ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [KnB fic] Color of Fate (AoKaga)

    ลำดับตอนที่ #1 : Silver fate : Silver Ring

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.53K
      13
      28 เม.ย. 56

    Title: Silver Ring
    Author: Monochrome bird
    Category:  Drama (มั้ง?)

    Pairing: อาโอมิเนะ x คากามิ
    Rating: PG-13
    Disclaimer: ทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นของอาจารย์ฟูจิมากิค่ะ พวกเราแค่ยืมมาจิ้นเล่นเท่านั้น
    Author notes: เรื่องนี้มีอาถรรพ์ ไฟล์เสีย ไวรัสกินไปหลายครั้ง สำเร็จได้ด้วยแรงรักคากามินนะเนี่ย


    +++++++

    คุณเชื่อเรื่องของโชคชะตาหรือเปล่า
    ??

    วันนี้เป็นวันที่อากาศแจ่มใส เหมาะแก่การออกมาเล่นกีฬากลางแจ้ง แต่ถึงฟ้าจะครึ้ม หรือแดดจะร้อนสักแค่ไหน หากไม่ใช่ฝนตกหรือหิมะลงหนัก ก็จะเห็นเอสของโทโอและเซย์รินออกมาเล่นบาสด้วยกันเสมอ แข่งกันจนกว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะหมดแรง

    บ้าชะมัด

    นั่นคือคำสบถประจำตัวของชายหนุ่มผมแดง เมื่อเจ้าลูกกลมๆสีส้มลอดลงห่วงไปอย่างสวยงาม ส่วนคนที่เพิ่งทำสามแต้มไปหมาดๆก็เพียงแต่ยืนยิ้มกว้างอย่างสบายอารมณ์

    อะไรแค่นี้ก็เหนื่อยแล้วเหรอ

    ถึงจะบอกว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดแรงก็เถอะ แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่มีเคยมีครั้งไหนที่ชายหนุ่มผิวสีเข้มจะเล่นบาสเสียจนเหนื่อยหอบ ผิดกับอีกคนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังยืนหอบหายใจ จากการออกแรงอย่างต่อเนื่องยาวนาน พอเห็นภาพแบบนี้แล้ว ไม่ว่าใครก็คงต้องนึกสงสัยขึ้นมาสักครั้งว่า อาโอมิเนะ ไดคิแห่งโทโอนั้น ใช่มนุษย์จริงหรือเปล่า ทั้งกำลังกายที่ผ่านการขัดเกลาจนอยู่เหนือระดับคนธรรมดา และเทคนิคที่ไม่อาจใช้สามัญสำนึกธรรมดาคาดเดาได้

    อีกครั้ง...มาแข่ง...กัน...อีกครั้ง...

    แม้ร่างกายจะเหนื่อยล้า ขนาดพูดก็ยังขาดช่วงจากการหอบหายใจ แต่คากามิก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้ นั่นเป็นทั้งความดื้อดึงและบ้าบิ่นอย่างไร้เหตุผล แต่ก็เป็นสิ่งที่ถูกใจอาโอมิเนะยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

    ตอนนี้ ถึงแข่งไป...ก็น่าเบื่อ

    ปากพูดไปอย่างนั้น แต่แท้ที่จริงนึกห่วงสภาพร่างกายของอีกฝ่าย ขนาดจะยืนให้มั่นคงยังทำได้ยากเลย แล้วอย่างนี้จะเอาแรงที่ไหนมาเอาชนะได้ ทั้งที่เป็นนักกีฬาแท้ๆ แต่กลับไม่รู้จักดูแลร่างกายของตัวเอง ถ้าไม่เรียกว่าบ้าแล้วควรจะเรียกว่า อะไร ?

    หิวน้ำ จะไปซื้อแป๊บนึง เดี๋ยวกลับมา

    อาโอมิเนะเดินไปทันที โดยไม่รอฟังคำตอบ เพราะรู้จักความดื้อดึงของอีกฝ่ายดี เป็นนิสัยที่จนตายก็คงแก้ไม่หาย หวังว่า คงไม่โง่ขนาดซ้อมบาสต่อ ทั้งที่เหนื่อยแทบตายนะ เวลาเหนื่อย ก็ยอมรับสิวะ ว่าเหนื่อย ง่ายๆแค่นี้ทำไมไม่เข้าใจ

    พอกลับมาอีกหน คนที่เขาคิดว่าจะให้นั่งพักสักครู่ กลับนอนหลับไปเสียนี่ คงเพราะวันนี้อากาศไม่ร้อนจัด มีสายลมเย็นๆพัดผ่านมา ถึงได้หลับสนิทขนาดที่เขาย่อตัวลงมาใกล้ๆ ยังไม่รู้สึกตัวเลย 

    อาโอมิเนะจ้องมองใบหน้าของคนที่กำลังหลับสนิท อาจจะเป็นเรื่องที่น่าขำ หากพูดว่าคนอย่างเขาเชื่อในเรื่องของโชคชะตา ในยามที่ชีวิตนั้นเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง บาสเก็ตบอลกลายเป็นสิ่งน่าเบื่อหน่าย ที่ยังเล่นอยู่ก็เพราะมันสำคัญเกินกว่าจะตัดใจทิ้งไปได้ แต่พอคนคนนี้ก้าวเข้ามา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป เหมือนดวงไฟเล็กๆถูกจุดขึ้น ทำให้หนทางที่เคยมืดมิด ค่อยๆสว่างไสว ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ครั้งหนึ่งเคยลืมเลือนไป การทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างให้กับการฝึกซ้อม เพราะอยากจะเก่งขึ้นกว่านี้

    ...ทั้งหมดก็เพื่อ...จะไม่แพ้คนคนนี้...

