คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : 13
เพราะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงและเพื่อความปลอดภัย พอออกจากห้องฉุกเฉินแล้วเอลวินก็ได้รับอนุญาตให้ย้ายเข้าไปพักในห้องพิเศษ ซึ่งมีตำรวจคอยให้ความคุ้มครองหน้าห้องสองนาย พอเห็นรีไวแสดงบัตรประจำตัว ทั้งคู่ก็ยอมให้เข้าเยี่ยมแต่โดยดี ทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาร์มินก็ถลาเข้าไปกุมมือเขาไว้
“เป็นยังไงบ้างครับ”
เด็กหนุ่มถามด้วยความเป็นห่วง เอลวินส่งยิ้มอย่างอ่อนระโหยและใช้ปลายนิ้วแตะแก้มเป็นเชิงเย้า
“อะไรกัน อะไรกัน ทำไมถึงทำหน้าแบบนั้นฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”
“ยังจะทำเป็นเล่นอีก” อาร์มินพูดเสียงเครือ “คุณถูกยิงนะครับ”
“แค่ถากไปเท่านั้น”
“ถากที่ไหน กระสุนเจาะไหล่ไปเลยไม่ใช่หรือครับ” เด็กหนุ่มแย้ง พอเห็นอีกฝ่ายมองด้วยความสงสัยว่ารู้เรื่องนี้ได้ยังไง เขาก็อธิบาย “คุณรีไวเล่าให้ผมฟังแล้วครับ”
สายตาเลื่อนไปที่หนุ่มตัวเตี้ยข้างเตียง แต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจเขาเทาไหร่นักเพราะมัวแต่หันไปรอบๆเหมือนกำลังหาใครบางคนอยู่
“ถ้าเอเลนละก็ ฉันให้ตำรวจพาไปส่งบ้านแล้ว”
รีไวจึงเลื่อนสายตามาที่เขา
“คนเดียวเนี่ยนะ”
“เขาไปกับตำรวจ” เอลวินย้ำประโยคอีกครั้ง อีกฝ่ายนิ่วหน้า
“น่าจะให้รออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันไปส่งให้ก็ได้”
“คิดว่าเอเลนจะยอมไปกับคนที่เพิ่งไล่เขาให้นั่งรถไปกับคนอื่นเหรอ” เอลวินถามและอมยิ้มเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำหน้าบึ้งเพราะเถียงไม่ออก “นายควรไปขอโทษเขานะ”
“ทำไม” รีไวย้อน เอลวินเลิกคิ้ว
“ก็นายเป็นคนผิด”
“คนที่ผิดคือเจ้าหนูนั่นต่างหาก มีอย่างที่ไหน....” เขายั้งคำพูดไว้ทัน เพราะถ้าขืนหลุดปากออกไปว่า ดันไปนั่งกอดผู้ชายคนอื่นต่อหน้าฉัน มีหวังถูกเจ้าเอลวินล้อไปจนวันตายแน่ๆ
“ฉันแวะไปที่ร้านมาแล้ว มิคาสะปลอดภัยดี ดูเหมือนไรเนอร์จะตั้งเป้าไปที่เอเลนเพียงคนเดียว” เขารีบเปลี่ยนเรื่อง สีหน้าสบายๆของเอลวินดูขรึมลง
“แสดงว่าเขาคิดจะฆ่าเอเลนเพื่อยั่วนาย แต่ทำไมต้องทำแบบนั้น” มือลูบคางอย่างใช้ความคิด อาร์มินจึงพูดขึ้นมา
“อาจเป็นเพราะความอิจฉาก็ได้นะครับ”
ทั้งเอลวินและรีไวหันไปมองหนุ่มน้อยพร้อมกัน
“ทำไมถึงคิดแบบนั้น”
