ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (รีไวxเอเลน)

    ลำดับตอนที่ #15 : 15

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ค. 57



               คำสั่งของเอลวินทำให้รีไวและแจนต้องเดินทางออกจากเมืองกะทันหัน ทั้งคู่ขับรถเป็นระยะทางไกลนานกว่าห้าชั่วโมงจึงเดินทางไปถึงเมืองที่นายตำรวจเบลทรูทประจำการ เป็นที่น่าแปลกใจว่าพอแจ้งจุดประสงค์การมา ผู้บังคับบัญชาของเบลทรูทก็ยอมให้ความร่วมมือโดยดี ทั้งคู่จึงรู้ว่าแท้จริงแล้วตำรวจคนนี้ภายนอกดูเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจาหรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น แต่ภายในใจของเขาอัดแน่นไปด้วยความเคียดแค้นชิงชัง และมักแสดงออกด้วยการฝึกยิงปืนหรือซ้อมผู้ต้องหาอยู่ตลอดเวลา

                ยิ่งค้นประวัติลึกลงไปก็ยิ่งพบว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้มีอิทธิพล และเป็นมือสังหารให้กับนักการเมืองคนหนึ่งด้วย เพียงแต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่า เป็นใคร และที่น่าตกใจก็คือเหตุที่เบลทรูทกลายเป็นเด็กกำพร้า เพราะเขาเป็นคนสังหารพ่อแม่ด้วยมือของตนเอง เนื่องจากทั้งคู่ติดสารเสพติดและมักลงมือทำร้ายเขาตลอดเวลา

                ที่สำคัญก็คือในวันที่ไรเนอร์ถูกฆ่า เบลทรูทไม่ได้อยู่ในเมือง และเขาขาดงานไปนานกว่า 72 ชั่วโมงแล้ว

                อีกเรื่องที่กวนใจรีไวคือ ถ้าเบลทรูททำงานให้แอนนี่จริง ทำไมเขาจึงเลือกเป็นตำรวจในเมืองที่อยู่ห่างจากเธอมากถึงขนาดนี้ และเหตุใดไรเนอร์หรืออีกนัยหนึ่งก็คือโทมัสจึงไม่อยู่กับเขา แต่กลับแฝงตัวเข้าไปทำงานในเอฟบีไอประจำเมืองที่แอนนี่อาศัยอยู่

                รีไวกับแจนตระเวนหาประวัติของเบลทรูทไปทั่วเมือง แต่ผู้ให้ความกระจ่างกลับเป็นเสมียนแก่ๆในโรงพัก ซึ่งบอกว่าแท้จริงแล้วเบลทรูทเกิดที่เมืองนี้ แต่หลังจากที่พ่อแม่ถูกฆาตกรรม เขาก็หนีออกจากบ้านสงเคราะห์ แต่ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่บ้านอุปถัมภ์ที่แอนนี่อยู่ได้อย่างไร ที่ย้อนกลับมาทำงานในเมืองนี้ก็เพื่อล้างแค้นคนที่เคยสร้างบาดแผลในวัยเด็ก ตั้งแต่ครูที่ไม่เคยสนใจเด็กผอมกะโปโลอย่างเขาไปจนถึงเพื่อนที่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้งในสมัยเรียนชั้นประถม ทุกคนถูกฆ่าด้วยวิธีแตกต่างกันไป แม้จะรู้ว่าเบลทรูทเป็นคนทำ แต่ไม่มีหลักฐานสาวไปถึงตัวเขาเลย

                ส่วนตัวโทมัส เป็นญาติห่างๆที่ถูกขับไล่ไสส่งให้มาอยู่กับเบลทรูท ทำให้ทั้งคู่ประสบชะตากรรมเดียวกัน คือถูกทำร้ายร่างกายอย่างทารุณอยู่ตลอดเวลา

                หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด รีไวกับแจนจึงช่วยกันรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอุปนิสัยและการทำงานของเบลทรุทเพิ่งเติมอีกเล็กน้อย จากนั้นทั้งคู่ก็ออกจากเมือง ระหว่างเดินทางรีไวได้รับข่าวบางอย่างจากเอลวิน ซึ่งพอฟังจบใบหน้าที่เคร่งขรึมยิ่งบูดบึ้งหนักกว่าเก่า แจนจึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย

                “มีอะไรเหรอรีไว”

                “พบศพถูกเชือดอีกสองราย และมีพยานยืนยันว่าเห็นผู้ชายที่มีลักษณะคล้ายเบลทรูทอยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุ”

                “อะไรกัน หมอนั่นลงมือฆ่าวันละคนเลยเหรอ”

                “ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ฆ่าวันละกี่คน ฉันสงสัยว่าทำไมจู่ๆเขาถึงเบรกแตกบ้าคลั่งได้ถึงขนาดนี้ต่างหาก”

                “เป็นไปได้ไหมว่าเกี่ยวข้องกับการตายของไรเนอร์” แจนตั้งข้อสังเกต รีไวมุ่นคิ้วเหมือนกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ใช่ เขาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่มันขัดแย้งกับข้อสงสัยในตอนแรก ที่สันนิษฐานว่าเบลทรูทเป็นคนลงมือฆ่าไรเนอร์ เพราะถ้าการตายของผู้ชายคนนี้ทำให้เขาเสียสติ แสดงว่าเขาไมได้เป็นคนทำ ถ้าอย่างนั้นใครกันล่ะ ที่เป็นคนลงมือ

                แอนนี่ เลอ้อนฮาร์ท

                แต่มันจะเป็นไปได้ยังไงที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะลงมือฆ่าคนเป็นจำนวนมากโดยที่ไม่มีใครรู้เรื่อง หรือถ้าเธอทำจริง อะไรคือแรงจูงใจ จะบอกว่าเพราะเหยื่อทุกรายมาจากบ้านอุปถัมภ์แห่งเดียวกันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะบางรายมีอายุมากกว่าแอนนี่หลายปี บางคนออกจากสถานที่แห่งนั้นก่อนเธอเข้าไปอยู่ด้วยซ้ำ

                “คิดว่าแอนนี่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า” เสียงของแจนทำให้ชายหนุ่มต้องหยุดความคิดเอาไว้แค่นั้น เขาส่ายหน้าพร้อมกับพูดสั้นๆ

                “ก็อาจจะเป็นไปได้”

                “คดีนี้มันอะไรกันนะ ตามสืบกันมาเป็นเดือน พอเจอผู้ต้องสงสัยก็ดันโดนยิงทิ้ง อีกคนที่พอจะเป็นเบาะแสก็เกิดบ้าจนกลายเป็นฆาตกรโรคจิต” พูดพลางถอนใจ “แบบนี้เมื่อไหร่เราจะจับคนร้ายตัวจริงได้”

                “คงอีกไม่นานหรอก” รีไวพูดจากนั้นก็ดึงข้อมูลของเบลทรูทขึ้นมาอ่าน แจนจึงรู้ว่าเพื่อนร่วมทีมไม่อยากจะพูดอะไรอีกแล้ว เขาจึงหันกลับไปมองถนนและเหยียบคันเร่ง เพื่อที่จะได้ถึงจุดหมายเร็วขึ้น

                เสียงรถยนต์แล่นมาหยุดตรงหน้าบ้าน ทำให้อาร์มินชะเง้อมอง พอเห็นรีไวกับแจนกำลังเดินตรงมาหา เด็กหนุ่มก็หันไปรายงานเอลวินที่แม้จะยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็ยังนั่งคร่ำเคร่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์

                “พวกเขามากันแล้วครับ” พูดจบก็เดินหายเข้าไปในครัวเพื่อเตรียมเครื่องดื่มมาต้อนรับ พอได้ยินเสียงเคาะประตู เอลวินก็พูดเชิญ

                “เข้ามาสิ”

                รีไวเดินนำเข้าไปก่อน ตามด้วยแจน พอเห็นหัวหน้าทีมที่ยังคงมีผ้าพันรอบแขนนั่งตีหน้าเครียดท่ามกลางกองหนังสือและมีโน้ตบุควางไว้ข้างตัว คนตัวเตี้ยก็ถาม

                “ทำอะไรของนายน่ะ”