    กระป๋องน้ำเย็นๆที่เพิ่งซื้อมาถูกวางแนบกับใบหน้า คนที่กำลังหลับเพลินๆสะดุ้ง ลุกพรวดขึ้นมา ท่าทางดูเหมือนจะอารมณ์เสียมากพอดู แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่คว้ากระป๋องน้ำตรงหน้ามาเปิดออกแล้วดื่มเข้าไปรวดเดียวจนหมด ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรต่อจากนั้น ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เจ้าของมือถือเดินไปควานหาต้นเสียงในกระเป๋าแล้วกดรับสาย หลังจากการสนทนาสั้นๆผ่านไป สรุปใจความสำคัญ ได้ว่า ทีมเซย์รินเรียกรวมพลกันที่โรงยิม หากไม่ไปภายในสิบนาที ไม่รู้ว่าจะเจอการลงโทษยังไงบ้าง

    แล้วเจอกันอาทิตย์หน้า

    คำพูดที่ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง กลับมีความหมาย เมื่อมันออกมาจากปากของใครคนหนึ่ง ราวกับถ้อยคำมีเวทมนต์ที่ผูกมัดตัวเขาด้วยสัญญา สลักจารึกความรู้สึกแห่งช่วงเวลานี้เอาไว้ในหัวใจ ทำให้เขาเฝ้านับวันรอคอยว่า เมื่อไหร่วันอาทิตย์จะเวียนมาถึงอีกครั้ง

    อาโอมิเนะมองตามร่างที่เดินห่างออกไป บางสิ่งบางอย่างแกว่งไกวไปตามจังหวะการเดิน วัตถุสีเงินที่สะท้อนประกายแดด แสงวิบวับของมัน ดูทีไรก็ชวนให้หงุดหงิดใจทุกที สิ่งนั้นคือแหวนที่คากามิใส่ติดตัวอยู่ตลอดเวลา เห็นถอดออกก็แค่ตอนเล่นบาสเก็ตบอลเท่านั้น ดูท่าทางจะเป็นของสำคัญ เพราะแทบไม่เอาไว้ห่างตัวเลยสักครั้ง

    อยากจะเอ่ยถามออกไปว่า..นั่นแหวนของใคร...แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังล่วงล้ำเข้าไปยังอาณาเขตส่วนตัว ซึ่งเป็นที่หวงห้าม สุดท้ายจึงต้องตัดใจกล้ำกลืนคำถามนั้นลงไป พยายามบอกตัวเองว่า มันก็แค่แหวนธรรมดาวงหนึ่ง ไม่เห็นจะต้องไปสงสัยอะไรให้มันวุ่นวาย เรื่องของคนอื่น ชีวิตของคนอื่น แค่เล่นบาสให้สนุกเท่านั้นก็พอแล้ว

    ...เรื่องแหวนนั่น...อย่าไปสนใจ...

    ++++++++++

     แหวนของคากามิคุงเหรอครับ ?”

    บางครั้งสิ่งที่อยากให้ตัวเองทำ กับสิ่งที่ทำลงไป ก็แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงสมองจะรับรู้ว่า ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของคนอื่น แต่ก็ไม่สามารถทนต่อความอยากรู้ของตัวเองได้ ฉะนั้นถึงจะไม่ถามกับเจ้าตัว ก็ใช่ว่าอาโอมิเนะจะไม่ถามกับคนอื่น แน่นอนว่า คุโรโกะคือเป้าหมายอันดับหนึ่ง

    แล้วทำไมถึงไม่ไปถามกับเจ้าตัวเองล่ะครับ

    คุโรโกะก็ยังเป็นคุโรโกะอยู่วันยังค่ำ ตามปกติก็ไม่ใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว มีหรือที่จะเที่ยวไปพูดเรื่องของคนอื่น ถ้าลองตอบมาแบบนี้ ก็คงต้องรู้คำตอบอยู่แล้วแน่ๆ เพียงแต่ไม่ยอมพูดออกมา

    ถ้าถามกับเจ้าตัวได้...คงไม่มาถามกับนายให้เสียเวลาหรอก...

