คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : 6
เมื่อแยกจากรีไวแล้ว เอลวินก็มุ่งตรงกลับบ้าน พอไปถึงก็รีบเปิดแฟลชไดรฟ์ที่ได้รับมาจากลูกน้องทันที เพราะรู้ดีว่าตอนอยู่ในร้านของมิคาสะ รีไวไม่ได้บอกข้อมูลมาทั้งหมดเพราะเกรงว่าคนร้ายจะแฝงตัวมาแอบฟัง และไม่อยากให้คนในร้านพลอยได้รับอันตรายไปด้วย แต่ยิ่งอ่าน หัวหน้าทีมสืบสวนก็ยิ่งกังวล เพราะภายในเอฟบีไอ สายของคนร้ายไม่ได้มีแค่หนึ่งและไม่ใช่คนที่เขาจับตามอง
ข้อมูลที่ได้รับทำให้เอลวินต้องกุมศีรษะด้วยความหนักใจ ฆาตกรที่เขาพยายามล่าตัวในตอนนี้ไม่ได้มีแค่ความฉลาด ยังมีอิทธิพลและอำนาจมากพอดูถึงขนาดซื้อตัวตำรวจ เจ้าหน้าที่รัฐและผู้พิพากษาบางคนได้แถมยังแฝงตัวได้อย่างแนบเนียนเสียด้วยเพราะจนป่านนี้ นอกจากร่องรอยบาดแผลของเหยื่อแล้วเขายังไม่มีเบาะแสอื่นพอที่จะสาวไปถึงตัวฆาตกรเลยสักนิด ไม่รู้แม้กระทั่งว่าเป็นหญิงหรือชาย เพราะความระดับความรุนแรงในการลงมือบ่งชัดว่าผู้กระทำต้องมีความแข็งแรงมากแต่พอพิจารณาจึงความประณีตแล้ว กลับบอกว่าคนลงมือน่าจะเป็นหญิงมากกว่าชาย
บางทีเขาอาจจะต้องปรับแผนการสืบใหม่ เอลวินคิดพลางเคาะโต๊ะเบาๆ ขั้นแรกต้องเริ่มจากการตรวจค้นสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งเขาตั้งใจว่าจะใช้วิธีการบังคับซึ่งต้องอาศัยหมายค้นและใช้เวลาในการขุดหาข้อมูล เพราะหน่วยงานพวกนี้ไม่ค่อยมีระเบียบในการทำงาน และเขาก็แน่ใจว่าทั้งจำนวนเช็คกับรายชื่อของเด็กอาจมีไม่ครบ
กำลังจมอยู่ในความคิดเสียงเพลงจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เอลวินมองหมายเลขที่ปรากฏบนและกดรับทันทีเมื่อรู้ว่าผู้ติดต่อมาคือผู้พิพากษาที่เขาไปขอหมายค้น หลังจากฟังอีกฝ่ายอธิบายถึงรายละเอียดของหมายที่ออกให้จนจบเขาก็ผงกศีรษะรับพร้อมกับกล่าวอย่างสุภาพ
“ผมเข้าใจดีครับท่าน ขอบคุณมากครับ”
เขาปิดการสนทนา วางโทรศัพท์และนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงหยิบมันขึ้นมากดหมายเลข
“เราได้หมายค้นแล้ว พรุ่งนี้ฉันอยากให้นายไปที่นั่น พามาร์โคไปด้วย”
สั่งเสร็จก็วางโทรศัพท์ เอนตัวพิงเก้าอี้และนั่งใช้ความคิดอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งมีแสงสว่างวาบของสายอสนีบาตตามด้วยเสียงลั่นครืนดังมาจากท้องฟ้า เอลวินจึงปิดโน้ตบุ๊ค เก็บแฟลชไดรฟ์จากนั้นก็เดินเข้าห้องเพื่ออาบน้ำ พอออกมาอีกครั้งหยาดพิรุณก็พร่างพรายลงมาพอดี เอลวินมองสายฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงปิดไฟและล้มตัวลงนอน