                “หาข้อมูลของคนร้าย” เอลวินตอบพร้อมกับผายมือเชิญให้ทั้งสองคนนั่ง ก้นยังไม่ทันแตะเก้าอี้เขาก็ถาม “ได้อะไรมาบ้าง”

                “ก็มากพอดู” รีไวตอบพลางวางแฟ้มค่อนข้างหนาลงบนโต๊ะ “แต่ดูเหมือนตอนนี้มันจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย”

                “ทำไมถึงคิดอย่างนั้น”

                “เบลทรูทกลายเป็นฆาตกรโรคจิตต่อเนื่องแทนคนร้ายตัวจริงไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

                “ก็แค่ข้อสันนิษฐานของท้องที่ นายเองก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าคนร้ายตัวจริงเป็นใคร”

                เอลวินพูด รีไวขยับเพื่อจะตอบแต่หยุดคำพูดไว้เมื่อเห็นอาร์มินเดินถือถ้วยควันกรุ่นสองใบออกจากครัว

                “ดื่มกาแฟก่อนครับ” หนุ่มน้อยวางถ้วยไว้ตรงหน้าเอฟบีไอหนุ่มทั้งสองคนก่อนเดินไปนั่งข้างเอลวิน แจนหยิบขึ้นมาดื่มอย่างกระหายในขณะที่รีไวยังคงนั่งเฉย

                “ไม่คิดว่านายจะมาอยู่ที่นี่ด้วย”

                “ก็คุณเอลวินแขนเจ็บนี่ครับ ผมกลัวว่าจะทำอะไรไม่สะดวกเลยมาอยู่เป็นเพื่อน” อาร์มินอธิบาย แต่เอลวินกลับขยี้ผมเด็กหนุ่มเบาๆ

                “เขากลัวฉันจะหนีออกไปทำงานต่างหาก”

                “ก็มันจริงนี่ครับ มีอย่างที่ไหน ออกจากโรงพยาบาลวันแรกก็วิ่งออกไปดูที่เกิดเหตุ ถ้าผมไม่ตามไปด้วยมีหวังแผลฉีกอีกแน่”

                “แล้วร้านดอกไม้ล่ะ” แจนถาม อาร์มินยิ้ม

                “ผมฝากลุงฮาเนสไว้ครับ”   

                แจนพยักหน้าเพราะรู้ว่าลุงฮาเนสที่เด็กหนุ่มพูดถึง คือญาติที่เลี้ยงดูมาตั้งแต่เล็ก พอเห็นลูกน้องทั้งสองคนนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วเอลวินจึงวกกลับมาที่งาน

                “ฮันซี่เพิ่งแจ้งมาว่า กระสุนที่อยู่ในหัวของไรเนอร์ ตรงกับคดีปล้นฆ่าเมื่อเหลายปีก่อน ลงทะเบียนในชื่อของ มิเชลล์ บอทส์”

                “บอทส์” รีไวทวนแล้วขมวดคิ้ว “นั่นเป็นนามสกุลของโทมัสไม่ใช่เหรอ”

                “เธอเป็นน้องสาวแม่ของโทมัส มีคดีติดตัวเป็นหางว่าว ทั้งค้ายา ปล้นไปจนถึงฆาตกรรม หลังจากที่พ่อแม่ของโทมัสหายสาบสูญ มิเชลล์เลี้ยงดูเขาอยู่พักใหญ่แต่คงทนไม่ไหวเลยเอามาฝากไว้กับพ่อแม่ของเบลทรูท และถูกยิงตายหลังออกจากบ้านได้ไม่นาน ปืนที่เธอพกติดตัวเป็นประจำหายไป”

                “ถูกยิงตาย อย่าบอกนะว่าเป็นฝีมือของเบลทรูท” รีไวพูด เอลวินส่ายหน้า

                “ตำรวจไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง แถมตัวมิเชลล์เองก็ไม่ใช่คนดี คดีเลยปิดไปทั้งอย่างนั้น แต่โทมัสก็อยู่กับครอบครัวของเบลทรูทได้ไม่ถึงปี...”