    สำหรับคนอย่างอาโอมิเนะ ไดคิที่ชอบทำ ไม่ชอบพูด ดังนั้นจะให้อธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดนั้น เป็นเรื่องยากพอดู แต่ถึงอย่างนั้นเอสแห่งโทโอก็ยังพยายาม เพียงเพื่ออยากจะรู้คำตอบของสิ่งที่ตัวเองเฝ้าสงสัย

    คุโรโกะนิ่งเงียบไปนาน จนเหมือนกับสายหลุด บางทีอดีตเงาของเขา อาจจะใช้ความสามารถเฉพาะตัว แอบวางโทรศัพท์ไปโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ได้ ในขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น เสียงเรียบเฉยที่คุ้นเคยนั่นก็ตอบกลับมา

    คนอย่างอาโอมิเนะคุง เกรงใจคนอื่นเป็นด้วยหรือครับ

    ฟังดูแล้ว ใครไม่โง่ก็คงรู้ว่า กำลังถูกด่าทั้งทางตรงและทางอ้อม ถ้าเป็นคนอื่นอาโอมิเนะต้องโกรธแน่นอน แต่นี่เป็นคุโรโกะ คงเพราะคบกันมานานพอสมควร จนเข้าใจดีว่า การพูดแบบนั้นเป็นนิสัยเฉพาะตัว ไม่มีพิษมีภัยอะไร

    นายเห็นฉันเป็นคนยังไงเนี่ย

    เป็นคนที่โทรมาหาผมตอนเลยเที่ยงคืนไปแล้วน่ะสิครับ

    พอเจอคนพูดตรงไปตรงมา คนที่สะกดคำว่า เกรงใจไม่ค่อยเป็น อย่างอาโอมิเนะ ก็ต้องเงียบไปเหมือนกัน ในชีวิตของเขาไม่เคยหยุดวิ่งไปข้างหน้า เพียงเพราะมานั่งสนใจว่า คนรอบข้างจะคิดอย่างไร หากต้องการอะไรแล้ว ก็ต้องคว้าเอามาไว้ในมือให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว คนที่ยังเหลืออยู่ข้างๆคือคนที่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเขาได้ เป็นเพื่อนที่แท้จริง

    ...แล้วทำไมกับคากามิ..ถึงได้ต่างออกไป...

    เหมือนบางอย่างในสมองหมุนล็อกเข้าตรงตำแหน่ง คำถามนั้น เขารู้คำตอบดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เคยสนใจและนั่นก็คือเหตุผลของความรู้สึกหงุดหงิดที่เกิดขึ้น และความสงสัยที่ไม่มีจุดสิ้นสุด

    อาโอมิเนะคุง ?”

    เข้าใจแล้วล่ะ เท็ตสึ

    พอได้คำตอบ ภาพทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น ทั้งเหตุผลที่เขามักยุ่งวุ่นวายกับคากามิ เที่ยวตามตื้อลากตัวไปเล่นบาสด้วยกันให้ได้ ทั้งสาเหตุที่ไม่กล้าถามเรื่องแหวน เพราะเกรงว่า หากล้ำเส้นมากเกินไป ความสัมพันธ์ทั้งหมดจะสิ้นสุดลง

     บอกสักนิดได้ไหม...ว่านั่นเป็นแหวนของใคร...

    คนเรานั้น ย่อมอยากจะรู้เรื่องของคนที่ตัวเองชอบ แม้อาโอมิเนะ ไดคิ จะมีพรสวรรค์ในการเล่นบาสเก็ตบอลที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็เป็นเพียงคนธรรมดาในเรื่องการปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์โลกคนอื่น ไม่สิ ควรจะบอกว่า ความสามารถในการปฏิสัมพันธ์อยู่ในขั้นเลวร้ายมากกว่า ฉะนั้นการที่คนซึ่งยึดตัวเองเป็นศูนย์กลางโลกอย่างอาโอมิเนะนั้น ลงทุนเอ่ยปากขอร้องอะไรสักอย่าง แถมยังมีใจเป็นห่วงความรู้สึกของคากามิ ยอมเก็บงำความสงสัย เพียงเพราะกลัวการสูญเสียคนคนหนึ่ง นับว่าเป็นความรู้สึกที่แสนพิเศษ คุโรโกะคิดอย่างนั้น จึงได้ยอมบอกออกไป

    เป็นแหวนที่สำคัญมากของคากามิคุงครับ

    แค่นั้นฉันรู้หรอกน่า

    แหวนนั่น...คากามิคุงบอกว่า...