ฝนที่ตกติดต่อมาตลอดทั้งคืนทำให้อากาศยามเช้าดูหม่นหมองชวนหดหู่ รีไวซึ่งแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วยืนมองทิวทัศน์ภายนอกผ่านกระจกหน้าต่างตรงไปยังตึกที่ตั้งของร้านมิคาสะ พลางคิดถึงงานที่ได้รับมอบหมายและถอนใจออกมาอย่างเสียดายว่าวันนี้เขาคงไม่มีเวลาแวะไปที่นั่น พอนึกแบบนั้นใบหน้าน่ารักของเอเลนก็ปรากฏขึ้นมา รีไวรีบสะบัดหน้าเพื่อไล่มันออกไปพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมสมาธิ แต่แล้วจู่ๆเขาก็เกิดหัวหมุนจนเกือบจะยืนไม่อยู่ ชายหนุ่มรีบคว้าโต๊ะเพื่อพยุงไม่ให้ล้ม และนิ่วหน้าเมื่อรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองร้อนผ่าวเหมือนไฟรุม อาการดังกล่าวแสดงว่ายาแก้หวัดที่กินเข้าไปเมื่อคืนไม่ได้ช่วยอะไรเลย
บ้าชะมัด รีไวคิดอย่างเจ็บใจพลางเดินเข้าห้องน้ำเปิดตู้และหยิบยาออกมาอีกสองเม็ดโยนใส่ปาก ตามด้วยน้ำอีกหนึ่งแก้ว พอมองกระจกชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วเมื่อเห็นเงาสะท้อนของคนหน้าแดงด้วยพิษไข้ เขาถอนใจออกมาค่อนข้างแรง
เขาเพิ่งได้เบาะแสสำคัญมา ยังไงต้องไปค้นที่นั่นให้ได้
คิดแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำ คว้าสูท ออกจากที่พักตรงไปยังที่ทำการของเอฟบีไอ เพราะเมื่อคืนนี้ไม่ได้ใช้รถ เช้านี้เขาจึงต้องเดินทางด้วยรถไฟใต้ดิน ความแออัดยัดเยียดของฝูงชนในตอนเช้าทำให้ชายหนุ่มทั้งโดนเบียด กระแทกจนเซไปมา หากร่างกายเป็นปรกติเขาคงใช้เท้าถีบหรือศอกกลับ แต่เพราะกินยาเข้าไปผนวกกับอาการไข้ทำให้ไม่มีแรง เลยจำต้องยอมทนไปจนกระทั่งถึงที่ทำงาน
พอเห็นหน้าแดงก่ำของลูกน้อง เอลวินถึงกับอุทานด้วยความตกใจ
“นายเป็นอะไรไปน่ะรีไว”
“เป็นหวัดนิดหน่อย แต่เมื่อเช้าฉันกินยามาแล้ว” หนุ่มร่างเล็กกว่าตอบไม่เต็มเสียง “ไหนล่ะหมายค้น รีบส่งมาฉันจะได้รีบไป”
เอลวินส่ายหน้า
“สภาพแบบนี้ไม่ไหวหรอก”
“อย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลยน่า” รีไวพูดด้วยความรำคาญพลางแบมือไปข้างหน้า “ขอหมายด้วยครับคุณหัวหน้า”
พูดแค่นั้นหน้าก็ฟุบลงกับโต๊ะ ฮันซี่รีบเอามือไปแตะหน้าผากและชักกลับแทบไม่ทัน
“ไข้สูงมาก”
“บอกแล้วไงว่าไม่เป็นไร” เสียงรีไวอู้อี้จนฟังแทบไม่รู้เรื่องส่วนเจ้าตัวพยายามผงกหัวขึ้นมาแต่กลับฟุบลงไปอีกครั้ง เอลวินจึงยื่นหมายให้มาร์โค
“นายล่วงหน้าไปก่อน เดี๋ยวฉันจะให้ซาช่าตามไปสมทบ”
“เธอกลับมาแล้วหรือครับ” มาร์โคถาม เอลวินพยักหน้า
“มาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เดี๋ยวฉันจะโทร.บอกให้เธอไปเจอกับนายที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า อ้อ มาร์โค” เขาเรียกเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะเดินออกไป “ให้ตำรวจตามไปด้วย”
“รับทราบครับ” ลูกน้องกล่าวรับคำก่อนหมุนตัวเดินออกจากห้องประชุม พอเห็นมาร์โคพ้นประตูไปแล้วเอลวินจึงหันมาสั่งงานกับแจนและฮันซี่
“คุณสองคนไปสังเกตการณ์ที่บ้านของคนคนนี้” พูดพลางเลื่อนแฟ้มไปตรงหน้าคนทั้งสอง พอเห็นรูป ทั้งคู่ก็ขมวดคิ้ว
“แต่เขาเป็น....”
