หยกกระจ่างใจกลางเพลิง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่คุกรุ่น ความรักระหว่างหยกและเพลิงค่อย ๆ ถือกำเนิดขึ้น
ผู้เข้าชมรวม
1,137
ผู้เข้าชมเดือนนี้
14
ผู้เข้าชมรวม
มีการบรรยายฉากกิจกรรมทางเพศ, มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง, มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ตอนที่ 1 หยกกระจ่าง
ณ เมืองหยกกระจ่าง เมืองหลวงแห่งแดนประจิมของทวีปหยกสวรรค์ เมืองนี้มีขนาดที่กว้างใหญ่ แนวกำแพงสูงตระหง่านยาวสุดลูกหูลูกตา บนกำแพงโบกสะบัดไปด้วยธงประจำตระกูลเหยี่ยน หนึ่งในห้ามหาสัจจะผู้ปกครองดินแดนหยกสวรรค์ ครอบครองพื้นที่แดนประจิมทั้งหมด
“นายน้อยขอรับ” เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งดังขึ้นที่ด้านนอกของห้องหนังสือที่เงียบสงัด
ภายในห้องปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่ง ผิวขาวกระจ่างใสราวกับหยก สายตาจดจ่ออยู่กับหนังสือในมือ นัยน์ตาสีเทาอันเป็นเอกลักษณ์ของตระกูลเหยี่ยนกวาดไปมาตามอักษรบนหนังสือ
เขาเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉยพร้อมเปล่งเสียงอย่างราบเรียบว่า “เข้ามาได้”
ชายหนุ่มด้านนอกค่อย ๆ เปิดประตูเข้ามาอย่างระมัดระวัง เผยให้เห็นถึงชายหนุ่มที่มีลักษณะเคร่งขรึม สูง กำยำ มีผิวสีเข้ม ผมเผ้าถูกมัดอย่างเป็นระเบียบ ใส่ชุดรัดรูปสีดำ บ่งบอกถึงสถานะขององครักษ์
“อาเฟิง เจ้ามีเรื่องอันใด” ชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่ในห้องถามด้วยน้ำเสียงเฉยชา สายตายังจับจ้องอยู่ที่หนังสือ
“เรียนนายน้อย ท่านประมุขเชิญนายน้อยให้ไปพบที่โถงประมุขขอรับ” อาเฟิงตอบ
“ท่านพ่อได้แจ้งหรือไม่ว่าเป็นเรื่องใด” ชายหนุ่มถามขึ้นอีกครั้ง
“ท่านประมุขไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องใดขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปได้”
“ขอรับนายน้อย” อาเฟิงตอบพร้อมหันหลังออกจากห้องไป
ชายหนุ่มที่สายตาจดจ่อกับหนังสืออยู่ตลอดเวลาก็พลันถอนหายใจออกมาพร้อมรำพึงกับตัวเอง
“เห้อ ถึงเวลาออกเดินทางไปงานชุมนุมมหาสัจจะแล้วสินะ”
--
ณ ตรอกเยว่ฟาง เมืองหยกกระจ่าง สถานที่แห่งนี้ก็เหมือนกับตรอกตามเมืองใหญ่ทั่วไป ผู้คนพลุกพล่าน สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านรวงต่าง ๆ มีตั้งแต่แพรผ้าไหม เครื่องประดับ ไปจนถึงหมั่นโถว แม้กระทั่งโต๊ะดูดวงก็ปรากฏให้เห็นเป็นระยะ
