คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8 มรกตกลางทะเลสาบสีไพลิน
8
มรกตกลางทะเลสาบสีไพลิน
ดวงตาสีเขียวสวยของเอเลนเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เมื่อฝีเท้าของรีไวเงียบหายไป ความจริงแล้วเด็กหนุ่มยังไม่หลับ แต่เพราะความเกรงใจที่หัวหน้าต้องมาคอยยืนเฝ้า เขาจึงแกล้งทำเป็นนอนและรอจนอีกฝ่ายขึ้นไปยังชั้นบนแล้วจึงลืมตาขึ้นและเริ่มคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเรื่องของรีไว
พอนึกถึงหัวหน้า หัวใจของเอเลนก็เต้นแรงจนแทบไม่เป็นจังหวะ เขาไม่แน่ใจว่าคิดไปเองหรือเปล่าเพราะสองวันที่ผ่านมาสายตาของรีไวดูแปลกไป จากที่เคยจ้องอย่างเย็นชา กลับกลายเป็นการมองที่ดูเป็นมิตรขึ้น แถมบางครั้งเขายังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ซ่อนลึกอยู่ในดวงตาเรียวคมกริบคู่นั้น
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจออกมาเบาๆพลางเหลือบมองตรวนที่สวมอยู่บนข้อมือ วันก่อนรีไวอาจยอมละเว้นให้ด้วยเหตุผลเรื่องความสงสาร แต่ในวันนี้สีหน้าของเขากลับแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่า ไม่อยากล่ามเอเลนอีกต่อไป การกระทำของเขาก่อให้เกิดคำถามภายในใจของเด็กหนุ่มว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะสงสาร เห็นใจหรือยอมรับว่าเขาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง ไม่สมควรที่จะถูกล่ามเหมือนสัตว์ป่าหรือนักโทษ
เอเลนเม้มปากน้อยๆ เมื่อนึกถึงเหตุผลสุดท้าย
หรือเพราะรัก
คิ้วขมวดเข้าหากันก่อนจะสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความคิดนี้ออกไป คนอย่างหัวหน้ารีไวไม่มีทางที่จะมีความรู้สึกแบบนั้นหรอก ถึงจะมีน้ำใจกับพวกลูกน้อง ก็ไม่มีทางที่จะเกิดความสัมพันธ์เกินเลยมากไปกว่านั้น
โดยเฉพาะกับเด็กผู้ชาย ตัวสร้างปัญหาอย่างเขา
พอนึกถึงตรงนี้ เอเลนก็หวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ช่วงที่มือของรีไวแตะบนแก้ม ความร้อนแผ่ซ่านทั่วใบหน้าอีกครั้ง เท่าที่รู้มามันเป็นการแสดงออกถึงความห่วงใยของคนที่มีความรักต่อกัน ถ้าไม่ใช่ความรู้สึกนี้แล้ว หัวหน้าจะทำแบบนั้นไปทำไม
เพราะกลัวว่ามนุษย์ครึ่งไททันที่ตัวเองรับผิดชอบจะเหนื่อยเกินไปจนทำให้ล้มป่วยได้ต่างหาก จิตใต้สำนึกอีกส่วนแย้งขึ้นมา เขาจำได้ว่าตอนเด็กๆเวลาไม่สบาย แม่กับพ่อจะใช้มือแตะหน้าผากและใบหน้าเพื่อดูว่าตัวร้อนแค่ไหน การที่หัวหน้ารีไวทำเช่นนั้นก็คงจะด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นเอง
บ้าเอ๊ย เขามัวแต่คิดอะไรอยู่ เอเลนร้องในใจด้วยความโมโหและกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด ถ้าไม่ติดว่าข้อมือทั้งสองข้างถูกล่ามด้วยตรวน เขาคงทุบหัวตัวเองจนยุบไปแล้ว
ที่หัวหน้ารีไวแสดงอาการใจดีออกมาอย่างนั้น ก็เพราะไม่อยากให้ตัวประหลาดอย่างเขา ซึ่งเป็นกุญแจปริศนาของไททัน ต้องมีอันเป็นไปหรือเจออันตรายร้ายแรงต่างหาก
เมื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองได้แล้ว จิตใจที่ฟุ้งซ่านก็เริ่มสงบลง น่าแปลกที่มันมีความเศร้าเอาไว้จางๆ เด็กหนุ่มถอนใจออกมาอย่างอ่อนล้า ในเมื่อรีไวเห็นเขาเป็นเพียงหลักประกันแห่งอิสรภาพของมวลมนุษยชาติ ก็ต้องก้มหน้ายอมรับในข้อนั้นและทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้ทุกคนต้องผิดหวัง และเพื่อป้องกันมิให้เพื่อนๆต้องมาล้มตายอย่างเปล่าประโยชน์ดังเช่นมาร์โค
คิดดังนั้นแล้วเอเลนก็ถอนใจยาวและปิดเปลือกตาลง เขาจะต้องพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อรับการฝึกอย่างหนักของหัวหน้ารีไวในวันต่อไป
*/*/*/*/*
อรุณรุ่งของวันใหม่ รีไวลงมาปลุกเอเลนตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วคำสั่งแรกที่ได้รับก็คือ ทำความสะอาดเรือนพักและลานหินด้านหน้า ระหว่างนั้นเอลโด้กับกุนเทอร์ก็เข้ามาช่วยด้วย ส่วนเพตร้ากับออรูโอ้แยกไปทำอาหารเช้าในโรงครัว และเสร็จพร้อมกับงานที่เอเลนได้รับมอบหมายพอดี
