ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] Color of Fate (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #2 : Blue fate : Blue rain

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.52K
      11
      29 เม.ย. 56

    Title: Blue rain
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (มั้ง?)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
    Author notes: ฟิคนี้มีอาถรรพ์แหง เขียนทีไรต้องมีเรื่องให้ช้า OTL


    +++++++++

    คุณเคยรู้สึกว่า โชคชะตานำพาของบางอย่างมาให้หรือเปล่า ?

    พยากรณ์อากาศวันนี้ บอกว่าท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ไม่มีฝนตกตลอดทั้งวัน หลายต่อหลายคนจึงวางแผนออกไปเที่ยวนอกบ้าน อย่างเช่น หาของอร่อยๆกิน ดูหนังดีๆสักเรื่อง หรือไม่ก็ไปเดินเรื่อยเปื่อยดูของตามร้านค้า แต่พอตกบ่ายอยู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างหนัก จนทำให้ผู้คนต้องรีบหาที่หลบฝนกันจ้าละหวั่น

    ถึงแม้ว่าอาโอมิเนะ ไดคิ จะไม่ได้นัดใครออกไปกินข้าวดูหนัง แต่ฝนเจ้ากรรมก็เทลงมา ตอนที่เขากำลังเล่นบาสเก็ตบอลอยู่อย่างสนุกสนาน และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาต้องมายืนตัวเปียกโชกอยู่ในบ้านของคากามิ

    “เอ้า”

    คนที่โยนผ้าขนหนูกับชุดสำหรับเปลี่ยนมาให้อยู่ในสภาพเปียกโชกไม่ต่างกัน หลังจากชี้ทางไปห้องน้ำและเอ่ยคำอนุญาตให้ใช้ได้ตามสบาย เจ้าตัวก็เผ่นหายเข้าไปในห้องส่วนตัว

    อาโอมิเนะถอดชุดที่เปียกชื้นออก เช็ดผม เช็ดตัวเป็นที่เรียบร้อย ก่อนจะสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ที่คากามิเอามาให้ มันเป็นเสื้อสีดำสนิทกับกางเกงวอร์ม ซึ่งพอดีตัวเขา ราวกับเป็นเสื้อของตัวเอง คงเพราะทั้งรูปร่างและส่วนสูงก็พอๆกัน

    “ไม่อาบน้ำเหรอ”

    นั่นเป็นคำถามจากเจ้าของบ้านที่กำลังสาละวนอยู่กับอะไรบางอย่างในห้องครัว หลังจากส่ายหน้าแทนคำตอบ ก็ถูกไล่ให้ไปนั่งดูทีวีในห้องนั่งเล่น แม้จะเป็นรายการตอนบ่ายวันอาทิตย์ที่ว่ากันว่า เป็นช่วงเรตติ้งค่อนข้างสูง ก็น่าจะเป็นรายการที่น่าสนใจ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นเลยสักนิด ไม่ว่าจะดูช่องไหน ก็รู้สึกว่า มันน่าเบื่อไปเสียหมด

    “เอ้า ระวังร้อนนะ”

    ความเบื่อหน่ายจากการจ้องมองกล่องสี่เหลี่ยมที่มีชื่อว่าโทรทัศน์ ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของคากามิ เจ้าของบ้านยื่นถ้วยที่บรรจุโกโก้ร้อนหอมกรุ่นมาให้ เพียงแค่จิบเล็กน้อย ก็สัมผัสได้ถึงรสชาติของโกโก้เข้มข้นผสมกับรสหวานอ่อนๆกำลังพอดี อร่อยกลมกล่อมจนนึกอยากดื่มให้หมดรวดเดียว หากไม่ติดว่าลิ้นจะพอง เพราะความร้อน

    จะว่าไป นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีโอกาสมาบ้านของคากามิ แน่นอนว่า ครั้งก่อนไม่นับ เพราะได้เหยียบแค่บริเวณประตูหน้าบ้าน แถมยังมีเรื่องอื่นให้วุ่นวาย จนแทบไม่ได้มองอะไรด้วยซ้ำ

    มาพิจารณาดีๆแล้ว ห้องของคากามินั้นกว้างมากสำหรับการอยู่คนเดียวของเด็กนักเรียนมัธยมปลาย ภายในห้องตกแต่งอย่างเรียบง่าย ข้าวของส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน นอกเหนือจากนั้นก็เป็นของที่มีบาสเก็ตบอลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนิตยสาร ดีวีดี หรือแม้กระทั่งโปสเตอร์

    แสงวิบวับจากแหวนสีเงินวงเดิมนั้น ทำให้นึกถึงเรื่องราวในครั้งก่อน ซึ่งเขาได้บอกความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างชัดเจนแล้ว แต่จากตอนนั้นมาจนถึงตอนนี้ กลับไม่มีสัญญาณตอบรับหรือปฏิเสธจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด แม้แต่แหวนสีเงินตัวต้นเหตุก็ยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่เขาไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือหงุดหงิดกับมัน ดังเช่นที่ผ่านมา

    เอสแห่งโทโอลอบมองคนที่เขาเคยสารภาพรักด้วย  ผมสีแดงนั้นยังคงเปียกชื้นไปด้วยน้ำฝน เจ้าตัวดูไม่ได้ใส่ใจกับมันเท่าไรนัก จึงไม่คิดที่จะเช็ดให้มันแห้งสนิท

    ทำไมถึงเป็นคนที่ไม่ใส่ใจร่างกายตัวเองอย่างนี้นะ พอคิดอย่างนั้น ก็เอื้อมมือออกไป ตั้งใจจะแตะผมอีกฝ่ายดูว่า ยังเปียกชื้นอยู่ขนาดไหน แต่คากามิกลับเบี่ยงตัวหลบในทันที

    “คิดจะทำอะไรน่ะ !!

    ใบหน้าที่มีสีเลือดขึ้นมาน้อยๆ ทำให้ความงุนงงในตอนแรกค่อยๆเปลี่ยนเป็นความรู้สึกขบขันปนกับเอ็นดู ทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยแสดงท่าทีหวงตัวเลยสักนิด แล้วอยู่ๆกลับมาเป็นแบบนี้ ดูท่าไม่ใช่ว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้น ใช่ว่าลืมคำสารภาพรักของเขาไปแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่สนใจเพราะอายเสียมากกว่า

    “ขำอะไรเล่า ไอ้บ้า”

    ขำทั้งตัวเอง ที่กำลังรู้สึกว่า นายน่ารักเป็นบ้า ขำทั้งตัวนาย ที่พยายามจะโวยวายเสียงดังกลบเกลื่อน แต่กลับแสดงความรู้สึกทุกอย่างออกมาบนใบหน้า แล้วอย่างนี้จะให้หยุดขำได้ยังไง

    หลังจากสงบศึก กิจกรรมที่มนุษย์บ้าบาสเก็ตบอลสองคนจะสามารถทำร่วมกันได้ในเวลาที่ฝนตกหนัก ไม่มีทางใช่การนั่งดูรายการโทรทัศน์ประเภทเกมโชว์หรือละคร ไม่ใช่การดูภาพยนตร์เรื่องเด็ดที่ออกเป็นแผ่นดีวีดีแล้ว แต่ต้องเป็นการดูดีวีดีบันทึกภาพการแข่งขันบาสเก็ตบอลของ NBA ซึ่งทั้งสองคนได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างสนุกสนาน ถึงสไตล์การเล่นของนักกีฬาแต่ละคนและการประสานการเล่นให้เข้ากันระหว่างผู้เล่นในแต่ละทีม

    รู้ตัวอีกที พระอาทิตย์ก็ตกดินไปแล้ว แต่ฝนก็ยังตกหนักอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย คากามิเงยหน้ามองนาฬิกาแล้วเอ่ยปากถามขึ้นว่า

     “หิวไหม?”

    “ก็นิดหน่อย”

    “งั้นกินข้าวเย็นกัน”

    ปกติหลังจากเล่นบาสเก็ตบอลจนเป็นที่พอใจแล้ว พวกเขาสองคนมักจะไปนั่งกินข้าวเย็นด้วยกันที่ร้านอาหารต่างๆ อย่างเช่น มาจิเบอร์เกอร์ ร้านราเม็งหรือข้าวแกงกะหรี่  แต่ในสภาพอากาศแบบนี้ จะให้ฝ่าฝนออกไปหาอะไรกิน ก็คงจะลำบาก ถ้าโทรไปสั่งอาหารมา ก็ไม่รู้ว่าร้านจะยอมมาส่งไหม

    ระหว่างที่กำลังคิดโน้นนี่ไปเรื่อย คากามิก็เดินเข้าไปในห้องครัว ทำเสียงกุกกักอะไรบางอย่าง จนอาโอมิเนะทนความรู้สึกอยากรู้ของตัวเองไม่ไหว ต้องเดินตามเข้าไปดู ก็เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังรื้อค้นวัตถุดิบในตู้เย็น ท่าทางเหมือนกำลังจะทำอาหาร

    “นายมายืนบื้ออยู่ตรงนั้น มันเกะกะนะ”

    พอรู้ตัวว่าถูกมองอยู่ก็ออกปากไล่ แต่ฟังยังไงก็เป็นแค่ข้ออ้าง เพราะเขายังไม่ได้เหยียบเข้าไปในห้องครัวเลยสักนิด แม้แต่นิ้วเท้าก็ยังไม่ได้ยื่นเข้าไปเลยด้วยซ้ำ แล้วจะเกะกะได้อย่างไร คงเป็นคากามิเองนั่นแหละ ที่เคยชินกับการอยู่คนเดียว ก็เลยไม่ชอบให้คนมาจ้องมอง