    อาโอมิเนะรู้สึกว่า ตัวเองกลั้นหายใจขณะที่รอคำตอบ เป็นความรู้สึกอันแสนแปลกประหลาด ขนาดก่อนแข่งขันยังไม่รู้สึกตื่นเต้นเท่านี้ เหมือนกำลังลุ้นผลของการพนันที่ได้ทุ่มเงินไปเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่รวยเละ ก็คงเสียหมดตัว

    คนที่สำคัญมากให้มาครับ

    ในตอนที่คากามิคุงยังอยู่อเมริกา

    เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ในยามที่ห่างไกลกัน

    ใครๆก็รู้ว่า แหวนนั้นเป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความผูกพันและการแสดงความเป็นเจ้าของอีกฝ่าย คนที่พกแหวนติดตัวตลอดเวลานั้น คือคนที่มั่นคงในความรัก มีความผูกพันล้ำลึกต่อคนรักของตัวเอง ถึงจะรู้อยู่แล้ว่า แหวนนั้นมีความหมายเช่นใด แต่เมื่อสิ่งนั้นกลายมาเป็นความจริง มันกลับรู้สึกต่างจากที่คิดเอาไว้มาก ไม่ได้เจ็บปวด ไม่ได้ทรมาน แค่เหมือนมีหนามเล็กๆคอยสะกิดให้รู้สึกรำคาญ

    เข้าใจล่ะ แค่นี้นะ เท็ตสึ

    ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายที่อาโอมิเนะไม่รู้ว่า คนที่กำลังคุยด้วยนั้น ไม่ได้อยู่คนเดียว

    คุโรโกะจ้องมองโทรศัพท์มือถือที่ถูกตัดสายไปแล้ว พร้อมกับทีมเซย์รินทั้งทีม ซึ่งแทบจะปล่อยขำก๊ากออกมาทันที หลังจากอาโอมิเนะวางสายไปแล้ว เป็นเรื่องบังเอิญอย่างประหลาดที่วันนี้ทีมเซย์รินมานอนค้างกันที่บ้านคากามิ แถมยังบังเอิญมากขึ้นไปอีกที่เจ้าของบ้าน ดันติดภารกิจฉุกเฉินของที่บ้าน เลยวิ่งออกไปรับใครสักคนที่สนามบินซึ่งจะมาถึงญี่ปุ่นตอนตีหนึ่งครึ่ง กลายเป็นว่า เรื่องราวของอาโอมิเนะนั้น เลยเป็นที่รู้กันทั้งเซย์ริน ยกเว้น เจ้าตัวคนที่ถูกพูดถึง

    ใครจะไปคิดว่า อาโอมิเนะคนนั้น จะมีความรักกับเขาได้ แถมยังเป็นคากามิของเราอีก

    ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะนะครับ

    คุโรโกะห้ามปรามด้วยเสียงเรียบเฉย แต่ทุกคนกลับรู้สึกว่ามีออร่าดำทะมึนแผ่พุ่งออกมาจากทางด้านหลัง จนต้องหยุดหัวเราะกันในทันที

    ว่าแต่ คุโรโกะ จะดีเหรอที่พูดแบบนั้นออกไป

    สายสัมพันธ์ของคากามิและฮิมุโระนั้นคือ พี่น้องซึ่งผูกพันกันด้วยการเล่นบาส แต่หลังจากได้รับการท้าท้าย ถูกวางเดิมพันการแพ้ชนะด้วยความเป็นพี่น้อง ผ่านเหตุการณ์ที่บาดลึกลงไปในความรู้สึก สายสัมพันธ์นั้นจึงสั่นคลอนอย่างน่ากลัว แหวนเป็นสิ่งเชื่อมโยงอย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ และเป็นรูปธรรมที่สุด ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่คากามิพกมันติดตัวอยู่ตลอดเวลา

    สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน เมื่อได้ฟังคำพูดของคุโรโกะคงจะเข้าใจผิดไปว่า แหวนนั้นคากามิได้มาจากคนรัก เป็นคนที่รักมาก และเป็นความรักที่ห่างไกล อาจจะไกลถึงขั้นที่อีกฝ่ายอยู่บนสวรรค์แล้วก็เป็นได้

    ตั้งใจน่ะครับ ไม่อย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่ก้าวหน้าเสียที

    ทีนี้ก็ขึ้นกับอาโอมิเนะคุงแล้วล่ะครับว่า จะสู้หรือจะหนี

    ทุกคนมองหน้าอันนิ่งเฉยของคุโรโกะกันเป็นตาเดียว จนเจ้าตัวเริ่มสงสัยว่า ทำไมถึงต้องจ้องเขม็งกันขนาดนี้ แล้วกัปตันก็วางมือลงบนหัว ขยี้ผมแรงๆจนรู้สึกเจ็บนิดๆ

    งั้นก็มาช่วยกันลุ้นให้ความรักของสองคนนั้น

    ไปกันได้ดีแล้วกันนะ

    ++++++++++

    เช้าวันอาทิตย์นี้เป็นวันแรกที่อาโอมิเนะภาวนาให้ฝนตก แต่แน่นอนว่า คำอธิษฐานของคนที่ไปศาลเจ้าปีละหนึ่งครั้งอย่างเขา ไม่มีทางสัมฤทธิ์ผลง่ายๆ ท้องฟ้าวันนี้จึงสว่างสดใส ไร้เมฆบดบัง และไร้ข้ออ้างของการไม่ไปตามนัด

    เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาจัดการกับความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ สมองเต็มไปด้วยความลังเลสับสนจนรู้สึกอยากหนีหน้า แต่หากไม่ไป ก็กลัวว่าคำสัญญานั้นจะสิ้นสุดลง และสูญเสียความสัมพันธ์นี้ไป

