ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9 คำขอร้องจากกองสารวัตรทหาร

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.3K
      40
      5 ต.ค. 57

    9

    คำขอร้องจากกองสารวัตรทหาร

    เสียงฝีเท้าม้าดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ทหารที่ยืนรักษาการณ์หน้าป้อมต้องขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เพราะในวันนี้ไม่มีคำสั่งเรื่องการมาของบุคคลสำคัญ และหน่วยสำรวจที่ออกลาดตระเวนก็กลับเข้ามากันครบทุกคนแล้ว ที่สำคัญด้วยช่วงเวลาใกล้ค่ำเช่นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ว่าจะมีใครมาเยี่ยมเยียนหน่วยสำรวจ แต่พอนึกได้ว่าช่วงก่อนเที่ยงเล็กน้อย ฝ่ายสื่อสารได้ส่งทหารนายหนึ่งออกไป ถ้าเช่นนั้นคงเป็นเขากระมัง

    คิดพลางยกมือขึ้นป้องหน้าเพื่อไม่ให้แสงสีส้มจัดของพระอาทิตย์ยามเย็นแยงตา พอเห็นร่างตะคุ่มสองคนกำลังควบม้าห้อตะบึงเข้ามา เขาก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าเหตุใดไปแค่หนึ่งจึงกลับมาสอง ความอยากรู้เลยเขม้นตามองให้ชัดขึ้น เมื่อเห็นรูปร่างกับทรงผมเท่านั้นดวงตาก็เบิกกว้าง เขารีบหันไปยังคนเฝ้าประตูและป้องปากตะโกน

    “หัวหน้ารีไวกำลังเข้ามา เปิดประตูเร็ว !

    ประตูค่ายหนาหนักเลื่อนออกตามคำสั่ง ปล่อยให้อาชาสองตัวพุ่งทะยานผ่านเข้ามา เมื่อถึงยังค่ายทหารส่งข่าวก็บังคับม้าแยกตัวไปยังฝ่ายเพื่อรายงานผล ส่วนรีไวซึ่งแม้จะชะลอความเร็วของม้าลงแต่ยังคงบังคับให้มันเดินไปจนถึงหน้าอาคารใหญ่จึงโดดจากหลังและเดินเข้าไปด้านใน เสียงฝีเท้าที่กระทบกับพื้นกระเบื้องขัดมันทำให้เนสซึ่งกำลังยืนปรึกษางานกับเพื่อนหันมามองและเลิกคิ้วสูงด้วยความแปลกใจ

    “รีไว” เขาเอ่ยทัก “มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

    คนถูกทักเดินผ่านเลยไปเหมือนไม่ได้ยิน หากเป็นคนอื่นคงนึกโกรธกับท่าทางหมางเมินเหมือนไม่เห็นหัว แต่กับเนสแล้วไม่ใช่ ความที่รู้จักกันมานานจนคุ้นกับนิสัยเลยรู้ว่าที่รีไวไม่ตอบเพราะใจมัวพะวงอยู่กับเรื่องที่กำลังรออยู่ พอคิดแบบนั้นแล้วเนสก็ยักไหล่และหันกลับไปสนทนากับเพื่อนดังเดิม

    ไม่ใช่แค่เนสคนเดียวเท่านั้นที่ประหลาดใจกับการมาของรีไว เพราะพอเห็นชายร่างเล็กกำลังเดินขึ้นบันได ฮันซี่ซึ่งกำลังก้าวออกจากห้องโดยมีเอกสารกองโตในอ้อมแขนชะงักเท้าและจ้องเขม็งด้วยความสงสัย แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปากถามอีกฝ่ายก็ยกมือห้ามและพูดเหมือนต้องการจะตัดบท

    “ฉันมาหาเอลวิน”

    “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นเหรอ” หัวหน้าหมู่สติเฟื่องถามด้วยความอยากรู้ สมองที่ไม่เคยหยุดนิ่งกระหวัดไปถึงเอเลนพร้อมตั้งคำถามร้อยแปดเพราะกังวลว่าคนพิเศษของเธอจะเป็นอันตรายและลงท้ายอย่างวิตกว่า หรือเจ้าหนูนั่นแอบแปลงร่างเป็นไททันโดยที่เธอไม่รู้   

    “ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดหรอกน่ะ” รีไวพูดเหมือนได้ยินความคิดของหญิงสาว ฮันซี่ฉีกยิ้มกว้างก่อนปล่อยคำพูดเชิงหยอก

    “แหม แหม รู้ใจกันด้วย อย่างกับคู่รักเลยเนอะ”