“วันนี้เราจะออกไปลาดตระเวนที่ไหนหรือครับ หัวหน้า” กุนเทอร์ถามขึ้นระหว่างรับประทานอาหารด้วยกัน เพราะโดยปรกติแล้วรีไวจะมอบแผนงานทุกอย่างไว้ตั้งแต่ตอนเย็น แต่การฝึกเมื่อวานนี้ ทำให้ทุกคนมาถึงปราสาทล่าช้ามาก ด้วยช่วงเวลาที่ดึกเกินไปผนวกกับความเหน็ดเหนื่อย รีไวจึงสั่งให้พวกเขานอนพักโดยไม่มีการสั่งงานเหมือนที่เคยทำกันเป็นประจำ
“วันนี้พวกแกทุกคนต้องช่วยกันทำความสะอาดปราสาท” หัวหน้าของเขาสั่ง ดวงตาเรียวสีเทาเลื่อนไปทางเอเลน “ฉันจะพาเจ้าเด็กเหลือขอนี่ออกไปฝึกข้างนอก”
“จะดีหรือครับ” ออรูโอ้ถามพลางมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะวางใจนัก “ถ้าเกิดเจ้านี่แปลงร่างขึ้นมา...”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันก็จะเชือดทิ้ง” รีไวตัดบทอย่างรำคาญ พอดื่มชาหมดถ้วยแล้วเขาก็ลุกขึ้นและพูดเสียงห้วน “ฉันจะรอที่คอกม้า”
เขาเดินไปที่ประตูแล้วหยุดเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้และเอี้ยวตัวหันกลับมา
“อ้อ เอเลน”
“ครับ”
“วันนี้เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ”
เอเลนเอียงคอน้อยๆด้วยความแปลกใจ แต่ก็ยังคงรับคำ
“ครับ”
พูดจบก็รีบก้มหน้าก้มตาโกยอาหารใส่ปาก เพราะไม่อยากให้หัวหน้าต้องคอยนานจนอารมณ์เสีย ส่วนรีไวพอสั่งจบก็ยืนมองเด็กหนุ่มอย่างพิจารณาอยู่อึดใจก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
พอนับประทานมื้อเช้าเสร็จ เอเลนก็วิ่งตรงไปที่คอกม้าและพบว่ารีไวกำลังยืนอยู่กับม้าสองตัวซึ่งผูกอานไว้เรียบร้อยแล้ว ใบหน้างอง้ำคนที่ยืนตรงหน้าทำให้เด็กหนุ่มต้องใจหายวาบ เพราะคิดว่าหัวหน้ากำลังโกรธที่ต้องรอนาน
“ขอโทษด้วยครับที่...”
“อย่ามัวแต่อืดอาด” รีไวตัดบทพร้อมกับเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าจากนั้นก็ควบนำออกไป เอเลนจึงรีบกระโจนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าของตัวเองและควบตาม ไม่นานเขาก็ไล่ทัน
รีไวควบม้าโดยไม่ออกคำสั่งหรือพูดจาอะไร ผ่านทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ ป่าสนยักษ์ ลัดเลาะขึ้นไปบนภูเขาจนกระทั่งถึงลานโล่งจึงสั่งให้หยุด พอลงจากหลังม้าและผูกมันไว้กับต้นไม้แล้ว เขาก็ยืนกวาดสายตามองไปรอบๆเหมือนต้องการให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมารบกวนระหว่างฝึกแล้วจึงหันกลับมาทางเอเลน
“วันนี้เราจะฝึกความคล่องตัวและพลังของร่างกาย”
เขาพูดสั้นๆ เอเลนนิ่วหน้าน้อยๆก่อนถามด้วยความอยากรู้
“ยังไงหรือครับ”
“เข้ามาสิ” รีไวสั่งพร้อมกับกวักมือเรียก เด็กหนุ่มมองอย่างลังเลเพราะไม่รู้ว่าหัวหน้ากำลังคิดอะไร วัดใจหรือแค่ดูว่าเขาจะปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัดโดยไม่มีข้อสงสัยหรือไม่ พอขยับจะถามก็ต้องรีบหุบปากนิ่งเงียบเมื่อเห็นสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิด ครั้นไม่รู้จะทำยังไงเอเลนจึงตัดสินใจก้าวเข้าไปหา พออยู่ในระยะเหมาะเด็กหนุ่มก็ต้องสะดุ้งเมื่อร่างกายของเขาลอยขึ้น ทิวทัศน์รอบตัวหมุนคว้างเป็นวงกลม จากนั้นก็มีเสียงดังตุบ เหมือนของหนักตกลงบนพื้นหญ้า ดวงตาเบิกค้างจ้องท้องฟ้าสีครามที่มีกลุ่มเมฆสีขาวดุจปุยนุ่นกำลังลอยอย่างอ้อยอิ่ง แต่เด็กหนุ่มไม่มีโอกาสได้ชื่นชมความงามของมันสักเท่าไหร่เพราะความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังที่กระแทกพื้นอย่างแรง
“แกนี่ ไม่รู้จักระวังตัวเลยนะ” เสียงรีไวพูดเนือยๆขณะที่เจ้าตัวถอยออกไปสองสามก้าว “เอ้า!จะมัวนอนชมธรรมชาติไปถึงไหน ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
ถึงจะอยู่ในอาการมึนงงจากการถูกทุ่มเมื่อครู่ เอเลนก็กัดฟันข่มความเจ็บก่อนดันตัวลุกขึ้นยืน พอตั้งตัวได้เขาก็ถาม
“การฝึกความคล่องตัวที่หัวหน้าพูดถึง หมายถึงแบบนี้หรือครับ”