    สุดท้ายก็ตัดสินใจออกจากบ้านตอนสายโด่ คากามิจึงมาถึงก่อนตามที่คาดไว้ ชายหนุ่มผมแดงกำลังเลี้ยงลูกไปมาในสนาม เหมือนวอร์มร่างกาย แหวนสีเงินวาวนั้นไม่ได้ถูกถอดออก คงเพราะเจ้าตัวไม่ได้คิดเล่นจริงจังอะไร แต่แสงแวววับของมันสะท้อนเข้ามาในตาเขา ราวกับกำลังท้าทายให้เขาลงไปในสนาม

    งั้นมาลองดูกันสักตั้ง...

    ไม่มีการเอ่ยทักทายหรือว่าส่งเสียงเรียก อาโอมิเนะทิ้งกระเป๋าลงบนพื้น ก่อนจะพุ่งตัวเข้าไปแย่งลูกมา แล้วชู้ตสามคะแนนอย่างรวดเร็ว คงเพราะไม่ทันระวังตัว แต้มนี้จึงได้มาอย่างง่ายดาย

    วันนี้มาช้านะ

    แสดงว่ากำลังตั้งอกตั้งใจรอฉันอยู่สินะ

    รอสิ ก็นัดกันไว้แล้วนี่

    ที่จริงพูดแบบนั้นออกไป เพราะต้องการยั่วโมโหเล่น แต่คำตอบที่ได้กลับมานั้น ทำให้ในใจรู้สึกแปลกๆ จะเรียกว่าความยินดีก็คงจะได้ เพราะเป็นครั้งแรกที่เขารู้ว่า คนที่ยึดมั่นในคำพูดเพียงไม่กี่คำ คนที่เห็นว่าสิ่งนั้นคือคำสัญญา ไม่ได้มีเพียงเขาคนเดียว

    ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น คากามิก็พยายามถอดสร้อยออก เพื่อเตรียมตัวจะเล่นหนึ่งต่อหนึ่งกับเอสของโทโอ แต่ไม่รู้ด้วยความรีบร้อน หรือปีศาจตนใดมาแกล้ง สร้อยเส้นนั้นถึงได้ขาดคามือ เหมือนเวลารอบตัวหยุดนิ่ง มีเพียงแหวนที่ร้อยอยู่เท่านั้นที่เคลื่อนไหว มันร่วงหล่นลงกระทบพื้น ก่อนจะกลิ้งไปที่ถนนอย่างรวดเร็ว

    บ่อยครั้งที่คนเราด่าความโง่เง่าของตัวละครในทีวี เมื่อเห็นใครสักคนวิ่งไล่สิ่งของซึ่งกลิ้งไปทางถนน มันมักจะเป็นฉากที่ได้พิสูจน์ความรักหรือความสำคัญของใครบางคน เมื่อคนคนหนึ่งเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อปกป้องของสำคัญ หรือใครคนหนึ่งเอาชีวิตเข้าแลก เพื่อปกป้องคนโง่ที่กระโจนออกไป แต่ในชีวิตจริง ไม่ได้มีใครวิ่งออกไปกลางถนน เพราะอาโอมิเนะกระชากแขน รั้งตัวคากามิไม่ให้วิ่งออกไป

    มันไม่ใช่สัมผัสที่อ่อนโยน บอกได้เลยว่า จะต้องรู้สึกเจ็บจากการฉุดกระชากนั้น อย่างไรก็ตามคากามิไม่ได้ดิ้นรนขัดขืนหรือร้องตะโกนโวยวายแต่อย่างใด เหมือนเจ้าตัวรู้ดีว่า นั่นคือ ถนน การวิ่งตามไปในทีแรก เป็นแค่ปฏิกิริยาตอบโต้ตามธรรมชาติเท่านั้น 

    เฮ...

    ไม่ใช่แค่ไม่โวยวาย แต่ควรจะใช้คำว่า นิ่งไปเลยมากกว่า ในตอนนี้คากามิจ้องมองไปยังถนนตรงหน้าซึ่งรถมากมายวิ่งสวนกันไปมา พอถึงจังหวะถนนว่างกลับไร้วี่แววของแหวน บางทีอาจกลิ้งไปยังอีกฟากหนึ่งของถนน หรืออาจติดไปกับรถสักคัน ไม่ก็ถูกบี้แบนจนเละ ไม่เหลือสภาพเดิมให้เห็น

    คากามิ...