“นี่ พวกเจ้าได้ยินไหม งานชุมนุมมหาสัจจะใกล้เข้ามาแล้ว” ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่งบนตรอกเยว่ฟาง จู่ ๆ ก็มีชายวัยกลางคนสวมชุดคล้ายจะเป็นพ่อค้าผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“ข้าก็ได้ยินมาเหมือนกัน เห็นเขาว่างานนี้จะจัดขึ้นทุกร้อยปี ข้าเพิ่งจะอายุ 30 นี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้าจะได้เห็นงานนี้เลย” เสียงตอบรับมาจากชายหนุ่มที่อยู่อีกด้านหนึ่งของโรงน้ำชา
“ข้าหล่ะสงสัยจริง ๆ ว่างานนี้มหาสัจจะแห่งทิศไหนจะคว้าชัยไป”
“ต้องเป็นตระกูลเหยี่ยนของพวกเราแน่นอน! คุณชายเหยี่ยนมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง ข้าได้ยินมาว่าตบะตอนนี้ของคุณชายอยู่ที่ขั้นแก่นทองคำขั้นสูงแล้ว”
“ความหวังที่แดนประจิมของเราจะคว้าชัยในงานชุมนุมครั้งนี้ดูท่าจะเป็นไปได้แล้วสิ” ชายชราในชุดคลุมผ้ากระสอบเอ่ยขึ้นพลางกระดกจอกเหล้าที่อยู่ในมือ
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน ก็มีเสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา
“เอ่อ... พวกท่าน... งานชุมนุมมหาสัจจะคืออะไรงั้นหรือ แล้วมหาสัจจะของแต่ทิศคือใครกัน” เจ้าของเสียงเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่น รูปร่างสูงโปร่ง ผมเผ้ารุงรังแต่ดูแล้วมีเสน่ห์ ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา
“จะใครเสียอีกหล่ะ ก็สำนักเหมันต์นิรันดร์แห่งอุดร สำนักเพลิงสุริยันแห่งทักษิณ อารามบงกชหยกแห่งบูรพา ตระกูลเหยี่ยนแห่งประจิม และจักรวรรดิมังกรสวรรค์แดนมัชฌิมไง ไอเจ้าเด็กนี่ โผล่มาจากหลุมไหนเนี่ย ถึงได้ไม่รู้จักเรื่องพวกนี้” ชายชราตอบ สีหน้าแสดงออกถึงความประหลาดใจและสงสัย
“แหะ ๆ ท่านผู้อาวุโส ข้าอาศัยอยู่ในป่าทางทิศใต้ของเมืองมาตั้งแต่เล็ก ไม่เคยติดต่อกับโลกภายนอก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเข้ามาในเมือง ไม่ค่อยรู้ความ โปรดอภัยด้วย” เด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงเคอะเขินพร้อมถามต่อด้วยความสงสัย
“แล้วงานชุมนุมมหาสัจจะจัดขึ้นเพื่ออะไรหรือท่านผู้อาวุโส”
“ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัด ว่ากันว่าทุกหนึ่งร้อยปี แท่นหยกสวรรค์จะเปิดและจะประทานของวิเศษหนึ่งชิ้น ซึ่งจะกลายเป็นของผู้ชนะ” ชายชราตอบด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านผู้อาวุโสมาก ว่าแต่ ท่านรู้เยอะขนาดนี้ท่านก็ต้องเป็นผู้ฝึกตนด้วยใช่ไหมขอรับ”
ชายชราพอได้ยินดังนั้นสีหน้าก็แสดงออกถึงความหยิ่งทะนง เขาตอบกลับอย่างภาคภูมิ “เฮอะ เห็นแบบนี้ข้าก็อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับสามเชียว”
“จริงหรือท่าน! แบบนี้ท่านก็สอนข้าได้ใช่ไหม ข้าอยากฝึกตนมานานแล้ว ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถอะ!” เด็กหนุ่มโพล่งออกมาพร้อมโขกศีรษะลงไปกับพื้น