    รีไวเบ้หน้าน้อยๆและมองสาวสุดเพี้ยนด้วยท่าทางเหมือนรังเกียจเต็มที่

    “พูดอะไรของเธอน่ะ น่าขยะแขยงชะมัด”

    หัวหน้าหมู่แสนฉลาดเปล่งเสียงหัวร่อร่าอย่างถูกอกถูกใจ พอเห็นสีหน้างอง้ำของอีกฝ่ายเธอก็หยุดและป้อนคำถามอย่างเป็นงานเป็นการ

    “นายยังไม่ได้ตอบฉันเลยนะ”

    “ดูเหมือนในเมืองจะมีเรื่องนิดหน่อย” รีไวตอบ พอเห็นฮันซี่ทำหน้าเหรอหราเขาก็ขมวดคิ้ว “อย่าบอกนะว่าเธอเองก็ยังไม่รู้”

    “นายก็รู้นิสัยหมอนั่นไม่ใช่เหรอ” หญิงสาวพูดและถอนใจออกมาเบาๆ “ต่อให้เรื่องหนักแค่ไหน ถ้าไม่มั่นใจว่ามีทางแก้ เขาก็จะไม่มีวันยอมบอกให้พวกเราฟัง”

    เขาของฮันซี่ก็คือ เอลวิน สมิธ ผู้บัญชาการหน่วยสำรวจที่ทั้งเธอและรีไวให้ความเคารพมาโดยตลอด แม้ในบางครั้งเขาจะทำตัวเหมือนมีลับลมคมในอยู่ตลอดเวลา แต่ทุกคนก็รู้ดีกว่าการกระทำทุกอย่างของเขาล้วนเป็นประโยชน์ต่ออนาคตของมนุษยชาติทั้งสิ้น

    “ก็ไม่เชิงนัก” รีไวพูดขณะเดินไปหยุดยืนหน้าประตูไม้ที่ถูกขัดจนขึ้นเงามันวับ “หมอนั่นเล่าเรื่องคร่าวๆไปในจดหมายบ้างแล้ว”

    “บอกได้หรือเปล่าว่าเรื่องอะไร” ฮันซี่ซักด้วยความอยากรู้ พอเห็น รีไวมองเอกสารในอ้อมแขนของเธอด้วยหางตาเหมือนเป็นเชิงถามว่า มีงานไม่ใช่เหรอ หญิงสาวก็ส่งยิ้มให้ “รายงานแผนการสำรวจครั้งต่อไปน่ะ ฉันกำลังจะเอาไปให้เอลวินพอดี”

    ชายหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจก่อนจะหันไปเคาะประตูเบาๆและเปิดออกเมื่อได้ยินเสียงทุ้มหนักของคนข้างใน

    “เข้ามาได้”

    รีไวหลีกให้ฮันซี่เข้าไปก่อน เพราะทนรำคาญกับสภาพที่หอบข้าวของพะรุงพะรังไม่ไหว พอเขาก้าวตามและเตรียมเอ่ยปากถามถึงเรื่องที่ระบุมาในจดหมายก็ต้องหยุดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นอาคันตุกะที่คาดไม่ถึงนั่งอยู่ด้วย

    “ไนล์” ฮันซี่เอ่ยทักเสียงใสพลางก้าวยาวๆไปที่โต๊ะทำงานของเอลวินและวางเอกสารทุกอย่างในมือลง ตาจ้องชายร่างผอมสูงหน้าตาซูบซีดอย่างระแวง “แปลกใจจังที่เห็นนายในที่ทำการของหน่วยสำรวจ”

    คำพูดจิกเชิงหยอกของเธอทำให้อีกฝ่ายต้องชำเลืองตาไปทางเอลวิน แต่ผบ.หน่วยสำรวจกลับนั่งเฉยเหมือนไม่ใส่ใจกับสิ่งที่หัวหน้าหมู่คนเก่งพูดเท่าใดนัก ไนล์จึงถอนใจและหันกลับมาทางฮันซี่อีกครั้ง

    “พอดีมีเรื่องด่วนน่ะ”

    พูดพลางเหลือบตาไปทางรีไวที่กำลังนั่งไขว่ห้างตีหน้าตายอยู่บนเก้าอี้ยาว เพราะคิดว่าเขาจะปล่อยคำพูดเหน็บแนมเหมือนอย่างทุกครั้งที่เจอหน้า แต่ก็ต้องประหลาดใจเมื่อชายหนุ่มตัวเตี้ยนั่งนิ่งไม่พูดไม่จา