    ถึงจะเอ่ยปากเรียกชื่อ แต่อีกฝ่ายก็ยังคงนิ่ง ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ สายตานั้นว่างเปล่า เหมือนว่าอะไรบางอย่างในตัวนั้นร่วงหล่นและกลิ้งหายไปพร้อมกับแหวนวงนั้น

    สำหรับอาโอมิเนะแล้ว สถานการณ์นี้เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจ เพราะตั้งแต่เกิดมา เจ้าตัวยังไม่เคยสูญเสียสิ่งสำคัญเลยสักครั้ง ถ้าจะพูดกันตงๆ มีแต่ตัวเขาเองนั่นแหละที่ตัดสินใจทิ้งขว้างมันไปอย่างไม่ใยดี

    โธ่เว้ย งั้นไปหากัน

    ฟังดูคล้ายจะเป็นคำพูดตัดรำคาญ แต่ที่จริงในใจของอาโอมิเนะนึกเป็นห่วง ใบหน้าที่เคยแสดงอารมณ์หลากหลาย โกรธบ้าง ยิ้มบ้าง หงุดหงิดบ้าง ร่าเริงบ้าง แต่ทั้งหมดที่แสดงออกนั้นคือตัวตนที่เหมือนกับแสงสว่างของคากามิ ในยามนี้เขามองไม่เห็นแสงนั้นเลยสักนิด เหมือนเหลือเพียงความว่างเปล่าที่อยู่ในร่างกายนั้น

    ความเป็นห่วงค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อชายหนุ่มผมแดงหันหน้ามาทางเขาอย่างๆช้า ริมฝีปากขยับยิ้มบางๆ เป็นรอยยิ้มที่เห็นแล้ว ความหงุดหงิดพุ่งปรี๊ดอย่างไม่อาจควบคุมได้ เพราะเขารู้จักรอยยิ้มกว้างเวลาที่มีความสุขของคนตรงหน้าดี จึงยิ่งหงุดหงิดยามเมื่อเห็นรอยยิ้มที่ปั้นแต่งขึ้นอย่างสุดความสามารถ

    ช่างมันเถอะ

    ช่างมันได้ยังไง ของสำคัญไม่ใช่เรอะ

    อาโอมิเนะเห็นอีกฝ่ายกัดริมฝีปากตัวเอง แล้วก้มหน้ามองพื้น วูบนึงเขาคิดว่าจะได้เห็นหยดน้ำตาใสๆร่วงหล่น แต่กลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเวลารอบตัวไหลไปอย่างเฉื่อยชา ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ยืนนิ่งกันอยู่อย่างนั้น

    ช่างมันเถอะ...

    คงเป็นโชคชะตา...เพราะฉันเคยตัดสินใจทิ้งมันไปแล้วครั้งหนึ่ง...

     เพราะงั้น...ช่างมันเถอะ...

    ++++++++++

    คากามิทิ้งตัวลงบนโซฟาภายในห้อง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมายปะปนกัน แหวนวงนั้นอัดแน่นไปด้วยความทรงจำในวัยเยาว์ที่แสนล้ำค่า ช่วงเวลาอันแสนสุข แต่ในขณะเดียวกัน มันก็หนักอึ้งไปด้วยความผิดที่เกิดจากความโง่เขลาของตัวเองเช่นกัน จึงยากจะบอกได้ว่า กำลังเสียใจ โล่งใจ หรือรู้สึกอย่างไรกันแน่

    คากามิเผลอยกมือไปแตะบริเวณที่แหวนเคยอยู่ การที่ตอนนี้มันว่างเปล่า เหมือนตอกย้ำความจริงว่า เขาได้สูญเสียอะไรบางอย่างไปแล้ว บางอย่างที่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มันคืออะไร รู้แต่เพียงว่า ตอนนี้เหมือนหัวใจมีรูกลวงโบ๋ขนาดใหญ่ จากการที่สิ่งนั้นขาดหายไป ที่จริงแหวนนั่น ก็เป็นเพียงแค่วัตถุชิ้นหนึ่ง แถมไม่ใช่ของมีราคา

    ...ก็เป็นแค่แหวนถูกๆวงหนึ่ง...ไม่ใช่หรือ...

    คากามิเดินไปยังห้องครัวแล้วเริ่มทำกับข้าว ไม่ใช่เพราะรู้สึกหิวหรือถึงเวลาอาหาร แต่เพราะอยากลงมือทำอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวเองสามารถสลัดความคิดฟุ้งซ่านออกจากหัวได้  แม้จะทำเป็นเพิกเฉยต่อสิ่งที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในใจ พยายามรวบรวมสมาธิเพื่อจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่ก็ไม่สำเร็จ

    ในหัวย้อนคิดถึงช่วงเวลาที่ได้รับแหวนมา ช่วงเวลาที่ต้องแยกจากกันด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งถึงครั้งที่เขาขอให้คุโรโกะโยนแหวนนั่นทิ้งไปซะ เพราะเขาเลือกอนาคตกับทีมเซย์ริน มากกว่าอดีตของความเป็นพี่น้อง

    โอ๊ย

    ความฟุ้งซ่านนั้นนำมาซึ่งอุบัติเหตุเสมอ คากามิมองนิ้วตัวเองที่ถูกหั่นเป็นแผลลึก เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากปากแผลจนเปื้อนบริเวณฝ่ามือ แต่ความเจ็บปวดเพียงแค่นั้น คงไม่อาจเทียบได้กับความรู้สึกหนักอึ้งที่อยู่ในหัวใจ

    เพราะเคยตัดสินใจทิ้งขว้างไปแล้วครั้งหนึ่ง...