                “พ่อแม่ของเบลทรูทก็ถูกฆ่าตาย” รีไวต่อประโยคพร้อมกับเลื่อนสายตาลงไปที่แฟ้ม “พยานคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เบลทรูทเป็นคนเมืองนั้น และมีประวัติความรุนแรงหลายอย่าง ตอนพ่อแม่ของเขาถูกฆาตกรรม ทางตำรวจเองก็สงสัยว่าน่าจะเป็นฝีมือเขา แต่ตอนนั้นเบลทรูทยังเด็กแถมไม่มีพยานรู้เห็น เลยรอด”

                “แล้วเขากับโทมัสไปอยู่ในบ้านอุปถัมภ์ที่อยู่ห่างจากบ้านเกิดมากขนาดนั้นได้ยังไง” เอลวินถาม รีไวสั่นศีรษะ

                “ไม่มีใครรู้เรื่องนั้นเลยสักคน”

                “บ้าจริง แบบนี้มันก็เหมือนไม่ได้อะไรเลยนะสิ” เอลวินบ่นอย่างหัวเสีย อาร์มินซึ่งนั่งอ่านข้อมูลของเบลทรูทอยู่ด้วยยกมือขึ้นช้าๆเหมือนจะขออนุญาต

                “เอ่อ”

                “มีอะไรเหรออาร์มิน” เอลวินถาม หนุ่มน้อยทำหน้าลังเลว่าควรเสนอความคิดของตัวเองดีหรือไม่ก่อนตัดสินใจพูด

                “คือเท่าที่อ่านรายงานของคุณรีไว” อาร์มินหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นคนที่ตัวเองพูดถึงมองมาด้วยสายตาตำหนิ “ขอโทษครับที่แอบอ่าน แต่ผมอยากช่วยจริงๆ”

                “ไม่เป็นไรหรอกอาร์มิน มีอะไรก็ว่ามาเถอะ” เอลวินปลอบพร้อมกับขยี้ผมสีทองละเอียดของเขาอย่างเอ็นดู เด็กหนุ่มจึงอธิบายต่อ

                “เท่าที่อ่านรายงานของคุณรีไว ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาเป็นผู้ใหญ่ ไรเนอร์ เอ้อ...โทมัสเองก็เหมือนกัน ข้อมูลของเขาคือช่วงที่อยู่ในเอฟบีไอ กับก่อนหน้านั้นอีกเล็กน้อย”

                “เธอกำลังจะบอกอะไรกับเราหรือ อาร์มิน” เอลวินถาม เด็กหนุ่มปิดแฟ้มและเลื่อนออกจากตัว

                “ตอนนี้พวกคุณวิเคราะห์พฤติกรรมของพวกเขาจากมุมมองของผู้ใหญ่ เลยคิดว่ามันมีความซับซ้อนจนเดาอะไรไม่ถูก แต่ถ้าคิดในด้านกลับกันละครับ”

                “ให้มองว่าทั้งสองคนมีความคิดแบบเด็ก” เอลวินพูดเหมือนฉุกคิดขึ้นมาได้ อาร์มินพยักหน้ารับ

    “และต้องเป็นวัยรุ่นอายุ 16-18 ปีด้วยนะครับ จากที่อ่านและลองวิเคราะห์ดู ผมคิดว่าเบลทรูททำตัวเป็นพี่ชายที่ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องน้อง เหมือนนักรบหรืออัศวินผู้กล้า ส่วนโทมัสเป็นคนอ่อนแอกว่า แต่ก็พยายามทำตัวให้แข็งแกร่งเพื่อจะได้เก่งเหมือนพี่ และความคิดนั้นก็ฝังแน่นอยู่กับจิตใต้สำนึก แม้จะโตเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกเหล่านั้นก็ยังคงอยู่ ที่เบลทรูทฆ่าน้าสาวของโทมัส คงเพราะโกรธที่เธอเอาเด็กตัวเล็กๆมาทิ้ง และที่ฆ่าพ่อกับแม่ ก็เพราะทนไม่ได้ที่เห็นทั้งคู่ทำร้ายโทมัสที่เขารักเหมือนน้องชาย”