    ครั้งนี้อาโอมิเนะยอมทำตามแต่โดยดี กลับมานั่งเอกเขนกอยู่ตรงโซฟาตามบัญชาของเจ้าของบ้าน ไม่นานนักอาหารร้อนๆที่ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลายก็ถูกยกออกมาวางตรงหน้า ตอนแรกชายหนุ่มคิดว่า ถ้าไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ก็ต้องเป็นแกงกะหรี่สำเร็จรูปแน่ๆ แต่กลับไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อาหารที่วางอยู่ตรงหน้านั้น ประกอบด้วยเนื้อ ผักและเครื่องเคียงครบถ้วน แม้หน้าตาไม่ได้หรูหราสวยงาม แต่ก็ดูครบถ้วนสมบูรณ์ตามแบบฉบับของอาหารเย็นตามบ้านมนุษย์ทั่วไป

    “รีบๆกินซะสิ จะปล่อยทิ้งไว้จนเย็นรึไง”

    เพราะผิดจากที่คิดเอาไว้มาก ก็เลยเผลอจ้องมองนานไปหน่อย พอถูกคนทำบ่น ก็เลยรีบคีบอาหารเข้าปาก เพียงแค่คำแรกที่สัมผัสปลายลิ้น ก็รู้สึกได้ถึงรสชาติที่อร่อยอย่างเหลือเชื่อ จากที่เห็นด้วยตา ส่วนประกอบก็เป็นเพียงของง่ายๆพื้นๆ ไม่มีอะไรพิเศษ แต่กลับเข้ากันได้อย่างกลมกล่อม อร่อยจนไม่สามารถหยุดกินได้ ตกลงหมอนี่ไม่ได้เป็นแค่พวกบ้าบาสเก็ตบอลอย่างเดียว แต่ชอบทำอาหารด้วยสินะ หรือว่ามีความฝันอยากจะเป็นพ่อครัวในอนาคต

    “เอียนอำอาอานอาเออ”

    ฟังคนที่มีอาหารอยู่เต็มปากพูด ไม่มีทางจะรู้เรื่องได้ คากามิจึงได้แต่ขมวดคิ้ว แล้วรอให้แขกที่ทำตัวไร้มารยาทกลืนอาหารลงไปให้หมดก่อน ค่อยพูดใหม่อีกครั้ง

     “นายเรียนทำอาหารมาด้วยเหรอ ?”

    “เปล่า...ฉันอยู่คนเดียวน่ะ ก็ต้องหัดไว้บ้าง”

    สำหรับคากามิคงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะที่อเมริกา ใครๆก็ทำอาหารกินเองกันทั้งนั้น แต่มันเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ สำหรับคนที่ไม่เคยออกนอกญี่ปุ่นอย่างอาโอมิเนะ เพราะการทำอาหารมักเป็นหน้าที่ของแม่หรือของผู้หญิงเท่านั้น น้อยครั้งนักที่จะเห็นผู้ชายทำอาหารได้อย่างคล่องแคล่ว

    “แล้วใครเป็นคนสอน ?”

    “อเล็กซ์ก็สอนบ้าง แต่ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวหรอก...”

    พ่อของคากามินั้นมักมีงานยุ่งอยู่เสมอ จนไม่ค่อยได้สนใจชีวิตความเป็นอยู่หรือเรื่องอาหารการกินของลูกชายนัก คากามิเองก็เบื่อที่จะต้องกินอาหารสำเร็จรูปหรืออาหารขยะตามข้างทาง แถมยังได้รับแรงสนับสนุนแถมบังคับจากอเล็กซ์ เขาจึงเริ่มหัดทำอาหาร ค่อยๆฝึกด้วยตัวเองทีละเล็กทีละน้อย

     “ส่วนใหญ่ก็มั่วๆเอาเอง ทำไปนานๆ ก็รู้เองว่า ควรจะทำยังไง”

    “ถึงทำได้แต่ของง่ายๆ”

    การทำอาหารนั้น ก็ไม่ได้ต่างจากการเล่นบาสเก็ตบอลเท่าไรนัก ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่ต้น ตอนที่เริ่มหัดทำก็ล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง ต้องใช้ความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่ารสชาติจะออกมากินได้ แม้ตอนนี้จะทำของง่ายๆได้ไม่กี่อย่าง รสชาติก็ไม่ได้อร่อยโดดเด่นอะไร แต่เท่านั้นเขาก็พอใจแล้ว

    “แต่งงานกับฉันเถอะ”

    อาโอมิเนะยื่นชามเปล่ามาข้างหน้า ในขณะที่พูด ราวกับว่า คำขอแต่งงานนั้นคือคำขอเติมข้าวในชาม คนถูกขอแต่งงานเพียงแค่หัวเราะนิดหน่อย แล้วก็หยิบชามมาเติมข้าวให้

    ถึงจะเป็นวันอาทิตย์ที่มีฝนตกหนัก จนตัวเปียกปอนและไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้อย่างที่ต้องการ แต่ช่วงเวลาในตอนนี้ ก็ดำเนินไปอย่างแสนสงบสุขและสบายใจ จนเอสแห่งโทโอนึกภาวนาในใจว่า

    ...อยากให้ฝนตกอย่างนี้...ตลอดไป...

    +++++++++

    นับจากวันนั้น อาโอมิเนะ ไดคิก็กลายเป็นแขกประจำของบ้านคากามิ ทุกครั้งหลังจากเล่นบาสเสร็จ ก็จะมานั่งกินอาหารเย็น แล้วนอนกลิ้งเล่นอยู่จนดึกดื่น โดยไม่คิดจะถามเจ้าของบ้านสักคำว่า เป็นการรบกวนหรือเปล่า

    อย่างไรก็ตามเรื่องที่คากามิสนใจนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเลี้ยงประชากรในบ้านเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง หรือ เรื่องที่มีตัวดำๆมานอนกลิ้งให้เกะกะอยู่ในห้องนั่งเล่น แต่เป็นเรื่องของอาโอมิเนะเองนั่นแหละ เพราะพวกเขานัดกันเล่นบาสเก็ตบอลทุกวันอาทิตย์ วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันจันทร์ เป็นวันที่ต้องไปโรงเรียน การที่อาโอมิเนะออกจากบ้านเขาตอนดึกๆ แปลว่า กว่าจะถึงบ้านก็ต้องยิ่งดึกเข้าไปอีก แล้วอย่างนี้ที่บ้านไม่เป็นห่วง ไม่ว่าอะไรบ้างหรือไง

    พอวันหนึ่งตัดสินใจถามออกไป กลับได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิด

    “ไม่เป็นไรหรอก มีหรือไม่มีฉันอยู่ก็เหมือนกัน”

    นั่นเป็นครั้งแรกที่คากามิเห็นว่า ดวงตาของอาโอมิเนะวูบไหวอย่างประหลาด แม้จะเพียงแค่แป๊บเดียว แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความเศร้าและความทุกข์บางอย่างที่เจ้าตัวเก็บมันเอาไว้ ภายใต้ท่าทางกวนประสาทและเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก ราวกับว่าคำถามของเขา กระทบถูกอะไรบางอย่างที่เจ้าตัวซ่อนเอาไว้ยังส่วนที่ลึกที่สุดของจิตใจ

    คากามิเอง ก็ไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่อบอุ่น เพราะพ่อของเขามีงานยุ่งอยู่เสมอ เขาจึงมักถูกทิ้งให้อยู่เพียงลำพัง ความเหงาที่เกิดขึ้นเป็นประจำ จนค่อยๆกลายเป็นความชินชา แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่ได้มีความทรงจำที่ขมขื่นหรือน่าเศร้าเกี่ยวกับครอบครัว ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไร้ซึ่งความผูกพัน หรือเรื่องราวพิเศษใดๆ หากจะให้พูดถึงเรื่องครอบครัวแล้ว คากามิคงไม่รู้ว่า ควรจะเล่าถึงเรื่องอะไรดี

    ตอนที่ได้ฟังเรื่องราวของคนที่มีครอบครัวอันแสนอบอุ่น  บ้านที่กินอาหารเย็นกันอย่างพร้อมหน้า ได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างสนุกสนาน ได้ออกไปทำกิจกกรมต่างๆร่วมกันในวันหยุด ทั้งเล่นกีฬา ปีนเขา ตกปลา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทุกคนยินดีจะทำร่วมกัน ทุกอย่างดูสงบสุขและสวยงามเหมือนดังภาพฝัน แม้แต่การทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้น ก็ยังดูเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ ที่ควรจะใช้คำว่า ต้องเป็นคนในครอบครัว ถึงจะทะเลาะกันได้

    เขาไม่เข้าใจ การทะเลาะกันที่เรียกว่า การทะเลาะกันตามประสาครอบครัว สักเท่าไร เพราะในชีวิตเจอหน้าพ่อแทบจะนับครั้งได้ จะมีก็แต่ส่งข้อความหรือโทรศัพท์มาบ้าง แต่ก็ไม่ได้คุยอะไรกันมากมาย ส่วนใหญ่เป็นแค่การถามไถ่เรื่องราวทั่วไป อย่างสบายดีไหม ตอนนี้ที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง มีเพื่อนไหม แล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ว่า มีอะไรขาดตกบกพร่องหรือเปล่า พอตอบคำถามจบก็วางหู แล้วจะเอาเรื่องอะไรมาทะเลาะด้วย

    ถึงจะใช้เวลาอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ รู้จักผู้คนไม่มากนัก แต่คากามิมั่นใจว่า ความรู้สึกที่เขาสัมผัสได้จากอาโอมิเนะนั้น ไม่ใช่การทะเลาะกับที่บ้านด้วยเรื่องปกติธรรมดาทั่วไป อะไรบางอย่างกัดกร่อนความสัมพันธ์จนผุพัง ขนาดคนที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวเองเป็นที่สุด พูดออกมาราวกับตัดพ้อว่า ไม่มีตัวตนอยู่ในบ้าน

    ...มีอะไรที่ไม่อยากบอกคนอื่นหรือ...บอกฉันมาหน่อยสิ...