“ก็คุณรีไวเก่งที่สุดในทีมไม่ใช่หรือครับ” อาร์มินอธิบาย “ผมลองมานั่งคิดดู บางทีไรเนอร์อาจรู้ตัวแล้วก็ได้ว่ากำลังถูกจับตามอง และคนที่สามารถกระชากหน้ากากตัวจริงของเขาได้มีแค่สองคนคือคุณเอลวินกับคุณรีไว”
“ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ทำไมเขาถึงเล็งเป้าไปที่รีไวแค่คนเดียว” เอลวินถาม
“อย่างที่ผมบอกตอนแรก เพราะความอิจฉา” อาร์มินตอบ “คุณเอลวินตามเรื่องเขาก็จริงแต่คนลงมือคือคุณรีไว เพราะเป็นคนมีฝีมือดีที่สุด วิธีกำจัดอาจจะทำได้ง่ายๆคือแค่ดักยิงก็สิ้นเรื่อง แต่ที่ไรเนอร์ไม่ทำแบบนั้นเพราะเขาอยากให้คุณรีไวพ่ายแพ้ เลยวางแผนฆ่าเอเลน”
“ซึ่งในตอนแรกเขายังไม่อยากออกหน้าเลยจ้างกุ๊ยสามคนนั่น พอพลาดเลยโกรธจัดจนต้องลงมือเอง” เอลวินพูดต่อ
“ทำไมไรเนอร์ต้องเร่งทำถึงขนาดนี้ด้วย แค่ใจเย็นรออีกหน่อยก็มีโอกาสแล้ว” รีไวถาม เอลวินไม่ตอบแต่กลับย้อนคำถามกลับ
“เคยสังเกตหรือเปล่าว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมา พฤติกรรมของไรเนอร์ดูแปลกไป”
“ประจบประแจงมากผิดปรกติ หมกมุ่นกับภาพเหยื่อในคดีที่ไม่มีส่วนร่วมด้วย ชอบอยู่ตามลำพัง แสดงอารมณ์ฉุนเฉียวแบบไม่รู้ตัวหลายครั้ง”
“ฉันคิดว่าอาจเป็นเพราะการมาของนาย”
รีไวนิ่งคิด ถึงตำแหน่งของเขาจะเป็นเจ้าหน้าที่พิเศษประจำสาขาของเมืองนี้ แต่บางคดีทำให้เขาต้องเดินทางออกไปทำงานนอกพื้นที่บ่อยครั้งทำให้ไม่ค่อยได้เจอใคร และไรเนอร์เองก็เพิ่งเข้ามาทำงานเมื่อสามเดือนก่อนนี่เอง
“ไรเนอร์เป็นคนจำพวกที่ฝังหัวตัวเองว่า เก่งเหนือคนอื่น และพยายามทำทุกทางเพื่อร่วมทีมกับพวกเรา พอไม่ได้รับก็เก็บความโกรธเอาไว้ในใจ และเฝ้ารอเจอนายซึ่งได้ชื่อว่า เก่งที่สุด แต่พอเจอตัวจริงกลับทนไม่ได้ เพราะดูจากรูปร่างแล้วนายดูด้อยกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ เรียกมาตะบันหน้ากันสักสองสามหมัดก็จบ แต่ฉันว่ามันน่าจะมีเรื่องของแอนนี่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เพราะหมอนี่ส่งข่าวของพวกเราให้ผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา ปัญหาก็คือ ทั้งสองคนมีความสัมพันธ์กันยังไง”
“รวมถึงตำรวจที่ชื่อเบลทรูทด้วย” เอลวินพูด “และถ้าทั้งสามมีความเกี่ยวข้องกันจริง ทำไมต้องกำจัดไรเนอร์”
“ตอนนี้ปริศนาทุกอย่างอยู่ในศพของไรเนอร์ ฮันซี่ชำแหละเสร็จเมื่อไหร่ พวกเราคงรู้คำตอบทั้งหมด”
“ฉันก็หวังให้เป็นแบบนั้น” พูดจบเอลวินก็นิ่วหน้าและส่งเสียงครางออกมาเบาๆ อาร์มินรีบแตะหน้าอกเขาด้วยความเป็นห่วง
“นอนพักก่อนดีกว่าครับ”
“แต่ว่า”