“ผมรู้ เพราะฉะนั้นขอให้ระวังตัวให้ดี” เขากำชับด้วยความเป็นห่วง แจนกล่าวรับคำหนักแน่นส่วนฮันซี่มองรีไวที่นอนนิ่งไม่ขยับ
“แล้วรีไวล่ะคะหัวหน้า”
“ผมจะพาเขาไปส่งที่บ้านก่อน” เอลวินตอบสั้นๆโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงค้านเบาๆของคนที่นอนฟุบอยู่กับโต๊ะ พอแจนกับฮันซี่ออกไปแล้วชายหนุ่มก็ก้มลงมองรีไวและนิ่วหน้าอย่างกังวล “สงสัยต้องหาคนมาดูนายซะแล้ว”
อาการไข้ที่กำเริบอย่างรุนแรงทำให้อุณหภูมิในกายสูงจัดสร้างความร้อนอันทารุณดุจโดนไฟสุม ยิ่งพวกบวกกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรงจนสมองแทบระเบิดด้วยแล้ว ยิ่งเพิ่มความทรมานจนแทบทนไม่ไหว สติส่วนที่ยังพอรับรู้ร้องบอกให้รีไวลุกขึ้นมากินยา แต่ร่างกายที่ร้อนรุมไปด้วยพิษไข้อ่อนล้าจนเกินกว่าจะขยับตัวได้ จึงมีแค่แขนเท่านั้นที่ควานสะเปะสะปะไปข้างๆ
“นอนนิ่งๆสิครับ” เสียงใครบางคนดังข้างหู รีไวพยายามมองแต่เปลือกตาเจ้ากรรมดันหนักเสียจนแทบจะลืมไม่ขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอุตส่าห์เห็นเงาเลือนรางของใครบางคนกำลังเคลื่อนไหวอยู่เหนือกาย ความสงสัยจึงหลุดปากถามด้วยเสียงเบาดุจละเมอ
“ใคร”
มีเสียงตอบกลับมาแต่ชายหนุ่มกลับฟังไม่รู้เรื่องว่าอีกฝ่ายพูดว่าอะไร พอจะถามซ้ำก็ไม่มีแรงพอจะเปล่งคำพูดออกจากปาก แถมอาการไข้ยังทำให้เขามึนงงจนคิดอะไรไม่ออก ความร้อนกับอาการปวดหัวที่โหมกระพือมากขึ้นสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจนรีไวถึงกับเผลอหลุดปากร้องครางออกมาเบาๆ แต่ความทรมานทั้งหมดกลับทุเลาลงเมื่อหน้าผากของเขาความสัมผัสเย็นฉ่ำชุ่มชื่น เหมือนมีน้ำทิพย์หลั่งลงมาชโลม
“ดีขึ้นไหมครับ” เสียงนุ่มน่าฟังเอ่ยถาม รีไวพยายามตอบแต่ความอ่อนเพลียสร้างความง่วงงุนอย่างหนักจนทำให้เขาผล็อยหลับไป
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง รีไวต้องนิ่วหน้าด้วยความแปลกใจเมื่อพบว่าเขากำลังนอนอยู่ในห้องของตัวเอง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะพยายามนึก ชายหนุ่มจำได้แม่นว่าเขาไปถึงที่ทำงานแล้วและกำลังรอการมอบหมายงานจากเอลวิน แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงมานอนอยู่ที่นี่
คิดพลางขยับตัวเพื่อลุกแต่ความอ่อนแรงทำให้เขาต้องทิ้งตัวกลับลงไปนอนอีกครั้ง และนึกขึ้นได้ในที่สุดว่า ตัวเองตากฝนจนเป็นหวัด และจำได้ลางๆว่าเอลวินพากลับมานอนบ้าน