    “ไม่ยักรู้ว่าพวกกองสารวัตรทหารจะมีเรื่องด่วนเหมือนคนอื่น” ฮันซี่ยังคงแหย่ไม่เลิก ไนล์ขบกรามน้อยๆอย่างหนักใจ เขารู้ดีว่าแม้หัวหน้าหมู่แสนฉลาดผู้นี้จะใช้คำพูดหยอกเย้าและเจรจาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่ลึกลงไปในใจแล้วเธอก็เหมือนกับทหารหน่วยสำรวจทุกคนคือ ไม่ชอบหน้าคนจากกองสารวัตรทหารเท่าใดนัก

    “ไม่ใช่แค่เรื่องด่วน มันยังเป็นความลับสุดยอดอีกด้วย” เขาพูดเหมือนบอกเป็นนัยว่าให้เธอออกจากห้อง แต่เอลวินกลับส่ายหน้า

    “มีไม่กี่คนในหน่วยสำรวจที่ฉันไว้ใจ” เขาจ้องหน้าไนล์เขม็งเหมือนเน้นย้ำให้รู้ว่า ฮันซี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ผบ.กองสารวัตรทหารจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นอย่างยอมแพ้

    “ตกลง ให้เธออยู่ด้วยก็ได้ แต่ต้องรับปากก่อนว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครฟัง”

    “ฉันไม่ใช่คนปากโป้ง” ฮันซี่พูดเรียบๆก่อนลากเก้าอี้มานั่งใกล้ๆ “อย่ามัวแต่อ้ำอึ้งสิไนล์ มีอะไรก็พูดออกมา”

    เธอเตือนเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงทำท่าอิดเอื้อนเหมือนไม่อยากพูด ไนล์มองเธอ เอลวินและรีไวอย่างชั่งใจก่อนตัดสินใจเล่าถึงสาเหตุที่เขาต้องดั้นด้นมาถึงหน่วยสำรวจ

    “พวกนายคงได้ยินเรื่องการลักลอบนำเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติออกไปขายในตลาดมืดกันมาบ้างแล้วใช่ไหม”

    “ก็เคยได้ยินมาบ้าง คิดว่านายจัดการคนพวกนั้นไปหมดแล้วเสียอีก” เอลวินตอบ ไนล์ถอนใจพร้อมกับส่ายหน้า

    “มันก็ใช่ เราจับโจรพวกนั้นได้หลายคน แต่ก็เป็นแค่พวกหางแถวตัวเล็กๆ”

    “ทำไมไม่ถามพวกมันดูล่ะ ว่าใครอยู่เบื้องหลัง” ฮันซี่ถาม คิ้วเข้มของไนล์ขมวดเข้าหากันเหมือนจะบอกให้รู้ว่า เขาทำแล้ว แต่ไม่มีใครยอมสารภาพ รีไวจึงแทรกขึ้นมาอย่างหงุดหงิด

    “บางทีพวกแกอาจใช้คำพูดไม่ถูก”

    ไนล์รู้ดีว่าความหมายของหัวหน้าทหารร่างเตี้ยก็คือ การสอบปากคำโดยวิธีลงไม้ลงมือเพื่อรีดคำตอบจากผู้ต้องหา เขาจึงหันไปจ้องตาวาวพร้อมกับกล่าวโต้อย่างไม่พอใจ

    “กองสารวัตรทหารไม่ใช่อันธพาลเมืองใต้ดิน”

    “งั้นเหรอ” รีไวพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “แต่เท่าที่เห็น พวกแกบางคนทำตัวไม่ต่างจากกุ๊ยสักเท่าไหร่” ดวงตาคมกริบหรี่ลงเล็กน้อยก่อนจะต่อประโยคด้วยเสียงที่ห้วนกว่าเดิม “กินเหมือนหมูอยู่อย่างหมา”

    “มันจะมากไปแล้วนะรีไว” ไนล์ขึ้นเสียงด้วยความโกรธและคงจะลุกขึ้นไปตะบันหน้าคนปากเสียงสองสามหมัดถ้าเอลวินไม่ห้ามเสียก่อน

    “ใจเย็นน่ะไนล์” เขาปรามเพื่อนก่อนจะหันไปทางรีไว “นายเองก็เหมือนกัน สงบปากสงบคำหน่อยได้ไหม”

    รีไวไม่ตอบแต่กลับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น พอเห็นทุกคนสงบลงแล้วเอลวินจึงเป็นฝ่ายตั้งคำถาม

    “เท่าที่ฟังมันเป็นเรื่องภายใน แล้วหน่วยสำรวจอย่างฉันจะช่วยอะไรนายได้”

    “อย่ามาทำเป็นไขสือ เอลวิน” ไนล์พูดเสียงเข้ม ตายังคงเหลือบไปทางรีไวเหมือนยังไม่คลายจากความโกรธ “นายเองก็น่าจะรู้มาบ้างแล้วว่าใครเป็นตัวการ”