“อย่าดื้อสิครับ” หนุ่มน้อยดุ เอลวินจึงจำต้องเอนตัวลงนอนโดยดี รีไวเลิกคิ้วเหมือนนึกไม่ถึงว่า พออยู่กับอาร์มินแล้ว หัวหน้าที่องอาจประดุจราชสีห์จะกลับกลายเป็นลูกแมวเชื่องๆไปได้ เหมือนอ่านคิดขออีกฝ่ายออก เอลวินหรี่ตาลงและพูดเสียงเรียบ
“ฉันแค่ไม่อยากให้อาร์มินต้องเป็นห่วงเท่านั้น”
“งั้นเหรอ” รีไวพูดด้วยน้ำเสียงเชิงเย้าพลางเลื่อนสายตาไปที่นาฬิกาบนผนัง “ฉันกลับก่อนดีกว่า เพราะต้องพาอาร์มินไปส่งที่บ้านก่อนด้วย”
“แต่ผมอยากอยู่เฝ้าคุณเอลวินครับ” เด็กหนุ่มรีบพูดและหน้าแดงเมื่อเห็นรีไวยิ้มในหน้า “ก..ก็เผื่อมีอะไรฉุกเฉินขึ้นมา จะได้โทร.บอกทุกคนทันไงครับ”
“ฉันรู้แล้วน่ะ” ชายหนุ่มพูดก่อนหันไปทางหัวหน้า “ไปล่ะนะ”
“เดี๋ยวรีไว” เอลวินเรียก “อย่าลืมไปขอโทษเอเลนด้วยล่ะ”
พอเห็นอีกฝ่ายทำเป็นหูทวนลม เขาก็พูดย้ำ “อย่าลืมสิว่านายเป็นฝ่ายผิด ที่ไล่เขาให้มากับฉัน แถมไม่ยอมฟังคำอธิบายอะไรเลย ถ้าฉันเป็นเอเลนป่านนี้นายโดนกำปั้นไปแล้ว”
หนุ่มร่างเตี้ยอึ้งไปเล็กน้อยก่อนพูดห้วนๆ
“นายไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก”
“ฉันรู้ เพราะงั้นรีบคืนดีกันซะ จะสารภาพรักไปเลยก็ได้” พูดด้วยใบหน้ายิ้มเชิงเย้า รีไวมุ่นคิ้วก่อนพูดเสียงกระด้าง
“เงียบไปเลยเอลวิน”
พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องตรงไปที่รถ ขับออกจากโรงพยาบาลมุ่งหน้ากลับไปยังที่พักของตัวเอง พอลงจากรถก็เดินไปกดลิฟต์ ระหว่างนั้นก็คิดอย่างลังเลว่าควรย้อนกลับไปที่ร้านของมิคาสะเพื่อขอโทษเอเลน หรือปล่อยทิ้งไว้แล้วค่อยปรับความเข้าใจกันทีหลังดี แต่สุดท้ายเขาก็สรุปว่า ดึกขนาดนี้แล้ว ขืนไปเคาะประตูเรียกมีหวังโดนมิคาสะฉีกเป็นชิ้นแน่
เอาไว้พรุ่งนี้ก็แล้วกัน
ชายหนุ่มบอกตัวองในใจและเดินออกจากลิฟต์ แต่ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นเอเลนกำลังนั่งกอดเข่ารอยู่หน้าห้อง ทั้งที่หัวใจเต้นอย่างลิงโลดด้วยความดีใจจนแทบทะลุจากอก แต่เขากลับพยายามสงบสติอารมณ์บังคับตัวเองให้อยู่ในอาการ นิ่ง ไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมามองเขาก็ข่มความยินดีเอาไว้และถามเสียงเรียบ
“มาที่นี่ทำไม”
รอยยิ้มที่กำลังคลี่ออกจางหายไปทันที เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นและพูดตะกุกตะกัก
“ค...คือผม”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่สนใจฟัง เพราะรีไวหยิบกุญแจออกมาไขประตูด้วยท่าทางเมินเฉย พอก้าวเข้าไปในห้องแล้วเขาก็หันกลับมาพูดเสียงเรียบ