    ความคิดแว่บเข้ามาในหัว เพียงแว่บเดียว ก่อนจะรู้สึกว่า หน้าตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาทันที เขาเป็นใครกัน ? ก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ก็แค่เพื่อนเล่นบาสคนหนึ่ง แถมยังเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แล้วทำไมถึงอยากให้อาโอมิเนะ พูดเรื่องที่ไม่อยากบอกคนอื่น กับตัวเขาล่ะ ? คิดบ้าอะไรเนี่ย ?

    “อ้าว จู่ๆเป็นอะไรไป หน้าแดงแจ๋เชียว”

    “คิดเรื่องลามกอยู่ล่ะสิ”

    ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มเจ้าเล่ห์ เป็นรอยยิ้มแบบที่ตั้งใจจะกวนประสาทเขาเต็มที่ แต่ครั้งนี้คากามิกลับไม่รู้สึกหัวเสียเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้สึกได้ว่า ลึกลงไปภายใต้สีหน้าและท่าทางปกตินั้น มีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่ภายใน ถึงจะทำท่าทีกลบเกลื่อนอย่างไร เขาก็รู้อยู่ดีว่า มันต้องเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างแน่นอน

    ++++++++++

    “ที่บ้านของอาโอมิเนะคุงเหรอครับ”

    เกิดเป็นคุโรโกะ เท็ตสึยะ ก็ต้องมาวุ่นวายตอบปัญหาของเพื่อนเขาทั้งสองคน ทั้งที่ไปถามกับอีกฝ่ายโดยตรงก็ได้ แต่กลับไม่ทำ คิดว่าเขาเป็นผู้มีพลังจิตอ่านใจได้ หรือรอบรู้เรื่องราวทุกอย่างบนโลกนี้หรืออย่างไร

    “คือ...เห็นหมอนั่นทำท่าแปลกๆ ตอนพูดถึงที่บ้าน”

    “ก็เลยอยากรู้...”

    คากามิคุงเป็นคนอ่อนโยนก็จริง แต่ไม่ใช่คนละเอียดอ่อน ไม่ค่อยเข้าใจอะไรที่ซับซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกของคนที่ไม่สามารถพูดออกมาตรงๆได้ แต่ทำไมพอเป็นเรื่องของอาโอมิเนะคุง ถึงจับสัมผัสได้ไวนักนะ ฟังแล้วน่าโมโหยังไงไม่รู้

    “เรื่องนั้นผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันครับ”

    “แต่ก็พอรู้มาบ้างว่า อาโอมิเนะคุงเหมือนไม่ค่อยอยากกลับบ้าน ชอบเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนสักแห่งจนดึก”

    ความจริงที่รู้มีเพียงเท่านั้น ไม่ได้ปิดบังอะไรเอาไว้แม้แต่น้อย เพราะถึงจะเล่นบาสเก็ตบอลด้วยกันมานาน แต่ก็ไม่เคยเปิดปากเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟังแต่อย่างใด หากอยากรู้จริงๆ ก็คงต้องถามโมโมอิซัง

    “ช่างเถอะ มันก็คงแค่งี่เง่าไปตามเรื่อง”

    คุโรโกะมองหน้าคนที่กำลังบ่นพึมพำแล้วนึกสงสัยว่า รู้ไหม ตอนนี้ตัวเองกำลังทำหน้าตาแบบไหนอยู่ ถึงปากจะบอกว่า ช่างเถอะ แต่ดูยังไงก็ไม่มีทางเลิกคิดเรื่องนี้ง่ายๆแน่ ทั้งที่ปกติเป็นคนไม่ชอบคิดอะไรมากแท้ๆ ทำไมพอเป็นเรื่องของอาโอมิเนะคุงขึ้นมา กลับเก็บเอามาใส่ใจมากถึงขนาดนี้

    ...อิจฉา...

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความรู้สึกนี้คือความอิจฉา อิจฉาที่คากามิคุงให้ความสำคัญกับคนคนหนึ่งมากมายถึงเพียงนี้ คนที่สามารถทำให้คนตรงหน้าเขาทำสีหน้าครุ่นคิดผสมกับวิตกกังวลหน่อยๆ เป็นสีหน้าที่หาดูได้ยากยิ่ง สำหรับคนที่มักมุ่งไปข้างหน้าโดยปราศจากความลังเลใจ

     “คากามิคุงเนี่ย...”

    “ชอบอาโอมิเนะคุงมากเลยนะครับ”

    คำพูดนั้นทำเอาใครบางคนสำลักนมที่กำลังกินอยู่ในทันที คุโรโกะต้องยกมือขึ้นอุดหู เมื่อคนคนนั้นเอะอะโวยวายเสียงดัง คำแก้ตัวผสมกับคำด่าลอยมั่วซั่วในอากาศจนฟังไม่รู้เรื่อง แต่สิ่งเดียวที่ปรากฏแน่ชัดแก่สายตาก็คือ ใบหน้าสีแดงสุกซึ่งชัดเจนยิ่งกว่าคำพูดใดๆ

    ...นั่นไง...ชอบมากจริงๆด้วย...

    ++++++++

    พยากรณ์อากาศในโทรทัศน์บอกว่า มรสุมกำลังพัดผ่านเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น แม้จะมีคำอธิบายปรากฏการณ์นี้ด้วยศัพท์เทคนิคอย่างละเอียดตามมา แต่ผู้คนก็สนใจแค่เพียงว่า ช่วงนี้จะมีฝนตกแทบทุกวันและจำเป็นต้องพกร่มติดตัวเอาไว้เสมอ บนท้องถนนนั้นจึงมักจะเห็นเด็กผู้หญิงเดินกันเป็นกลุ่ม แต่ละคนก็กางร่มลวดลายน่ารัก ส่วนพวกผู้ชายก็มักจะถือร่มเรียบๆสีเข้มๆ ไม่ก็ร่มถูกๆจากร้านสะดวกซื้อ

    “โย่”

    ในช่วงเวลาที่ใครต่อใครต่างพอกันพกร่มออกจากบ้าน ทำไมไอ้บ้าบาสของโทโอ ถึงมายืนตัวเปียกอยู่หน้าบ้านเขาล่ะ แถมวันนี้ไม่ใช่วันอาทิตย์ แต่เป็นวันพฤหัสด้วยนะเว้ย

    “มาทำบ้าอะไรที่นี่ แล้วไม่มีร่มหรือไงวะ”

    เจ้าของบ้านรีบไขกุญแจเปิดประตูหน้าบ้าน โยนกระเป๋าทิ้งไว้ข้างโซฟา แล้วรีบไปรื้อค้นผ้าขนหนูกับเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนมายื่นให้ แต่แขกที่ไม่ได้รับเชิญกลับไม่สนใจ พอถอดเสื้อนอกออกเรียบร้อยแล้ว ก็ล้มตัวลงไปนอนกลิ้งบนพื้น

    “ไปอาบน้ำสิวะ”

    ไม่พูดเปล่า แต่ปาของในมือใส่หน้าเต็มแรง น่าเสียดายที่อาโอมิเนะรับเอาไว้ได้ แล้วยังนอนเอกเขนกต่อด้วยท่าทีสบายๆ เหมือนต้องการขัดคำสั่งเจ้าของบ้านเพื่อกวนประสาท ซึ่งก็ได้ผลดีทีเดียว คากามิรู้สึกโกรธจนเดินตรงเข้าไปหา คิดจะเตะสักป้าบ เพื่อช่วยกระตุ้นต่อมสามัญสำนึก แต่กลับโดนอีกฝ่ายกระชากตัวให้ลงมานอนบนพื้นด้วยกัน

    “ทำอะไรของแกวะ เจ็บนะเว้ย”

    อาโอมิเนะกอดเขาเอาไว้แน่น ดิ้นรนยังไงก็ไม่ยอมปล่อย แถมยังซุกหน้าลงตรงบริเวณอก ไม่สิ ควรเรียกว่าท้องจะดีกว่ามั้ง แล้ววันนี้เกิดอะไรขึ้น อยู่ๆก็มายืนตัวเปียกโชกอยู่หน้าบ้าน พอไล่ไปอาบน้ำก็ดันลากตัวเขามากอด แถมถามอะไรไป ก็ไม่ยอมตอบ ตกลงเป็นบ้าอะไรเนี่ย

    “เป็นอะไรไป เจ้าโง่มิเนะ”

    ไม่มีสัญญาณตอบรับจากโทโอที่ท่านเรียก ดูท่าจะเป็นเอามากนะเนี่ย เพราะถึงขนาดเรียกชื่อเล่นที่เกลียดแสนเกลียดยังไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าไม่พูดแล้วฉันจะรู้ไหมเนี่ยว่าเป็นอะไร

    “ตัวนายอุ่น...”

    “แหงสิ ก็นายเปียกฝนมา ตัวฉันก็ต้องอุ่นกว่าอยู่แล้ว”

    นอกจากคำสั้นๆคำนั้น ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือคำพูดใดๆจากอาโอมิเนะ ไดคิอีก คากามิจึงได้แต่ถอนหายใจแล้วขยี้ผมสีน้ำเงินของคนตรงหน้าเล่น ผมที่น่าจะเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน กลับเริ่มจะแห้งหมาดๆแล้ว ดูท่าจะมายืนรอเขานานพอดู

    “อาบน้ำได้แล้ว เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

    “ขี้เกียจ...”