“ถ้าทำได้แกคงหลบทัน” รีไวตอบ เด็กหนุ่มนิ่วหน้าอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก
“ก็หัวหน้าเล่นจู่โจมแบบไม่ทันได้รู้ตัวเลยนี่ครับ”
“เวลาเจอพวกไททัน มันบอกก่อนหรือเปล่าว่า จะจับแกกิน” รีไวย้อนถามเสียงเรียบและมองเอเลนที่กำลังสะอึกกับประโยคเมื่อครู่ “ถ้าแกบอกว่าฉันลงมือโดยไม่บอกกล่าว งั้นลองบุกเข้ามาใหม่ เอาแบบไม่ให้ฉันรู้ตัว”
“ทำได้ที่ไหนกันละครับ” เอเลนเถียงอุบอิบแต่ต้องเงียบเมื่อเห็นดวงตาวาววับของรีไว เขาจึงยกแขนทั้งสองข้างขึ้นตั้งท่า ดวงตาจ้องอีกฝ่ายเขม็งเหมือนจะหาช่องว่างในการบุก พอได้จังหวะ เด็กหนุ่มก็พุ่งหมัดเข้าใส่ด้วยความเร็วที่คนธรรมดาไม่มีทางหลบทัน แต่เนื่องจากผู้ที่อยู่ตรงหน้าเป็นรีไว หัวหน้าทหารผู้แข็งแกร่งที่สุดของหน่วยสำรวจ ซ้ำอดีตยังเคยเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มอันธพาลแห่งเมืองใต้ดิน กำปั้นของเอเลนจึงเป็นเพียงหมัดของเด็กทารกที่เชื่องช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน พอปลายหมัดเข้ามาใกล้เขาก็เบี่ยงตัวหลบ มือข้างหนึ่งตะปบข้อมือของเอเลนเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างคว้าเข้าที่คอเสื้อ เหวี่ยงร่างที่สูงกว่าให้ลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนจะตกลงไปนอนแอ้งแม้งกับพื้น
“โอ๊ย!!!”
เอเลนร้องลั่น ทั้งตกใจและเจ็บปวดไปในเวลาเดียวกัน พอดันตัวให้ลุกขึ้นนั่งเขาก็ลูบแผ่นหลังพร้อมกับครางออกมาเบาๆ
“เจ็บเป็นบ้า”
“แกจะนั่งบ่นแบบนั้นอีกนานไหม” เสียงรีไวดังขัดขึ้นมา เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนทันที
“ขอโทษครับ” พูดพร้อมกับยกแขนทั้งสองขึ้นและกำหมัดแน่น “ขอผมลองอีกครั้งนะครับ”
น้ำเสียงกระตือรือร้นของเด็กหนุ่มกับสีหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้ใบหน้าที่เฉยเมยของรีไวมีสิ่งที่เรียกว่า รอยยิ้ม ปรากฏขึ้น แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
“จะกี่ครั้งก็เข้ามา”
ถึงจะบอกว่าเป็นการฝึก แต่วิธีการและขั้นตอนในการจู่โจม ซับซ้อน รุนแรงกว่าตอนที่เอเลนฝึกกับเพื่อนๆสมัยเป็นทหารฝึกหัดมากมายหลายเท่า แม้การต่อสู้ในระยะประชิดตัวแบบนี้จะไม่มีผลในการต่อสู้กับไททัน แต่ด้วยเหตุผลที่ว่า หน่วยพิเศษจะต้องมีทักษะที่เหนือกว่าหน่วยอื่น รีไวจึงฝึกเอเลนอย่างเข้มงวด ชนิดไม่ยอมผ่อนแรงหรือคิดจะอ่อนข้อให้เลยแม้แต่น้อย แถมทุกครั้งที่เด็กหนุ่มจับทางและทำท่าเหมือนจะตีโต้กลับได้ เขาก็เพิ่มการบุกให้หนักหน่วงมากกว่าเดิม
สิ่งหนึ่งที่ทำให้รีไวฝึกเอเลนแบบทุ่มสุดตัวคือ ไม่ว่าจะล้มลุกคลุกคลานสักกี่ครั้ง ถูกทุ่มลงไปกองกับพื้นไม่รู้กี่หน เด็กหนุ่มจะรีบลุกขึ้นตั้งท่าเพื่อสู้ต่ออย่างไม่ท้อถอยและมีทีท่าว่าจะยอมแพ้ง่ายๆ นับตั้งแต่เข้าร่วมกับหน่วยสำรวจและเคยต่อสู้กับทหารด้วยกันมาแล้วหลายครั้ง นอกจากเอลวินกับมิเกะ ที่เหลือส่วนใหญ่มักจะยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่โดนเขาจับทุ่มหรือเจอกำปั้นเข้าไปแค่สองสามครั้งเท่านั้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งชอบ ยิ่งชอบก็ยิ่งเพิ่มความแรงในการต่อสู้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังยั้งมือไม่เผลอโจมตีจนถึงกับต้องเลือดตกยางออกหรือแขนขาหัก เพราะแม้เอเลนจะมีพลังในการรักษาตัวเองของไททัน ก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่ง
เป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ที่เขาถูกใจ
คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อประโยคสุดท้ายดังขึ้นในหัว ทั้งที่กำลังฝึกอยู่แท้ๆ เขามัวคิดเรื่องแบบนี้ได้ยังไง รีไวด่าตัวเองอยู่ในใจอย่างนึกฉุนพลางบีบอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือจนแน่นและยกมันทุ่มลงไปทีพื้นจนสุดกำลังเหมือนพยายามระบายความรู้สึกบางอย่างที่วิ่งพล่านอยู่ในกาย
“โอ๊ย !!!!”
