ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 10 ตามรอยโจร

    • อัปเดตล่าสุด 16 ต.ค. 57


    10

    ตามรอยโจร

    เสียงร้องของกาส่งผ่านช่องขนาดเล็กของห้องใต้ดินปลุกเอเลนให้ลืมตาขึ้น ด้วยเสียงของมันทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่ายามนี้คือเวลาใกล้รุ่งโดยไม่จำเป็นต้องเห็นแสงอาทิตย์ เขาเปิดปากหาวน้อยๆก่อนเลื่อนสายตาไปยังช่องแสงนอกกรงสูงขึ้นไปเหนือศีรษะพลางคิดคำนึงถึงใครบางคน ที่ไม่ได้พบตั้งแต่เมื่อเย็นวาน

    อันที่จริงหลังกุนเทอร์ล่ามตรวนแล้ว เอเลนก็ไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เลยสักงีบ เขาคิดว่าคงเป็นเพราะความเครียดจากการฝึก ซึ่งยิ่งนับวันจะเพิ่มความหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าตอนเป็นนักเรียนทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหัวหน้ารีไวล์ที่ไม่เคยลังเลหรือยั้งมือเลยสักนิด พอนึกถึงบุรุษผู้แข็งแกร่งคนนี้แล้ว หัวใจของเอเลนก็เต้นแรงขึ้นมาในทันที

    ไม่ใช่การฝึกหรอกที่ทำให้เขานอนไม่หลับ เด็กหนุ่มคิดพลางเหลือบตามองตรวนบนข้อมือทั้งสองข้าง แม้กุนเทอร์จะล่ามเขาอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้โลหะกระทบผิวเนื้อจนบาดเจ็บและอาจเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มกลายร่างเป็นไททัน การพูดคุยซึ่งแม้จะสุภาพ เอเลนก็ยังจับความกังวลที่เจืออยู่ในน้ำเสียงได้ กระทั่งการกระทำทุกอย่างที่พยายามให้ดูเหมือนเป็นการปฏิบัติระหว่างเพื่อนทหารด้วยกัน ยังมีความหมางเมินอยู่กลายๆ ต่างจากพฤติกรรมของรีไวล์ราวฟ้ากับดิน

    ลมหายใจถูกระบายออกมาเบาๆ ตั้งแต่มาอยู่กับหน่วยสำรวจและได้เข้าร่วมกับหน่วยพิเศษ  เขาถูกรีไวล์จับตามองตลอดเวลา ซึ่งเด็กหนุ่มเข้าใจดีว่ามันเป็นการเฝ้าดูตามหน้าที่ แต่ก็แค่ตอนแรกเท่านั้น เพราะหลังจากผ่านไปได้เพียงสองวัน สายตาของหัวหน้าก็เปลี่ยนไปจากเดิม จากการจ้องอย่างเย็นชาและมาดร้าย มาเป็นการมองด้วยความเป็นห่วง หลายครั้งที่เอเลนรู้สึกถึงความอบอุ่นฉายออกมาจากดวงตาสีเทาหม่น ถึงจะแค่แวบเดียวเท่านั้น มันก็ทำให้เขาบังเกิดความสุขใจขึ้นมาได้อย่างประหลาด ที่สำคัญคือ หัวหน้ารีไวล์มักมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นทุกครั้ง ก่อนล่ามตรวน

    ช่างเป็นการมองที่ชวนถวิลหาอย่างเหลือเกิน

    เอเลนคิดพร้อมกับถอนใจออกมาอีกครั้ง ที่นอนไม่หลับเพราะเขาเฝ้าคิดถึงแต่ดวงตาของหัวหน้า ไม่สิ! ไม่ใช่แค่ดวงตา เขาคิดถึงทุกอย่างของรีไวล์ ไม่ว่าจะเป็นสัมผัสจากมือที่แข็งแรง กลิ่นกายที่ทรงเสน่ห์สมชายชาตรีอันเย้ายวนชวนให้ร้อนวูบวาบไปทั้งตัว

    กลิ่นของหัวหน้า

    เด็กหนุ่มทวนสิ่งที่กำลังคิดด้วยใบหน้าร้อนผ่าว หัวใจที่สงบลงเมื่อครู่เต้นแรงขึ้นอีกครั้งจนแทบหลุดออกจากอก เขาสนใจเรื่องทำนองนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่น่าแปลกก็คือ ทำไมต้องเฉพาะแต่รีไวล์เท่านั้น ส่วนคนอื่นแม้จะเป็นผู้หญิงอย่างเพตร้า มิคาสะหรือแอนนี่ เขากลับไม่สนใจเลยสักนิด

    ความคิดทั้งมวลต้องหยุดลงเมื่อมีเสียงรองเท้ากระทบบันไดหินดังใกล้เข้ามา หากเป็นก่อนหน้านั้น เขาคงเฝ้ารอผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาปลดตรวนด้วยใจจดจ่อ แต่เพราะเช้าวันนี้ไม่ใช่หัวหน้ารีไวล์ พอมีเสียงกุญแจกระทบกรงขัง เด็กหนุ่มจึงผงกหัวขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวคำทักทาย

    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณกุน...”คำพูดชะงักค้างเมื่อพบว่าผู้ก้าวเข้ามาไม่ใช่ชายหนุ่มผมดำร่างสูงโปร่ง หากแต่เป็นสาวสวยเพียงหนึ่งเดียวของหน่วยพิเศษ “คุณเพตร้า?