แสดงว่าหมอนั่นลากเขาขึ้นมานอนบนเตียง คิดพลางถอนใจออกมาเบาๆอย่างหงุดหงิดเพราะคนอย่างรีไว ไม่มีวันร้องขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่ชอบให้คนอื่นมาเห็นในสภาพที่อ่อนแอ ลองโดนเจ้าหัวหน้าจอมเจ้าเล่ห์พากลับห้องในลักษณะหมดสติ มีหวังโดนคนในทีมล้อกันสนุกไปหลายวัน
กำลังนอนคิดอย่างไม่สบอารมณ์ กลิ่นหอมของซุปก็ลอยมากระทบจมูก รีไวนิ่วหน้าในทันทีเพราะก่อนออกจากบ้าน เขาปิดหน้าต่างทุกบานอย่างแน่นหนาจนลมก็ไม่สามารถผ่านเข้ามาได้ แล้วกลิ่นซุปนี่เล็ดรอดเข้ามาได้ยังไง จะบอกว่ามาจากห้องข้างๆก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเขาปิดรอยแตกทุกช่อง อุดรอยต่อทุกรูอย่างแน่นหนาจนไม่มีอะไรแทรกผ่านเข้ามาได้
แล้วกลิ่นนี้มาจากไหน
รีไวคิดและเบิกตากว้างเมื่อเห็นตัวต้นเหตุก็เดินประคองชามซุปเข้ามาในห้อง
“ตื่นแล้วเหรอครับ” เอเลนถามพลางวางชามไว้บนโต๊ะและเดินมานั่งบนเตียงพร้อมกับใช้มือแตะหน้าผาก “ดีจัง ไข้ลดลงแล้ว”
“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง” พอหายตกใจก็รีบถาม อีกฝ่ายจึงหันไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กมาชุบน้ำพร้อมกับตอบไปด้วย
“คุณเอลวินขอให้ผมมาครับ”
“ทำไม”
“ก็คุณไม่สบาย”
“ฉันหมายถึง ทำไมต้องเป็นนาย” รีไวถามเสียงเครียด ถ้าให้เลือกระหว่างเอลวิน กับเจ้าหนูนี่ เขายอมให้คนในทีม ไม่สิ คนทั้งเอฟบีไอเห็นสภาพอ่อนปวกเปียกของเขามากกว่าที่จะยอมให้เจ้าเด็กนี่เห็น
“คงเพราะผมอยู่ใกล้ที่สุด” เอเลนตอบพลางใช้ผ้าเช็ดหน้าตาของอีกฝ่าย “ตอนแรกผมก็ตกใจเหมือนกันนะครับที่รู้ว่าคุณอยู่ใกล้แค่นี้”
เด็กหนุ่มพูดในขณะที่ลากผ้าไปตามลำคอของรีไว
“แต่ก็แปลกนะครับที่ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อน เพิ่งมาอยู่หรือครับ”
“ฉันไม่ค่อยอยู่บ้านต่างหาก” รีไวตอบเสียงกระด้างในขณะเดียวกันก็พยายามเบี่ยงตัวหลบ “พอได้แล้ว”
“ไม่ได้หรอกครับ ก็เมื่อคืนนี้ไข้คุณขึ้นสูงมาก เหงื่อนี่ออกชุ่มไปหมดทั้งตัวเลย” เอเลนอธิบายและกดไหล่อีกฝ่ายเบาๆ “นอนนิ่งๆสิครับ”
รีไวปัดมือของอีกฝ่ายออกพร้อมกับเลื่อนตัวขึ้นไปที่หัวเตียง พอหลุดจากผ้าห่มเขาจึงรู้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในชุดนอน
“ใครเปลี่ยนเสื้อให้ฉัน” เขาถามเสียงดังลั่น เอเลนทำหน้าเหรอหรา
“ผมเองครับ”
“ใครอนุญาตให้นายทำอย่างนั้น” รีไวถามเสียงเครียด มือสั่นด้วยความรู้สึกทั้งโกรธและอาย แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่รู้เพราะเขายังคงพูดไปเรื่อยๆ