เสียงเอเลนร้องลั่น นั่นเองที่ทำให้รีไวรู้สึกตัว สิ่งที่เขาโยนลงไปเมื่อครู่คือเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้เองหรอกหรือ ชายหนุ่มถามตัวเองอยู่ในใจ ตามองเด็กหนุ่มที่นอนครางโอดโอยแทบเท้าของตัวเอง
“เป็นอะไรหรือเปล่า”
เขาถามเมื่อเห็นว่าครั้งนี้เอเลนลุกไม่ขึ้นเหมือนที่ผ่านมา เด็กหนุ่มรีบส่ายหัวกัดฟันกรอด
“ม...ไม่ครับ”
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่สีหน้าของเจ้าตัวกลับแสดงให้เห็นว่าจุกจนขยับแทบไม่ได้ รีไวมองอีกฝ่ายอย่างนึกสงสารเมื่อเห็นดวงตาสีเขียวที่มีน้ำใสๆเอ่อคลออยู่
“ลุกไหวมั้ย”
ถามพร้อมกับยื่นมือไปข้างหน้า เอเลนถึงกับอ้าปากค้างพลางจ้องมือแข็งแกร่งข้างนั้นอย่างตะลึงงัน เพราะไม่คิดว่าทหารตัวเล็กๆที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงอย่างเขาจะมีโอกาสสัมผัสมือกับคนสำคัญอย่างหัวหน้ารีไว
“อ...เอ้อ ผมลุกเองได้ครับ” พูดพร้อมกับก้มหน้าลงหลบ ใจเต้นตึกตักไม่รู้ว่าเพราะความประหม่าหรือเขินอาย รีไวนิ่วหน้าน้อยๆ
“เลิกทำท่าน่ารำคาญแล้วจับมือฉันเดี๋ยวนี้”
เมื่อไม่รู้ตัวว่าไม่มีทางปฏิเสธได้แน่แล้ว เอเลนจึงจำต้องจับมือของหัวหน้าและออกแรงเบาๆพร้อมกับยันตัวให้ลุกขึ้น แม้จะยืนได้แล้วก็ยังไม่กล้ามองหน้าอีกฝ่ายอยู่ดี
“เป็นอะไรหรือเปล่า” รีไวถามพลางมองเด็กหนุ่มอย่างเป็นห่วง “หน้าแกแดงมากเลยนะ”
เอเลนอยากจะบอกว่าเขาไม่เป็นอะไร แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอทำให้ไม่สามารถเปล่งคำพูดออกมา พอเห็นเด็กหนุ่มทำท่าอึกอัก รีไวจึงย้ำ
“โฮ่ย เอเลน” น้ำเสียงที่เข้มขึ้นกับดวงตาที่กำลังฉายแววคาดคั้นทำให้เอเลนต้องพยายามหาคำตอบที่แน่ใจว่าพอหัวหน้าได้ยินแล้วจะไม่โกรธจนควันออกหูหรือจับเขาฟาดกับต้นไม้
“แหะ ๆ” เสียงหัวเราะที่ฝืดเต็มทีหลุดออกไปก่อน พอเห็นสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิดของอีกฝ่ายแล้วจึงรีบอธิบาย “อ...เอ้อ ผมสบายดีครับ ที่หน้าแดงคงเพราะวันนี้โดนจับทุ่มไปหลายครั้ง”
ลำพังคำพูดก็ตะกุกตะกักจนแทบไม่เป็นภาษา มือข้างที่รีไวกำลังกุมยังเกิดสั่นขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เอเลนจึงพยายามกระตุกแขนข้างนั้นเบาๆเพื่อดึงมันออกแต่รีไวกลับบีบแรงขึ้น จนเด็กหนุ่มต้องหลุดปากอุทานออกมาเบาๆ
“ม...มันเจ็บนะครับหัวหน้า”
นัยน์ตาคมกริบฉายแวววาววับอย่างพอใจ รีไวคลายมือข้างนั้นออกพร้อมกับเอนตัวเข้าไปกระซิบ
“เจ้าเด็กเหลือขอ”
เขาปล่อยมือของเอเลนและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ซึ่งบัดนี้ดวงตะวันได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ตรงกลาง
“เที่ยงแล้วหรือนี่” น้ำเสียงค่อนข้างเบาเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าก่อนจะลดสายตาลงมาที่เอเลน “พักกินอะไรกันก่อน เสร็จแล้วค่อยฝึกกันต่อ”
“ยังจะฝึกกันอีกหรือครับ” เอเลนอุทธรณ์และหยุดทันทีเมื่อเห็นสายตาของรีไว “ทราบแล้วครับ หัวหน้า”
เด็กหนุ่มรับคำเสียงอ่อยพลางมองรีไวที่กำลังเดินไปยังม้าพลางตั้งคำถามกับตัวเองด้วยความสงสัยว่า หัวหน้าคนนี้คิดยังไงกับเขากันแน่ บางครั้งก็ดูอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ชั่ววินาทีเดียวกันนั้นเอง กลับแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนเย็นชา สามารถลงไม้ลงมือกับเขาได้ด้วยใบหน้าที่ปราศจากความรู้สึก หรือแท้ที่จริงแล้วรีไวเห็นเขาเป็นเพียงกุญแจที่จะนำพามนุษย์ไปสู่อิสรภาพ หากสำเร็จก็คงจะกำจัดเขาทิ้งเช่นเดียวกับไททันตัวอื่นๆ ที่ทำเป็นใจดีก็คงเพื่อให้เขาตายใจ จะได้ไม่เผลอโกรธระเบิดอารมณ์กลายร่างเป็นไททันขึ้นมากลางคัน