    “อรุณสวัสดิ์จ้า เอเลน” หญิงสาวเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลางหยิบกุญแจดอกเล็กๆออกมาไขตรวน พอเห็นสีหน้าของเด็กหนุ่ม เธอก็ยิ้มกว้าง “กุนเทอร์ออกไปลาดตระเวนกับเอลโด้น่ะ ฉันเลยลงมาทำหน้าที่นี้แทน”

    “งั้นหรือครับ” เอเลนพูดและขยับตัวลุกนั่งพร้อมกับบีบข้อมือของตัวเองเบาๆเพื่อให้คลายความเมื่อยล้า “เอ่อ...แล้วหัวหน้า”

    “ยังอยู่ที่ศูนย์บัญชาการน่ะ” เพตร้าพูด “ได้ยินว่าผบ.เอลวินเรียกประชุมเรื่องการออกสำรวจครั้งต่อไป คงค่ำแหละกว่าจะเสร็จแต่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะเอเลน”

    เธอเอียงหน้าน้อยๆพร้อมกับส่งยิ้มน่ารักอันเป็นเอกลักษณ์ “หัวหน้าสั่งงานให้เธอทำไว้เรียบร้อยแล้ว”

    เอเลนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความสงสัย เพราะเมื่อวานนี้พอได้รับจดหมาย รีไวล์ก็เดินทางออกจากปราสาททันที แล้วเพตร้ารู้ได้ยังไงว่าเขาสั่งงานอะไรไว้บ้าง ดูเหมือนหญิงสาวจะเดาความคิดของเขาออก เพราะเธอรีบอธิบาย

    “พลนำสารเอาจดหมายของหัวหน้ามาส่งให้เราตอนเย็น ในนั้นมีคำสั่งให้พวกกุนเทอร์ออกลาดตระเวนส่วนเธอกับฉันประจำการอยู่ในปราสาทและทำความสะอาดตามจุดต่างๆที่ระบุมา”

    พูดจบก็หมุนตัวเดินนำขึ้นไปยังชั้นบน หลังจากอาบน้ำล้างหน้าตาและรับประทานมื้อเช้าแล้ว เธอก็พาเอเลนไปหยุดยืนหน้าปราสาทพร้อมกับส่งอุปกรณ์ทำความสะอาดให้

    “หัวหน้าสั่งไว้ว่าให้เธอจัดการห้องที่อยู่ด้านขวาให้เรียบร้อย ตอนเย็นจะกลับมาตรวจ ถ้าไม่อยากโดนสั่งให้ทำอีกรอบละก็” พูดพลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่ม “อย่าทำลวกๆนะจ๊ะ”  

    มือเรียวสวยตบบ่าเอเลนสองสามครั้งเหมือนให้กำลังใจก่อนจะเดินแยกตัวไปทำงานในส่วนของตัวเอง

    ห้องด้านขวาที่เพตร้าบอก อยู่อีกด้านหนึ่งของปราสาท เป็นห้องขนาดกลางจำนวนสามห้อง ซึ่งน่าจะเอาไว้ใช้สำหรับรับรองแขกสำคัญยามที่เจ้าของปราสาทยังอยู่ในความรุ่งเรือง ตอนแรกเอเลนคิดว่ามันคงฝุ่นหนาเตอะ แต่พอเห็นสภาพจริงแล้วต้องโล่งใจเพราะดูเหมือนพวกเพตร้าจะทำความสะอาดคร่าวๆไว้แล้วตั้งแต่วันแรกที่มาถึง กระนั้นมันก็ยังสกปรกอยู่ดี

    ห่อหุ้มร่างกายของตัวเองด้วยการโพกผมกับคาดผ้าปิดจมูกกับปากแล้ว เด็กหนุ่มจึงลงมือทำความสะอาดเริ่มจากตั้งปัดหยากไย่บนเพดาน เช็ดตู้ โต๊ะ เตียง ขอบหน้าต่าง พอกวาดผงออกจากห้องแล้วก็ใช้ผ้าชุดน้ำบิดพอหมาดถูถึงสามรอบจนไม้ทุกชิ้นขึ้นเงามันวับ พื้นก็ส่องประกายเป็นมันปลาบเหมือนเพิ่งสร้างขึ้นมาเมื่อวานนี้เอง

    ใช้เวลาค่อนวันการทำความสะอาดห้องทั้งสามก็เสร็จสิ้น เอเลนยืนมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจพลางวาดฝันไปว่าหากหัวหน้ารีไวล์มาเห็นและพอใจ เขาอาจได้รับคำชมหรือรางวัลเล็กๆน้อยๆอย่างถูกลูบหัวด้วยความเอ็นดูก็เป็นได้

    “เสร็จหรือยังจ๊ะเอเลน” เสียงใสของเพตร้าดังใกล้ตัวพอเห็นห้องที่สะอาดเอี่ยมเธอก็เบิกตาโตพร้อมกับอุทานออกมา “สุดยอด สะอาดเหมือนหัวหน้ารีไวล์ลงมือทำเองเลย”

    หญิงสาวพูดและหันไปส่งยิ้มให้ “เก่งมากเลยเอเลน แบบนี้หัวหน้าต้องพอใจแน่ๆ”

    “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำเบาๆอย่างเขินอายก่อนจะมองห้องที่ตัวเองเพิ่งจัดการเสร็จด้วยความฉงน “แต่ทำไมเราถึงต้องทำความสะอาดห้องพวกนี้ด้วยละครับ ในเมื่อพวกคุณทุกคนก็มีห้องส่วนตัวกันอยู่แล้ว”

    “เพราะศูนย์บัญชาการนี่คือบ้านยังไงล่ะจ๊ะ” เพตร้าอธิบาย “และหัวหน้ารีไวล์ก็ไม่อยากให้บ้านของพวกเราสกปรกไปด้วยฝุ่น”

     พูดพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิ ทำให้เอเลนสำนึกได้ในทันทีว่าเธอและรุ่นพี่ทุกคนรักหน่วยพิเศษรวมถึงหัวหน้ารีไวล์มากเพียงใด

    “ครับ”

    รับคำสั้นๆทั้งที่อยากพูดมากกว่านั้นแต่กลับนึกอะไรไม่ออก เหมือนเพตร้าจะเข้าใจความรู้สึกของเด็กหนุ่มดี เธอหันยุติการพูดลงเพียงแค่นั้นแต่กลับเอ่ยปากชวน

    “ลงไปกินอาหารกลางวันกันเถอะ”

    หญิงสาวเดินนำออกไปก่อน เอเลนมองห้องที่สะอาดเอี่ยมอ่องอีกครั้งเหมือนจะตรวจให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดหลุดรอดสายตาก่อนหมุนตัวก้าวตาม พอไปถึงห้องอาหารเขาก็พบว่าไม่มีใครเลยสักคน แม้แต่

    ออรูโอ้ที่มักจะคอยป้วนเปี้ยนกวนประสาทก็พลอยหายไปด้วย สิ่งเดียวที่อยู่บนโต๊ะกลางห้องคือชามซุปกับขนมปังสองก้อนที่เพตร้าเตรียมไว้ให้

    “รุ่นพี่ออกไปลาดตระเวนกันหมดเลยหรือครับ” เด็กหนุ่มถาม หญิงสาวผงกศีรษะ

    “จ้ะ”

    “ทำไม...” ตั้งใจจะถามว่าเพราะอะไรจึงไม่เรียกตนเองไปด้วยแต่เพตร้ากลับชิงพูดเสียก่อนเหมือนต้องการตัดบท

    “เป็นคำสั่งของหัวหน้ารีไวล์น่ะ”

    หากเป็นคนอื่น ข้อสงสัยทั้งหมดคงมลายหายไปในทันทีเมื่อได้ยินชื่อของรีไวล์ แต่เอเลนกลับไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเขายังคงซักด้วยความอยากรู้

    “พอจะทราบไหมครับว่าทำไมหัวหน้าถึงสั่งแบบนั้น”

    ที่กล้าเซ้าซี้เพราะคนที่อยู่ตรงหน้าคือเพตร้า หากเป็นกุนเทอร์ เอลโด้หรือออรูโอ้แล้วเขาคงไม่กล้าทู่ซี้ซักถามซอกแซกแบบนี้แน่ ซึ่งก็เป็นไปตามที่คิดเพราะหญิงสาวหันมาส่งยิ้มให้

    “หัวหน้ารีไวล์บอกว่าเมื่อวานนี้เธอโดนมาหนัก เลยอยากให้พักผ่อน” เธอเอียงหน้าเล็กน้อย “อย่าหาว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ แต่ฉันอยากรู้จริงๆว่าหัวหน้าฝึกอะไรให้เธอ”

    เอเลนหวนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ความเจ็บตอนที่โดนทุ่มยังคงฝังลึกอยู่ในแนวกระดูกสันหลัง ไล่ตลอดไปจนถึงปลายเท้า เขานิ่วหน้าน้อยๆ

    “ความแข็งแรงของร่างกาย กับการต่อสู้ประชิดตัวครับ” เขาตอบด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ อาการตกประหม่ากับสีหน้าที่ฉายความพรั่นพรึงอยู่จางๆสร้างความขบขันจน เพตร้าต้องเผลอหัวเราะออกมาเบาๆและรีบยกมือขึ้นมาปิดปากแทบไม่ทัน

    “ขอโทษจ้ะ” เธอพยายามกระแอมสองสามครั้งเพื่อกลบเกลื่อน “แต่เอเลนก็แข็งแกร่งนะ เพราะขนาดโดนหัวหน้าฝีกตัวต่อตัวแล้วยังขี่ม้ากลับปราสาทไหว ตอนเข้าหน่วยพิเศษใหม่ๆ แค่ถูกจับทุ่มสองสามครั้งพวกฉันเองยังแทบคลาน”    

    สิ่งที่ได้ยินทำให้เอเลนต้องเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจ

    “คุณเพตร้าก็ด้วยเหรอครับ”

    “อื้อ” หญิงสาวรับคำพร้อมกับพยักพเยิดไปที่อาหารบนโต๊ะ “อย่ามัวแต่คุยอยู่เลย รีบกินให้เสร็จจะได้ทำอย่างอื่นต่อ”

    “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำอย่างว่าง่ายและก้มหน้าก้มตากินอาหารจนหมด นั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วเขาก็จัดการงานที่ได้รับมอบหมายซึ่งก็คือทำความสะอาดโถงส่วนกลางกับห้องสมุด ตกเย็นทุกอย่างจึงเรียบร้อยทันรุ่นพี่ทั้งสามกลับเข้ามา

    “สวัสดีครับคุณกุนเทอร์ คุณเอลโด้ คุณออรูโอ้” เอเลนเอ่ยทักเสียงใสเมื่อเห็นทุกคนเดินเรียงแถวเข้ามาในห้องอาหาร คนแรกพยักหน้ารับ ในขณะที่คนที่สองรับคำเบาๆ ส่วนคนที่สามเบ้หน้าน้อยๆพร้อมกับตอบห้วนๆว่า เออ พอพวกเขานั่งลงแล้วเด็กหนุ่มรีบกุลีกุจอรินน้ำชาให้ปากก็ถาม “วันนี้เป็นยังไงบ้างครับ”