    “นายเป็นเด็กสองขวบหรือไงวะ”

    เด็กโข่งที่กอดเขาอยู่ไม่ยอมขยับแม้แต่นิดเดียว ที่จริงคิดอยากจะแทงเข่าไปที่ท้องให้จุกดูสักครั้งเหมือนกัน โทษฐานงี่เง่า แต่วันนี้ยอมให้วันหนึ่งแล้วกัน เพราะดูท่าจะไปเจอเรื่องไม่ดีมาสินะ ความงี่เง่าของนายมันถึงได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณอย่างนี้

    “เอ้าๆ ถ้ายอมไปอาบน้ำดีๆ จะให้รีเควสของกินเย็นนี้ได้อย่างหนึ่ง”

    “จริงหรือเปล่า”

    ทีอย่างนี้ล่ะตอบทันทีเชียว แสดงว่าถึงจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เรื่องกินก็ยังสำคัญกว่าใช่ไหมเนี่ย ไอ้คนเห็นแก่กิน !! แต่ก็เอาเถอะ ถ้ามันจะทำให้นายรีบๆลุกไปได้ ก็บอกมาเลย รู้ไหมว่า ตัวนายมันโคตรหนัก แถมยังเปียกๆแฉะๆไปด้วยน้ำฝนอีกต่างหาก

    “เออๆ จะกินอะไรก็บอกมา”

    เพียงแค่นั้นเอสแห่งโทโอก็ลุกขึ้น คว้าผ้าเช็ดตัวกับชุดแล้วเผ่นหายเข้าไปในห้องน้ำ แต่ยังไม่ลืมที่จะตะโกนออกมาบอกว่า อยากกินโคโรเกะ คากามิส่ายหน้าอย่างเหนื่อยใจ เสื้อที่ใส่อยู่นั้นชื้นนิดๆ เพราะโดนคนตัวเปียกกอดอยู่นานสองนาน จึงตัดสินใจเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนลงมือทำอาหาร

    “ไหนล่ะ โคโรเกะ”

    อาโอมิเนะกวาดตามองอาหารที่ดูยังไงก็คือ แกงกะหรี่ชัดๆ ถึงจะหน้าตาจะดูน่ากินเพียงใด แกงกะหรี่ก็ไม่มีทางกลายเป็นโคโรเกะไปได้ หรือว่าจะเป็นความผิดพลาดในการสื่อสาร ระหว่างที่กำลังคิดถึงความเป็นไปได้อยู่นั้น คนทำก็เฉลยเหตุผลออกมาเองว่า ทำไมมื้อเย็นวันนี้จึงไม่มีโคโรเกะ

    “วันนี้ไม่ได้ซื้อมันฝรั่งมา ในตู้เย็นก็ไม่มี”

    “กินๆไปเถอะน่า อย่าบ่น”

    แน่นอนว่า อาโอมิเนะทำหน้าตาเหมือนเด็กโดนบังคับให้กินผัก แต่ถึงกระนั้นก็ยังฟาดอาหารตรงหน้าเรียบไปในพริบตาและเอ่ยปากขอเติมเพิ่มอีกอย่างที่ทำเป็นประจำ

    “ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นเหรอ”

    “ขอนอนค้างที่นี่ได้ไหม”

    อาโอมิเนะถามสวนขึ้นมา ราวกับไม่สนใจฟังสิ่งที่คากามิตั้งใจจะถาม เจ้าของบ้านกระพริบตาปริบๆด้วยความงง พยายามจูนสมองให้เข้ากับข้อมูลที่มีอยู่

    “มันก็ได้อยู่หรอกนะ แต่วันนี้วันพฤหัสนะ”

    “ไม่เป็นไรหรอก ขอบคุณสำหรับอาหาร”

    เจ้าตัวกินเสร็จ แทนที่จะช่วยเก็บสักนิด กลับเผ่นหนีไปนั่งหน้าจอโทรทัศน์ซะงั้น แต่ถึงจะน่าหมั่นไส้ยังไง คากามิก็รู้สึกได้ว่า อาโอมิเนะแค่อยากหนีคำถามของเขาเท่านั้น สรุปว่า เป็นเรื่องที่ไม่อยากพูดถึงสินะ

    วันนี้ไม่มีใครเสนอให้เปิดดีวีดีการแข่งขันบาสเก็ตบอลดู ทั้งคู่เอาแต่จ้องมองโทรทัศน์ที่กำลังพูดพล่ามเกี่ยวกับปัญหาเรื่องเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แน่นอนว่าไม่ได้กำลังตั้งใจฟังอยู่หรอก แต่กำลังคิดอย่างเอาเป็นเอาตายว่า ควรจะชวนอีกฝ่ายคุยอะไรดี

    จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครยอมพูดอะไรออกมาสักคำ จนคากามิเริ่มทนความเงียบที่น่าอึดอัดไม่ไหว จึงเดินไปปิดโทรทัศน์และประกาศว่าได้เวลานอนแล้ว แม้ว่าตอนนี้จะเพิ่ง 3 ทุ่มกว่า แต่การนอนลืมตาในความมืด น่าอึดอัดน้อยกว่าการนั่งเงียบๆอยู่สองคนภายในห้อง โดยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร

    อาโอมิเนะลงไปนอนบนฟูกที่นอน ซึ่งถูกเตรียมไว้ แล้วหลับตาอย่างว่าง่ายเกินคาด ปล่อยให้เจ้าของบ้านเดินไปปิดไฟทีละดวง จนทั้งบ้านมืดสนิท แล้วค่อยปีนขึ้นไปนอนบนเตียงของตัวเอง

    “คากามิ...หลับหรือยัง..”

    เพียงแค่ล้มตัวลงไปนอนยังไม่ถึง 5 นาที ก็ได้ยินคำถามนี้ มันเพิ่ง 3 ทุ่มเองนะเว้ย หลับได้ก็แปลกแล้วล่ะ ฉันก็ไม่ใช่เด็กที่หัวถึงหมอนก็จะหลับทันทีด้วย อยากพูดอะไรก็พูดไป ฉันขี้เกียจจะตอบ

    “เคยคิดเรื่องที่ไม่ถูกไม่ควรบ้างหรือเปล่า ?”

    “เคยหวังอยากได้สิ่งที่ไม่สมควรบ้างไหม”

    ฟังแล้วเหมือนอยากแอบไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้านยังไงไม่รู้ แต่นายเพิ่งสารภาพรักกับฉันมา ไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ไปหลงรักสาวแก่ที่ไหน ? เฮ้ย แล้วทำไมฉันจะต้องไปสนใจด้วยวะ ว่ามันจะชอบใคร ?

    “ก็รู้อยู่หรอกนะว่า มันไม่ควร แต่สุดท้ายก็อดคิดไม่ได้”

    “ฉันมัน...”

    แล้วหมอนก็ถูกปาลงไปใส่หน้าอาโอมิเนะที่นอนอยู่บนพื้นเต็มๆ เจ้าตัวลุกขึ้นนั่ง ก็เห็นเจ้าของบ้านกำลังชี้นิ้วมาทางเขา ก่อนจะโวยวายใส่ชุดใหญ่

    “เว้ย ทนฟังไม่ไหวแล้ว !!!

    “ไม่ถูกไม่ควรอะไรของนายวะ คนอย่างนายรู้จักเรื่องไม่ถูกไม่ควรด้วยเหรอ ถ้าพูดถึงคำว่าไม่ถูกไม่ควรน่ะ นายก็ทำอยู่ตลอดนั่นแหละ ทั้งท่าทางหยิ่งยะโสต่อรุ่นพี่ก็ดี ทั้งวิธีการเล่นบาสแบบจองหองนั่นก็ด้วย อยู่ๆก็มายืนหน้าบ้านคนอื่น พูดจาเอาแต่ใจงั้นงี้ คิดว่า ทั้งหมดนั่นมันถูกมันควรเรอะ เจ้าโง่มิเนะ !!!

    ไม่รู้ว่า นานแค่ไหนที่อาโอมิเนะไม่ได้ถูกใครว่าตรงๆแบบนี้ อาจจะตั้งแต่จบเทย์โค หรืออาจตั้งแต่เล่นบาสแบบฉายเดี่ยว แต่ไม่ว่ายังไง คำพูดเหล่านั้นก็ดึงตัวตนของเขาให้กลับคืนมา ใช่แล้ว คนอย่างเขาไม่ใช่คนที่มานั่งคิดว่า เรื่องนี้ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ คนรอบข้างเห็นเป็นอย่างไร ถ้ามันเป็นสิ่งที่เขาอยากทำ ก็จะทำ ไม่เห็นมีอะไรยากเลยสักนิด แม้เรื่องที่เขาคิดอาจจะไม่ถูกต้อง อาจจะฟังดูเหมือนโหดร้าย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นตัวตนที่แท้จริงของเขา ความคิดในแบบของเขา

    หมอนในมือถูกปาคืนไปให้เจ้าของเป็นการแก้แค้น เพราะไม่ทันระวังตัว เลยโดนอัดเข้าใส่หน้าแบบเต็มๆ แล้วสงครามปาหมอนก็เริ่มขึ้น อย่างไม่คิดเกรงใจคนข้างบ้านว่าจะตกใจกับเสียงหมอนที่กระแทกผนังอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วก็เซ็นสัญญาสงบศึกกันตอนเกือบเที่ยงคืน เพราะทั้งคู่เริ่มรู้สึกเหนื่อยและนี่ก็ถึงเวลาที่ควรนอนกันได้แล้ว

    คืนนั้นอาโอมิเนะนอนหลับๆตื่นๆ อาจเพราะแปลกที่ หรืออาจเพราะมีเรื่องกังวลใจอยู่ แต่ไม่ว่าด้วยเหตุผลไหน สุดท้ายชายหนุ่มก็นอนไม่ค่อยหลับ พอเหลือบมองนาฬิกา ก็เห็นว่าเป็นเวลาเกือบหกโมง แม้จะเช้าไปสักหน่อย แต่ถ้าตื่นตอนนี้ ก็จะมีเวลากลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้าน

    อาโอมิเนะพยายามเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนอีกฝ่าย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็อดไม่ได้ที่จะแอบดูใบหน้ายามหลับของคนที่เขารัก ผมสีแดงสดร่วงหล่นลงมาระใบหน้า ทั้งที่ไม่ใช่คนหน้าตาสะสวยหรืองดงามเหมือนผู้หญิง แต่กลับรู้สึกว่า น่ามอง น่าเอ็นดูอย่างประหลาด

    “ขอบใจนะ คากามิ”

