ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (รีไวxเอเลน)

    ลำดับตอนที่ #4 : 4

    • อัปเดตล่าสุด 24 เม.ย. 57




              หลังจากประชุมและนัดหมายงานกันแล้ว ทั้งสี่ก็แยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ โดยเอลวินแวะไปหาผู้พิพากษาเพื่อขอหมายค้น ส่วนรีไวกลับไปที่ห้องชันสูตรอีกครั้งเพื่อตรวจหาหลักฐานเพิ่มเติมรวมทั้งฟังรายงานจากฮันซี่ ซึ่งพออ่านจบเขาก็ผลุนผลันออกไปในทันที ส่วนแจนกับมาร์โคแยกกันไปสังเกตการณ์ตามบ้านของเหยื่อเท่าที่รู้ว่าเป็นใคร การสืบหาดำเนินไปจนกระทั่งพลบค่ำ ทั้งหมดจึงกลับเข้าสำนักงานเอฟบีไออีกครั้ง เพื่อทบทวนผลการทำงานจนเวลาล่วงเลยไปถึงห้าทุ่ม เอลวินจึงปิดการประชุมและสั่งให้ทุกคนกลับไปพักผ่อน เขานั่งรอจนกระทั่งทุกคนลุกออกไปจนหมดจึงเอ่ยเรียก

    “เดี๋ยวก่อนรีไว”

    ชายหนุ่มชะงักเท้าและหันกลับมามอง พอเห็นสายตาของเอลวิน เขาจึงเดินกลับไปนั่งพร้อมกับถาม

    “มีอะไร”

    “วันนี้นายไปไหนมา”

    รีไวทำสีหน้าเหมือนไม่อยากพูด แต่พอโดนหัวหน้าจ้อง เขาก็ยอมสารภาพออกมา

    “ฉันแวะไปบ้านของอิซาเบล”

    “นายไปที่นั่นทำไมอีก” เอลวินถามด้วยความเป็นห่วงมากกว่าการตำหนิ รีไวถอนใจยาวก่อนตอบ

    “บางทีฉันก็อยากไปดูครอบครัวของเธอบ้าง” เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนพูดประโยคต่อมา “แล้วก็อยากตรวจสอบอะไรอีกนิดหน่อย”

    “เกี่ยวกับการตายของอิซาเบลน่ะหรือ” เอลวินถาม พออีกฝ่ายพยักหน้ารับเขาก็ส่ายหน้า “เรื่องมันจบลงไปแล้วนะรีไว นายไม่ควรรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีก”

    รีไวนั่งนิ่งไม่พูดอะไรออกมา เอลวินมองเขาอย่างนึกเห็นใจเพราะอิซาเบล แมกโนเลีย ที่พูดถึงเคยเป็นสมาชิกคนหนึ่งในทีมและเป็นคู่หูของรีไว ทั้งคู่สนิทกันมากเพราะความเฉลียวฉลาดและนิสัยตรงไปตรงมาของเธอ จนรีไวให้ความเอ็นดูเหมือนน้องสาว แต่เมื่อสองปีก่อนตอนทำคดีฆ่าล้างครอบครัว ระหว่างการไล่ล่าคนร้าย อิซาเบลถูกยิงจนเสียชีวิต แม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยแต่รีไวก็เฝ้าโทษว่าเป็นความผิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ถึงจะเห็นหน้าคนยิงชัดเต็มตาเขาก็ยังตามจับไม่ได้ แต่

    รีไวก็ไม่เคยล้มเลิกความคิดเรื่องการตามล่า เอลวินรู้ดีวว่าตลอดเวลาที่ทำคดีอื่น ลูกน้องคนเก่งของเขาก็หาข้อมูลเพื่อความหาตัวคนร้ายรายนั้นไปด้วย และการตายของอิซาเบลนี่เองที่ทำให้รีไวทำงานด้วยวิธีลุยเดี่ยวซึ่งเป็นการกระทำที่หัวหน้าอย่างเขาเป็นห่วงเป็นอย่างมากแม้ปรกติแล้วรีไวจะเป็นพวกบ้าบิ่นไม่กลัวตายก็ตาม