คิดแบบนี้แล้วหัวใจที่เบิกบานอย่างกระตือรือร้นเมื่อครู่ก็ห่อเหี่ยวลง บางทีคนที่ยังเห็นเขาเป็นมนุษย์ อาจจะมีเพียงอาร์มินกับมิคาสะเท่านั้น เพราะตั้งแต่เข้ามาอยู่ในหน่วยพิเศษ ถึงรุ่นพี่ทุกคนจะพูดจาเล่นหัวด้วย แต่กลับไม่เคยมีใครแตะต้องตัวหรือกล้าเข้ามาใกล้ กระทั่งเพตร้าที่ดูเหมือนจะใจดีที่สุดก็ยังมีเส้นแบ่งเขตบางๆคั่นเอาไว้ มีรีไวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยอมเข้าใกล้และมองเขาด้วยสายตาปรกติ แถมบางครั้งยังออกคำสั่งให้เขาทำงานเช่นเดียวกับทหารคนอื่นๆ
เรานี่บ้าชะมัด เด็กหนุ่มนึก ในเมื่อหัวหน้ารีไวเห็นเขาเป็นเหมือนกับคนทั่วไปแล้ว จะต้องมามัววิตกกังวล คิดโน่นคิดนี่ให้ปวดหัวอีกทำไม คิดพลางเคาะหัวตัวเองและจ้องแผ่นหลังของรีไว แม้จะเป็นผู้ชายตัวเล็กแต่ทุกอากัปกิริยากลับดูงามสง่าน่าชื่นชม เมื่อถึงเวลาต่อสู้ ก็เต็มไปด้วยความคล่องแคล่ว การฝึกเมื่อครู่ทำให้เอเลนตระหนักอย่างแน่ชัดแล้วว่า ผู้ชายคนนี้มีทั้งความกล้าหาญ เก่งกาจ องอาจและแข็งแกร่ง สมกับเป็นความหวังของมนุษย์ชาติ และถ้าสามารถเอาชนะใจคนผู้นี้ได้ เขาคงเป็นเด็กโชคดีที่สุดในโลก
เดี๋ยวนะ ที่ว่าเอาชนะใจนี่มันหมายถึงอะไร เอเลนตั้งคำถามกับตัวเอง พอนึกถึงคำตอบที่จิตใต้สำนึกสวนกลับมาทันควัน ความร้อนก็วิ่งกระจายไปทั่วทั้งใบหน้า และแผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว
“เอเลน”
เขาได้ยินเหมือนใครบางคนกำลังเรียก แต่ความเขินอายกับสิ่งที่ตนเองกำลังคิด ทำให้เด็กหนุ่มไม่ใส่ใจ
“โฮ่ย เอเลน!” เสียงดังขึ้นกว่าเดิมจนเอเลนสะดุ้ง พอดึงสติกลับมาได้ถึงได้รู้ว่าเจ้าของเสียงคือรีไวซึ่งตอนนี้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว
“ห...หัวหน้ารีไว”
“หน้าแกแดงมากเลยนะ แน่ใจหรือว่าไม่เป็นอะไร”
เอเลนรีบยกมือขึ้นแตะแก้มซึ่งร้อนผ่าว และส่ายหน้าอย่างเร็ว
“ป...เปล่าครับ ผมแค่ร้อนนิดหน่อย”
“อืม นั่นสินะ” รีไวพึมพำพลางมองไอแดดที่เต้นระยิบอยู่ในอากาศ “จะว่าไปแล้วอากาศวันนี้มันร้อนจริงๆ”
“ใช่ครับร้อนมาก” พอสบโอกาสเอเลนก็รีบเสริมก่อนที่รีไวจะนึกเรื่องที่เขาไม่ได้ยินเสียงเรียกตอนแรกออกและอาจจะลงโทษด้วยการสั่งงดมื้อเที่ยง “ผมเหงื่อท่วมตัวตั้งแต่ฝึกยังไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ”
พูดพลางขยับคอเสื้อแรงๆเพื่อไล่ความร้อน รีไวกวาดตามองไล่เด็กหนุ่มตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าและเบ้หน้า
“สกปรกชะมัด”
“อะไรนะครับ” ถามพร้อมกับก้มลงสำรวจตัวเอง พอเห็นเสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นกับเหงื่อที่ไหลจนเปียกโชกชุ่มไปทั้งร่างแล้ว เอเลนถึงกับนิ่วหน้า “จริงด้วย”
รีไวมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่เดาไม่ออกว่า รังเกียจหรือสมเพชกันแน่ เขาเดินย้อนกลับไปขึ้นม้าของตัวเองและพูดสั้นๆ
“ตามฉันมา”
เอเลนรีบทำตามคำสั่งโดยไม่มีการซักถาม ตอนแรกเขาคิดว่าคนรักความสะอาดอย่างหัวหน้ารีไว คงทนไม่ได้ที่ต้องร่วมกินอาหารกับเด็กสกปรกมอมแมมตั้งแต่หัวจรดเท้า เลยตัดปัญหาด้วยการพากลับศูนย์บัญชาการ แต่พอลงจากเขา เด็กหนุ่มต้องแปลกใจเมื่อรีไวชักม้าเลี้ยวไปอีกทาง