    อาโอมิเนะบรรจงจูบลงไปบนหน้าผาก เป็นจูบแผ่วเบาซึ่งแทนคำขอบคุณ อันที่จริงเขาก็แค่อยากจูบคากามิเท่านั้นเอง เพราะถ้าทำแบบนี้ตอนตื่น เจ้าตัวคงโวยวายเสียงดังแน่ๆ ใบหน้ายามหลับที่ไร้ซึ่งความกังวล แถมยังไร้การป้องกันตัวเนี่ย มันทำให้เขาอยากจะแอบแตะต้องอะไรที่มากกว่าจูบบนหน้าผาก แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้

    ระหว่างที่หากระเป๋าของตัวเอง อาโอมิเนะก็เหลือบไปเห็นเครื่องแบบของเขาที่ถูกแขวนเอาไว้ มันผ่านการซักและอบแห้งอย่างเรียบร้อย แม้จะไม่ได้รีดจนเรียบเนี้ยบ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพยับเยินยุ่งเหยิง คากามิคงตั้งใจเตรียมเอาไว้ให้เขาใส่ตอนเช้า เพราะที่นี่กับโรงเรียนของเขาก็ใช่ว่าจะใกล้กันซะเมื่อไหร่ ถ้าจะกลับไปบ้านแล้วค่อยไปโรงเรียน ก็คงสายแน่ๆ

    “เอาใจใส่ ยังกับเป็นภรรยาเลยนะ”

    อาโอมิเนะหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง แต่คนที่ทำกับข้าวให้กิน ดูแลเรื่องเสื้อผ้า ประคับประคอง ปลอบโยนเวลาที่มีเรื่องเศร้า จะเป็นอะไรได้ ถ้าไม่ใช่ภรรยา ติดอยู่อย่างเดียวก็คือ เป็นผู้ชายนี่แหละ

    “ไปก่อนนะ คากามิ”

    อาโอมิเนะมองร่างที่ยังอยู่บนเตียงอีกครั้ง ก่อนจะออกจากบ้านไป

    ++++++++++

    “เมื่อวานอาโอมิเนะคุงมาค้างที่บ้านเหรอครับ”

    “นี่ทั้งสองคนไปถึงขั้นนั้นกันแล้วหรือครับ”

    คุโรโกะถามด้วยใบหน้าและน้ำเสียงที่เป็นเฉยชาตามปกติ แต่เนื้อความในคำพูดนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่คนรอบข้างเป็นอย่างมาก เพราะถึงจะเป็นการพูดคุยกันเองเพียงสองคน เสียงของคุโรโกะก็ดังพอที่จะทำให้ทีมเซย์รินที่อยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าทั้งหมด รู้เนื้อความที่กำลังคุยกันอยู่

    “หา ? โดนกินไปแล้วเหรอ”

    “ลงเอยกันด้วยดีแล้วสินะ”

    “ยินดีด้วยนะ”

    คำพูดพวกนั้นทำให้ระดับความแดงของใบหน้าคากามินั้นเพิ่มขึ้น จากสีชมพูเป็นสีแดงแปร๊ด พร้อมกับคำตะโกนโวยวายที่มีดีกรีระดับความดังไปตามความอาย ทำให้ทุกคนต้องยกมือขึ้นอุดหู ขณะที่เอสของทีมแผดเสียงปฏิเสธ

    “ฉันยังไม่ได้ให้คำตอบเลย !!

    “ยังไม่ได้ให้คำตอบ แปลว่าจะไม่ปฏิเสธสินะครับ”

    คำพูดของคุโรโกะนั้นตีเข้าเป้าตลอด คราวนี้ไม่ใช่แค่คนที่ถูกกล่าวถึงอึ้ง แต่ยังพาทั้งทีมให้อึ้งตามกันไปด้วย ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของชมรมบาสในวันนี้ จึงเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวายของการผสมผสานระหว่างคำแก้ตัวและคำปฏิเสธ จนคนในทีมต้องมองหน้ากันไปมาแล้วยิ้มเจื่อนๆ เพราะไม่รู้ว่า ควรทำอย่างไรดี

    “มัวเสียงดังอะไรกัน รีบไปซ้อมได้แล้ว”

    โค้ชสาวของทีมเปิดประตูเข้ามาอย่างไม่นึกกลัวว่า มีผู้ชายกึ่งเปลือยยืนอยู่เต็มห้อง กิจกรรมชมรมของทีมบาสแห่งเซย์รินจึงดำเนินต่อไปได้ด้วยประการฉะนี้ เพียงแต่เอสของทีมนั้นเล่นแบบบ้าระห่ำ เอาแต่ดังค์ลูกเพียงอย่างเดียว ชนิดที่คนนอกมาเห็นแล้วคงรู้สึกเสียวไส้ว่า ห่วงของแป้นบาสจะต้องหักแน่ๆ ส่วนทุกคนในทีมได้แต่มองหน้ากันไปมาแล้วยิ้ม

    นั่นก็เพราะเอสคนเก่งของทีม หน้าแดงจนถึงหูตลอดการซ้อมในวันนั้น

    ++++++++++

    แปลว่า...จะไม่ปฏิเสธสินะครับ..

    คำพูดนั้นของคุโรโกะยังวนเวียนอยู่ในหัว จนไม่อาจรวบรวมสมาธิได้ตามปกติ ถึงจะพยายามไล่ความฟุ้งซ่านด้วยการดังค์ลูกอย่างที่เคยทำมา แต่สุดท้ายก็ไม่อาจหยุดคิดถึงคำพูดนั้นได้

    สำหรับเขา อาโอมิเนะคือคู่แข่งคนสำคัญ เป็นคนที่เขายังไม่สามารถเอาชนะได้ เป็นคนที่นิสัยกวนตีน ปากเสีย และเอาแต่ใจตัวเองเป็นที่สุด ทำให้เขาทั้งหงุดหงิดและอารมณ์เสียอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับไม่รู้สึกเกลียดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า เวลาที่ได้ใช้ร่วมกันนั้น ค่อยๆกลายเป็นความทรงจำอันมีค่าเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย

    แหวนสีเงินที่แสนสำคัญนั้น เคยเป็นตัวแทนของพี่ชาย เคยเป็นตัวแทนความผูกพันระหว่างพี่น้อง แต่ในตอนนี้มันกลับทำให้เขานึกถึงใบหน้ากวนประสาทของใครคนหนึ่งขึ้นมาแทน คนที่หาแหวนมาคืนให้ เอ่ยปากบอกความรู้สึกของตัวเอง แล้วยัดเยียดเอาแหวนที่ไม่ใช่ของตัวเองมาใส่นิ้วคนอื่นเขาตามใจชอบ...

    แล้วก็ยัง...จูบ...

    พอคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกว่าหน้าร้อนขึ้นมาอีกหน เรื่องทั้งหมดก็เพราะไอ้บ้านั่นมาปั่นหัวเขา ความรู้สึกรักบ้าอะไรของมัน เป็นผู้ชายด้วยกัน มันจะไปรักหวานแหววเหมือนที่ผู้ชายกับผู้หญิงเป็นแฟนกันได้อย่างไร จะให้เดินจับมือ ไปกินข้าว ดูหนังด้วยกันในวันหยุด แล้วคุยโทรศัพท์กันเรื่องนู้นเรื่องนี้ บอกราตรีสวัสดิ์ ฝันดีกันทุกคืนรึ ฝันไปเถอะ ว่าเขาจะทำ

    เพราะในหัวเริ่มฟุ้งซ่านไปด้วยความคิดมากมาย คากามิจึงตัดสินใจแวะไปเล่นสตรีทบาสก่อนกลับบ้าน ในตอนที่กำลังจะถึงสนาม อยู่ๆฝนก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำเอาเอสของเซย์รินตัวเปียกโชก จนเผลอสบถออกมาหลายคำ แล้วต้องจำใจมุ่งตรงกลับบ้านแทน

    ถึงจะไม่สามารถเล่นบาสเก็ตบอลได้ เพราะสภาพอากาศ แต่ทางกลับบ้านของคากามิก็ยังต้องผ่านทางสนามบาสเก็ตบอลอยู่ดี ระหว่างที่กำลังวิ่งกลับบ้าน สายตาก็ดันไปเห็นร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเล่นบาสเก็ตบอลอยู่ในสนาม ถึงแม้ฝนที่ตกหนักจะทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน แต่คากามิก็มั่นใจว่า นั่นคือ อาโอมิเนะ ไดคิ

    ตอนแรกคิดจะแกล้งทำเป็นไม่เห็น ไม่อยากสนใจ ไม่อยากยุ่งยากเรื่องของคนอื่น แต่ไม่รู้เพราะอะไร ถึงได้ยืนเฝ้ามองดูอยู่ตรงนั้น การเล่นของอาโอมิเนะนั้นแลดูสับสน การชู้ตลูกที่เคยเฉียบคม กลับกลายเป็นรวนเร ลูกบาสเก็ตบอลสีส้มหมุนคว้าง หลังจากกระทบห่วงแล้วกระเด็นออกนอกแป้น

    อาจจะฟังเหมือนเรื่องปกติธรรมดาสำหรับคนเล่นบาสเก็ตบอล แต่นั่นไม่ใช่ สำหรับเอสแห่งโทโอ ผู้ที่ไม่ว่าจะชู้ตลูกในท่วงท่าใด หากไม่มีคนปัดป้องแล้ว ก็จะลงห่วงไปอย่างสวยงามทุกครั้ง

    “ทำบ้าอะไรของนายอยู่”

    รู้ตัวอีกที เขาก็ไปกระชากแขนอีกฝ่าย ตะโกนใส่หน้าด้วยเสียงอันดัง แข่งกับเสียงฝนที่ตกลงมาแรงขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าของคนที่มักมีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หัวเราะกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ สงบนิ่งอย่างน่าประหลาด อาโอมิเนะไม่ตอบโต้อะไร เพียงแต่มองหน้าเขาเงียบๆ เหมือนจะถามว่า มีธุระอะไร

    “มานี่”

    คากามิกระชากแขนอีกฝ่ายให้เดินตามมา โดยไม่คิดจะถามความสมัครใจ แต่ถึงอย่างนั้นอาโอมิเนะก็ยอมเดินตามไปเงียบๆ ราวกับเด็กขี้แยที่ถูกผู้ใหญ่จูงให้กลับบ้าน แต่บนใบหน้าที่เปียกปอนไปด้วยน้ำฝนนั้น คากามิไม่แน่ใจว่า

    ....มีน้ำตาปะปนอยู่บ้างหรือเปล่า...