    “ทำไมถึงคิดแบบนั้น”

    “คริสตอฟ แอมเซล” ไนล์ไม่ตอบแต่กลับเอ่ยชื่อของใครบางคนออกมา สีหน้าของเอลวินเปลี่ยนไปเล็กน้อย

    “ข้าหลวงที่คอยดูแลเมืองชั้นนอก เขาเกี่ยวอะไรด้วย”

    ไนล์กระแทกลมหายใจออกมาแรงๆก่อนจะตอบอย่างหงุดหงิด

    “บางทีฉันก็รำคาญท่าทางที่ทำเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวของนายเหมือนกันนะ เอลวิน” เขาพูด “หมอนี่เป็นเพื่อนกับนิโคลัส โลบอฟ คนที่โดนนายสอยจนร่วงจากตำแหน่งเมื่อหลายปีก่อน จำได้ไหม”

    “จำได้ แต่หมอนั่นถูกจับเพราะเป็นตัวการสร้างเรื่องให้ยุบหน่วยสำรวจเพื่อยักยอกเงิน แล้วข้าหลวงใหญ่อย่างคริสตอฟมาเกี่ยวอะไรด้วย”

    เอลวินย้อนถาม ไนล์เคาะโต๊ะเบาๆด้วยปลายนิ้ว

    “คริสตอฟผูกใจเจ็บกับนายในครั้งนั้น เพราะเงินก้อนใหญ่ที่จะได้จากการยุบหน่วยสำรวจหายวับไปกับตา” เขาอธิบาย “ความจริงกองสารวัตรทหาร ไม่สิ ฉันกับผู้บัญชาการทหารสูงสุดตามเรื่องข้าหลวงคนนี้มานาน รู้ว่านอกจากให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านในเมืองใต้ดินแล้ว เขายังติดสินบนเจ้าหน้าที่บางคนให้ขโมยเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติออกจากคลังไปขายในตลาดมืด ฉันเองก็พยายามหาหลักฐานมาจับกุม แต่อย่างที่บอก สมุนของมันไม่ใครยอมปริปากเลยสักคน”

    “ขบวนการใหญ่ขนาดนั้นไม่ได้มีแค่คริสตอฟเพียงคนเดียวแน่” ฮันซี่ตั้งข้อสังเกต “เป็นไปได้ไหมว่ามีนายทหารระดับสูงร่วมด้วย”

    ไนล์พยักหน้าช้าๆ

    “ฟาเบียน เบคเคียร์ต” เขาพูด คิ้วสีทองหนาของเอลวินขมวดเข้าหากันทันที

    “ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนเขาจะเป็นหัวหน้าหมู่ที่ 23 ของกองสารวัตรทหาร” ผบ.หน่วยสำรวจพูดและป้อนคำถามกลับ “นายแน่ใจนะว่าเป็นเขา”

    “ยิ่งกว่าแน่ใจ” ไนล์ตอบและนั่งจ้องเอลวินที่กำลังทำหน้าเหมือนมีลับลมคมในอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่งจึงโพล่งออกมาอย่างเหลืออด “ไม่เอาน่ะเอลวิน ฉันรู้ว่านายก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน อย่ามาทำเป็นวางท่าอมพะนำกันอยู่เลย” 

    “ฉันยอมรับว่าพอจะได้ยินเรื่องของคริสตอฟมาบ้าง แต่สำหรับฟาเบียน” เขาส่ายหน้าช้าๆ “ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าหมอนี่จะมีส่วนร่วมด้วย”

    “มันเป็นข่าวใหม่ แต่ก็ได้รับการยืนยันมาแล้ว ปัญหาก็คือฉันยังขาดพยานกับหลักฐาน...”

    “แล้วหน่วยสำรวจมีของที่ว่างั้นเหรอ” รีไวถามแทรกพร้อมกับจ้องไนล์ด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับนั่งตัวแข็งพูดไม่ออก เอลวินจึงเป็นฝ่ายตอบแทน

    “ถ้าเดาไม่ผิด นายคิดจะให้พวกเราจับกุมขบวนขนส่งเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติที่ถูกขโมยมา”

    “ใช่” ไนล์ยอมรับและชะงักคำพูดเมื่อได้ยินเสียงกระแทกลมหายใจจากรีไว

    “คิดว่าพวกเราว่างกันนักหรือไง”

    “ฉันรู้ว่าพวกนายยุ่ง” ผบ.กองสารวัตรทหารตอบโดยเจตนาใช้คำพูดประชด “ความจริงฉันก็อยากส่งคนของกองสารวัตรออกมาจัดการ แต่ติดตรงที่ว่าพวกเขาไม่ชำนาญพื้นที่ เลยจำเป็นต้องหันมาพึ่งกำลังของพวกนาย”