“เหอะ อย่างเจ้าเนี่ยนะ ไปไกล ๆ ข้าไม่เสียเวลามาสอนเด็กบ้านนอกอย่างเจ้าหรอก” ชายชราตอบกลับอย่างไม่ใยดี
--
“ท่านพ่อ”
ชายหนุ่มที่อาเฟิงเรียกว่านายน้อย เดินเข้ามาในเรือนไม้สีน้ำตาลเข้ม ภายในนั้นจัดวางด้วยเครื่องเรือนอย่างเรียบง่าย หากบุคคลภายนอกมาเห็นคงไม่คิดว่าเรือนแห่งนี้จะเป็นโถงประมุขของตระกูลเหยี่ยน หนึ่งในห้ามหาสัจจะผู้ยิ่งใหญ่ แต่กระนั้น ความธรรมดานี้กับแผ่ซ่านไปด้วยมนต์ขลังและพลังอำนาจบางอย่างที่ไม่สามารถบรรยายได้
“หมิงเอ๋อร์ เจ้ามาแล้วรึ” เจ้าของเสียงนี้คือชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ไม้ด้านในสุดของโถง ประมุขของตระกูลเหยี่ยนคนปัจจุบัน เหยี่ยนไท่เหอ
“ดูจากสภาพเจ้าแล้ว คงเตรียมพร้อมหมดแล้วสินะ ที่ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะมีเรื่องจะกำชับเจ้า”
“เชิญท่านพ่อกำชับลูกมาได้เลย” ชายหนุ่มตอบพร้อมโค้งคำนับไปด้านหน้าเล็กน้อย
“ช่วงนี้การเคลื่อนไหวของจักรวรรดิมังกรสวรรค์กับสำนักเหมันต์นิรันดร์ดูผิดปกติ ข้าได้หารือกับจางตันผิงเจ้าสำนักเพลิงสุริยันแล้วว่าจะช่วยกันจับตาดู เมื่อถึงงานชุมนุม เจ้าก็จงไปทำความคุ้นเคยกับตัวแทนของสำนักเพลิงสุริยันและช่วยกันจับตาดูท่าทีของเจ้าพวกนั้น รวมไปถึงอารามบงกชหยกด้วย”
“ลูกทราบแล้ว เอ่อ...ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่าสำนักเพลิงสุริยันจะส่งผู้ใดมา”
“ศิษย์คนที่สามของเจ้าสำนักจาง เซียวจู้หรง”
‘ศิษย์คนที่สาม ชื่อเซียวจู้หรงงั้นหรือ... ใครกัน?ทำไมข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน’
ในระหว่างที่ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอยู่ เหยี่ยนไท่เหอก็เอ่ยขึ้น “เอาหล่ะ ไปเถอะ ข้าไม่กวนเจ้าแล้ว ก่อนเดินทางเจ้าก็ไปลาท่านย่าเจ้าหน่อยแล้วกัน”
“ขอรับ”
หลังจากที่คุยกับเสร็จ ชายหนุ่มก็มุ่งหน้าไปที่เรือนด้านหลังสุดของจวน ทิวทัศน์โดยรอบแวดล้อมไปด้วยธรรมชาติ มีกอไผ่หยกขึ้นเรียงรายตามสองข้างทางตัดสลับกับดอกไม้หลากสีสัน
สุดสายตาจะเห็นเป็นสระบัวมรกต ตรงกลางสระมีเรือนขนาดใหญ่ที่ทำจากไผ่หยกตั้งอยู่ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นที่เร้นกายของเซียน
ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของเหยี่ยนไท่ผิง ผู้เป็นมารดาของประมุขตระกูลเหยี่ยนคนปัจจุบัน และย่าของชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหมิงเอ๋อร์
“ท่านย่า”
“หมิงเอ๋อร์หลานย่า เข้ามานั่งก่อนสิลูก” เหยี่ยนไท่ผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขณะกำลังให้อาหารปลาในสระ