    “ก็เรื่อยๆ” เอลโด้ตอบและดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่จากนั้นก็มองเด็กหนุ่ม “แล้วนายล่ะ จัดการงานที่หัวหน้าสั่งแล้วหรือยัง”

    “ครบหมดทุกอย่างเลยครับ” เอเลนตอบอย่างภาคภูมิใจ เพตร้าซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารจึงกล่าวเสริม

    “เอเลนทำความสะอาดเก่งไม่แพ้หัวหน้ารีไวล์เลยล่ะ”

    “เหลือเชื่อ ทั้งที่วันแรกนายโดนสั่งให้ทำซ้ำตั้งสามรอบเนี่ยนะ” คราวนี้ออรูโอ้เป็นคนพูด ตาจ้อง

    เอเลนเหมือนไม่เชื่อฝีมือเท่าไหร่นัก “เธอแอบช่วยเขาใช่ไหม เพตร้า”

    ประโยคสุดท้ายหันไปถามหญิงสาว คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างนึกฉุน

    “อย่าคิดว่าคนอื่นเขาจะเหมือนตัวเองสิออรูโอ้” เธอประชด “ลืมไปแล้วเหรอว่าตอนเข้าหน่วยใหม่ๆ นายโดนหัวหน้าสั่งให้ถูห้องตั้งห้าครั้ง”

    “นั่นเพราะฉันอยากทำเองต่างหาก” ออรูโอ้กล่าวแก้ “แต่ใครจะไปเชื่อล่ะว่าไอ้เด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมคนนี้จะทำงานละเอียดแบบนั้นได้”

    เพตร้ากระแทกลมหายใจเฮือกใหญ่และหันไปจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง และคงต่อปากต่อคำกันอีกนานถ้ากุนเทอร์ไม่ตัดบท

    “พอได้แล้วทั้งสองคน” เขามองออรูโอ้ด้วยสายตาตำหนิก่อนเลื่อนไปทางเพตร้า วันนี้มีอะไรกินบ้าง เพตร้า”

    หญิงสาวอยากบอกเหลือเกินว่าเป็นซุปลิ้นคนปากมาก แต่เมื่อนึกได้ว่าทุกคนเพิ่งกลับมาจากการลาดตระเวนทั้งเหนื่อยและหิว คงไม่เหมาะแน่หากยังคงขืนพูดจาหาเรื่องชวนทะเลาะกันต่อไป

    “เหมือนเดิม ซุปมันฝรั่ง” เธอตอบพลางใช้ช้อนชี้ไปที่ตะกร้าสานใบย่อมซึ่งมีผ้าขาวคลุมเอาไว้ “กับขนมปัง”

    “น่าเบื่อชะมัด รู้อย่างนี้ฉันล่าหมูป่าติดมือมาด้วยก็ดี” ออรูโอ้บ่นออกมาพอให้ทุกคนได้ยิน กุนเทอร์ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา

    “นายก็รู้ว่าไม่ได้ อีกอย่างหมูป่ามันมากเกินไปสำหรับหกคน”

    “ตอนนี้มีแค่ห้า และฉันก็คิดว่าเจ้าเด็กเหลือขอจอมตะกละนั่นคงฟาดได้เกือบครึ่งตัว” ออรูโอ้เถียงคำไม่ตกฟาก เอลโด้หันไปสบตากับกุนเทอร์ก่อนบอกเสียงเรียบ

    “หกต่างหาก” ดวงตาจ้องเขม็งผ่านออรูโอ้ไปทางด้านหลัง การมองแบบนั้นทำให้อีกฝ่ายเย็นสันหลังวาบขนลุกซู่ไปทั้งตัว

    “ต..ตอนนี้หัวหน้ายืนอยู่ข้างหลังฉันแล้วใช่ไหม” ถามเสียงสั่น กุนเทอร์และเอลโด้พยักหน้าพร้อมกันอย่างเคร่งขรึม เพตร้ารีบวางงานที่ตนเองกำลังทำและจัดแจงเตรียมชาทันที ส่วนเอเลนกลับยิ้มกว้างใจเต้นแรงจนแทบหลุดจากอก ความปีติที่เห็นผู้ที่เขาคิดถึงทำให้เด็กหนุ่มหลุดปากเรียกเสียงดัง

    “หัวหน้ารีไวล์”

    พอได้ยินแบบนั้นหัวใจของออรูโอ้ก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เขาพยายามแค่นกลืนน้ำลายซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นก้อนกรวดไปแล้วลงคอ และค่อยๆหันไปทางด้านหลัง พอเห็นดวงตาสีเทากำลังมองอย่างหงุดหงิดเท่านั้น ใจที่ฝ่ออยู่แล้วก็ยิ่งแห้งเหี่ยวลงไปอีก

    “ห...หัวหน้ารีไวล์” เขาเอ่ยทักเสียงแห้งพร้อมกับฝืนยิ้ม “มาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ”

    “ตั้งแต่แกคิดจะจับหมูป่า” รีไวล์ตอบเสียงกระด้างและเดินเนิบๆไปที่หัวโต๊ะ พอหย่อนตัวลงนั่งเรียบร้อยแล้วก็หยิบชาที่เพตร้านำมาวางไว้ให้ขึ้นมาดื่มสองสามอึก พอวางถ้วยลงดวงตาคมก็ตวัดไปที่

    เอเลน

    “แกทำงานที่ฉันสั่งไว้หรือเปล่า”

    “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำอย่างแข็งขัน “ผมทำความสะอาดทุกห้องเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วครับ”