“ไม่มีหรอกครับ ผมกลัวว่าถ้านอนทั้งชุดนั้นแล้วคุณจะไม่สบายตัว เลยถือวิสาสะเปลี่ยนให้”
“นายถอดเสื้อ ฉัน” หนุ่มร่างเล็กพูดด้วยเสียงเกือบจะเป็นคำราม “กล้าดียังไง”
ใช่ กล้าดียังไงถึงได้ทำแบบนั้น ทั้งที่จริงๆแล้วคนที่จะทำแบบนั้นควรเป็นฝ่ายฉันต่างหาก รีไวคิดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ แต่ด้วยสภาพที่อิดโรยของเขาทำให้เอเลนไม่กลัวเลยแม้แต่น้อย
“คุณยังไม่หายดี” มือคว้าหมับเข้าที่แขนและออกแรงลาก “กลับมานอนดีกว่าครับ”
พอเห็นชายหนุ่มขืนตัวไม่ยอมทำตาม เด็กหนุ่มก็เม้มปาก “อย่าดื้อสิครับ ไม่อย่างนั้นคุณเอลวินจะหาว่าผมไม่ดูแลคุณ”
“นายกลัวเอลวินงั้นหรือ” รีไวถามและขบกรามแน่นเมื่อเอเลนผงกศีรษะ ดวงตาสีเขียวใสที่ฉายความหวาดหวั่นออกมาน้อยๆทำให้ชายหนุ่มสรุปไปเองว่า มันเป็นอาการของคนที่ยอมตกอยู่ภายใต้อำนาจของคนรัก แสดงว่าเจ้าหัวหน้าตัวดีของเขาลงมือกับเจ้าหนูนี่ไปแล้ว
“คนที่นายกลัวควรเป็นฉันมากกว่า”
“ว่าไงนะครับ”
ความหึงหวงชั่ววูบส่งให้เขายื่นมือออกไปตะปบไหล่เล็กๆอย่างลืมตัวและลากลงไปกดกับที่นอน
“ฉันพูดว่า” รีไวพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของเอเลนพร้อมกับโน้มหน้าลงไปเกือบชิดและกระซิบเหนือรีมฝีปาก “ฉันต่างหากที่นายควรกลัว”
เอเลนอ้าปากค้าง หน้าแดงก่ำ พอได้สติเขาก็ดิ้นเพื่อให้หลุดจากมือของอีกฝ่าย
“คุณจะทำอะไร” เด็กหนุ่มร้องถามด้วยความตระหนก “ปล่อยผมเดี๋ยวนี้นะครับ”
มือทุกระรัวไปตามลำตัวของคนที่อยู่เหนือร่าง หากเป็นเวลาอื่นรีไวคงไม่ยี่หระกับมันนัก เพราะได้รับการฝึกมาอย่างหนัก ทำให้เขาแข็งแกร่งพอจะรับกับการโจมตีทุกรูปแบบ แต่เพราะตอนนี้เพิ่งฟื้นจากไข้ สภาพร่างกายจึงอ่อนแอกว่าที่ควรเป็น พอโดนกำปั้นเล็กๆทุบเข้าที่สีข้างสองสามครั้ง ชายหนุ่มก็นิ่วหน้าและยอมปล่อยเอเลนแต่โดยดี
“ให้ตายเถอะ เล่นทุบมาซะแรงเลย” บ่นพลางทิ้งตัวลงกับที่นอนและมองเด็กหนุ่มที่หนีไปยืนปลายเตียง “ฉันล้อเล่นน่ะ”
“ผมไม่เชื่อหรอก หน้าของคุณมันจริงจังซะขนาดนั้น”
“ก็หน้าฉันมันดุนี่นา” รีไวพูดเสียงขุ่นและถอนใจค่อนข้างแรง “ตกลงฉันขอโทษนายก็ได้”
พอเห็นเด็กหนุ่มยืนนิ่งไม่ยอมขยับเขาก็ถอนใจออกมาอีกครั้ง
“โฮ่ยไอ้หนู ก็บอกแล้วไงว่าขอโทษ” เขาพูดพลางเลื่อนสายตาไปที่ชามบนโต๊ะ “นั่นซุปใช่ไหม”
“ครับ”
“งั้นช่วยส่งมาให้หน่อย ฉันหิว”
เอเลนทำหน้าลังเลแต่ก็ยอมหยิบชามซุปไปยื่นให้โดยดี แต่รีไวกลับนั่งนิ่งไม่ยอมรับ