“เข้ามาข้างในก่อนสิ” พอเอเลนเข้ามาตามคำเชิญแล้วเขาก็เดินหนีพร้อมกับสั่ง “ปิดประตูด้วย”
ระหว่างพูดก็ถอดสูทออกไปด้วย พอนำไปแขวนเรียบร้อยก็เดินเข้าครัวและหย่อนตัวนั่งบนเก้าอี้ ด้วยมาดของเจ้าชาย
“ขอกาแฟแก้วสิ”
สั่งสั้นๆโดยไม่มองหน้า ถึงจะยังไม่เข้าใจอารมณ์ของชายหนุ่มในตอนนี้เท่าไหร่นักแต่เอเลนก็ยอมทำตามแต่โดยดี มือก็ชงกาแฟไปในใจก็คิดอย่างวิตกว่าจะหาข้อแก้ตัวยังไงกับอีกฝ่าย ถึงจะน้อยใจที่โดนไล่ให้ไปกับเอลวิน แต่พอมาย้อนคิดดีๆแล้วก็ไม่แปลกที่จะโดนเข้าใจผิด เพราะถ้าเขาเห็นรีไวนั่งกอดคนอื่นก็คงจะโกรธเหมือนกัน
กลิ่นกาแฟหอมอบอวลตลบห้อง รีไวมองกาแฟร้อนๆที่ถูกวางบนโต๊ะด้วยหางตา
“มาทำไม” แทนที่จะกล่าวคำขอบคุณกลับเป็นการป้อนคำถาม เอเลนหมุนนิ้วมือของตัวเองก่อนตอบไม่เต็มเสียง
“ผมเป็นห่วงคุณรีไวครับ”
“ฉันมีอะไรต้องห่วง”
“ก็....”เด็กหนุ่มทำหน้าลังเล “ผมกลัวคุณจะเข้าใจผิด”
“เรื่องอะไร”
“ที่ผมกอดคุณเอลวิน”
“แล้วไง”
“ความจริงเราสองคนไม่ได้มีอะไรกันนะครับ แต่ตอนนั้นผมตกใจเสียงปืนแล้วจู่ๆคุณเอลวินก็ล้มลง พอเห็นเลือดก็เข่าอ่อนจนยืนไม่อยู่”
เอเลนพยายามหาคำอธิบายที่เข้าใจง่ายที่สุดทั้งที่ใจจริงแล้วอยากพูดอะไรให้มากกว่านั้น แต่สีหน้าบูดบึ้งของรีไวทำให้เขากลัวจนไม่กล้า ยิ่งเห็นอีกฝ่ายนั่งกอดอกนิ่งไม่ขยับด้วยแล้ว เด็กหนุ่มยิ่งกลัวจนแทบจะยืนต่อไปไม่ไหว
“คุณรีไวครับ”
เขาตัดสินใจเรียกเบาๆและสะดุ้งเฮือกเมื่ออีกฝ่ายหันมามองตาวาว
“กลับไปได้แล้ว”
“ว่าไงนะครับ”
“นายพูดจบแล้วไม่ใช่เหรอ”
เอเลนยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออกเพราะนึกไม่ถึงว่าคนที่อุตส่าห์เป็นห่วงแทบตายจะแสดงท่าทางหมางเมินได้ถึงขนาดนี้
“ต...แต่ว่า”
“มีอะไรอีก” รีไวถาม พอเห็นเด็กหนุ่มนิ่งไม่ตอบ เขาก็เมินหน้าไปทางอื่นพร้อมกับพูด “ถ้าไม่มีแล้วก็เชิญกลับไปได้”
เอเลนยืนตัวสั่นกำหมัดแน่น ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าวและอุ่นชื้นด้วยน้ำใสๆที่เริ่มเอ่อท้นขึ้นมา
“ทั้งที่ผมเป็นห่วง แต่คุณกลับ...” ความปวดร้าวปะทุขึ้นในหัวอก สร้างความเจ็บแปลบอย่างรุนแรงจนทำให้เสียงขาดหายไป เด็กหนุ่มพยายามกลืนก้อนสะอื้นกลับลงคอและพยายามจะพูดอะไรออกมาอีกสักคำ แต่น้ำตากลับไหลพรากอาบแก้ม ยิ่งเห็นคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าทำเป็นไม่สนใจด้วยแล้ว ก็ยิ่งเสียใจ
“คุณรีไวใจร้ายที่สุด!”