    จึงไม่มีวัน...จะได้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์...

    ++++++++++

    อยู่ไหน...อยู่ไหน...ไอ้แหวนบ้านั่นอยู่ไหน !!

     

    นี่ก็เป็นครั้งแรกในชีวิตที่อาโอมิเนะตั้งใจหาอะไรสักอย่าง คงเพราะไม่เคยมีของสำคัญจนต้องลงทุนลงแรงตามหา ขนาดยัยซัทสึกิร้องไห้ เพราะตุ๊กตาแสนรักหายไป เขายังหาไปส่งๆ เพราะต้องการตัดความรำคาญ

    แต่ครั้งนี้ต่างออกไปอย่างชัดเจน เขาอยากเจอแหวน อยากจะเอามันไปยัดใส่มือของคนที่ทำหน้าเหมือนโลกทั้งใบล่มสลาย เพียงเพราะแหวนวงเดียวหายไป ทั้งที่ใจจริงอยากจะพูดอะไรแรงๆออกไป เตือนให้ได้สติว่า มันก็เป็นแค่แหวนวงหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ได้แต่นิ่งเงียบ แล้วก็แยกย้ายกันไป โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ

    ความรู้สึกที่บิดมวนอยู่ในท้องนี่ คงเป็นเพราะต้องมานั่งหาของที่ตัวเองเกลียดแสนเกลียด หากหาเจอ ก็ต้องมานั่งทนดูแสงวิบวับของมันอีกครั้ง แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังภาวนาจากใจจริงว่า ขอให้หามันเจอ

    ตลอดแนวกำแพง ต่อไปจนถึงถนน เขาก้มๆเงยๆมองหาวัตถุสีเงิน มันเหมือนการกระทำของคนโง่ ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่มีทางทำเด็ดขาด แล้วตอนนี้อะไรในตัวเขาที่เปลี่ยนแปลงไป เพียงแค่เห็นรอยยิ้มเสแสร้งที่น่าหงุดหงิดนั่น ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาทำเรื่องงี่เง่าได้อย่างง่ายดาย

    คงเป็นโชคชะตา...เพราะฉันเคยทิ้งขว้างมันไปแล้วครั้งหนึ่ง...

    คำพูดของคนคนนั้นแว่บขึ้นมาในหัว ใช่เลยขนาดเจ้าของยังตัดใจ เห็นว่าเป็นเรื่องของโชคชะตาแล้วฉันกำลังทำอะไรอยู่ หยุดทำเรื่องงี่เง่าพรรค์นี้ แล้วไปลากตัวหมอนั่นออกมาเล่นบาสด้วยกันสักสองสามรอบ เดี๋ยวก็หายซึม เพราะฉะนั้นหยุดทำเรื่องไร้ประโยชน์ได้แล้ว

    แต่ถึงกระนั้นอาโอมิเนะก็ยังหาต่อไป บางอย่างในตัวเขาบอกว่า รอยยิ้มของคากามิจะไม่กลับคืนมาง่ายๆ หากไม่มีแหวนนั่น นี่ก็คงเป็นการเล่นตลกของโชคชะตา ไม่อย่างนั้นทำไมคนอย่างเขาต้องมาหาของที่ตัวเองอยากให้หายไปมากที่สุด

    ทำอะไรอยู่เหรอครับ อาโอมิเนะคุง

    เงยหน้าขึ้นมา ก็เจออดีตเงาของเขายืนมองอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉยดังเช่นปกติ เป็นเรื่องน่าอายที่มีคนรู้จักมาเห็นตัวเองตอนกำลังทำเรื่องงี่เง่า แต่ถึงอย่างนั้นก็ยอมเล่าเรื่องราวทั้งหมดแต่โดยดี เพราะการโกหกนั้นมันยากยิ่งกว่า

    หายไปหรือครับ ?”

    ก็นะ...อย่างที่เล่า...

    แล้วหาดูหรือยังครับ

    คิดว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่ล่ะ?”

     

    คนที่สีหน้าแทบไม่เคยเปลี่ยนอย่างคุโรโกะ กลับดูเหมือนร้อนรนขึ้นมานิดๆ แสดงว่าแหวนนั่นคงเป็นของสำคัญมากจริงๆ เจ้าตัวมองไปรอบๆ เหมือนพิจารณาว่า มีตรงไหนที่แหวนแอบซ่อนอยู่ได้บ้าง แต่รอบๆก็มีแต่กำแพง ซอกมุมตึกก็แทบไม่มี ยังไงก็อดคิดไม่ได้ว่า มันคงถูกบี้แบนจนเละไปแล้ว

    เดี๋ยวผมจะไปหาทางนั้นนะครับ

    ตัดสินใจเสียเองเสร็จสรรพแบบไม่คิดจะถามความเห็นคนอื่น แต่ท่าทีตอนไปหาก็ดูตั้งอกตั้งใจเสียจนนึกหวั่นใจว่า หากหาไม่เจอขึ้นมา คากามิจะหมดอาลัยตายอยาก จนไปผูกคอตายหรือเปล่า แต่เอาเถอะ ตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหา

    โฮ่ง

    เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นตรงบริเวณเท้า สิ่งมีชีวิตขนปุยสีขาวดำกำลังยืนกระดิกหางอยู่ ดวงตาสีฟ้าสดใสของมันจ้องมองมาทางเขาอย่างกระตือรือร้น มีอะไรบางอย่างคาบอยู่ในปาก

    เฮ้ย !! นั่นมัน !!