“ป้อนด้วยสิ”
“ว่าไงนะครับ”
“มือฉันไม่มีแรง ช่วยป้อนให้ด้วย” รีไวพูดเน้นเสียงทีละคำ ดวงตาดุจ้องเขม็งเชิงบังคับ เมื่อไม่มีทางเลี่ยงประกอบกับกลัวว่าจะโดนจับกดกับที่นอนอย่างเมื่อครู่ เด็กหนุ่มจึงจำต้องยอมทำตาม
กินไปได้แค่ครึ่งชามก็ต้องหยุด จากนั้นรีไวก็ยอมให้เอเลนเช็ดตัวให้แต่ขอเปลี่ยนเสื้อผ้าเอง พอกินยาดื่มน้ำไม่นานเขาก็หลับไปอีกครั้ง ตื่นขึ้นมาอีกทีช่วงบ่ายซึ่งคราวนี้กลับพบว่าตัวเองอยู่ตามลำพัง ซึ่งรีไวเดาเอาว่าเด็กหนุ่มคงกลับไปช่วยมิคาสะที่ร้าน พอเดินเข้าครัวเพื่อหาของกินก็เจอออมเล็ตกับซุปที่เอเลนเตรียมไว้ให้พร้อมกับน้ำดื่มและยา แสดงว่าเจ้าหนูนั่นหายโกรธเขาแล้ว รีไวคิดและยิ้มน้อยๆก่อนนั่งลงรับประทานอาหารอย่างมีความสุข ล้างจานชามเสร็จเรียบร้อยยาที่กินเข้าไปก็ออกฤทธิ์พอดี ชายหนุ่มจึงล้มตัวลงนอนหลับยาวไปจนถึงตอนถึง และตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะกลิ่นหอมของกาแฟ
“โฮ่ย” เขาร้องออกไปเบาๆและแอบยิ้มเมื่อเอเลนเดินเข้ามา
“ตื่นแล้วหรือครับ” เขาพูดประโยคเดียวกับเมื่อตอนเช้าพร้อมกับใช้หลังมือแตะหน้าผากของชายหนุ่ม “ไข้ก็ไม่มีแล้วด้วย”
เด็กหนุ่มพูดอย่างดีใจและเอี้ยวตัวไปเพื่อหยิบอ่างน้ำกับผ้าขนหนู แต่รีไวกลับโบกมือ
“ฉันอยากอาบน้ำ”
“แต่คุณเพิ่งหายไข้ โดนน้ำเย็นๆไม่ได้นะครับ”
“ฉันอาบน้ำอุ่น”
“น้ำอุ่นก็ไม่ได้ครับ คนป่วยต้องเช็ดตัวเท่านั้น” พุดพลางเอาผ้าชุบน้ำแล้วบิดพอหมาด พอเห็นอีกฝ่ายนั่งนิ่งไม่ยอมขยับ เอเลนก็ถอนใจ
“ถอดเสื้อด้วยครับ” เขาพูด พอเห็นชายหนนุ่มยังคงนิ่งเฉย เด็กหนุ่มก็ถอนใจอีกครั้ง “ผมรู้ว่าคุณไม่ชอบ แต่ถ้าฝืนทำไข้ก็จะกลับมา คุณก็ต้องนอนให้ผมเช็ดตัวอย่างนี้อีก”
พูดพลางยื่นมือไปแตะกระดุมเสื้อ พอคนเจ้าอารมณ์ไม่พูดหรือเบี่ยงตัวหลบเขาก็ค่อยๆปลดออกทีละเม็ดและเริ่มเช็ดตัวให้อย่างระวัง ไล่ตั้งแต่ซอกคอ แผ่นอกไปจนถึงหน้าท้อง ก่อนจะย้ายไปที่แขนทั้งสองข้างและอ้อมไปยังด้านหลัง ซึ่งการทำแบบนี้ทำให้ศีรษะของเด็กหนุ่มก้มลงมาจนเกือบจะชิด รีไวจึงสูดกลิ่นหอมจากเส้นผมสีน้ำตาลจนเต็มปอด สัมผัสอันนุ่มนวลที่ลูบไล้ไปตามร่างกายก่อให้เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรงจนชายหนุ่มอยากจะดึงร่างเล็กๆนั่นเข้ามากอดหลายครั้ง แต่เพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดยังไง เขาจึงได้แต่ข่มใจนั่งนิ่งยอมให้เอเลนทำความสะอาดร่างกายจนเสร็จ พอผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว เด็กหนุ่มก็นำถาดซึ่งมีขนม ชาร้อนและยามาให้ รีไวมองแล้วนิ่วหน้า
