนือทางเข้า หลังจากมองปราดไปคร่าวๆจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีกับดักหรือใครบางคนยืนถือปืนรออยู่ ชายหนุ่มจึงเดินลงบันไดไปทีละขั้น พอลงไปถึงชั้นล่างเขาก็ต้องผงะเพราะกลิ่นเลือดกับสารเคมีที่อัดแน่นอยู่ในอากาศ เมื่อมองไปที่เตียงชันสูตร รีไวถึงกับยืนตัวแข็งเมื่อเห็นใครบางคนถูกชำแหละเหมือนหมูบนเขียง นอนเบิกตาค้างหายใจรวยริน

    ไม่สิ ไม่ใช่เปิดตาค้าง แต่มันเบิกกว้างเพราะเปลือกตาถูกกรีดออกไปแล้วต่างหาก

    ชายหนุ่มรีบกวาดตามองไปรอบห้องเพื่อค้นหาคนทำ แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา เขาจึงขยับเข้าไปใกล้เตียงอีกนิดด้วยความคิดว่าอาจจะพอช่วยเหลือเหยื่อเคราะห์ร้ายคนนี้ได้ เพราะถ้ารอด ผู้ชายคนนี้ก็จะเป็นพยานสำคัญ พอเห็นสภาพแล้ว เขาต้องเปลี่ยนใจ

    ตลอดทั่วร่างถูกเชือด ชำแหละจนเป็นริ้ว หน้าท้องถูกเปิดออกเผยให้เห็นอวัยวะภายใน ที่น่าแปลกก็คือ ทั้งมือและเท้าของชายคนนี้เป็นอิสระ ไม่มีร่องรอยของการถูกมัด ถ้าอย่างนั้นระหว่างที่โดนเชือด ทำไมเขาถึงไม่ดิ้นทุรนทุรายหรือส่งเสียงกรีดร้องออกมา คิดพลางมองของเหลวสีแดงข้นที่กำลังไหลรินออกจากร่าง ผิวที่เริ่มเผือดลงทุกขณะทำให้รู้ว่าชายคนนี้คงมีชีวิตได้อีกไม่นาน

    ระหว่างที่กำลังยืนคิด ดวงตาของเหยื่อก็กลิ้งมาทางรีไว ปากที่ปิดสนิทเผยอขึ้นเล็กน้อยเหมือนต้องการจะเปล่งคำพูดแต่ไม่มีเสียงอะไรหลุดจากปาก เมื่อไม่อาจกล่าวอะไรได้ ดวงตาสยองคู่นั้นจึงกลอกไปทางตู้ไม้ขนาดใหญ่ตรงมุมห้อง เหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่าง รีไวจึงเล็งปืนไปที่นั่นและเดินอย่างช้าๆตรงไปที่ตู้ มืออีกข้างแตะบานประตูอย่างระมัดระวัง พอได้จังหวะเขาก็กระชากให้เปิดออกพร้อมกับถอยหลัง และขู่ด้วยเสียงที่น่ากลัว

    “อย่าขยับ...!” คำพูดชะงักค้างไว้แค่นั้นเมื่อเห็นคนที่อยู่ภายใน “เอเลน !

    เด็กหนุ่มที่ถูกมัดมือ เท้าและมีผ้าผูกปากเอาไว้มองรีไวด้วยดวงตากลมโตที่เต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ชายหนุ่มจึงเก็บปืนกลับลงซองก่อนจะย่อตัวลงนั่งเพื่อคลายพันธนาการให้

    “เป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” มือคลายปมออกพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง พอผ้าหลุดจากปาก เด็กหนุ่มก็ร้องไห้โฮ

    “คุณรีไว”

    เรียกได้แค่นั้นก็เอนหน้าลงไปซุกกับอก รีไวจึงกอดเขาไว้พร้อมกับปลอบเบาๆ มือก็แกะเชือกไปพร้อมกัน 

    “ไม่ต้องกลัวนะ” พูดพลางจูบผมสีน้ำตาลอย่างนุ่มนวล พอคลายปมเชือกสำเร็จ เขาก็ดันตัวเอเลนออกและไล่สายตาไปทั่วตัวเพื่อดูว่าเขาโดนทำร้ายตรงไหนบ้างหรือเปล่า 

    “ผมไม่เป็นอะไรครับ” เด็กหนุ่มซึ่งดูเหมือนจะสงบสติลงได้รีบบอก รีไวถอนใจออกมาเบาๆพลางนึกขอบคุณอยู่ในใจก่อนเอ่ยปากถาม

    “นายมาอยู่นี่ได้ยังไง”

    เอเลนเตรียมจะตอบแต่ดวงตากลับมองข้ามไหล่ของอีกฝ่ายไปทางด้านหลัง กิริยาของเด็กหนุ่มทำให้รีไวรู้ทันทีว่าใครบางคนกำลังย่องเข้ามา แต่พอขยับ หัวของเขาก็เกิดอาการเจ็บแปลบเหมือนโดนอะไรฟาด จากนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลง

    ....