    “หรือจะให้พูดกันตามตรง นายต้องการให้รีไวช่วย” เอลวินดักคออย่างรู้ทัน “ถึงได้ขอให้ฉันเรียกเขามาที่นี่ ใช่ไหม” ลงประโยคสุดท้ายด้วยคำถาม ฮันซี่และรีไวหันมาจ้องไนล์พร้อมกัน ดวงตาวาววับของคนตัวเตี้ยทำให้เขาเสียวสันหลังวาบจนต้องยอมสารภาพออกมาตามตรง

    “ใช่”

    “ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ”

    “ถ้าคิดถึงเรื่องความปลอดภัยของทหารในหน่วยสำรวจ ไม่สิ ต้องบอกว่าหน่วยพิเศษต่างหาก” คราวนี้ไนล์พูดด้วยน้ำเสียงกวนประสาทพร้อมกับส่งสายตาท้าทายไปยังคนที่เขากำลังพูดด้วย “ฉันคิดว่านายจะต้องยอมทำตาม”

    สีหน้าของไนล์ทำให้รีไวเริ่มสะกิดใจกับอะไรบางอย่าง และไอ้เจ้าอะไรที่ว่านี่แหละที่ทำให้เขารู้สึกโมโหตงิดขึ้นมา

    “หมายความว่ายังไง”

    คราวนี้ไนล์ไม่ตอบ แต่กลับส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้เอลวิน ซึ่งพอคลี่ออกดูถึงรู้ว่ามันคือแผนที่แสดงภูมิทัศน์ภายในกำแพงโรส

    “นี่มัน” เขาพึมพำและเงยหน้าขึ้นจ้องเพื่อน “นายแน่ใจหรือ”

    “ฉันตรวจสอบมาแล้ว และมั่นใจว่าไม่ผิดแน่” ไนล์ตอบอย่างขึงขัง เอลวินไล่สายตามองแผนที่อย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงส่งส่งให้ฮันซี่ เธอมองผ่านปราดเดียวก่อนจะส่งต่อให้รีไว พอเห็นตำแหน่งที่แสดงเอาไว้ในนั้น คิ้วของเขาก็มุ่นเข้าหากัน

    “หือ?” เขาจ้องอยู่ตรงวงกลมสีแดงที่มีตัวอักษรเขียนกำกับไว้ว่า ศูนย์บัญชาการเก่าของหน่วยสำรวจและเงยหน้าขึ้นมองหน้าไนล์เขม็ง “หมายความว่ายังไง”

    “ดูแผนที่ไม่เป็นหรือ” ผบ.กองสารวัตรถามย้อนถามด้วยสีหน้ากวนโทสะ หัวคิ้วของรีไวขมวดเข้าหากันมากกว่าเดิม

    “ฉันดูเป็น” เขาตอบเน้นย้ำทีละคำ “ที่ไม่เข้าใจก็คือ แกวางแผนอะไรกันแน่”

    คราวนี้ไนล์เป็นฝ่ายยิ้ม เพราะคิดว่าอีกฝ่ายตามเกมส์ไม่ทัน

    “ง่ายๆ เจอพวกมันเมื่อไหร่ ให้จับตัวได้ทันที”

    ถ้าดวงตาสามารถสังหารคนอื่นได้ดังใจปรารถนา ไนล์ ดอร์ค คงดับดิ้นสิ้นชีพจากการมองของรีไวไปนานแล้ว คำพูดที่เพิ่งหลุดจากปากของผบ.กองสารวัตรทหาร บันดาลโทสะของชายหนุ่มจนเดือดพล่านดุจน้ำในหม้อต้ม เขาจ้องไนล์เขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนกล่าวด้วยเสียงที่ฟังเหมือนคำราม

    “แกเห็นชีวิตลูกน้องของฉันเป็นอะไร” แผนที่ในมือถูกขยำจบยับยู่ยี่ พอเห็นท่าไม่ดีไนล์ก็รีบโบกมือพร้อมกับแก้ตัวเป็นพัลวัน

    “เฮ้ยเดี๋ยว! ใจเย็นก่อนรีไว” เขารีบพูดระล่ำระลักจนลิ้นแทบพันกัน “ฉันยังพูดไม่ทันจบนายก็หัวเสียซะแล้ว”

    ดวงตาคมกริบจ้องอีกฝ่ายนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนเลื่อนไปทางเอลวิน พอเห็นเขาส่งสายตาเชิงเตือนให้สงบใจเอาไว้ก่อน รีไวก็กระแทกหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับพูดเสียงห้วน

    “งั้นก็พูดมา”