    “เรื่องที่จะถามมีแค่นี้ใช่ไหม” เอฟบีไอหนุ่มถาม เอลวินส่ายหน้าก่อนดึงแฟ้มอีกอันที่วางไว้ข้างตัวเลื่อนส่งให้

    “ฉันเพิ่งได้ข่าวจากเพตร้า”

    “อย่าบอกนะว่าเธอระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว”

    “ก็ไม่เชิง” เอลวินตอบ พอเห็นสายตาฉงนของคนตัวเตี้ย เขาก็พยักหน้าไปที่แฟ้มอีกฝ่ายจึงเปิดอ่าน ยิ่งพลิกหน้ากระดาษไปเรื่อยๆ ใบหน้าที่เรียบเฉยก็เคร่งเครียดขึ้น

    “ผู้ต้องสงสัยมีเครือข่ายอยู่ในกรมตำรวจและเอฟบีไอ” เขามองรายชื่อในรายงานก่อนเงยหน้าขึ้นมองเอลวิน “มีหลักฐานหรือเปล่าว่าเป็นพวกเขาจริง”

    “เพตร้าไม่เคยทำงานชุ่ยๆ” เอลวินตอบ “แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น ที่ฉันอยากให้นายอ่านมันต่อจากนี้ต่างหาก”

    รีไวมองเอลวินด้วยความสงสัยแต่ก็ก้มหน้าลงอ่านรายงานในแฟ้มต่อ เมื่อถึงบรรทัดที่ถูกขีดทับด้วยหมึกสะท้อนแสงโดยมีภาพถ่ายของชายคนหนึ่งแนบไว้ด้วยกัน เขาหยิบมันขึ้นมาจ้องด้วยดวงตาที่ลุกโชนด้วยความแค้น

    “นี่มัน” มือกำแน่นเหมือนอยากขยำคนในภาพให้แหลกคามือ “คนที่ฆ่าอิซาเบล”

    “อ่านลงไปอีกบรรทัด รีไว” เอลวินเตือน พอทำตามเอฟบีไอหนุ่มต้องเบิกตากว้าง เมื่อรู้ว่าคนที่เขาไล่ล่ามาตลอดเป็นใคร

    “ตำรวจ”

      เขาหลุดปากออกมาและขบกรามแน่นที่ตัวเองไม่นึกเอะใจในเรื่องนี้ เพราะถ้าเขานึกเฉลียวใจสักนิดและลองตรวจสอบกับระบบ คงพบคนฆ่าอิซาเบลไปตั้งนานแล้ว คิดได้แบบนี้คิ้วเข้มก็ขมวดเข้าหากัน เพราะตอนเกิดเรื่อง เพตร้าไม่ได้อยู่แถวนั้น แล้วเธอรู้จักหน้าตาของฆาตกรได้ยังไง

    “ทำไมเพตร้าถึงรู้”

    ถามออกไปแค่นั้นเพราะรู้ดีว่าเอลวินเข้าใจดีว่าเขาหมายถึงอะไร อีกฝ่ายตอบอย่างเคร่งขรึม

    “ลืมไปแล้วหรือว่านายแจ้งรูปพรรณของคนร้ายเอาไว้ ตอนแรกพวกเราก็มัวแต่ควานหาจากกลุ่มอันธพาลกับพวกฆาตกร แต่วันที่พวกเราพบศพผู้เคราะห์ร้ายรายที่ห้า เพตร้าเจอผู้ชายคนนี้เดินป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้น และสังเกตว่าเขามีโครงหน้าคล้ายคนร้ายที่นายเคยบอกไว้เลยแอบถ่ายรูปแล้วนำไปตรวจสอบดู ถึงได้รู้ว่าเป็นตำรวจ ที่น่าสงสัยก็คือ เขาประจำการอยู่อีกรัฐและไม่ได้อยู่ในช่วงลาพักร้อน แล้วตำรวจซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้เยมาทำอะไรในที่เกิดเหตุ เพตร้าจึงค้นประวัติเขาให้ลึกลงไปอีกจนกระทั่งพบว่า ตำรวจคนนี้เคยเกี่ยวข้องกับกลุ่มมิจฉาชีพ และเคยโดนร้องเรียนเรื่องการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ รีดไถและรับสินบน”