    ...

    ...

    “คุณรีไวครับ”

    เสียงร้องเรียกเหมือนมาจากที่ไกลแสนไกลดังขึ้น รีไวพยายามเปิดตามองแต่แสงสีขาวเจิดจ้าที่ส่องลงมาจากท้องฟ้าบาดตาเสียจนเขาต้องปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง แต่พอทำแบบนั้นร่างกายของเขาก็เกิดอาการสั่นน้อยๆ

    “คุณรีไวครับ”

    เสียงเรียกอีกครั้ง คราวนี้ดังใกล้ตัวขึ้นมาอีกหน่อย น่าแปลกที่เขารู้สึกคุ้นกับเสียงและการเรียกแบบนี้แต่นึกไม่ออกว่าเป็นใคร ด้วยความสงสัย ชายหนุ่มจึงหมุนศีรษะเพื่อหลบแสงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง และมองเงาร่างเลือนรางของใครบางคนที่กำลังมองอย่างห่วงใย

    “คุณรีไว”

    น้ำเสียงคราวนี้แฝงไว้ซึ่งความโล่งใจและยินดีระคนกัน รีไวมองใบหน้าที่งดงามกับดวงตาสีเขียวมรกตแสนสวยก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ

    “เอเลน”

    ภาพเหตุการณ์ต่างๆวิ่งวนกลับเข้ามาในความทรงจำ เพื่อช่วยคนรัก เขาจึงตามแอนนี่มาที่บ้านอุปถัมภ์และได้พบกับร่างที่ถูกชำแหละอย่างยับเยินของนายแพทย์เบอร์นาร์ด และผู้ชายคนนั้นเองที่ทำให้เขาเจอเอเลน ขณะที่กำลังสอบถามความเป็นมา เขาก็โดนลอบทำร้ายจนหมดสติไป

    พอนึกถึงตรงนี้ รีไวก็ลุกพรวดขึ้น แต่ต้องทิ้งตัวลงนอนอีกครั้งเพราะทั้งแขนและขาถูกพันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา ชายหนุ่มบดกรามแน่นก่อนเหลือบตาไปทางเอเลน

    “แก้มัดให้หน่อย”

    “ไม่ได้หรอกครับ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับเลื่อนสายตามองตรงไปยังเตียงชันสูตร รีไวทำตามจึงพบผู้ต้องสงสัยที่เขาตามล่ากำลังวางปืนพกลงบนโต๊ะ

    “แอนนี่”

    “สายัณห์สวัสดิ์ คุณรีไว” เธอกล่าวทักทายพลางเลื่อนมือไปหยิบมีดผ่าตัด และลงมือกรีดเนื้อหน้าอกของหมอเบอร์นาร์ดอย่างบรรจง รีไวเห็นร่างกายของเขาสั่นระริก แต่กลับไม่มีเสียงใดหลุดรอดออกมา

    “ฉันให้ยาชนิดพิเศษกับเขา” แอนนี่พูดเหมือนตอบข้อสงสัยก่อนจะวางมีดลงและหยิบอุปกรณ์บางอย่างกดลงบนรอยแผล “มันจะทำให้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่ยังคงมีสติรับรู้ถึงสิ่งต่างๆได้เหมือนคนปรกติทั่วไป”

    พูดพร้อมกับหมุนเกลียวเพื่อแยกกล้ามเนื้อออกจากกัน ดวงตาสีฟ้าทอประกายวาววับอย่างพึงพอใจ

    “ฉันอยากให้คุณเห็นหัวใจของเขาจริงๆ” เรียวปากสีแดงฉ่ำเหยียดยิ้ม “สีของมันช่างสวยงามเหมือนกับกลีบของดอกกุหลาบไม่มีผิด”

                ประกายในแววตาดับวูบลง “ช่างตรงกันข้ามกับความดำมืดในหัวใจของเขาเหลือเกิน”

                รีไวได้ยินเสียงครางอืออาออกมาจากปากของเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย แอนนี่กลับถอดถุงมือยางออกและยืนมองด้วยสีหน้าที่เฉยชา