“ฉันอยากกินกาแฟ”
“แต่คุณเพิ่ง...” เอเลนเตรียมค้านแต่ต้องหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นรีไวมองด้วยดวงตาเชิงอ้อนวอน “งั้นก็ได้ แต่นิดเดียวนะครับ”
เด็กหนุ่มเดินหายเข้าไปในครัวและกลับมาอีกครั้งพร้อมกาแฟถ้วยเล็ก และนั่งรอจนรีไวกินอาหารเสร็จเรียบร้อยเขาก็นำถ้วยไปล้าง จัดการเสร็จก็กลับเข้ามาในห้องนอนอีกครั้งและนิ่วหน้าเมื่อเห็นชายหนุ่มยังนั่งอยู่
“ทำไมยังไม่นอนอีกครับ”
“ฉันยังไม่ง่วง” รีไวตอบและมองเด็กหนุ่มนิ่ง “แล้วนายล่ะนอนตรงไหน”
“ผมก็กลับไปนอนบ้านสิครับ”
“ตอนนี้เหรอ” ถามพลางหันไปมองนาฬิกาข้างเตียง “มันดึกมากแล้วนะ ฉันว่านายนอนที่นี่ดีกว่า”
“แต่.....”
“รู้หรือเปล่าว่าหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาที่พวกโจรบ้ากามมันออกมาหาเหยื่อ” รีไวขู่ด้วยใบหน้าที่ปั้นให้ดูน่ากลัว “พวกมันไม่เลือกหรอกว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ยิ่งหน้าตาอ่อนต่อโลกแบบนายนี่มันยิ่งชอบ”
เรื่องที่สร้างขึ้นมาสดๆร้อนๆได้ผล เพราะตอนนี้เอเลนยืนหน้าซีดตัวสั่นแถมยังขยับเข้ามายืนชิดเตียง
“ง...งั้นคืนนี้ผมคงต้องขอกวนคุณรีไว”
“ไม่เป็นไร” รีไวพูดพลางขยับไปอีกด้านและตบที่นอนของตัวเองเบาๆ “มานอนตรงนี้ก็ได้”
“ผมนอนที่โซฟาดีกว่าครับ”
เอเลนรีบแย้ง แต่เอฟบีไอหนุ่มส่ายหน้า
“บ้านฉันไม่มีเก้าอี้ยาว”
“งั้นที่พื้นก็ได้”
“ฉันมีผ้าห่มกับที่นอนแค่ชุดเดียว” รีไวพูดและขมวดคิ้วอย่างขัดใจ “อย่ามัวเรื่องมาก มานอนเดี๋ยวนี้ ฉันง่วงแล้ว”
“แต่ผมต้องโทร.บอกมิคาสะ”
“งั้นก็รีบจัดการซะ เสร็จแล้วอย่าลืมปิดไฟให้ด้วย”
สั่งจบก็เอนตัวลงนอนแต่สายตายังชำเลืองมองเอเลนอยู่ตลอดเวลา พอโทร.บอกมิคาสะแล้วเด็กหนุ่มก็ค่อยๆนั่งลงบนเตียงและเอนตัวลงนอนพร้อมกับดึงผ้าห่มมาคลุมตัว ไม่ถึงห้านาทีก็หลับสนิทโดยไม่รู้ว่าตอนนี้คนที่นอนอยู่ข้างๆกำลังนอนหน้าแดงก่ำและพยายามนับหนึ่งถึงร้อยเพื่อไม่ให้ตัวเองเสียสติจนคุ้มคลั่งเพราะอยากดึงเขาเข้าไปกอดแทบขาดใจ
“ให้ตายสิ” รีไวสบถพลางเหลือบมองเอเลนที่นอนหลับไม่รู้เรื่อง พอเห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาไร้เดียงสาแล้วหัวใจที่พลุ่งพล่านก็ค่อยๆสงบลง มือเลื่อนไปแตะแก้มเด็กหนุ่มเบาๆ
“วันนี้ฉันจะปล่อยนายไปก่อน เจ้าหนูเอเลน”
*/*/*/*/*
ความคิดเห็น