    คิ้วเรียวสีเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยอย่างแปลกใจ

    “เดี๋ยวฉันจะไปดู ถ้าเจอฝุ่นแม้แต่นิดเดียว คืนนี้แกไม่ได้นอนแน่” พูดจบก็หันไปทางกุนเทอร์ “การลาดตระเวนวันนี้เป็นยังไง”

    “ปรกติดีทุกอย่างครับ” กุนเทอร์ตอบและเตรียมจะสาธยายต่อแต่ต้องหยุดเมื่อรีไวล์ลุกขึ้น “จะไปไหนหรือครับ หัวหน้า” หลุดปากถามอย่างนึกแปลกใจเพราะทุกครั้งต่อให้น่าเบื่อแค่ไหน รีไวล์มักจะนั่งฟังรายงานจนจบ หัวหน้าทหารร่างเตี้ยชำเลืองตาไปทางเอเลนแวบหนึ่ง

    “ฉันจะไปตรวจห้องที่เจ้าเด็กเหลือขอนั่นทำ”

    “เอ่อ...” เอลโด้เอ่ยขึ้นอย่างลังเล “หัวหน้าเพิ่งกลับมา น่าจะนั่งพัก กินอะไรสักหน่อยนะครับ”

    ดวงตาสีเทาเลื่อนไปทางเพตร้าที่กำลังลำเลียงอาหารมาวางบนโต๊ะ กลิ่นหอมของขนมปังอบใหม่ๆกับซุปมันฝรั่งลอยอบอวลไปทั่วห้อง เชิญชวนให้ท้องของทุกคนต้องร้องอุทธรณ์ดังโครกคราก

    “พวกนายกินกันไปก่อน” รีไวล์พูดเสียงเรียบก่อนก้าวออกจากห้อง พอหัวหน้าคนสำคัญไม่อยู่แล้ว

    ออรูโอ้ก็หันมาเล่นงานเอเลนทันที

    “เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆแทนที่จะได้พัก หัวหน้ารีไวล์กลับต้องเสียเวลาออกไปตรวจงานไร้สาระพวกนั้น เพราะแกคนเดียวแท้ๆ ไอ้เด็กเวร”

    เอเลนไม่ได้กล่าวโต้ตอบ เพราะส่วนลึกในใจแล้วเขาเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ทั้งที่ทำงานมาทั้งวันแถมยังต้องขี่ม้าเป็นระยะทางไกลเพื่อกลับมายังปราสาท แทนที่จะนั่งพักรับประทานอาหารและพูดคุยกับลูกน้องให้หายเหนื่อย รีไวล์กลับออกไปตรวจว่าเด็กหนุ่มทำงานตามสั่งได้อย่างเรียบร้อยดีหรือไม่ คิดพลางมุ่นคิ้วอย่างกังวล ถ้าหัวหน้าเกิดไม่พอใจขึ้นมาล่ะ เขามิต้องหอบอุปกรณ์ขึ้นไปทำความสะอาดอีกรอบอย่างนั้นหรือ

    อันที่จริงแล้วเอเลนไม่ได้หนักใจกับเรื่องนี้เท่าใดนัก เพราะตอนเป็นทหารฝึกหัดเขามักโดน          คีธ ซาดิส หัวหน้าหน่วยสุดโหดแกล้งเรียกออกไปทำโน่นทำนี่ตอนดึกบ่อยๆ โดยอ้างว่าเพื่อฝึกความพร้อมกับเหตุการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ตอนนี้เองก็เช่นกันคือต่อให้ต้องถ่างตาทำความสะอาดทั้งคืนเขาก็สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มเป็นห่วงก็คือ แทนที่หัวหน้ารีไวล์จะได้นอน กลับต้องมายืนเฝ้าจนกว่าการทำความสะอาดของเขาเป็นที่น่าพอใจ

    คิดพลางนั่งคนซุปในชามด้วยหัวใจตุ้มต่อม เด็กหนุ่มนึกภาวนาให้หัวหน้ารีไวล์ถูกใจกับความสะอาดของห้องทั้งสาม ไม่ใช่เพราะไม่อยากทำซ้ำเป็นรอบสองหากแต่เป็นห่วง ไม่ต้องการให้คนสำคัญของเขาต้องพลอยนอนดึกไปด้วย

    “โฮ่ย เอเลน” เสียงเรียบเย็นของคนที่กำลังคิดถึงดังมาจากประตู เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัวจนช้อนแทบหลุดจากมือ

    “ครับ!” เอเลนเอ่ยคำขานรับพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองชายตัวเตี้ยที่กำลังยืนบอกหน้าบุญไม่รับซึ่งตอนนี้เดินไปนั่งตรงหัวโต๊ะ และขวัญหนีดีฝ่อกับดวงตาวาววับดุดันที่จ้องมองมาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ สมองเริ่มวุ่นวายกับคำแก้ตัวซึ่งน่าจะใช้ไม่ได้ผลกับความกังวลต่อสิ่งที่คิดเมื่อครู่ แต่พอได้ยินประโยคต่อมา ความหวาดกลัวทั้งหมดก็มลายหายไป

    “ทำได้ไม่เลวนี่”

    น้ำเสียงและสีหน้าพึงพอใจของรีไวล์ทำให้หัวใจของเอเลนพองคับอก เขาเกือบจะกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะและร้องไชโยออกมาด้วยความดีใจแต่หากทำเช่นนั้นมีหวังโดนรุ่นพี่ตบหัวหลุด เด็กหนุ่มจึงกดความลิงโลดเอาไว้ในอกก่อนยืดตัวขึ้นตอบเสียงดังฟังชัด