“เราจะไปไหนกันหรือครับ”
ถึงจะรู้ว่าไม่ควรแต่ก็อดถามไม่ได้ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิดเพราะรีไวไม่ตอบกลับมาสักคำ เขายังคงบังคับม้าให้เดินผ่านป่าและทะลุไปอีกด้าน และหยุดตรงต้นไม้ใหญ่ เอเลนตั้งท่าจะถามว่าเป็นที่ไหนแต่พอเห็นผืนน้ำที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขาถึงกับตาโต
“สวยจัง”
เด็กหนุ่มอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น เพราะสถานที่ที่รีไวพามานั้นเป็นทะเลสาบซึ่งแม้จะมีขนาดไม่ใหญ่เท่ากับทะเลสาบในเขตของกองทหารฝึกหัด แต่มีความงดงามไม่แพ้กัน มันเป็นทะเลสาบที่มีสีฟ้าครามแสนสวยเปรียบประดุจไพลิน ผิวน้ำที่มีระลอกคลื่นพลิ้วละเอียดสะท้อนกับแสงอาทิตย์ส่งประกายระยิบระยับราวกับแสงของอัญมณี
“เราจะกินมื้อเที่ยงกันที่นี่หรือครับ”
พอเห็นรีไวลงจากหลังม้า เอเลนก็รีบถาม อีกฝ่ายหันมามองตาขวาง
“ใช่ แต่แกต้องไปล้างหน้าล้างตาให้สะอาดก่อน” พูดพร้อมกับชี้มือไปยังริมฝั่งที่เป็นทรายเนื้อละเอียด เด็กหนุ่มซึ่งผูกม้าไว้กับต้นไม้แล้วยกมือขึ้นแตะหน้าก่อนจะก้มลงมองตัวเอง
“ครับ” เอเลนรับคำและเดินลงไปอย่างว่าง่าย เขาแกว่งมือเบาๆในน้ำก่อนจะวักขึ้นมาล้างหน้า สัมผัสที่เย็นฉ่ำกับความใสสะอาดของน้ำทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกสดชื่นขึ้นและอดคิดเล่นๆไม่ได้ว่า ถ้าได้ลงไปแหวกว่ายในทะเลสาบ คงจะดีกว่านี้
“เอ่อ หัวหน้าครับ” เขาหันไปเรียกรีไวและทำหน้าลังเลเมื่ออีกฝ่ายหันมาจ้องแต่ไม่เอ่ยปากถามอะไร “จะเป็นอะไรไหมครับ ถ้าผมขออนุญาตลงไปว่ายน้ำเล่น”
ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่า คงไม่ได้รับอนุญาต ดีไม่ดีอาจจะโดนคำพูดเหน็บแนมเป็นของแถมตามมา แต่กลับผิดคาด เพราะรีไวเพียงแค่พูดสั้นๆว่า
“ตามใจแกสิ”
เอเลนทำตาโตเพราะนึกไม่ถึงว่าหัวหน้าผู้แสนดุจะยอมให้ง่ายๆ ความกลัวว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจเลยรีบยืนขึ้นและวางกำปั้นไว้บนอกเพื่อแสดงความเคารพพร้อมกับพูด
“ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มเดินเลี่ยงให้ห่างออกไปเล็กน้อยจากนั้นก็ปลดสายรัดออกจากตัวตามด้วยเสื้อผ้า พอเหลือแต่กางเกงชั้นในเพียงตัวเดียวเขาก็วิ่งถลาลงไปในน้ำ ดำผุดดำว่ายอย่างสนุกสนานโดยไม่สนใจคนบนฝั่งที่กำลังนั่งมอง
รีไวรู้ดีว่า ตามกฎขั้นพื้นฐาน ระหว่างการฝึก ห้ามทหารทุกคนถอดเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติหรือสายรัดออกจากตัวอย่างเด็ดขาด เพื่อความพร้อมสำหรับกรณีฉุกเฉิน แต่เนื่องจากเขาเป็นหัวหน้าหน่วยพิเศษ มีอำนาจในการสั่งการโดยไม่ต้องรอการอนุมัติจากเอลวิน อีกทั้งการฝึกในวันนี้อยู่นอกแผนการที่วางเอาไว้ เขาจึงไม่อยากเคร่งครัดอะไรมากนัก เลยยอมอนุญาตให้เอเลนเล่นน้ำได้
ใครบอกล่ะ เหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาใจอ่อนก็คือ ดวงตาสีเขียวสวยที่มองมาอย่างออดอ้อนต่างหาก อีกเสียงหนึ่งแย้งในใจ คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันแทบจะทันที
ก็แค่การมองของเจ้าหนูกะโปโลคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางทำให้คนใจแข็งอย่างเขายอมโอนอ่อนผ่อนตามง่ายๆ ที่ตามใจก็เพราะไม่ไม่อยากให้เจ้าเด็กเหลือขอนั่นเครียดจากการฝึกจนก่อเรื่องน่ารำคาญอย่างกลายร่างเป็นไททันหรืออะไรทำนองนั้น