    ++++++++++

    อาโอมิเนะรู้สึกว่า โลกของเขานั้นเป็นสีดำสนิท มาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น หลายคนคิดว่า มันเป็นเพราะเขาท้อแท้สิ้นหวังในการเล่นบาสเก็ตบอล จึงได้เบื่อหน่ายและทำตัวเกะกะระรานคนอื่น เพื่อระบายอารมณ์ ที่จริงนั่นก็ถูกในส่วนหนึ่ง เพราะดวงไฟที่ส่องสว่างในชีวิตของเขานั้น มีเพียงบาสเก็ตบอล พอมันมอดดับลง ทุกอย่างก็มืดสนิท

    ...จนน่ากลัว...

    จะบอกว่าครอบครัวของอาโอมิเนะนั้นมีปัญหาก็คงจะไม่ใช่ เพราะเจ้าตัวเติบโตมาในสิ่งแวดล้อมที่ดี เหมือนเด็กปกติทั่วไป ถึงได้มีรอยยิ้มที่สดใสและความรักในบาสเก็ตบอลอันเปี่ยมล้น สิ่งเหล่านั้นเริ่มบิดเบี้ยว เมื่อพี่ชายคนโตของเขามีปัญหากับทางบ้าน เสียงทะเลาเบาะแว้งของพ่อ ยามเมื่อโต้เถียงกับพี่ชาย เสียงร้องไห้ของแม่ในยามค่ำคืน บรรยากาศแห่งความอบอุ่นถูกทำลายจนสิ้น เหมือนแก้วที่แตกออก ไม่มีวันกลับคืนมาได้

    สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ในตอนนั้นคือ บาสเก็ตบอล อยากหนีให้พ้นจากช่วงเวลาที่ต้องอยู่บ้าน จึงหนีไปฝึกซ้อมจนดึกดื่น หมกตัวอยู่กับสิ่งที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ก็นั่นแหละ สุดท้ายทุกอย่างก็มืดดับลง ไม่อยากสนใจอะไรอีกแล้ว

    “เอ้า เช็ดให้แห้งสิ จะถือไว้เฉยๆทำไม”

    “นั่งบื้ออยู่นั่นแหละ”

    อาโอมิเนะก้มมองผ้าขนหนูในมือ ซึ่งคนที่กำลังยืนบ่นอยู่ยัดเยียดมาให้ เขาไม่รู้ตัวหรอกว่า มาถึงที่นี่ได้ยังไง และไม่ได้อยากจะรู้ ทุกอย่างจะเป็นอย่างไรก็ช่าง เขาไม่สนใจมันอีกแล้ว

    “เป็นคนที่งี่เง่าจริงๆเลย”

    “ใครที่ไหน เขาไปเล่นบาสเก็ตบอลตอนฝนตก”

    คากามิดึงเอาผ้าขนหนูในมือมาเช็ดผมของเขาแรงๆ จนรู้สึกเจ็บ ปากก็บ่นนู้นนี่ไปตามเรื่อง แต่ก็ไม่ได้ถามสักคำว่า เป็นอะไร หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่างที่คาดไว้ พอเช็ดผมเสร็จเรียบร้อย เจ้าของบ้านก็เดินไปชงโกโก้อุ่นๆมาให้ เหมือนกับวันนั้นที่เล่นบาสด้วยกันไม่มีผิด

    “เปลี่ยนเสื้อซะด้วย เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”

    “ฝนท่าทางไม่หยุดตกง่ายๆ วันนี้กินข้าวเย็นที่นี่ใช่ไหม”

    “อย่าเข้ามายุ่มย่ามในครัวนะ นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ”

    หลายๆคำพูดที่คากามิบอกกับเขา แม้ว่าจะไม่มีเสียงตอบจากเขาเลย แต่คากามิก็ยังปฏิบัติต่อเขาดังเช่นปกติ ไม่มีการปลอบโยนหรือว่าไต่ถาม แต่นั่นกลับทำให้เขารู้สึกสบายใจกว่าที่จะอยู่ที่นี่ หากโดนซักไซ้ขึ้นมา คงนึกอยากหนีไปแน่ๆ

    “เอ้า กินกันได้แล้ว”

    อาหารที่ตั้งไว้ตรงหน้านั้น ประกอบด้วยข้าว ซุปและเครื่องเคียงดังเช่นปกติ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้อาโอมิเนะรู้สึกสะดุดใจก็คือ โคโรเกะที่ทอดด้วยอุณหภูมิเหมาะสม จนเป็นสีเหลืองทองน่ารับประทาน ไม่รู้ว่า เขาคิดไปเองคนเดียวหรือเปล่า คากามิอาจจะแค่ทำขึ้นด้วยความบังเอิญ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็...

    “เป็นโรคชอบจ้องอาหารรึไง ? มีอะไรผิดปกติเหรอ ?”

    “นี่มันอะไร ?”

    “อ้าว ก็โคโรเกะไง”

    ฉันมองเห็นน่า ไอ้บ้าคากามิ รู้ดีว่า มันคือโคโรเกะ แต่ที่ฉันอยากรู้ก็คือ เหตุผลที่นายเลือกทำมัน แค่เพราะวันนี้เครื่องปรุงเหมาะสม หรือว่า นึกอยากกินเองขึ้นมา หรือว่า...

    “ก็เห็นนายเคยบอกว่า อยากกิน...”

    “อย่าบอกนะว่า ตอนนี้ไม่อยากกินแล้ว”

    “ยัดๆเข้าไปให้หมดเดี๋ยวนี้ ห้ามเหลือ !!!

    เขามองคนตรงหน้าพูดนู้นพูดนี่ด้วยคำพูดจริงจังบ้าง ล้อเล่นบ้าง แต่อีกฝ่ายจะรู้ไหมว่า เจ้าโคโรเกะ 4-5 ชิ้นนี้ มันมีค่ามากแค่ไหนสำหรับตัวเขา สัญญาปากเปล่าซึ่งคนทั่วไปคงไม่จดจำ แต่นายกลับยังคงจำได้ นั่นสินะ เพราะนายเป็นคนอย่างนี้

    ...ฉันถึงได้รักนาย...

    หลังจากอาหารเย็น อาโอมิเนะถูกไล่ให้ไปอาบน้ำ โดยไม่ถามสักคำว่า เจ้าตัวอยากจะกลับบ้านหรือเปล่า ฝนข้างนอกเริ่มซาลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังตกอยู่ หากคิดจะกลับบ้านก็คงไม่ยากเท่าไรนัก แต่เจ้าของบ้านยังไม่ออกปากไล่สักคำ คงไม่เป็นไรมั้ง วันนี้ก็เป็นวันศุกร์แล้วด้วย

    พออาบน้ำเสร็จ ก็เห็นคากามินั่งดูโทรทัศน์อยู่ มาสังเกตดีๆแล้ว คนที่บ่นนู้นบ่นนี่ต่างหากที่ควรไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ตัวเองก็เปียกโชกพอๆกัน แต่เส้นผมสีแดงนั้น เหมือนไม่ได้ผ่านการดูแลเอาใจใส่เท่าที่ควร ทั้งที่เวลาผ่านมาเกือบสามชั่วโมงแล้ว แต่มันกลับยังไม่แห้งสนิท เสื้อผ้าที่ใส่อยู่ก็เช่นกัน คากามิเพียงแค่ถอดเอาตัวนอกออก เหลือไว้แต่เสื้อยืด ซึ่งตอนนี้ก็ดูยังชื้นๆ คงมีเพียงแค่กางเกงเท่านั้นที่เจ้าตัวเปลี่ยนไปใส่ขาสั้นสำหรับอยู่บ้าน

    อาโอมิเนะนั่งลงข้างๆ คิดจะออกปากไล่อีกฝ่ายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า อย่างไม่คิดจะสนใจว่า นี่เป็นบ้านของใคร แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร กุญแจสีเงินก็ถูกวางไว้ตรงหน้า

    “อะไร ?”

    “ก็กุญแจไง วันนี้นายตาถั่วรึไง”

    “รู้แล้ว แต่มันกุญแจอะไร”

    “กุญแจบ้านฉัน”

    อาโอมิเนะเหลือบตามองเจ้าตัว เหมือนอยากจะถามว่า นี่มันเรื่องอะไรกัน อยู่ดีๆ ยกกุญแจบ้านให้เขาทำไม ? เพราะเขามาที่นี่บ่อยเหรอ ? แต่ทุกครั้งก็จะมาแค่หลังเล่นบาสเก็ตบอล มากินข้าวพร้อมนาย แล้วจะเอากุญแจบ้านไปทำไม ?

    “ให้นายไว้...ถ้าไม่อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็มาได้”

    “จะได้ไม่ต้องไปตากฝน หรือยืนหนาวข้างนอก”

    เหตุการณ์นี้ มันนอกเหนือจากที่เขาเคยจินตนาการไว้ทั้งหมด ใครจะไปคิดว่า คนช่างโวยวายที่เขารบกวนอยู่บ่อยครั้ง จะนึกเป็นห่วง จนยกกุญแจบ้านให้ ยอมให้เขาเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว แม้ไม่ใช่เวลาที่ตัวเองอยู่บ้านก็ตาม ด้วยเหตุผลง่ายๆแค่เพียงว่า ไม่อยากให้เขาไปตากฝนหรือยืนหนาวข้างนอก

    “ไม่ถามเหรอว่า เกิดอะไรขึ้น”

    “ถ้านายอยากเล่า คงเล่าไปแล้วล่ะ ครั้งก่อนถามไป นายก็เอาแต่เงียบนี่นะ”

    “เอาเป็นว่าไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า แต่ถ้าอยากเล่าเมื่อไหร่ ก็เล่ามา”

    อาโอมิเนะไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนตรงหน้าถึงมีคำว่า ไฟ อยู่ในชื่อ เพราะตัวตนภายในนั้น ช่างสว่างเจิดจ้าและแสนอบอุ่นมากมายเหลือเกิน ชีวิตอันมืดมิดของเขานั้น คงจะสว่างขึ้นได้ หากมีไฟดวงนี้อยู่ข้างๆ ความหนาวเย็นจนหัวใจด้านชานั้น คงจะค่อยๆจางหายไป หากได้สัมผัสกับไฟที่แสนอบอุ่นนี้

    “เวลานายพูดจากวนประสาท มันน่าโมโหก็จริง แต่เวลานายเงียบ ฉันยิ่งรู้สึกไม่ดี”

    “ฉะนั้น ถ้านายต้องการคนรับฟังเมื่อไหร่ ก็พูดมาแล้วกัน”

    “ฉันอยู่ตรงนี้...”