    “ขอบคุณครับ”  

    เอเลนฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาสีเขียวที่กำลังเปล่งประกายวิบวับอย่างกระตือรือร้นมองรีไวล์ด้วยความหวังว่าจะได้รับคำชมมากกว่านั้น แต่อีกฝ่ายกลับหยิบขนมปังที่เพตร้าจัดมาวางไว้ให้ขึ้นมาบิใส่ปาก และก้มหน้าก้มตารับประทานมื้อเย็นเงียบโดยไม่พูดอะไร พอเห็นแบบนั้นแล้วเด็กหนุ่มจึงถอนใจและหันกลับไปจัดการอาหารของตัวเองจนหมด เมื่อทุกคนอิ่มกันหมดแล้วเขาก็ช่วยเพตร้าล้างถ้วยชาม จากนั้นก็นั่งคุยกันซึ่งบทสนทนาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการสำรวจครั้งต่อ ระหว่างที่พูดกันอยู่นั่นเองจู่ๆรีไวล์ก็โพล่งขึ้น

    “ได้เวลานอนแล้ว เอเลน”

    “เอ๋” เด็กหนุ่มอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ “แต่ผมยังไม่ง่วงนี่ครับ”

    “เพราะแกยังไม่ง่วง คนอื่นก็ต้องไม่ง่วงอย่างนั้นหรือ” ถามพร้อมกับมองด้วยดวงตาที่ทำให้ทุกคนนั่งตัวแข็ง “เลือกเอา จะลุกขึ้นเองหรือให้ฉันลากแกลงไป”

    “ขอโทษครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้ครับ” เอเลนพูดพร้อมกับรีบลุกขึ้นเดินฉับๆนำออกไป พอเห็นอีกฝ่ายพ้นจากห้องแล้ว รีไวล์จึงหันไปยังคนที่เหลือ

    “รอที่นี่ก่อน เดี๋ยวฉันมา”

    ชายหนุ่มเดินออกจากห้องทันทีเมื่อสั่งเสร็จ จากนั้นก็เร่งเท้าก้าวตามเอเลนและพบว่าอีกฝ่ายกำลังยืนรออยู่ตรงช่องทางที่จะลงไปยังห้องใต้ดิน พอเห็นรีไวล์เข้ามาใกล้ เอเลนก็ก้มหน้าหลบสายตาในขณะเดียวกันก็เบี่ยงตัวหลีกให้เขาลงไปก่อน ทั้งคู่เดินตามกันไปอย่างเงียบเชียบไม่มีการพูดจา ไปได้ครึ่งทางเด็กหนุ่มตั้งท่าจะหาเรื่องพูดคุยเพื่อคลายความอึดอัด แต่พอเห็นคนตรงหน้าตรงดิ่งลงไปยังด้านล่างด้วยท่าทางที่ไม่สนสิ่งใดเลยแม้แต่น้อย เขาจึงจำต้องปัดความคิดดังกล่าวทิ้ง แต่ก็ได้ไม่นานเพราะพอนึกทบทวนว่าตั้งแต่กลับมา หัวหน้ารีไวล์ตีสีหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาแถมยังออกคำสั่งให้เขาเข้านอนเร็วกว่าทุกครั้ง เอเลนพยายามคิดหาสาเหตุต่างๆนาๆ แต่ก็นึกไม่ ครั้นจะเอ่ยปากถามไปตามตรงก็กลัวจะโดนกำปั้นหรือฝ่าเท้ากลับมาแทนคำตอบ หลังจากเดินไปด้วยกันครู่ใหญ่ ความอยากรู้ก็บังคับให้เด็กหนุ่มโพล่งถามออกมาอย่างอดไม่ได้

    “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับ”

    “หือ?” รีไวล์ตอบรับในลำคอ ตาชำเลืองผ่านข้ามไหล่ของตัวเองไปยังคนที่อยู่ข้างหลังก่อนตวัดกลับไปมองที่บันได้ตามเดิม “ทำไมถึงถามแบบนั้น”  

    “วันนี้หัวหน้าดูเงียบกว่าทุกครั้ง”

    “แล้วมันแปลกตรงไหน ฉันก็เป็นอย่างนี้ทุกวันไม่ใช่เหรอ” ตอบด้วยน้ำเสียงปราศจากอารมณ์ คิ้วสวยของเอเลนมุ่นเข้าหากันขณะที่เจ้าตัวก้าวเข้าไปใกล้คนข้างหน้าอีกนิด

    “แต่วันนี้มันผิดปรกตินี่ครับ ทุกทีหัวหน้าจะนั่งสั่งงานพวกรุ่นพี่และรอจนทุกคนเข้านอนถึงจะลงมาส่งผมข้างล่าง เมื่อกี้นอกจากจะพาผมลงมาเร็วกว่าทุกวันแล้ว หัวหน้ายังสั่งให้พวกเขารออยู่ในห้อง แสดงว่าจะต้องมีการประชุมอะไรกันอีกแน่ๆ ที่ผมอยากรู้คือ เรื่องอะไร ร้ายแรงแค่ไหนและทำไมถึงไม่อยากให้ผมอยู่ด้วย”

    คำถามนั่นทำให้รีไวล์หยุดชะงัก และเอี้ยวตัวหันกลับมาจ้องเอเลนอย่างสนเท่ห์กึ่งรำคาญ

    “พูดพอหรือยัง” เขาถามด้วยท่าทางที่ดูเหมือนจะหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงเอเลนจะกลัว แต่ก็ยังฝืนสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความกล้าก่อนย้อนคำถามกลับ