ช่วงที่ภายในใจกำลังโต้แย้งกันเองอย่างสับสน เสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานของคนที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในทะเลสาบทำให้คนที่กำลังยืนกอดอกตีหน้าเครียดเผลอคลายหัวคิ้วที่กำลังขมวดมุ่น ถึงจะมีความมุ่งมั่นมากแค่ไหน ก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ทั้งที่อยู่ในระหว่างการฝึกกับคนที่ทหารทุกหน่วยต่างเกรงกลัวอย่างเขา เจ้านี่ก็กลับกล้าเอ่ยปากขอลงไปเล่นน้ำ
มุมปากที่เหยียดตรงอยู่เป็นนิจยกขึ้นเล็กน้อยและคลายออกอย่างฉับพลันเมื่อคนในน้ำหันมาส่งยิ้มพร้อมกับโบกมือให้ รีไวจึงหลุดปากพูดเสียงห้วน
“พอได้แล้ว”
แค่สามคำสั้นๆเท่านั้น แต่ทำให้เอเลนรีบว่ายน้ำกลับขึ้นฝั่ง สภาพที่เกือบจะเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มตรงหน้าทำให้รีไวแทบจะลืมลมหายใจของตัวเอง แน่นอนว่าเขาเคยเห็นเพื่อนทหารด้วยกันหรือแม้แต่ลูกน้องเปลื้องผ้าอาบน้ำมานักต่อนัก ซึ่งถ้าจะว่ากันตามจริงแล้วแต่ละคนก็มีสภาพที่ไม่ต่างไปจากพวกไททันเลยสักเท่าไหร่ แต่กับเอเลนแล้วไม่ใช่เช่นนั้น ร่างกายที่งามสมส่วนกับท่วงท่าซึ่งออกจะดูเรียบร้อยขณะหยิบกางเกงขึ้นมาสวม ทำให้รีไวต้องใจเต้นและรีบเบนสายตามองไปด้านอื่น แต่สุดท้ายก็ทนกับความกระหายของตัวเองไม่ไหว ดวงตาสีเทาจึงเลื่อนกลับไปยังเอเลนอีกครั้ง และคราวนี้เริ่มไล่สำรวจไปทีละส่วนอย่างพิจารณา
เพราะความที่เพิ่งจะก้าวเข้าสู่วัยหนุ่ม ร่างกายของเอเลนจึงยังเติบโตไม่เต็มที่ แต่ก็แข็งแรงสมกับวัย การอยู่ในกองทหารฝึกหัดมาหลายปีทำให้ตลอดทั้งเรือนร่างตรึงเปรียะกระชับแน่น ผิวกายก็ดูนวลเนียนสะอาดสะอ้านผิดกับผู้ชายวัยเดียวกันโดยทั่วไป ที่สำคัญก็คือ ทั้งที่เจ้าหนูนี่เคยผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักมาแล้วหลายครั้ง แต่กลับไม่มีแผลเป็นเลยสักรอย ซึ่งก็น่าจะมาจากผลการฟื้นตัวของไททันที่ทำให้ริ้วรอยเหล่านั้นหายไป
ก็ดีแล้วนี่นา เพราะตัวเขาเองก็ไม่ชอบที่ต้องทนเห็นรอยน่าเกลียดเหล่านั้น โดยเฉพาะบนร่างกายลูกน้องของตัวเอง รีไวคิดพลางเลื่อนสายตาไปเรื่อยๆและหยุดตรงหน้าอก เนินเนื้อหนั่นแน่นกับเมล็ดทับทิมสีชมพูอ่อนสองเมล็ดที่โดดเด่นขึ้นมาอย่างเย้ายวนทำให้ร่างกายของชายหนุ่มเกิดอาการตะครั่นตะครอลำคอแห้งผากขึ้นมาในทันที
น่ากัดชะมัด
เดี๋ยว ! อะไรนะ ! น่ากัดอย่างนั้นหรือ จิตใต้สำนึกอีกส่วนสวนขึ้นมาทันควัน นี่เรากำลังคิดบ้าอะไรอยู่ เจ้านั่นมันก็แค่เด็กเหลือขอคนหนึ่งที่มีพลังไททัน และเขาก็เป็นหัวหน้าทหารที่มีหน้าที่ต้องคอยดูแลเท่านั้น คิดเลยเถิดไร้สาระถึงขนาดนั้นไปได้ยังไง
คิดพลางกระแทกลมหายใจอย่างหงุดหงิด ตาเหลือบมองเอเลนที่กำลังวุ่นวายอยู่กับการใส่สายรัดของตัวเอง สำหรับคนอื่นมันคงเป็นการแต่งตัวธรรมดาแต่กับเจ้าหนูนี่แล้วไม่ เพราะการบิดตัวแต่ละครั้ง การวางมือแต่ละหน ช่างบาดตายั่วใจจนแทบจะทำให้คนเห็นคลั่งตายไปเดี๋ยวนั้น
“เสร็จหรือยัง”
รีไวโพล่งออกไปอย่างเหลืออด ไม่ใช่จากความโกรธ แต่เพราะรู้ดีว่าขืนยืนดูต่อไปตัวเขาเองนั่นแหละที่จะทนไม่ได้ ถึงจะเคยเป็นอาชญากรตัวร้ายของเมืองใต้ดิน เคยชินกับการฆ่าทั้งมนุษย์และไททัน ชายหนุ่มก็ไม่มีวันทำเรื่องที่ทำให้ทั้งเขาและคนอื่นต้องเสียเกียรติอย่างแน่นอน
“อ๊ะ ! ขอโทษครับ” เอเลนตอบ “ขอผมใส่รองเท้า....”