    ไนล์เกือบยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่เริ่มชื้นบนหน้าผาก แต่ก็ระงับอาการเหล่านั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้ทุกคนรู้ว่าเขากลัวหัวหน้าทหารตัวเตี้ยคนนี้

    “ที่อยากจะบอกก็คือ โจรกลุ่มนี้ใช้ถนนเก่าเป็นเส้นทางหลบหนี” เขายื่นมือไปข้างหน้าเหมือนจะขอแผนที่จากรีไว พอรับมาแล้วก็กางออกและไล่นิ้วไปตามจุดที่ทำตำแหน่งเอาไว้ “พวกมันปลอมตัวเป็นพ่อค้า ปลอมปนไปกับคนทั่วไป แต่แทนที่จะใช้ถนนสายหลัก เจ้าพวกนี้จะลัดเลาะเข้าไปในป่าจนถึงแหล่งกบดานและซ่อนตัวอยู่ที่นั่น จนกว่าคริสตอฟหรือฟาเบียนจะติดต่อไปอีกที”

    “แล้วแกจะให้ฉันทำอะไร” รีไวถาม ไนล์เงยหน้าขึ้นมอง

    “อย่างที่บอก จับพวกมัน”

    “ทำไมต้องเป็นฉัน” หัวหน้าทหารร่างเล็กพูด ผบ.กองสารวัตรทหารนิ่วหน้าทันควัน

    “ตั้งใจกวนประสาทกันหรือ รีไว” ไนล์พยายามสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้ในใจขณะตอบ “โจรพวกนั้นอยู่ในเขตของนาย แถมเส้นทางที่พวกมันใช้ก็อยู่ไม่ไกลจากปราสาทของหน่วยพิเศษ” เขาหันไปทางเอลวินก่อนจะเลื่อนกลับไปที่รีไวอีกครั้ง “ที่ทางกองสารวัตรทหาร ไม่สิ ที่ฉันไม่ลงมือเองเพราะรู้ว่าหน่วยสำรวจซ่อนเจ้าหนูไททันไว้ที่นั่น แต่ถ้านายอยากให้เรื่องนี้รั่วไปถึงหูคนอื่นละก็...”

    ไนล์หยุดคำพูดไว้แค่นั้นเหมือนจงใจยั่ว ซึ่งได้ผลอยู่บ้างเพราะดูเหมือนรีไวจะสนใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

    “ถ้าให้พวกเราลงมือ ฉันไม่รับประกันชีวิตของโจรพวกนั้น” รีไวพูดขัด ไนล์เอนตัวไปข้างหน้าทันทีพร้อมกับพูดเสียงดัง

    “ห้ามเด็ดขาดเลยนะ”

    “งั้นก็ไม่ตกลง” หัวหน้าทหารตัวเล็กพูดพลางกอดอก “ฉันไม่ยอมให้ลูกน้องต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับเรื่องไร้สาระแบบนี้ อีกอย่างนี่เป็นเรื่องโสโครกของคนภายใน ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับหน่วยสำรวจ”

    “พูดแบบนั้นได้ยังไงรีไว ถ้าเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติถูกลักลอบ....” ไนล์เตรียมแย้งแต่เอลวินกลับยกมือห้ามและหันไปพูดกับรีไวโดยตรง

    “ถ้านายไม่ลงมือ ผลร้ายจะตกอยู่ที่หน่วยพิเศษ” เขาเว้นคำพูดเพื่อรอดูปฏิกิริยาของคนตัวเล็กกว่า พอเห็นดวงตาคมกริบมองกลับมาคล้ายถามว่า ยังไง? เอลวินจึงพูดต่อ “เป้าหมายของโจรกลุ่มนี้คือเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ คงไม่ดีแน่ถ้าบังเอิญลูกน้องของนายเจอพวกมันระหว่างการลาดตระเวน”

    รีไวส่งเสียงหึในลำคอ

    “ถ้าเจอ ฉันก็จะฆ่าพวกมันให้เรียบ”

    “แล้วถ้าตอนนั้นนายไม่อยู่ล่ะ” เอลวินถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่ตากลับจ้องนิ่งอยู่ที่คนฟัง รีไวมองกลับอย่างถือดี

    “ลูกน้องของฉันมีฝีมือพอ” เขาตอบอย่างมั่นใจแต่ผบ.หน่วยสำรวจส่ายหน้าช้าๆ

    “ฉันหมายถึงเอเลน”