    “ยังครับ จนกว่าผมจะทราบคำตอบ”

    รีไวล์สบถออกมาเบาๆว่า “เชอะ” ก่อนพูดต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถ้าอยากรู้นักก็จะบอก ที่ให้เจ้าพวกนั้นรอ เพราะฉันต้องสั่งสอนอะไรนิดหน่อย ซึ่งมันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับแกเลยสักนิด”

    ความพิโรธที่กำลังเต้นระริกอยู่ในดวงตาสีเทา ทำให้เอเลนใจหายวูบ และสำนึกได้ในทันทีว่าถ้ายังไม่อยากโดนหัวหน้าจับล่ามโซ่ห้อยหัวไว้กับเพดานแล้ว ควรยุติคำถามทั้งหมดไว้เพียงแค่นี้

    “ครับ” เด็กหนุ่มรับคำเบาๆ “ผมเข้าใจแล้ว ขอโทษครับที่ถาม”

    รีไวล์ไม่พูดอะไรนอกจากยืนมองเอเลนนิ่ง สีหน้าสลดกับท่าทางเงื่องหงอยของเด็กหนุ่มดูราวกับลูกสุนัขตัวน้อยแสนน่ารักจนคนเห็นอยากรวบเข้าไปกอด มือข้างหนึ่งยื่นออกไปอย่างเผลอไผลพอรู้ตัวว่าคิดอะไร ความร้อนก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วใบหน้า หัวหน้าทหารผู้แข็งแกร่งรีบชักมือกลับพร้อมกับตัดบทเสียงห้วน

    “ช่างเถอะ นี่ก็ดึกมากแล้ว แกควรรีบเข้านอน”

    ชายหนุ่มหมุนตัวกลับจากนั้นก็เดินนำออกไปเหมือนเช่นตอนแรก ส่วนเอเลนพอเห็นแบบนั้นก็รีบก้าวตามและไม่หลุดปากถามอะไรออกมาอีกเลย เมื่อถึงห้องคุมขัง หลังจากล่ามตรวนทั้งมือและขาเรียบร้อยแล้วรีไวล์ก็กลับขึ้นไปข้างบนโดยไม่พูดคุยหรือมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาอันอบอุ่นเหมือนทุกครั้ง ทิ้งให้เอเลนนอนน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ

    ใจร้ายที่สุด ทั้งที่อุตส่าห์คิดถึง กลับทำเป็นเฉยชาไม่ถามไถ่ทุกข์สุขกันเลยสักคำ

    คนใจดำ !

    เด็กหนุ่มตัดพ้ออย่างเจ็บปวดพลางปาดน้ำตา เมื่อไม่สนใจกันแบบนี้ เขาเองก็จะตอบแทนด้วยการกระทำแบบเดียวกัน ต่อจากนี้นอกจากหน้าที่แล้ว เขาจะไม่ใยดีหัวหน้ารีไวล์อีกต่อไป

    */*/*/*/*/*/*

    ด้านรีไวล์หลังจากส่งเอเลนเข้านอนแล้ว เขาก็เดินกลับขึ้นไปด้านบนด้วยหัวใจอันว้าวุ่น ทั้งที่คิดถึงเด็กหนุ่มใจแทบขาด แต่พอพบหน้า แทนที่จะซักถามถึงความเป็นอยู่ เขากลับพูดถึงแต่เรื่องงานและไม่ยอมคุยเรื่องอื่นอีกเลย และที่ไม่ยอมบอกเรื่องการตามล่าขบวนการลักลอบค้าเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ เพราะแม้เอเลนจะเคยจัดการพวกไททัน แต่กับมนุษย์ด้วยกันแล้ว เด็กหนุ่มยังด้อยประสบการณ์ในการรับมือ ที่สำคัญคือเอเลนมักใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซึ่งจะทำให้ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตราย

    อีกสิ่งที่รีไวล์กังวลคือ เส้นทางการหลบหนีของกลุ่มโจรที่อยู่ใกล้กับปราสาทของหน่วยพิเศษมาก ในความรู้สึกของเขา เจ้าพวกขยะเหล่านั้นเปรียบเสมือนมดน่ารำคาญที่วิ่งไปมาอยู่บนปลายจมูก แม้จะถูกบดขยี้ได้โดยง่ายแต่ในขณะเดียวกันหากเผลอเมื่อใดก็อาจถูกพวกมันแว้งกัดได้ทุกเวลา และถ้าคิดสัญชาตญาณของตัวเองแล้ว รีไวล์คงเลือกวิธี กวาดล้างให้สิ้นซาก มากกว่า แต่เพราะคำสั่งของเอลวินกับคำขอร้องของไนล์ เขาจึงจำต้องดำเนินการจับเป็น

    ช่างเป็นการตัดสินใจที่ล่อแหลมต่อความตายสิ้นดี รีไวล์คิดอย่างหงุดหงิด เพื่อไม่ให้ลูกน้องต้องเสี่ยง เขาต้องวางแผนให้รัดกุมที่สุด พอก้าวเข้าไปในห้องอาหาร หน่วยพิเศษทั้งสี่ก็รีบลุกขึ้นและแสดงความเคารพพร้อมกัน

    “หัวหน้ารีไวล์!