“ขืนใส่ทั้งอย่างนั้น แกจะเจ็บจนเดินไม่ได้” รีไวพูดพลางจ้องเท้าเปลือยเปล่าด้วยสายตาที่ทำให้อีกฝ่ายต้องขยับอย่างขัดเขิน “ปัดทรายออกให้หมดเสียก่อน”
เขาสั่งสั้นๆ เอเลนจึงนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังยืนอยู่บนหาดทราย ขืนใส่รองเท้าตอนนี้มีหวังถูกตำจนเดินไม่ได้แน่ๆ พอปัดทรายและสวมรองเท้าเสร็จ เด็กหนุ่มก็วกไปล้างมือจนสะอาดจากนั้นก็ขึ้นไปหารีไวซึ่งกำลังยืนกอดอกหน้างอง้ำราวกับโกรธคนทั้งโลกอยู่ใต้ต้นไม้
“หัวหน้าหิวหรือยังครับ”
ดวงตาคมกริบตวัดมาจ้องอย่างไม่พอใจเหมือนจะบอกว่า ถามอะไรโง่ๆ เอเลนรีบกลืนน้ำลายที่ตอนนี้แปรสภาพเป็นหนามลงคอก่อนจะรีบเดินไปหยิบห่อเสบียงบนหลังม้าทั้งของเขาและของหัวหน้า เขายื่นให้รีไวก่อนพร้อมกับพูดเสียงนุ่มเหมือนจะเอาใจ
“เชิญหัวหน้าก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมจะเอาน้ำมาให้”
“ไม่ต้อง” อีกฝ่ายตัดบทและชี้ไปที่โคนต้นไม้เป็นเชิงสั่งให้ไปนั่งตรงนั้น พอเอเลนทำตามเขากลับเปิดห่อผ้า กินอาหารจนหมด ดื่มน้ำเสร็จก็หันไปทางเด็กหนุ่มและนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าเขากำลังยัดขนมปังชิ้นสุดท้ายเข้าปาก
“อืดอาดเป็นบ้า”
บ่นออกมาเบาๆก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งรอบนหลังม้า พอเอเลนจัดการในส่วนของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ชักม้านำออกไป
“เราจะฝึกกันต่อหรือครับ”
เด็กหนุ่มถามทันทีเมื่อตามมาทันและปิดปากฉับเมื่ออีกฝ่ายมองด้วยหางตา จิตใจที่เบิกบานเมื่อครู่ตกอยู่ในความวิตกทันที เอเลนพยายามนึกทบทวนว่าระหว่างพักเขาเผลอทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง ซึ่งนอกจากขอเล่นน้ำแล้วก็ไม่มีอะไร หรือหัวหน้าจะโกรธเรื่องนั้น เด็กหนุ่มถามกับตัวเองและส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้แน่ๆ เพราะถ้าไม่ชอบ เขาคงโดนหัวหน้าจับกดน้ำหรืออะไรที่มันหนักกว่านั้นแทนคำอนุญาต คิดแล้วก็ถอนใจออกมาเบาๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ลองโดนหัวหน้ารีไวมองตาขวางแบบนี้ มีหวังโดนจับทุ่มจนหลังหักระหว่างการฝึกซ้อมแหง
ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่เอเลนกังวล เพราะจู่ๆ รีไวก็บังคับม้าให้วิ่งตะบึงไปข้างหน้า เด็กหนุ่มรีบควบตามเพราะคิดว่าหัวหน้าจะเปลี่ยนสถานที่ฝึก แต่พอพ้นจากแนวป่าเข้าสู้เส้นทางที่ใช้เป็นประจำ เขาจึงรู้ว่ารีไวกำลังมุ่งหน้ากลับปราสาทซึ่งเป็นศูนย์บัญชาการลับของหน่วยพิเศษ
เมื่อทั้งคู่ไปถึงที่นั่น กุนเทอร์ซึ่งกำลังยืนสนทนาอยู่กับนายทหารหน่วยสำรวจอีกคนรีบถลันเข้ามาทำความเคารพ
“หัวหน้ารีไว” เขาเอ่ยเรียกเสียงหนัก รีไวกลับเลื่อนสายตาไปทางทหารแปลกหน้าซึ่งกำลังจรดกำปั้นลงบนอกเพื่อแสดงความเคารพเขาเช่นเดียวกัน
“มีอะไร” ถามเสียงเรียบแต่ดวงตากลับฉายความสงสัยอย่างเจือจาง อีกฝ่ายล้วงมือเข้าไปในอกเสื้อ ดึงจดหมายประทับตราหน่วยสำรวจและเครื่องหมายประจำตำแหน่งของเอลวินส่งให้
“มีคำสั่งจากผบ.ให้หัวหน้ารีไวไปพบที่ศูนย์บัญชาการโดยด่วน รายละเอียดอยู่ในจดหมายฉบับนี้แล้วครับ”
รีไวคลี่จดหมายและยืนอ่านเงียบๆคิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันทีละน้อยจนแทบจะผูกเป็นปม กุนเทอร์
มองหน้าของรีไวอย่างนึกเอะใจ เพราะแม้มันจะไม่แสดงอารมณ์ใดออกมาแต่ดวงตากลับฉายความวิตกอยู่จางๆ พอเห็นหัวหน้าพับจดหมายเก็บกลับเข้าซองเขาก็เอ่ยปากถาม
“เรื่องด่วนหรือครับ”
“ใช่” รีไวตอบสั้นๆก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้า “คืนนี้ฉันคงไม่กลับ ฝากนายดูแลทางนี้ให้ดี” เขาหยุดคำพูดและเลื่อนตาไปทางเอเลน “รวมทั้งเขาด้วย”
“ครับ” กุนเทอร์รับคำพร้อมกับแสดงความเคารพ และยืนอยู่ในท่านั้นกระทั่งม้าของรีไวและทหารนำข่าวพ้นจากปราสาท จึงหันไปทางเอเลน
“นายคงเหนื่อยมาก เข้าไปนั่งพักข้างในก่อนเดี๋ยวฉันจะบอกให้ว่าช่วงบ่ายต้องทำอะไรกันบ้าง” พูดจบก็ขยับเตรียมเดินแต่กลับหยุดและหันหน้ากลับมา “อ้อ เอเลน ถึงฉันจะไม่เข้มงวดเท่าหัวหน้ารีไว แต่ก็ไม่ได้ใจดีเหมือนเพตร้า ดังนั้นฉันจะทำตามเงื่อนไขทุกอย่าง หวังว่านายคงจะเข้าใจ”
เอเลนรู้ดีว่ากุนเทอร์กำลังหมายถึงการล่ามโซ่ตรวนเขาตอนนอน เด็กหนุ่มจึงผงกศีรษะช้าๆพร้อมกับกล่าวรับคำ
“ครับ”
“งั้นก็ดี” กุนเทอร์พูดด้วยสีหน้าที่ดูเหมือนจะสบายใจขึ้น “ตอนนี้ทั้งสามคนนั่นคงกำลังวุ่นอยู่กับการทำความสะอาดโถงใหญ่ ไปช่วยพวกเขากันเถอะ”
*/*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น