ใบหน้าของนางแม้ดูผิวเผินจะเหมือนคนที่มีเวลาอยู่บนโลกนี้อีกไม่มาก แต่ใบหน้าอันเหี่ยวเฉาที่ปรากฏนัยน์ตาสีเทาอันเป็นเอกลักษณ์นั้น กลับให้ความรู้สึกถึงบุคคลทรงอำนาจที่มิอาจดูหมิ่นได้
“ท่านย่า หลานมาลาท่าน งานชุมนุมมหาสัจจะใกล้เข้ามา อีกเดี๋ยวข้าต้องออกเดินทางแล้ว”
“หลานย่า นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าต้องไกลบ้าน ข้ามิอาจวางใจได้ เจ้าจงพกสิ่งนี้ติดตัวไป หากเกิดอันตรายจงทำลายมันเสีย แล้วย่าจะไปช่วยเจ้าทันที” พูดเสร็จแหวนบนนิ้วชี้ข้างขวาของนางก็เปล่งแสงขึ้น ปรากฏเป็นป้ายหยกพุ่งถลาไปที่มือของชายหนุ่ม บนป้ายสลักชื่อเหยี่ยนไท่ผิง
“ขอรับท่านย่า หลานจะระวังตัว ท่านย่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“เจ้าไม่ต้องฝืนตัวเองมาก ไม่ว่าจะชนะหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตเจ้า เจ้าเข้าใจใช่ไหม”
“ท่านย่า ยังไงหลานก็จะพยายามให้ถึงที่สุด แต่ข้าจะระวังตัวให้มาก หากท่าไม่ดีข้าจะถอนตัวทันที ท่านย่าไม่ต้องกังวลไป”
“ดี เท่านี้ย่าก็สบายใจ เอาหล่ะ ๆ เจ้าไปเถอะ ย่าไม่กวนเวลาเจ้าแล้ว” เหยี่ยนไท่ผิงกล่าวพร้อมโบกมือเป็นสัญญาณให้ออกไป
“หลานขอตัว”
“อาเฟิง” หลังจากเดินออกมาจากเรือนหลังได้สักระยะ ชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้น
อาเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ละแวกนั้นมาตั้งแต่ต้น จู่ ๆ ก็โผล่มาที่ด้านหลังของชายหนุ่ม
“เจ้านำข้าไปที่ตรอกเยว่ฟางที ข้าจะไปหาท่านยายเผิง”
--
“นี่ ท่านผู้อาวุโส ท่านสอนข้าไม่ได้จริง ๆ งั้นหรือ ข้าแข็งแรงมากเลยนะ ในหมู่บ้านไม่มีใครสู้ข้าได้สักคน” เด็กหนุ่มพูดพลางเบ่งกล้ามแขนที่มีที่มาจากการใช้แรงในการทำงานตั้งแต่เด็ก เส้นเลือดที่ขึ้นตามแขนเป็นข้อบ่งชี้อย่างดี
“เฮอะ เจ้าจะแข็งแรงที่สุดในหมู่บ้านไหนข้าก็ไม่สนหรอก ออกไปให้พ้นหน้าข้าเสียที ตื๊ออยู่ได้” ชายชราก็ยังคงบอกปัดเด็กหนุ่มอย่างไม่ใยดี
“นี่ เจ้าดูนั่นสิ นั่นมันคุณชายเหยี่ยนไม่ใช่เหรอ” เสียงกระซิบจากโต๊ะข้าง ๆ แว่วขึ้น ดึงความสนใจของเด็กหนุ่มที่กำลังตื๊อชายชราอยู่ เด็กหนุ่มที่ได้ยินเสียงกระซิบไม่ถนัด ทำได้แค่มองตามสายตาของโต๊ะข้าง ๆ จนไปหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง
ความงามของชายหนุ่มผู้นั้นสะกดสายตาของเด็กหนุ่มจนไม่สามารถละได้ ผมดำขลับที่สยายยาวไปตามสายลม ดวงตาเรียวคมกับนัยน์ตาสีเทาที่ไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน เรือนร่างเพรียวบางในชุดคลุมที่แหวกอกอันขาวใสราวกับหยกนั้นประทับเข้าไปในความทรงจำของเด็กหนุ่มทันที