    “ด้วยสภาวะจิตใจที่โดนทารุณกรรมมาตั้งแต่เด็ก ทำให้ทั้งคู่ยึดติดกับความคิดดังกล่าว ถึงแม้จะโตเป็นผู้ใหญ่แต่ลึกภายในใจแล้วทั้งเบลทรูทและโทมัสยังมีความเจ็บปวด คั่งแค้นและฝันเห็นภาพหลอนตอนถูกทำร้ายอยู่ตลอดเวลา และลงมือฆ่าคนที่เคยแกล้งพวกเขา” เอลวินเสริม “แล้วทั้งสองคนมาเกี่ยวข้องกับแอนนี่ได้ยังไง”

    “เพราะพวกเรามองกันแต่ระบบไงครับ” อาร์มินพูด “ผมคิดอย่างเด็กอายุ 17 และเกือบจะโดนโยนเข้าไปในระบบบ้านสงเคราะห์มาแล้วครั้งหนึ่ง ขอบอกเลยครับว่าที่นั่นโหดร้ายกว่าที่คนภายนอกคิดมาก เด็กพวกนั้นต้องรอคอยอย่างนาวนาน กว่าจะได้ครอบครัวอุปถัมภ์ ถ้าโชคดีก็ได้อยู่กับคนที่สามารถเป็นพ่อแม่ได้ แต่ถ้าโชคร้ายก็จะจมอยู่กับปิศาจในนรก”

    สีหน้าเศร้าหม่นลงระหว่างที่เล่า เอลวินจึงโอบไหล่เขาเบาๆเป็นการปลอบใจ

    “ผมไม่เป็นไรหรอกครับ” อาร์มินพูดด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มแต่งแต้มและพูดต่อ “ที่ผมอยากจะบอกก็คือ บางทีเบลทรูทกับโทมัสอาจถูกส่งเข้าไปในบ้านสงเคราะห์ แต่ทนระบบไม่ไหวเลยหนีออกมา ระหว่างเดินทางร่อนเร่คงพบกับคนในบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นโดยบังเอิญ และน่าจะถูกใจกับข้อเสนอเลยยอมไปอยู่ด้วย”

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง แสดงว่าทั้งสองคนเจอแอนนี่ที่นั่น แต่ทำไมคนหัวแข็งอย่างพวกเขาถึงยอมทำงานให้เธอ” คราวนี้รีไวเป็นคนถาม อาร์มินเคาะภาพถ่ายของแอนนี่

    “ถ้าแอนนี่ไม่ใช่เด็กกำพร้าละครับ”

    ทุกคนเงียบกริบ เอลวินหยิบภาพของหญิงสาวขึ้นมาจ้อง

    “พวกเรามองผิดไปจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เป็นเด็กกำพร้า” เขาหันไปทางหนุ่มน้อยข้างตัว “ขอบใจมากอาร์มิน”

    “ด้วยความยินดีครับ” เด็กหนุ่มตอบด้วยใบหน้าอมสีชมพู เอลวินส่งยิ้มอย่างอบอุ่นและเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อหันไปทางรีไวกับแจน

    “ค้นประวัติของแอนนี่ เลอ้อนฮาร์ทใหม่อีกครั้ง ในสถานะทายาทเจ้าของบ้านอุปถัมภ์ รวมถึงกลุ่มผิดกฏหมายของเมืองนี้ อ้อ รีไว” เขาเอ่ยเรียกและพูดต่อ “เราต้องส่งตำรวจไปคุ้มกันพวกมิคาสะ เพราะถ้าเบลทรูทไม่ได้เป็นคนฆ่าโทมัส เขาจะโทษว่าต้นเหตุที่ทำให้น้องชายตายคือเอเลน”

    สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อยและกลับเป็นสงบราบเรียบเหมือนในตอนแรก

    “เข้าใจแล้ว” เขาพูดสั้นๆและเดินออกจากบ้านของเอลวินทันที แม้ภายนอกเขาจะดูนิ่งเฉยไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา แต่หัวใจกลับร้อนรุ่มไปด้วยความวิตกกังวล เพราะหากเอเลนตกเป็นเป้าฆาตกรโรคจิตอย่างเบลทรูท อาจถูกฆ่าได้โดยง่ายและตลอดเวลา ลำพังตำรวจเพียงสองนายที่ยืนเฝ้าอยู่นอกร้าน ไม่มีทางช่วยเหลืออะไรได้แน่ เพราะฝีมืออย่างเบลทรูท แค่ยิงหัวเจ้าหน้าที่ทิ้งแล้วบุกเข้าไปในร้าน ทุกอย่างก็จบ