    “พวกเนื้อร้ายสินะ” รีไวพูดโดยยังคงจ้องคนในรูปไม่วางตา ความที่รู้นิสัยลูกน้องของตัวเองดีว่า ขืนไม่พูดอะไร รีไวคงผลุนผลันออกไปเหยียบผู้ต้องสงสัยจนม้ามแลบ เอลวินจึงเตือน

    “เขายังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัยนะ รีไว”

    “ฉันรู้” ชายหนุ่มพูดเสียงลอดไรฟันก่อนเลื่อนภาพถ่ายใบนั้นกลับไปที่หัวหน้า พอเห็นสายตากังวลของอีกฝ่ายเขาก็ถอนใจ “อย่าห่วงไปเลย ถึงตอนนี้ฉันอยากจะลากหมอนั่นมากระทืบให้หายแค้น แต่งานของพวกเราสำคัญกว่า”

    พูดแค่นั้นเขาก็ลุกขึ้นโดยหยิบแฟ้มงานติดมือไปด้วย เอลวินมองตามก่อนเอ่ยปากพูด

    “ฉันรู้ว่านายไม่ชอบขับรถ แต่การหอบงานขึ้นรถเมล์หรือแท็กซี่มันอันตรายเกินไปนะ”

    “อพาตเม้นท์ของฉันไม่มีที่จอดรถ” รีไวพูด เอลวินยิ้มในหน้า

    “จอดไว้หน้าร้านของมิคาสะก็ได้ เดินไปอีกนิดก็ถึงที่พักนายแล้วไม่ใช่เหรอ” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อโดนอีกฝ่ายมองด้วยหางตาและพูดต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “อย่าลืมกินยาแก้อักเสบล่ะ”

    “ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

    “จริงเหรอ” เอลวินพูดอย่างรู้ทันและฉีกยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะทำตัวเป็นฮีโร่ไม่จำเป็นต้องกินกาแฟร้อนโชว์ให้คนอื่นดูหรอก”

    รีไวหันมามองตาขวาง

    “หุบปากไปเลยเอลวิน”

    เขาเดินออกจากห้องโดยไม่ลืมคว้ากุญแจรถติดมือไปด้วย จากนั้นก็ขับออกจากที่ทำการมุ่งหน้ากลับที่พักของตัวเอง ความจริงแล้วอพาตเม้นท์ของรีไวมีลานจอดรถของผู้พักอาศัย แต่ที่บ่ายเบี่ยงไม่ยอมใช้รถเพราะชายหนุ่มมักจมอยู่กับความคิดของตัวเองจนบางครั้งที่เผลอขับรถกินเลนหรือเสยเข้าข้างทาง

    ตอนแรกรีไวตั้งใจขับรถตรงไปยังที่พักเพราะวันนี้เขาเหนื่อยจนแทบจะเดินไม่ไหว แต่พอเอาเข้าจริงมือกับบังคับรถให้เลี้ยวเข้าถนนอีกเส้น พอรู้ตัวอีกทีปรากฏว่าทั้งรถและเขาอยู่หน้าร้านกาแฟของหนุ่มน้อยผมสีน้ำตาลแล้ว