    พอนั่งประจำที่เรียบร้อย ทุกคนก็นั่งลง กุนเทอร์ซึ่งมีตำแหน่งอาวุโสกว่าจึงเอ่ยถาม

    “มีอะไรหรือครับ หัวหน้า”

    “ทางกองสารวัตรทหารมาขอให้พวกเราช่วยจับโจร” รีไวล์ตอบสั้นๆ ลูกน้องทั้งสี่หันไปมองหน้ากันด้วยความแปลกใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา กองสารวัตรทหารกับหน่วยสำรวจเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาโดยตลอด ถึงจะต้องทำงานด้วยกันในบางครั้ง ก็มักจะมีเรื่องให้ขัดแย้งกันเสมอ

    “ทำไมเจ้าพวกนั้นถึงไม่ลงมือทำกันเอง” ออรูโอ้หลุดปากออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจนัก ต่างจากคนอื่นที่แม้จะไม่พอใจแต่ยังคงรักษาอาการให้ดูนิ่งเฉย ไม่แสดงปฏิกิริยาใดออกมา รีไวล์จึงจำต้องตอบ

    “เพราะโจรกลุ่มนี้รู้จักวิธีการทำงานของพวกกองสารวัตรทหาร และเส้นทางที่พวกมันใช้อยู่ไม่ไกลจากศูนย์บัญชาการของพวกเรา”

    “หัวหน้าหมายถึงถนนสายเก่าหรือเปล่าครับ” เอลโด้ถาม “จะว่าไปวันนี้ตอนออกลาดตระเวน พวกเราเจอรอยเกวียนด้วย”

    พูดพลางหันไปทางกุนเทอร์เหมือนต้องการคำยืนยัน อีกฝ่ายพยักหน้ารับพร้อมกล่าวเสริม

    “ผมลองตรวจดูแล้ว รอยที่ว่านั่นจะเกิดขึ้นเมื่อสองหรือสามวันก่อน นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทางที่เก่าแถมไม่มีอะไรเลยแบบนี้ยังมีคนใช้อีกหรือ ที่แท้ก็เป็นพวกโจรนี่เอง”

    “พวกมันก่อคดีอะไรมาหรือคะ” คราวนี้เพตร้าเป็นคนถามด้วยความอยากรู้ รีไวล์กระแทกลมหายใจแรงๆก่อนตอบ

    “ลักลอบค้าเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติที่ถูกขโมยออกมาจากกองสารวัตรทหาร” เขาอธิบาย “แน่นอนว่ามีนายทหารระดับสูงเป็นคนบงการอยู่เบื้องหลังและนั่นเป็นเหตุผลที่ตัวขี้เกียจพวกนั้นวิ่งมาขอความช่วยเหลือจากเรา”     

    “เฮอะ! ที่แท้กองสารวัตรทหารคิดจะรวบเจ้าพวกนั้นมาเค้นคอรีดชื่อตัวเป้งออกมาจากปาก” ออรูโอ้พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังนัก แต่ทุกคนผงกศีรษะคล้ายเห็นด้วยกับความคิดนี้  

    “แต่เราไม่มีข้อมูลโจรพวกนี้เลยนี่ครับ” กุนเทอร์พูด ดวงตาสีเทาของรีไวล์ตวัดไปจ้องเขาทันที

    “ฉันถึงเรียกประชุมไงล่ะ” กล่าวพลางหยิบแผนที่ออกมาจากกระเป๋าเสื้อโยนลงไปบนโต๊ะ “จากการสืบของไนล์ทำให้รู้ว่าพวกมันจะผ่านมาแถวนี้ในอีกสามวัน และเส้นทางที่โจรกลุ่มนี้ใช้ อยู่ห่างจากปราสาทของเราไม่มากนัก ปัญหาก็คือเขาไม่รู้ว่าพวกมันมีแหล่งกบดานอยู่ที่ไหน ดังนั้นหน้าที่ของพวกเราก็คือคอยจับตามองและสะกดรอยตามโจรพวกนั้นไปจนถึงที่ซ่อนและส่งสัญญาณเรียกหน่วยสำรวจเข้าจับกุม”

    “เอ๋?” กุนเทอร์อุทานเบาๆ “ทำไมพวกกองสารวัตรทหารไม่เข้ามาจัดการเองละครับ”

    “เพราะฉันจะเป็นคนสอบปากคำพวกมัน” รีไวล์ตอบเสียงกระด้าง “ดังนั้นนับแต่วันพรุ่งนี้ พวกแกทั้งสี่ต้องสลับกันออกไปลาดตระเวนแถวถนนสายเก่า และรีบแจ้งฉันทันทีที่เจอ”

    หน่วยพิเศษทั้งสี่รับคำสั่งพร้อมกันอย่างปราศจากข้อกังขา แต่ออรูโอ้กลับเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย เพราะจากที่ได้ยิน  รีไวล์สั่งให้พวกเขาออกลาดตระเวนแค่สี่คนเท่านั้น ไม่มีการกล่าวถึงเอเลนเลยแม้แต่คำเดียว

    “แล้วเจ้าเด็กเหลือขอนั่นละครับ”  

    “หมอนั่นยังเด็กเกินไป” รีไวล์ตอบสั้นๆและลุกขึ้น “กุนเทอร์ เอลโด้ นายสองคนออกลาดตระเวนเป็นชุดแรก ส่วนออรูโอ้กับเพตร้า ออกตรวจวันต่อไป”

    “รับทราบ!” ทั้งสี่ลุกขึ้นจรดกำปั้นไว้ตรงหน้าอกพร้อมกับกล่าวรับคำอย่างแข็งขัน รีไวล์มองลูกน้องไล่ไปทีละคนด้วยสายตาที่แสดงถึงความพอใจ

    “ไปพักผ่อนกันได้” เขาพูดทิ้งท้ายก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง  

    */*/*/*/*/*

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×