“ท่านผู้อาวุโส คนนั้นคือใครกัน ข้าไม่เคยเห็นผู้ชายคนไหนงดงามขนาดนี้มาก่อนเลย” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้น แต่สายตาก็ยังไม่ละไปจากชายหนุ่มผู้นั้น
“นั่นหน่ะหรือ ท่านนั้นก็คือคุณชายเหยี่ยน ทายาทของตระกูลเหยี่ยนผู้ปกครองแดนประจิมแห่งนี้ไงหล่ะเจ้างั่ง”
“ตระกูลเหยี่ยน! นั่นมันหนึ่งในห้ามหาสัจจะที่ท่านบอกนี่ จริงสิ! ในเมื่อท่านไม่ยอมสอนข้า ข้าก็จะไปขอร้องพวกเขาแทน ท่านบอกข้าได้ไหมว่าต้องทำยังไงถึงจะได้เข้าร่วมตระกูลเหยี่ยน”
“ถ้าข้ารู้ข้าจะมานั่งอยู่กับเจ้าตรงนี้ไหม เลิกคิดเสียเถอะ นอกเสียจากเจ้าจะมีพรสวรรค์ในการฝึกตน เจ้าไม่มีทางได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของห้ามหาสัจจะหรอก”
เด็กหนุ่มพอได้ฟังดังนั้นสีหน้าก็แสดงถึงความผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด สายตาที่เศร้าหมองมองตามชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าคุณชายเหยี่ยนอย่างไม่ลดละ
--
“ท่านยายเผิง” หลังจากเดินมาสักพัก ชายหนุ่มและอาเฟิงก็หยุดอยู่หน้าร้านขายขนมซอมซ่อแห่งหนึ่งบนตรอกเยว่ฟาง
“มาสักทีนะเจ้าหนู ขนมอวิ๋นเพี่ยนที่เจ้าสั่งข้าเตรียมไว้ให้หมดแล้ว” หญิงชราที่นั่งเอนหลังอยู่ในร้านพูดด้วยน้ำเสียงเอ็นดูและคุ้นเคยพลางชี้ไปที่กองขนมบนโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ
หญิงชรานางนี้คือท่านยายเผิง เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่อาศัยขายขนมเลี้ยงชีพในเมืองหยกกระจ่าง เหตุที่นางสนิทชนิดเชื้อกับคุณชายเหยี่ยนก็เพราะเมื่อครั้งเยาว์วัย คุณชายเหยี่ยนเคยแอบหนีออกจากจวนมาเที่ยวเล่นในเมืองและเกิดหลงมาที่ตรอกเยว่ฟาง
เขาได้เจอกับยายเผิงที่เปิดร้านขายขนมอยู่ ยายเผิงที่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใครก็เกิดความเอ็นดูเลยหยิบขนมให้หนึ่งชิ้น นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้ลิ้มลองขนมอวิ๋นเพี่ยน ซึ่งเป็นขนมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าบาง ๆ ซ้อนกันหลาย ๆ ชั้น ทำจากแป้งข้าวเหนียวผสมด้วยถั่วและงา โรยแป้งจำนวนมากจนคล้ายแผ่นเมฆ
หลังจากครานั้น เขาก็แอบมาที่ร้านนี้บ่อย ๆ จนกลายเป็นลูกค้าประจำและสนิทกับท่านยายเผิงไปโดยปริยาย
“ขอบคุณมากท่านยาย ข้าวางเงินไว้ตรงนี้นะ ขออภัยที่ข้าอยู่คุยกับท่านไม่ได้ ใกล้จะถึงเวลาออกเดินทางของข้าแล้ว ไว้ข้าจะแวะมาเยี่ยมหลังจากกลับมา” ชายหนุ่มวางเงินลงบนโต๊ะพลางเก็บขนมใส่แหวนสมบัติ