    เพียงแค่นั้นอาโอมิเนะก็กระโจนเข้ากอด แรงเสียจนคากามิล้มลงไปนอนกับพื้นห้อง หัวกระแทกเสียงดังจนเจ้าตัวร้องออกมาด้วยความเจ็บ ตอนที่คิดจะเอาเท้ายันคนที่อยู่ๆก็เล่นอะไรบ้าๆ ก็ต้องชะงักไป เพราะคำพูดน่าอาย ที่คนตรงหน้าพูดออกมาได้เหมือนเรื่องปกติธรรมดา

    “เมื่อกี๊นี้ นายบอกรักฉันใช่ไหม”

    “พูดบ้าอะไรของนาย ฉันยังไม่ได้พูดว่า รักสักคำเลยนะเว้ย ไอ้บ้า”

    “นายตอบรับความรักของฉันแล้วใช่ไหม”

    แม้คากามิจะนึกอยากหาคำพูดมาโต้เถียง ปฏิเสธสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่เมื่อดวงตาสีน้ำเงินนั้นมองมา เขากลับพูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่คำเดียว สีหน้าและแววตาของคนตรงหน้านั้นจริงจัง เสียจนคากามิไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป

    “นายจะเป็นของฉันใช่ไหม ?”

    ไอ้บ้า มาพูดเหมือนคนอื่นเขาเป็นสิ่งของได้ยังไง อยากจะด่าคำนี้ แต่กลับไม่มีอะไรลอดผ่านลำคอออกมาเลย แม้แต่คำเดียว เหมือนริมฝีปากของเขาโดนคาถาจากดวงตาสีน้ำเงินนั่นสะกดเอาไว้ จะว่าไป ที่จริงเขาก็ไม่ได้เกลียดอาโอมิเนะหรอกนะ ออกจะชอบเสียด้วยซ้ำ ถึงจะต้องโมโหเสียงดังไปบ้าง เวลาอยู่ด้วยกัน แต่กลับเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนานและสบายใจ

    “ทำไมนายถึงไม่คบผู้หญิงล่ะ”

    “หา ?”

    “นายชอบผู้หญิงหน้าอกใหญ่ๆไม่ใช่เหรอ ?”

    อาโอมิเนะถอนหายใจเหมือนกับว่า เรื่องที่เขาพูดออกมานั้นมันงี่เง่าสุดๆ คนที่พูดแล้วก็ทำเรื่องงี่เง่า อย่างบอกรักผู้ชายน่ะ มันนายไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำท่าเหนื่อยหน่ายอย่างนั้นด้วยวะ ที่ฉันพูดไปมันเรื่องจริงไม่ใช่หรือไง ไหนลองแย้งมาสิว่า ทำไมผู้ชายผิวดำ ปากดี ชอบนมใหญ่ๆ อย่างนายถึงมาขอผู้ชายเป็นแฟน

    “ฉันถึงบอกว่านายมันงี่เง่าไง ไอ้บ้าคากามิ”

    “มันก็จริงอยู่ที่ฉันชอบดูหน้าอกใหญ่ๆ ก็ฉันเป็นผู้ชายนี่หว่า”

    “แต่กับคนที่ชอบมันคนละเรื่องกันนี่ แปลว่าฉันควรจะคบกับผู้หญิงที่ไหนก็ได้ที่หน้าอกใหญ่เหรอ ?”

    คำพูดนั้นทำเอาคากามิสะอึกไปเหมือนกัน การอยู่ท่ามกลางชาวต่างชาติมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาไม่ให้ความสนใจเรื่องเกี่ยวกับความรักเท่าไรนัก แถมเรื่องบาสเก็ตบอลนั้นช่างน่าตื่นเต้น จนไม่มีเวลาไปสนใจอย่างอื่น คากามิจึงเป็นยิ่งกว่ามือใหม่ในเรื่องของการคบกัน

    “ตกลง นายจะคบกับฉันไหม ?”

    คากามิรู้สึกอยากจะหนีหน้าไปที่ไหนสักแห่งโดยเร็ว แต่กลับถูกอีกฝ่ายยึดตัวเอาไว้แน่น ด้วยท่าที่เสียเปรียบอย่างสิ้นเชิงบวกกับสมองที่กำลังสับสนด้วยความรู้สึกไม่คุ้นเคยนั้น ทำให้คิดไม่ออกว่า ควรจะทำอย่างไรดี สุดท้ายจึงโพล่งสิ่งที่อยู่ในใจออกไปจนหมดสิ้น

    “ฉันจะไม่ทำเรื่องน่าขนลุก อย่างจับมือ ไปนั่งป้อนไอศกรีม หรือว่าคุยโทรศัพท์กันทุกคืนหรอกนะ”

    “หา ? พูดบ้าอะไรของนาย”

    “คนเป็นแฟนกัน ต้องทำเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

    ครั้งนี้อาโอมิเนะหัวเราะออกมาดังลั่น จนคากามิขมวดคิ้ว เพราะไม่เข้าใจว่า เขาพูดผิดตรงไหน มือทั้งสองข้างของเขาถูกกดลงกับพื้น เอสแห่งโทโอยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ริมฝีปากเหยียดยิ้มเจ้าเล่ห์ดังที่เห็นเป็นปกติ

    “คนเป็นแฟนกัน เขาทำอย่างนี้ต่างหาก”

    แล้วอากาศก็ถูกช่วงชิงไป เมื่อริมฝีปากถูกปิด พร้อมกับลิ้นอุ่นที่แทรกเข้าไปภายใน แม้ว่าจะเหมือนกับหายใจไม่ออก แต่ร่างกายกลับตอบสนองความรู้สึกนี้ด้วยความยินดี ความเร่าร้อนซึ่งถูกปลุกเร้าขึ้นในตัว พร้อมกับความอ่อนหวานซึ่งซ่อนลึกอยู่ภายใน เหมือนคำพูดที่ไร้เสียงถูกส่งผ่านปลายลิ้น เพื่อเข้าไปสู่หัวใจ

    “เข้าใจรึยัง ?”

    ถึงปากจะพูดอย่างนั้นก็เถอะ แต่ที่จริงอาโอมิเนะต้องพยายามสะกดกลั้นตัวเองไม่รู้เท่าไร คนตรงหน้าเขากำลังหอบหายใจ เพราะจูบเมื่อครู่ ใบหน้ากลายเป็นสีแดงก่ำ ยั่วยวนจนแทบอยากจะขย้ำ กินเป็นอาหารมื้อค่ำ แต่คงจะเร็วไปสำหรับคนที่คิดว่า การเป็นแฟนกันนั้นคือ การไปเที่ยวกุ๊กกิ๊ก แบบที่สาวน้อยช่างฝันจะรบเร้าให้แฟนหนุ่มทำ

    ด้วยเหตุผลที่ต้องสะกดกลั้นอารมณ์ อาโอมิเนะจึงปล่อยคากามิไปอาบน้ำ แต่โดยดี เจ้าตัวพุ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ชายหนุ่มผิวคล้ำหัวเราะออกมาเบาๆ ใครจะไปคิดว่า ขนาดเพิ่งเกิดเรื่องนั้นขึ้นมา แล้วเขาจะหัวเราะออกมาได้เร็วขนาดนี้

    ...ต้องขอบคุณ...คากามิ..

    กุญแจสีเงินตรงหน้าส่องประกาย ราวกับเตือนไม่ให้เขาลืมเก็บมันลงกระเป๋า คงยากที่เขาจะมาที่นี่ตอนคากามิไม่อยู่ เพราะมันก็ไม่ต่างอะไรกับบ้านของเขาเอง ห้องที่ว่างเปล่าไร้ผู้คนนั้น ไม่ได้น่าพิสมัยแต่อย่างใด ไม่สิ ที่นี่อาจจะต่างออกไป หากเขานั่งอยู่ตรงนี้ โดยวาดภาพว่า อีกไม่นาน ประตูบานนั้นจะเปิดออก เห็นใบหน้าซึ่งขมวดคิ้ว พร้อมกับคำพร่ำบ่นที่ได้ยินจนเคยชิน เขาคงสามารถอยู่ได้ด้วยความรู้สึกเป็นสุขกว่าที่อื่น

    ...เพราะเขากำลังรอ...คนที่เขารัก...

    พอคากามิอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย อาโอมิเนะก็เอ่ยปากขอตัวกลับ โดยอ้างว่าฝนหยุดตกแล้ว ที่จริงเขากลัวว่าจะห้ามตัวเองไม่อยู่ หากคืนนี้ต้องนอนค้างที่นี่ คากามิช่างไม่รู้จักระวังตัว ต่อหน้าคนที่บอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าอยากได้มาเป็นของตัวเอง ฉะนั้นเพื่อไม่ให้เสียคนคนนี้ไป เขาคงจะต้องเป็นฝ่ายหักห้ามใจตัวเอง

    “งั้นก็กลับดีๆนะ”

    คากามิเองก็ไม่ได้คิดจะห้ามอะไร คงเพราะสภาพของเขาดูดีขึ้นแล้ว หลังจากจัดแจงใส่รองเท้าจนเรียบร้อย อาโอมิเนะก็เอ่ยลาอีกครั้ง แล้วก้าวออกจากประตูบ้านไป เขาได้ยินเสียงเหมือนอีกฝ่ายบ่นพึมพำอะไรบางอย่าง ฟังดูแผ่วเบาแตกต่างจากนิสัยชอบเอะอะโวยวายตามปกติของเจ้าตัว พอหันกลับไป ตั้งใจจะถามว่า พูดอะไร

    เขาก็รู้สึกได้ถึง...สัมผัสแผ่วเบาบนริมฝีปาก...