เอเลนคร่ำครวญอย่างปวดร้าวก่อนหมุนตัวเดินไปที่ประตู แต่พอจะเปิด มือข้างหนึ่งก็ยื่นมาดันเอาไว้ เมื่อหันกลับไปก็ถูกชายหนุ่มจู่โจมด้วยการจูบ ริมฝีปากที่บดเบียดอย่างเร่าร้อนกับการรุกอย่างไม่คาดฝันทำให้เอเลนเบิกตาโพลง มือเลื่อนไปแตะไหล่หมายจะผลักออกแต่เรี่ยวแรงกลับเหือดหายราวกับระเหยไปในอากาศ ร่างบอบบางจึงอ่อนระทวยอยู่ในอ้อมกอดของรีไว
“เจ้าเด็กบ้า” รีไวกระซิบพลางดึงเอเลนเข้าไปกอด “คิดจะไปจริงๆเหรอ”
“ก็คุณไล่ผมนี่ครับ”
ตอบเสียงสะอื้นด้วยความน้อยใจ ชายหนุ่มเชยคางเอเลนขึ้นและมองดวงหน้าที่นองไปด้วยน้ำตาด้วยดวงตาอันอ่อนโยน
“ใครจะทำแบบนั้นได้ลงคอ” พูดพลางจุมพิตหน้าผากอย่างแผ่วเบา ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำ
“หายโกรธผมแล้วใช่ไหมครับ”
“ใครบอกล่ะ ฉันยังโกรธนายอยู่แถมโกรธมากด้วย” พูดพลางไล้จมูกไปบนแก้มเรื่อยไปจนถึงซอกคอและขบติ่งหูเบาๆก่อนกระซิบ “ทั้งที่ห้ามแล้วว่าห้ามออกไปข้างนอกแต่ก็ยังทำ แบบนี้มันน่าลงโทษให้หนัก
ดวงหน้าสีชมพูเมื่อครู่เผือดลง เด็กหนุ่มดันตัวออกและมองชายหนุ่มอย่างหวาดกลัว
“คุณจะลงโทษอะไรผมหรือครับ”
“เอาไงดีนะ” รีไวพูดและทำท่าคิด “ทุบ ตีหรือขยี้นายดี”
“ที่ว่าขยี้นี่หมายถึงอะไรหรือครับ” ถามด้วยดวงหน้าใสซื่อ รีไวกะพริบตาปริบๆเพราะนึกไม่ถึงว่าอีกฝายจะไร้เดียงสาถึงขนาดนี้
“นายนี่มัน” เขาบ่นพร้อมกับถอนใจอย่างแรงและคลายอ้อมกอด “ช่างเถอะ ดึกมากแล้ว ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วนอนซะ”
เอเลนมองคนพูดอย่างลังเล เพราะตามอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ทัน ทั้งที่เมื่อครู่ผู้ชายตรงหน้าแสดงความโกรธออกมามากมาย แต่ตอนนี้เขากลับกลายเป็นคนน่ารัก อ่อนโยนและดูเป็นห่วงเป็นใยไปทุกเรื่อง
“เอ้า!มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบไปอาบน้ำสิ” รีไวเตือนและหยุดพร้อมกับหรี่ตาลง “หรือจะรออาบพร้อมฉัน”
“ไม่ดีกว่าครับ” เอเลนรีบปฏิเสธและรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำทันที แต่พออาบเสร็จเรียบร้อยกลับพบว่าลืมหยิบเสื้อผ้าเข้าไปด้วย เขาจึงจำต้องหยิบผ้าขนหนูผืนน้อยพันท่อนล่างเอาไว้ และเปิดประตูยืนหน้าออกมามอง พอเห็นรีไวไม่ได้อยู่แถวนั้นเขาก็เดินกระมิดกระเมี้ยนออกมา
“เสื้อผ้าของนายอยู่นี่” เสียงทุ้มดังมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกหัวใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม พอหันไปมองก็เห็นรีไวกำลังยืนถือชุดนอนด้วยใบหน้านิ่ง แตดวงตากลับไล่สำรวจร่างกายของเอเลนอย่างซุกซน