    คิดพลางบีบพวงมาลัยแน่น ทั้งที่เวลานี้เขาอยากปกป้องคนรักใจแทบขาด แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย รีไวบดกรามแน่นด้วยความโกรธ

    “อย่าเป็นอะไรไปนะ เอเลน”

    */*/*/*/*

    ลมเย็นที่พัดวูบผ่านแผ่นหลังทำให้เอเลนหนาวเยือกขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมองเครื่องปรับอากาศเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพราะปรับอุณหภูมิต่ำเกินไป แต่ยังไม่ได้ทันลงมือทำอะไรลมก็พัดเข้ามากระทบตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้เกิดจากการเปิดประตู เด็กหนุ่มจึงหันไปส่งยิ้มให้กับคนที่ก้าวเข้ามา

    “ยินดีต้อนรับครับ” เขากล่าวทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแต่ในใจกลับรู้สึกผิดหวังน้อยๆ เพราะผู้ที่เข้ามาในร้านไม่ใช่คนที่เขากำลังคิดถึง สามวันนับตั้งแต่วันที่เอลวินถูกยิง รีไวก็หายหน้าไป แม้จะรู้ว่าที่เป็นแบบนั้นก็เพราะงาน แต่เอเลนก็อดที่จะคิดโน่นคิดนี่ไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้ เด็กหนุ่มเหลือบตาไปที่นาฬิกาติดผนังแล้วถอนใจ อีกไม่กี่นาทีก็จะต้องปิดร้าน บางทีวันนี้เขาก็อาจจะไม่มาก็ได้

    คิดพลางเดินไปหยิบเหยือกน้ำ ส่วนตาก็เหลือบไปทางคนที่เพิ่งเข้ามา น่าจะเป็นลูกค้ารายสุดท้ายของวันนี้ เด็กหนุ่มคิดในใจและมองคนที่กำลังนั่งก้มหน้าอย่างพิจารณา เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่ อาจจะพอๆกับคนที่ชื่อไรเนอร์ จะต่างกันก็ตรงใบหน้ากับผม ผู้ชายคนนี้มีโครงหน้าค่อนข้างเรียวและมีผมสั้นสีดำสนิท ส่วนใบหน้าของไรเนอร์ค่อนข้างเหลี่ยมและมีผมสีทอง

    สิ่งที่เหมือนกันก็คงจะเป็นดวงตา ไม่ใช่สี แต่เป็นความลึกล้ำ ขุ่นแค้นเหมือนคนที่เก็บความโกรธเอาไว้ในใจตลอดเวลา

    กำลังคิดเพลินๆก็ต้องสะดุ้งเมื่ออีกฝ่ายหันหน้ามาจ้อง ดวงตาที่เหมือนพยัคฆ์กำลังมองเหยื่อทำให้เอเลนเย็นวาบตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า จิตใต้สำนึกเตือนให้รู้ว่าชายผู้นี้เป็นบุคคลอันตราย ดังนั้นเขาควรรีบทำอะไรสักอย่างเพื่อไล่ไปให้พ้น

    “สั่งกาแฟหน่อยสิเจ้าหนู”

    เสียงทุ้ม ห้าวไม่น่าฟังเอ่ยขึ้น เอเลนจึงจำต้องเดินเข้าไปหาแต่หยุดยืนห่างราวหนึ่งช่วงแขน

    “ต้องการแบบไหนครับ” เสียงสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ อีกฝ่ายยิ้มมุมปาก

    “ขอแบบเข้ม....” เขาชะงักคำและขมวดคิ้ว “ยืนห่างแบบนั้นจะได้ยินเหรอ”

    น้ำเสียงเชิงตำหนิ เอเลนจึงขยับเข้าไปอีกนิดและยกสมุดขึ้นทำท่าจะจด

    “แค่นี้ก็ได้ยินครับ” เขาตอบ อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆ

    “งั้นก็ดี เพราะฉันไม่ชอบความผิดพลาด” เสียงต่ำลงในขณะที่ดวงตาทอแสงลุกโชน “ขอกาแฟร้อนแบบเข้มที่สุด”

    คราวนี้เขาจ้องหน้าเด็กหนุ่มเขม็ง

    “เข้มเหมือนกับที่แกชงให้รีไว”

    เอเลนถอยหนีโดยไม่รู้ตัว แต่ช้ากว่าผู้ชายคนนั้น เพราะเขายื่นมือมาคว้าแขนเด็กหนุ่มเอาไว้และกระชากเข้าไปหา

    “จะรีบไปไหน ฉันยังสั่งไม่จบเลย”

    มือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อคลุม พอเห็นท่าทางแบบนั้นมิคาสะก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องเรียกด้วยความตกใจ

    “เอเลน!

    ปืนดำมะเมื่อมหันไปที่เธอ

    “หยุดอยู่ตรงนั้นดีกว่าสาวน้อย” ชายคนนั้นสั่งและเลื่อนปากกระบอกไปจ่อไว้ที่หน้าผากของเอเลน “ถ้าไม่อยากให้หัวเจ้าหนูนี่เป็นรู”

    มิคาสะหยุดตามคำสั่ง หญิงสาวกำหมัดแน่นก่อนถามเสียงกร้าว

    “ต้องการอะไร”

    เสียงหัวเราะแผ่วต่ำดังมาจากร่างสูงใหญ่

    “รู้ตอนนี้ก็ไม่สนุกสิ” เขาตอบก่อนเลื่อนปืนลงไปที่กระเป๋ากางเกงของเอเลน “หยิบโทรศัพท์ของแกออกมา”

    เด็กหนุ่มทำตามด้วยมืออันสั่นเทา ชายคนนั้นแสยะยิ้ม

    “ทีนี้ก็โทร.ไปหาเจ้านั่นซะ”

    “ใครหรือครับ” เอเลนพาซื่อถาม อีกฝ่ายแยกเขี้ยวและพูดด้วยเสียงคำราม

    “อย่ามาแกล้งโง่สิเจ้าหนู ก็คนรักของแกไง” พูดพลางเลื่อนปืนขึ้นไปจ่อไว้ที่ขมับ “เอ้า!อย่ามัวแต่อืดอาด รีบโทร.ได้แล้ว”

    ถึงจะกลัวจนตัวสั่น แต่เอเลนกลับส่ายหน้า

    “ไม่”

    เสียงดังกริ๊กเมื่อปืนถูกขึ้นลำกล้องขณะที่ปากกระบอกปืนถูกกดลงไปที่หัว

    “จะให้ฉันฆ่าแกก่อนก็ได้ แต่ไม่ว่ายังไงเจ้ารีไวก็ต้องตายอยู่ดี คิดให้ดีไอ้หนู อยากเห็นหน้าคนรักก่อนตาย หรือกลายเป็นศพรอเจ้านั่น”

    “เอเลน” มิคาสะเรียกเบาๆเป็นเชิงเตือน เด็กหนุ่มส่ายหน้า

    “ผม”

    เขามองโทรศัพท์ในมืออย่างลังเลจนชายคนนั้นต้องกระตุ้น

    “ว่าไง” ปืนเลื่อนไปเล็งที่มิคาสะ “ถ้าขืนชักช้าแบบนี้คนที่จะตายเป็นคนแรกคือแม่นั่น”

    “อย่านะ” เอเลนร้องห้าม มือกดหมายเลขไปทีละปุ่ม พอได้ยินเสียงสัญญาณปลายสาย ในใจก็ร่ำร้องภาวนาขอให้ไม่มีคนรับ แต่ต้องผิดหวังเมื่อได้ยินเสียง

    “เอเลน”

    น้ำตาไหลพรากอาบแก้ม มือกำโทรศัพท์แน่นขณะที่เด็กหนุ่มเรียกเสียงเครือ

    “คุณรีไว”

    */*/*/*/*/*

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×