    “เรามานี่ทำไมกันเนี่ย” ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองพลางมองร้านซึ่งถูกดับไฟจนมืด แสดงว่าเจ้านั่นขึ้นนอนไปแล้ว เขาคิดพลางเลื่อนมือไปแตะกุญแจเพื่อสตาร์ทรถแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นไฟภายในร้านสว่างขึ้นมา พอมองไปที่ประตูจึงพบว่ามูลี่ที่ปิดอยู่ถูกแหวกออกเป็นช่องเหมือนคนในนั้นกำลังมองออกมา หัวใจของรีไวเต้นเร็วขึ้นจนแทบไม่เป็นจังหวะ เขาตัดสินใจดึงกุญแจออกและเอื้อมมือไปหยิบแฟ้มคดี จากนั้นจึงก้าวลงจากรถเดินตรงไปที่ร้านในลักษณะที่เกือบจะเรียกได้ว่า อย่างไม่รู้ตัว

    เสียงคลิ้กเบาๆเมื่อคนในร้านบิดกลอนเพื่อเปิดประตู พอก้าวเข้าไปเขาก็เห็นเอเลนซึ่งตอนนี้อยู่ในชุดนอนกำลังยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะ

    “นึกว่านายหลับไปแล้ว”

    “ครับ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับขยี้ตาอย่างงัวเงีย พอเห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดเขาก็ยิ้ม “ผมโดนคุณเอลวินปลุกเป็นประจำ ไม่เป็นไรหรอกครับ”

    “เอลวินมาหานายตอนดึกด้วยเหรอ” รีไวถามด้วยความรู้สึกเหมือนไม่พอใจน้อยๆ เอเลนพยักหน้ารับก่อนเดินไปหยิบแก้วและรินน้ำดื่มมาวาง

    “ก็ประมาณอาทิตย์ละสองหรือสามครั้ง เห็นคุณเอลวินบอกว่าอยากดื่มกาแฟให้หายเครียดก่อนกลับบ้านน่ะครับ”

    เจ้าหัวหน้าตัวดีชอบย่องมากินเจ้าหนู เอ๊ยกาแฟก่อนกลับบ้านนี่เอง มิน่าถึงได้รู้ว่าเมื่อคืนเขาแวะมาที่นี่ รีไวคิดอย่างนึกฉุนซึ่งไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือไม่ชอบใจกันแน่

    “คุณรีไวก็เหมือนกันใช่ไหมครับ” จู่ๆเอเลนก็ถามขึ้นมา ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนย้อนกลับอย่างหงุดหงิด

    “อะไร”

    “เครียดเรื่องคดีจนนอนไม่หลับ เลยต้องมาหากาแฟดื่มก่อนนอน”

    เอเลนถามด้วยใบหน้าใสซื่อจนรีไวแปลกใจ เพราะเมื่อวานตอนเข้ามาในร้าน เจ้าหนูนี่ยังทำท่าหงุดหงิดแถมมีท่าทางเหมือนอยากจะโยนเขาออกไปเลยด้วยซ้ำ

    “ฉันแค่”

    “งั้นผมไปชงกาแฟให้นะครับ” เอเลนโพล่งพร้อมกับส่งยิ้มที่ดูเหมือนแค่น นั่นเองที่ทำให้รีไวรู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเพียงแต่ไม่กล้าแสดงอะไรออกมา

    “ไม่ต้องหรอก” ชายหนุ่มปฏิเสธแต่เอเลนยังคงยิ้ม

    “ไม่เป็นไรครับ ผมใช้เครื่องตัวเล็กไม่ได้ยุ่งยากอะไร ว่าแต่คุณรีไวชอบกินกาแฟร้อนๆสินะครับ”

    คำว่า ร้อนๆ ถูกเน้นอย่างเจาะจงจนคนฟังถึงกับสะอึก ครั้นจะบอกปัดคนพูดก็เดินไปที่เคาท์เตอร์แล้ว หายไปไม่ถึงสิบนาทีกลิ่นหอมของกาแฟก็อบอวลไปทั้งร้าน สร้างความสดชื่นได้อย่างประหลาดจนรีไวอดนึกชมในใจไม่ได้ว่า เจ้าหนูนี่ชงกาแฟได้เก่งจริงๆ