                “อ้อนวอนยังไงก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่มีวันยอมให้แกตายง่ายๆหรอก” เธอพูดเสียงเหี้ยม “เทียบกับความทุกข์ที่ฉันเคยเจอแล้ว ความเจ็บปวดของแกในตอนนี้มันยังน้อยนัก”

                รีไวมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังของแอนนี่พลางครุ่นคิดหาวิธีโน้มน้าวให้เธอวางมือจากหมอเบอร์นาร์ดและยอมมอบตัวแต่โดยดี ซึ่งก็คงจะเป็นไปได้ยาก เพราะผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงแถมพกแต่ความอาฆาตจนอัดแน่นอยู่เต็มอก คงไม่มีทางรับฟังอะไรแน่

                คิดพลางเหลือบตาไปทางเอเลน ต่อให้ยากยังไงก็ต้องลอง เพราะไม่อย่างนั้นแล้วคนที่เขารักจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย

                “พอได้แล้ว แอนนี่” เขาพูดโดยพยายามใช้เสียงที่ดูจริงใจมากที่สุด “ฉันคิดว่าหมอเบอร์นาร์ดคงสำนึกแล้วว่าเคยทำสิ่งเลวร้ายกับเธอมา และตอนนี้เรารู้แล้วว่าเขาทำเรื่องชั่วช้าอะไรไว้บ้าง เพราะฉะนั้นปล่อยเขาและให้กฎหมายเป็นผู้ลงโทษดีกว่า”

                แอนนี่หันหน้ามาช้าๆ เธอจ้องประสานตากับรีไวแน่วนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเหยียดยิ้ม

                “ให้กฎหมายเป็นผู้ลงโทษ” เธอทวนคำด้วยน้ำเสียงเจือหัวเราะ “รู้หรือเปล่าว่าเจ้านี่มันกะล่อนแค่ไหน ขนาดทำคนไข้ตายคามือ มันยังไม่สน นอกจากจะไม่ขอโทษแล้วยังให้ทนายฟ้องญาติคนไข้ว่าไปหมิ่นประมาทมันอีก”  

                เธอชำเลืองมองคนบนเตียงอย่างชิงชัง

                “ตัวสารเลวอย่างมันเจอแค่นี้ยังนับว่าน้อยไป”

                “ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีทำไมคุณถึงไม่แจ้งให้ตำรวจจับละครับ” เอเลนหลุดปากถามออกมาและไหวตัวน้อยๆเมื่อดวงตากร้าวของแอนนี่เลื่อนมาจ้อง เด็กหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอเพื่อไล่ความหวาดกลัวกลับลงไปในลำคอก่อนพูดต่อ “คุณบอกว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนเลว แต่เท่าที่เห็นในตอนนี้ สิ่งที่คุณทำกับเขาก็น่าจะเลวพอๆกัน”

                คิ้วสวยของแอนนี่เลิกขึ้นเล็กน้อยก่อนที่เธอจะเหยียดริมฝีปากยิ้มเหมือนถูกใจ

                “โลกสวยเกินไปหรือเปล่าเจ้าหนู” เธอถามและเปลี่ยนจากการยืนธรรมดามาเป็นยกมือขึ้นกอดอก “แต่คิดอีกทีสิ่งที่เธอพูดมามันก็ถูก เพราะฉันทำเรื่องเลวร้ายมาตลอดชีวิต คิดดูแล้วก็ชั่วไม่แพ้หมอนี่เหมือนกัน”

                “แต่ถ้าคุณวางมือยอมรับโทษ ก็สามารถเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้นี่ครับ”

                เอเลนพูดด้วยใบหน้าที่ใสซื่อ แอนนี่ทำตาโตเหมือนนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเจตนาที่ดีซึ่งหาได้ยากยิ่งในยุคนี้ โดยเฉพาะจากเด็กอายุแค่ 16

                “อย่างที่โทมัสกับเบลทรูทบอกเอาไว้จริงๆ เธอเป็นเด็กที่มีจิตใจสะอาดบริสุทธิ์มาก” หญิงสาวเลื่อนดวงตาไปทางรีไว “นายโชคดีนะที่เจอคนรักแบบนี้ แต่ก็นั่นแหละ เพราะเจ้าหนูนี่ โทมัสถึงเปลี่ยนไป”

                “คุณถึงกำจัดเขาทิ้ง”

                “ฉันทำเพื่อเบลทรูท” แอนนี่เถียงไม่เต็มปาก พร้อมกับก้มหน้าลงเหมือนคนสำนึกผิด รีไวจึงเข้าใจอะไรบางอย่างได้ลางๆ