    จากนั้นประตูตรงหน้าก็ปิดปังอย่างรวดเร็ว ทำเอานิ่งงงไปชั่วขณะ แต่ก็มั่นใจว่า นั่นคือจูบอย่างแน่นอน โทรศัพท์มือถือในกระเป๋าส่งเสียงดังว่ามีข้อความเข้า น่าแปลกที่คนส่งคือคนที่อยู่หลังประตูนี่ ทำไมถึงไม่ออกมาพูดกันดีๆ จะส่งข้อความทำไมให้เปลืองเงิน

    ฉันให้คำตอบแล้ว เพราะงั้นกลับบ้านไปได้แล้ว ไอ้บ้า !!!

    หากจูบเมื่อครู่คือการแก้แค้นคืน อาโอมิเนะถือว่า นั่นเป็นกำไรเสียมากกว่า ถึงวันนี้จะมีเรื่องราวไม่ค่อยดีเกิดขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องที่ดีมากเช่นกัน เอสแห่งโทโอล้วงเข้าไปในกระเป๋า สัมผัสกุญแจสีเงินที่อยู่ภายใน หากจะลองใช้มันเปิดเข้าไปเพื่อแกล้งแหย่ ก็คงสนุกไม่น้อย แต่ไม่เอาดีกว่า

    เก็บเอาไว้ก่อน...แล้วค่อยรวบยอดคิดบัญชีทีเดียว...

    ถึงวันนี้โชคชะตาจะมอบเรื่องราวที่โศกเศร้าและโหดร้าย แต่ก็ไม่ได้ละทิ้งให้มนุษย์ต้องต่อสู้เพียงลำพัง ท่ามกลางเส้นทางอันมืดมิด เพื่อมิให้มนุษย์ท้อแท้และสิ้นหวัง โชคชะตาได้มอบสิ่งที่สร้างความอบอุ่นแก่หัวใจมาให้ เพื่อช่วยให้มนุษย์สามารถต่อสู้ฝ่าฟัน ข้ามพ้นเรื่องราวที่เจ็บปวดไปได้

    โกโก้ร้อนในแก้วนั้น...อบอุ่น...

    กุญแจสีเงินในกระเป๋านั้น...อบอุ่น...

    สัมผัสจากมือนายนั้น...อบอุ่น...

     

    ...ขอบคุณโชคชะตาที่นำพานายมาให้ฉัน....คากามิ...

    ++++++++++

    แถมท้าย

     

    มันเป็นยามเย็นที่คากามิเลิกจากการซ้อมของทีม แล้วมุ่งตรงกลับบ้านเลยทันที โดยไม่แวะซื้อหรือกินอะไรก่อน ตอนที่เขาไขกุญแจแล้วเปิดประตูเข้าไป ก็นึกแปลกใจว่า ตอนเช้าเขาลืมปิดไฟก่อนออกจากบ้านหรือเนี่ย

    “ไง”

    คำทักทายของคนที่นอนเอกเขนกอยู่ตรงห้องนั่งเล่น พร้อมกับนั่งกินขนมไปด้วย คากามิจ้องมองภาพบนโทรทัศน์ที่มีสาวน้อยอกสะบึมกำลังส่ายเอวส่ายสะโพกไปตามจังหวะเสียงเพลง แล้วหันไปมองหน้าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น

    “เอากุญแจคืนมาเลย !!!

    ++++++++++

     

    สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน ขอโทษที่หายไปนาน อย่างที่บอกไปในคอมเมนต์ งานท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เลยไม่ค่อยได้เขียน
    (ส่วนฟิคขัดตาทัพนั่นเขียนง่ายค่ะ เขียนยังไม่ถึงวันเลย เพราะไม่ได้เกลาภาษา)
    ตอนนี้ที่จริงตามพล็อตที่ร่างไว้ไม่มีค่ะ แต่เพื่อความสมบูรณ์ของเนื้อหาก็เลยใส่เข้ามา กะว่าจะเอาไม่ยาวมากประมาณ 10 หน้า
    ไปๆมาๆ ยาวเกือบจะ 20 หน้า (ที่จริง 19 หน้า) OTL เลยแอบหวั่นใจว่า ตอนต่อไปมันจะยาวแค่ไหน
    สงสารคนอ่านที่มาหลงอ่านฟิคของคนที่เขียนช้าเป็นเต่าคลาน แถมตอนเกลาภาษาก็ยิ่งช้า (ซึ่งไม่รู้เกลาแล้วช่วยไหม ฮา)

    ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่ยังตามอ่านกันมา จนถึงตอนที่ 2 ไม่รู้ว่า ฝีมือห่วยลงจากตอนที่ 1 ไหม ยังไงก็คอมเมนต์วิจารณ์กันได้ค่ะ ไม่โกรธ
    (แต่อย่าถึงกับด่ากันแล้วกันค่ะ มันน่ากลัวเกินไป)
    ที่จริงรู้สึกดีใจมากเลยนะคะที่มีคนอ่านเยอะขนาดนี้ เหนือความคาดหมาย เพราะปกติเราแต่งคู่แรร์
    ก็เลยพยายามจะเขียน อัพให้เร็วที่สุด ที่จริงเริ่มเขียนตอน 2 ตั้งแต่มีคนเมนต์ครบ 5 คนแล้ว แต่เขียนไม่รอด ไม่เสร็จซะที

    ขอนิดนึงค่ะ ตอน 1 ว่าจะไปอัพอะไรเพิ่ม ถ้าใครได้อ่านตรงนี้
    ก็อย่าลืมลองกลับไปดูข้างท้ายสุดนะคะ
    มันคือตอนแถมท้ายที่ตัดออก แต่เพื่อนบอกว่า ใส่เข้าไปเถอะ ฮาดี ก็เลยว่าจะใส่ค่ะ


    สุดท้ายนี้ ขออนุญาตตอบคอมเมนต์ ท่านผู้อ่านนะคะ (เป็นความชอบส่วนตัวเลยค่ะ)
    Hima : ขอบคุณสำหรับกำลังใจค่ะ เป็นคอมเมนต์แรกที่ทำให้คนเขียนฮึดขึ้นมาเลยล่ะค่ะ จากนี้ก็จะพยายามนะคะ
    รอยเปื้อน : ขอบคุณที่ชมเรื่องการบรรยายค่ะ ที่จริงรู้สึกฝีมืออ่อนด้อยอยู่ จะพยายามพัฒนาค่ะ
    himitanatsu : เห็นด้วยค่ะ คากามิเป็นตัวละครที่น่ารักเสมอ >///<
    dAllEn : คุโรโกะเป็นคิวปิดภาคมารค่ะ (หัวเราะ) คู่อื่นไม่มีค่ะ เราเป็นสาย AllxKagami จะมีหลงมาก็ คิเสะรุ่นพี่ ที่กำลังแอบเขียนอยู่
    I am ja : ขอบคุณนะคะที่ติดตามผลงาน เพราะหายากนี่แหละค่ะ เลยต้องเขียนเอง ที่จริงอยู่ในวัยที่ควรตั้งใจทำงานทำการได้แล้ว
    นาสเต้ : คนเขียนพยายามเขียนแล้วนะคะ ขอโทษทีที่ช้า ก็อยากให้มีคนเขียนฟิคคู่นี้ให้อ่านเยอะๆเหมือนกันค่ะ
    Razeo : ดีใจที่ได้เพื่อนร่วมอุดมการณ์ค่ะ เราเป็นพวกชอบคู่แรร์ในไทย แต่ในยุ่นคู่ที่ชอบก็ไม่แรร์มากนะคะ
    Blue anemone : งั้นเรามาจัดตั้งชนกลุ่มน้อย (?) ผู้ชอบคู่แรร์ดีไหมคะ
    Alias : ขอบคุณคนอ่านเช่นกันค่ะ ที่เมนต์ให้มีกำลังใจเขียน
    Slowdrive : ตอนนี้ไม่รู้อาโอมิเนะยังรุกได้ดีไหม ^^" เพราะทำเรื่องงี่เง่าไปหลายเหมือนกัน
    AoKaga FC : ขอให้อยู่เป็นกำลังใจกันนานๆ จนจบซีรี่ย์นี่นะคะ
    Kretis : อัพไวที่สุดเท่าที่ชีวิตจะอำนวยแล้วค่ะ OTL ขอโทษจริงๆที่ทำให้รอ
    hnee : งัดธงขึ้นมาโบกเป็นเพื่อน คู่ฟ้าไฟจงเจริญ


    ยังไงซะ เกณฑ์ส่วนบุคคลของเราคือ ถ้าเราเจอ 5 คอมเมนต์(ของแต่ละตอน)จะเริ่มเขียนตอนต่อไปค่ะ (เริ่มเขียนนะคะ ไม่รู้เสร็จเมื่อไหร่)
    แต่มีข้อยกเว้น ถ้าพีคขึ้นก็จะเขียนทันที 555+ ที่เหลือก็แล้วแต่งานจะอำนวยค่ะ ยังไงก็จะพยายามนะคะ
    ขอให้ทุกท่านได้โปรดคอมเมนต์เป็นกำลังใจเช่นเคยนะคะ อยู่ด้วยกันจนจบซีรี่ย์นะคะ

    ปล. ที่จริงมีโปรเจคอยากเขียน Allkagami ถ้าพับไว้ก่อนแล้วกัน เดี๋ยวไม่มีเวลาเขียนอันนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×