    “ได้แล้วครับ” คนถูกชมเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พร้อมกับวางถ้วยกาแฟที่มีควันกรุ่นไว้ตรงหน้า “กำลังร้อนๆ ดื่มเลยสิครับ”

    รีไวมองหน้าคนพูดที่กำลังปั้นหน้ายิ้มก่อนเลื่อนสายตาลงไปที่ถ้วยกาแฟ เจ้าหนูนี่ตั้งใจแกล้งเขาจริงๆ ช่างเป็นความคิดที่ผิด เพราะคนอย่างรีไวไม่รู้จักคำว่าแพ้ คิดพลางวางนิ้วไว้บนปากถ้วยเพื่อยกขึ้นดื่มแต่ความร้อนทำให้เขาจ้องชะงักมือเล็กน้อย พอเหลือบตาขึ้นมองก็พบว่าเอเลนกำลังจ้องอย่างใจจดใจจ่อ เอฟบีไอหนุ่มจึงตัดสินใจยกถ้วยขึ้นดื่ม แม้จะร้อนจนปากแทบพอง แต่เขาก็ไม่ยอมเสียเหลี่ยมกับเรื่องแบบนี้ ซดเข้าไปอึกใหญ่รีไวก็วางถ้วยกาแฟลงด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆออกมา

    “เป็นไงครับ” เอเลนถาม อีกฝ่ายทำเป็นตีหน้าขรึม

    “พอใช้ได้”

    “งั้นอีกสักแก้วไหมครับ”

    “ไม่ต้อง ฉันต้องรีบกลับไปทำงานต่อ” รีไวรีบปฏิเสธและยกกาแฟขึ้นดื่มรวดเดียวหมด พอจะจ่ายเงินเอเลนก็รีบพูด

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมบริการพิเศษสำหรับคุณ” พูดพร้อมรอยยิ้มกว้าง ถ้าเป็นคนอื่นคงถูกรีไวตะบันหน้าด้วยความหมั่นไส้ แต่พอเป็นใบหน้าใสๆของเอเลนแล้ว เขากลับนึกอยากจะทำอย่างอื่นมากกว่านั้น

    “น่าจะไปบริการถึงห้อง” เขาพูดพึมพำ เอเลนเอียงคอน้อยๆ

    “ว่าอะไรนะครับ”

    “เปล่า ไม่มีอะไร” รีไวรีบพูด “ดึกมากแล้วฉันกลับก่อนล่ะ”

    เขาเดินไปที่ประตูและหยุดเอี้ยวตัวหันกลับมา “ขอบใจสำหรับกาแฟ”

    น้ำเสียงนุ่มผิดไปจากที่เคยจนเอเลนแปลกใจ แต่ไม่ทันตอบอะไร คนพูดก็ออกจากร้านไปแล้ว

    “วันนี้มาแปลกแฮะ” เด็กหนุ่มพูดเบาๆก่อนกดล็อกและใส่กลอนประตู พอได้ยินเสียงสตาร์ทรถเขาก็อดแหวกมู่ลี่ดูไม่ได้ พอมองออกไปเอเลนต้องใจเต้นเมื่อพบว่ารีไวกำลังจ้องเขาอยู่เช่นเดียวกัน ความตกใจทำให้เขารีบถอยห่างจากประตู พอสงบจิตใจได้ก็ย่องไปดูอีกครั้งซึ่งก็เห็นรถของรีไววิ่งออกไปแล้ว เด็กหนุ่มถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่แล้วจู่ๆก็นึกเสียใจขึ้นมาเพราะรู้สึกผิดหวังที่วันนี้ เจ้าเตี้ยหน้าตายคนนั้น กลับเร็วกว่าเมื่อวาน

    “คิดอะไรบ้าๆไปได้นะเรา”

    บ่นพลางเขกหัวตัวเองเบาๆจากนั้นก็เก็บโต๊ะ ล้างถ้วยและเครื่องชงกาแฟ พอสำรวจอีกครั้งจนแน่ใจว่าทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาจึงปิดไฟและขึ้นห้องนอน       

    */*/*/*/*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×