“ผอมไปหน่อยนะ”
เด็กหนุ่มรีบยกมือขึ้นปิดหน้าอก ซึ่งตัวเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมต้องทำแบบนั้น ฝ่ายรีไวพอเห็นท่าทางของเอเลนแล้วก็ยิ้ม
“ไม่ต้องกลัว วันนี้ฉันเหนื่อย อยากนอนพักมากกว่า”
พูดจบก็โยนเสื้อนอนให้เอเลนจากนั้นก็คว้าผ้ากับชุดของตัวเองเดินเข้าห้องน้ำ พอออกมาอีกครั้งก็เห็นเอเลนกำลังนั่งอยู่บนเตียง
“ทำไมยังไม่นอนอีก”
“คือผม...”เด็กหนุ่มอึกอักพูดอะไรไม่ถูก ทั้งที่คิดเอาไว้ว่าจะเข้ามาขอโทษเท่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะต้องนอนร่วมเตียงเดียวกันอีกคืน แถมความรู้สึกในวันนี้ก็ไม่เหมือนกับสองครั้งที่ผ่านมา เพราะยิ่งอยู่ใกล้รีไวมากเท่าไหร่ ใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรงมากขึ้นจนไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไง กระทั่งมือก็หาที่วางไม่ถูก สุดท้ายเลยต้องประสานไว้ทีตักและหมุนหัวแม่มือไปมา
“ผมยังไม่ง่วงครับ”
“อย่ามาโกหก” รีไวพูดพลางมองดวงตาที่หรี่ปรือลงมากว่าครึ่ง “นายง่วงจนเกือบจะหลับกลางอากาศอยู่แล้ว”
“แต่ผมยัง...”
“เงียบ” ชายหนุ่มดุพร้อมกับผลักเด็กหนุ่มให้นอนราบลงไปบนที่นอน และโน้มตัวตามลงไป พอเอเลนขืนตัวเขาก็กดไหล่ทั้งสองข้างเอาไว้และก้มลงไปกระซิบ “ขืนขยับ ฉันจะทำแบบเมื่อกี้อีกครั้ง บางทีคราวนี้อาจจะไม่แค่จูบ”
เอเลนนอนตัวแข็งทื่อตามคำขู่ พอไฟในห้องดับหมดทุกดวง เขาก็พยายามขยับถอยออกห่างแต่กลับถูกชายหนุ่มดึงเข้าไปกอด
“บอกแล้วไงว่าให้นอนนิ่งๆ” ไม่พูดเปล่ายังแอบไล้จมูกไปบนแก้ม “ไม่อย่างนั้นฉันจะหอมนายจนกว่าจะหลับ”
“ย...อย่านะครับ” เอเลนพูดเสียงสั่น รีไวยิ้มในความมืด
“งั้นก็หลับตา แล้วนอนซะ”
“แต่คุณรีไวกอดเอาไว้แบบนี้ ผมหายใจไม่ออก”
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจะช่วยผายปอดให้”
“ม...ไม่ต้องก็ได้ครับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธปากคอสั่นและนิ่งเงียบไป ชายหนุ่มจึงเรียกเบาๆ
“เจ้าหนู”
“ครับ” ตอบอย่างงัวเงีย รีไวจึงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นและใช้ปลายจมูกแตะแก้มเบาๆพร้อมกับกระซิบ
“ราตรีสวัสดิ์”
“ราตรีสวัสดิ์ครับคุณรีไว”
เสียงพึมพำเบาๆขณะที่เจ้าตัวเบียดร่างเข้ามาพร้อมกับซุกหน้ากับแผ่นอก รีไวยิ้มอย่างอิ่มสุขและสูดกลิ่นหอมจากเรือนผมสีน้ำตาลเบาๆ
“ฝันดีนะ เอเลน”
*/*/*/*
ช่วงท้ายอาจแกว่งๆไปนิดนะคะ เพราะคนเขียนกำลังเมายา(ปก้หวัด) สร่างเมื่อไหร่จะอ่านทวน ปรับแก้อีกครั้งค่ะ
ความคิดเห็น