                “เธอคิดว่าฆ่าโทมัสแล้วจะทำให้เบลทรูทพอใจอย่างนั้นหรือ” เขาส่ายหน้าอย่างเวทนา “ไม่รู้หรือไงว่าสองคนนี่รักกันมาก ที่หมอนั่นมาสนใจฉันก็เพราะเป็นพฤติกรรมของเด็กที่ตกอยู่ในอาการคลั่งไคล้ต่างหาก ใช้เวลาไม่นานเขาก็จะหันกลับไปหาเบลทรูทตามเดิม”

                 “ที่เขาสนใจนายก็เพราะเบลทรูทหันไปชอบเจ้าหนูนี่ต่างหาก”

                “เขาทำตามคำสั่งเธอไม่ใช่เหรอ” รีไวแย้ง หญิงสาวหันมามองหน้า

                “รู้ได้ยังไง”

                “ฉันเป็นเอฟบีไอ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ แอนนี่มองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ

                “นั่นสินะ” พูดจบก็หันไปมองหมอเบอร์นาร์ดที่นอนหายใจรวยรินบนเตียงด้วยดวงตาที่เหม่อลอย

    รีไวจึงฉวยโอกาสนั้นหันไปกระซิบกับเอเลน

                “แก้เชือกเร็ว”

                “ขอโทษ” จู่ๆแอนนี่ก็พูดขึ้น เอเลนสะดุ้งเฮือกส่วนรีไวรีบขยับตัวบังเด็กหนุ่มเอาไว้พร้อมกับถาม

                “เรื่องอะไร”

                “การตายของเจ้าหน้าที่พิเศษที่ชื่อมาร์โค” เธอตอบโดยตายังคงจ้องอยู่ที่หัวใจของหมอเอบร์นาร์ดซึ่งกำลังเต้นช้าลง “ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าเขาแต่ความโง่เง่าของขี้ยาพวกนั้นทำให้เขาต้องตาย”

                “แล้วเหยื่อทั้งสิบรายล่ะ”

                คราวนี้แอนนี่หันมามองหน้าชายหนุ่มช้าๆ

                “เก้า” เธอพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเป็นการคุยกันถึงเรื่องทั่วไป “ที่ฆ่าเพราะพวกมันทั้งหมดมีส่วนร่วมทำให้ฉันกลายเป็นเด็กกำพร้า”

                ดวงตาสีฟ้าจ้องรีไวเหมือนต้องการจับความรู้สึก พอเห็นว่าเขายังคงมีอาการนิ่งสงบ เธอจึงยิ้ม

                “เจ้าหนูแมทธิวคายความจริงออกมาแล้วสินะ”

                “ฉันแปลกใจที่เธอไม่ฆ่าเขา”

                “ตอนแรกก็ตั้งใจเอาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน แต่พอเห็นเขาถูกเจ้าพ่อใจโหดทรมานแล้ว ก็ทำไม่ลง” แอนนี่พูด “อีกอย่าง นอกจากแม่แล้วมีแมทธิวนี่แหละที่คอยมองฉันอย่างเป็นห่วงเป็นใย นอกนั้น”

    เธอยักไหล่ “มองฉันเหมือนหนูในกองขยะ ฉันเลยตัดสินใจเข้าไปอยู่ในฟูลไชน์อีกครั้งเพื่อกำจัดพวกมันทั้งหมด”

    “รวมถึงพ่อของเธอด้วยอย่างนั้นหรือ” รีไวถาม แอนนี่ทำหน้าเสียดายอย่างสุดซึ้ง

    “ฉันไม่มีโอกาสได้ทำ เพราะหมอนั่นชิงลงนรกไปเสียก่อน” เธอหยุดเว้นระยะคำพูดและหัวเราะออกมาเบาๆ “แต่ก็นะ ตอนที่มันนอนพะงาบอยู่บนเตียง ฉันเข้าไปกระซิบบอกว่าเวลานี้แมทธิวและฟูลไชน์เป็นของฉันทั้งหมดแล้ว เจ้านั่นทำตาเหลือกอ้าปากค้าง แล้วหัวใจก็หยุดเต้นไปเฉยๆ”

    คราวนี้แอนนี่หัวเราะจนตัวงอ

    “นายต้องเห็นร่างกายบิดเบี้ยวของมันในตอนนั้น สำหรับฉัน มันเป็นภาพสวยที่สุดในชีวิตเลยละ”   

    */*/*/*/*

    ตอนแรกตั้งใจว่าจะปิดฉากสืบสวนในบทนี้ ปรากฏว่ารายละเอียดเยอะ เกิน 10 หน้า
    เลยต้องตัดออกและยกไปบทที่ 25 
    อย่าเพิ่งเบื่อกันก่อนนะคะ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×