“ไปเถอะ ๆ เจ้าไม่ต้องมาเอาใจยายแก่อย่างข้าหรอก” ยายเผิงตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ระหว่างทางที่กำลังกลับ ก็พลันมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง ผมเผ้ารุงรัง พุ่งออกมาขวางทางไว้พร้อมโขกศีรษะกับพื้น
“นายท่าน ข้าได้ยินคนในโรงน้ำชาบอกว่านายท่านคือคุณชายตระกูลเหยี่ยน ข้าอาศัยอยู่ในป่าเขามาตั้งแต่เล็ก ที่ออกจากป่ามาก็เพื่อแสวงหาหนทางการฝึกตน ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถอะ” เด็กหนุ่มตะโกนออกมาพร้อมโขกศีรษะ
ชายหนุ่มไม่ได้แสดงทีท่าตกใจแม้แต่น้อย ราวกับรับรู้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เขาเพ่งมองด้วยสายตาที่ให้ความรู้สึกเปลือยเปล่าเมื่อถูกจับจ้อง พลันคิดในใจ ‘เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ใช้ได้’
พอคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้น โคจรพลังบังคับดึงศีรษะของเด็กหนุ่มที่ก้มอยู่ให้เงยขึ้นพร้อมเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าชื่อว่าอะไร”
เด็กหนุ่มที่ไม่นึกว่าจะได้รับการตอบสนองที่ต่างจากที่คิดไว้อย่างสิ้นเชิงก็พลันนิ่งชะงักไปสักครู่และตอบกลับอยากตะกุกตะกัก “ข้า... เอ่อ.. ข้าน้อยชื่อปิงอวี่ขอรับ เป็นชื่อที่หัวหน้าหมู่บ้านเรียกข้ามาตั้งแต่เด็ก”
“อาเฟิง เจ้าไปจัดแจงเสื้อผ้าให้ปิงอวี่และก็หาคนมาฝึกวิชาพื้นฐานให้ด้วย” ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ถ่ายทอดคำพูดอีกชุดหนึ่งผ่านพลังจิตไปให้อาเฟิง ‘เจ้าจงส่งคนไปตรวจสอบที่มาของเด็กคนนี้ ยืนยันให้แน่ชัดว่าสิ่งที่เขาพูดมาจริงหรือไม่’
พูดเสร็จ ชายหนุ่มก็เดินไปต่ออย่างเฉยเมย ปล่อยให้ปิงอวี่ตะลึงค้างอยู่กลางถนน
“จะมัวอึ้งอยู่ทำไม รีบตามมาสิ” อาเฟิงพูดกับปิงอวี่
ปิงอวี่ที่ยังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ก็ได้สติขึ้นมาพร้อมตะโกนออกไปอย่างสุดเสียงว่า
“ขอบคุณคุณชายที่เมตตา ๆ บุญคุณในครั้งนี้ข้าน้อยจะจดจำไว้ไม่มีวันลืม ปิงอวี่จะจงรักภักดีต่อคุณชายตลอดไป”
พูดเสร็จปิงอวี่ก็ลุกขึ้นวิ่งตามทั้งคู่ไปพลางเอียงหัวไปกระซิบกับอาเฟิง
“เอ่อ... ท่านพี่เฟิงใช่ไหม ข้าปิงอวี่ขอฝากตัวกับท่านด้วย ว่าแต่คุณชายเหยี่ยนมีนามว่าอันใดหรือ”
“เจ้านี่ออกมาจากป่าจริง ๆ สินะ นามของคุณชายคือเหยี่ยนปี้หมิง ปี้หมิงที่หมายถึงกระจ่างใสราวกับหยก” อาเฟิงตอบ
‘ปี้หมิง กระจ่างใสราวกับหยกงั้นหรือ ช่างเป็นชื่อที่เหมาะจริง ๆ’ ปิงอวี่คิดในใจพลางพยักหน้าตอบรับอาเฟิง
ทั้งสามค่อย ๆ เดินจากไปปล่อยให้ชายชราในชุดคลุมกระสอบนั่งตาค้างตกตะลึงอยู่ในโรงน้ำชา
ผลงานอื่นๆ ของ ไอเทียน ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ไอเทียน
ความคิดเห็น