    ชื่อของเด็กหนุ่มทำให้คิ้วเรียวสีเข้มขมวดเข้าหากัน ถูกของเอลวิน หากโจรกลุ่มนั้นพบลูกน้องทั้งสี่ซึ่งมากทั้งฝีมือและประสบการณ์ พวกมันคงถูกปราบได้โดยง่าย แต่ถ้ามีเอเลนอยู่ด้วย พวกเขาอาจเป็นฝ่ายปราชัยเพราะต้องคอยพะวงทั้งการรับมือกับศัตรูและปกป้องเจ้าเด็กเหลือขอไปพร้อมกัน

    “สรุปก็คือ ฉันต้องช่วยเจ้าสมองกลวงนั่น” ดวงตาดุปรายไปทางไนล์ ซึ่งนั่งบดกรามแน่นเพราะเริ่มเดือดปุดๆกับคำพูดแดกดัน แต่ก็พยายามข่มอารมณ์ไม่ให้ระเบิดคำโต้ตอบออกมาให้เสียงาน

    “ใช่” เอลวินตอบ รีไวจ้องไนล์อย่างเกลียดชังก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปทางผู้บังคับบัญชา

    “ก็ได้” เขาตอบอย่างว่าง่าย ยังไม่ทันที่ไนล์จะทันได้พูดอะไร ชายหนุ่มก็กล่าวต่อ “แต่มีข้อแม้อยู่อย่าง”

    พูดพร้อมกับตวัดดวงตาไปยังผบ.กองสารวัตรทหาร ไนล์นิ่วหน้าทันที

    “อะไร”

    “ฉันจะสอบสวนไอ้โจรพวกนี้เอง”

    “ไม่.....!” ไนล์ทำท่าจะปฏิเสธแต่คำพูดชะงักค้างคาลำคอไว้ครึ่งหนึ่งเมื่อเอลวินยกมือขึ้นเหมือนห้ามไม่ให้เขาพูด

    “ตกลง”

    คำตอบของผบ.หน่วยสำรวจไม่ได้ทำให้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันคลายออกแม้แต่น้อย กระนั้นรีไวยังผงกศีรษะรับ

    “งั้นฉันจะจับโจรกลุ่มนี้ไห้เอง” พูดจบก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ประตู เอลวินจึงเอ่ยถาม

    “นั่นนายจะไปไหน”

    “กลับ” รีไวตอบสั้นๆ แต่เอลวินส่ายหน้า

    “นายค้างที่นี่” เขาพูด พอเห็นอีกฝ่ายหันมามองด้วยสายตาเชิงถามก็รีบเตือน “ลืมไปแล้วหรือว่าพรุ่งนี้เราต้องไปหาผบ.สูงสุดเพื่อรายรายงานแผนการสำรวจครั้งต่อไป”

    รีไวยืนนิ่ง ความจริงแล้วเขาอยากบอกเอลวินว่าเรื่องแค่นี้ไปกับฮันซี่ก็น่าจะพอ เพราะตอนนี้เขาเป็นห่วงเอเลนมากกว่าเรื่องอื่น แต่เมื่อนึกได้ว่านอกจากแผนการสำรวจแล้ว ทั้งคู่ยังมีแผลลับอีกอย่างที่จำเป็นต้องปรึกษากันในกลุ่มซึ่งมีเพียงไม่กี่คน เขาจึงจำต้องปฏิบัติตามคำสั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “ชิ” หลุดปากออกมาสั้นๆอย่างหงุดหงิดก่อนก้าวออกจากห้อง ฮันซี่และเอลวินต่างสบตากันเพราะรู้ดีว่ากิริยาแบบนั้นคือการยอมรับคำสั่ง ส่วนไนล์พอเห็นประตูปิดสนิท เขาก็หลุดปากโพล่งออกมาอย่างสิ้นความอดทน

    “นายไม่มีสิทธ์ตัดสินใจนะเอลวิน!

    คนถูกเรียกแกล้งตีหน้าเซ่อ

    “เรื่องอะไร”

    “ให้หมอนั่นเป็นคนสอบสวน” ไนล์พูด “มันเป็นงานของกองสารวัตรทหาร”

    “งั้นหน่วยสำรวจก็ไม่มีหน้าที่ในการจับกุม” เอลวินพูดพร้อมกับยิ้มในหน้า “รีไวคงดีใจที่ได้ยินแบบนั้น”

    “ด...เดี๋ยวสิ ฉันไม่ได้หมายถึงแบบนั้นสักหน่อย” ไนล์รีบแย้งเพราะเข้าใจดีว่าเอลวินหมายถึงยกเลิกการให้ความร่วมมือกับกองสารวัตรทหาร “ที่พูดเพราะพวกเราเคยทำแบบนั้นมาแล้วแต่มันไม่ได้ผล”

    “เรื่องแบบนี้มันต้องให้ผู้ชำนาญการเป็นคนทำ ฉันมั่นใจว่ารีไวงัดชื่อคนบงการออกจากปากคนพวกนั้นได้แน่”

    “โจรกลุ่มนี้ภักดีต่อนายของมันมาก”

    “คงไม่เท่ากับชีวิตของตัวเอง” ฮันซี่ตอบเสียงเรียบเรื่อย ดวงตาสีน้ำตาลหลังกรอบแว่นฉายแววที่ทำให้คนเห็นต้องขนลุก “ถ้าโดนกำปั้นของรีไวแล้วยังไม่สารภาพ ฉันจะจับพวกมันไปห้อยไว้บนกำแพงแล้วเรียกไททันวิปริตมาเล่นด้วยสักสองสามตัว คนไหนหัวแข็งก็โยนเข้าปากมันไปก่อนดูสิว่าพวกที่เหลือจะทำยังไง”

    หญิงสาวเปล่งเสียงหัวเราะในลำคออย่างชอบอกชอบใจกับความคิดของตัวเอง ไนล์ใบหน้าที่เริ่มจะเหมือนคนวิกลจริตของหัวหน้าหมู่สติเฟื่องอย่างไม่ไว้ใจพร้อมกับขยับถอยออกห่าง

    “ฉันว่าที่วิปริตน่ะ คงไม่ใช่แค่พวกไททันหรอก”

    “หือ? ว่าไงนะ” ฮันซี่หันมาถาม พอเห็นสีหน้าหวาดกลัวของไนล์เธอก็หัวร่อร่า “แหมๆ ฉันแค่ล้อเล่นน่ะ ใครจะทำแบบนั้นได้ ใช่ไหมเอลวิน”

    ประโยคท้ายหันไปทางผบ.หน่วยสำรวจ เขาอมยิ้มน้อยๆเชิงรับก่อนจะมองไนล์และเอ่ยปากถามอย่างเป็นงานเป็นการ

    “มีคนรู้เรื่องที่นายมานี่ไหม”

    “ไม่” ไนล์ตอบสั้นๆ เอลวินจึงผงกศีรษะ

    “ฉันคงต้องขอให้นายยืนยันอีกครั้งว่า ยินยอมให้การจับกุมและการสอบสวนโจรกลุ่มนี้เป็นงานของหน่วยสำรวจ ห้ามกองสารวัตรทหารยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องจนกว่าคนร้ายจะยอมรับสารภาพ จับคริสตอฟกับฟาเบียนได้เมื่อไหร่ นายค่อยเข้ามา”

    ผบ.กองสารวัตรทหารถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนพยักหน้ารับด้วยอาการที่เกือบจะเหมือน ฝืนใจ

    “ตกลง”

    “งั้นทำตามนั้น” เอลวินพูดพลางเลื่อนกองเอกสารของฮันซี่มาไว้ตรงหน้า “ฉันสั่งคนเตรียมห้องพักไว้ให้นายแล้ว”

    “วุ่นวายเปล่าๆน่ะ” ไนล์ขัดพร้อมกับโบกมือ “เสร็จธุระแล้วฉันก็จะกลับเลย”

    พูดด้วยสีหน้าเหมือนไม่อยากอยู่ร่วมชายคาเดียวกับหน่วยสำรวจ พอเห็นสายตาของเอลวิน เขาก็รีบกล่าวแก้ “ไม่อยากให้คนอื่นสงสัยน่ะ”

    เอลวินผงกศีรษะช้าๆกับเหตุผลดังกล่าว

    “นั่นสินะ แต่เดินทางตอนกลางคืนมันอันตรายเกินไป ฉันจะให้คนตามไปส่ง” ผบ.หนุ่มเสนอด้วยความหวังดี พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะปฏิเสธก็รีบพูดต่อ “หมายถึงนอกเครื่องแบบ”

    “อ้อ” ไนล์กล่าวออกมาอย่างโล่งใจ เพราะการออกมาพบกับเอลวินในครั้งนี้เป็นความลับ คงไม่ดีแน่หากมีคนของหน่วยสำรวจตามกลับเข้าไปในเมือง “ขอบใจ”

    เอลวินส่งยิ้มน้อยๆให้ “ไม่เป็นไร” เขามองเพื่อนทหารที่กำลังเปิดประตู “อ้อ ไนล์”

    อีกฝ่ายหันมาเลิกคิ้ว “อะไร?

    “ขอให้โชคดี” เอลวินพูดสั้นๆ ไนล์เหยียดริมฝีปากยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน

    “นายเองก็เช่นกัน”

    เขากล่าวออกมาจากใจจริงจากนั้นก็เดินออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีกเลย 
     

    */*/*/*/*/*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×