    แหวนสีเงินที่แม้จะอยู่ท่ามกลางน้ำลายเหนียวหนืดก็ยังดูแวววับ แหวนที่เขาไม่มีทางจำผิดแน่ เพราะแค่เห็นก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ว่าแต่หมาตัวนี้ไปเก็บมาจากไหนกันนะ ?

     #2

    คุโรโกะวิ่งมาสมทบ เมื่อเห็นสมาชิกตัวน้อยประจำทีมเซย์ริน เจ้าหมาน้อยกระดิกหางทักทายคุโรโกะ แต่ยังไม่ปล่อยแหวนออกจากปาก แถมยังเอาขาหน้าไปสะกิดอาโอมิเนะ เหมือนต้องการเรียกร้องความสนใจ

    มันคงตั้งใจเอามาให้อาโอมิเนะคุงน่ะครับ

    เอ๋ ?”

    พอย่อตัวลงแล้วยื่นมือออกไปข้างหน้า เจ้าหมาน้อยก็คายแหวนที่อยู่ในปากลงไปบนมืออาโอมิเนะ ราวกับภารกิจทุกอย่างเสร็จสิ้น จากนั้นมันก็ไม่มีท่าทีสนใจอาโอมิเนะอีกเลย คิดแต่จะเล่นกับคุโรโกะเพียงอย่างเดียว

    ทำไมถึงเอามาให้ฉัน

    คงเป็นโชคชะตาล่ะมั้งครับ

    โชคชะตาเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือหลีกเลี่ยงได้ บางครั้งก็ไม่รู้ว่า ทำไมถึงได้ผูกพัน ทำไมถึงได้อยากใกล้ชิดกับคนคนนี้มากมายนัก ก็คิดได้เพียงว่า มันคงเป็นโชคชะตาที่ลิขิตมาแบบนั้น ถึงจะทำเป็นไม่รับรู้ ถึงจะทำเป็นมองไม่เห็น แต่สุดท้ายความรู้สึกก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป

    เอ้า ฝากไปคืนเจ้าของหน่อย

    ก็จัดการเองสิครับ

    ถ้าฉันโยนทิ้งไปล่ะ ?”

    ก็ตามใจครับ

    คุโรโกะอุ้มหมาน้อยขึ้น ก่อนจะเอ่ยคำบอกลาสั้นๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทิ้งให้อาโอมิเนะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับโชคชะตาสีเงินในมือ สิ่งที่สร้างความหงุดหงิดให้เขาครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่เขาเคยนึกอยากให้หายไปหลายต่อหลายครั้ง ในตอนนี้มันอยู่ในมือเขา หากสิ่งนี้คือสิ่งที่โชคชะตากำหนดมาจริงๆ แปลว่า

    ...มอบสิทธิในการตัดสินใจให้...เขา...

    ++++++++++

    อาโอมิเนะยืนอยู่ตรงหน้าประตู หลังจากกดกริ่งรัวๆหลายครั้ง ในมือกำแหวนสีเงินเอาไว้แน่น ราวกับกลัวว่ามันจะหล่นหายไปอีกครั้ง ไม่นานนักเจ้าของบ้านก็มาเปิดประตูด้วยสีหน้าเหม่อลอย แล้วค่อยๆเปลี่ยนเป็นแปลกใจเล็กน้อย เมื่อตระหนักได้ว่า คนที่ยืนอยู่หน้าบ้านเป็นใคร

    อาโอมิเนะ ?”

    มาเปิดสักทีนะ

    แม้จะใช้เวลาไม่ถึงสองนาที นับจากกดกริ่งครั้งแรก แต่ก็ยังไม่ทันใจเอสแห่งโทโอ ถ้าเป็นยามปกติคากามิคงโต้ตอบด้วยคำพูดอะไรบางอย่าง แต่วันนี้เจ้าตัวไม่ได้อยู่ในอารมณ์แบบนั้น ก็เลยเพียงแค่ยืนนิ่ง เหมือนจะรอฟังว่า ผู้มาเยือนมีธุระอะไรกันแน่

     เอ้า

    วัตถุโลหะสีเงินถูกยัดลงไปในมือ ตอนแรกเจ้าตัวนึกสงสัยว่า นั่นคืออะไร แต่พอแบมือออกดู ให้เห็นชัดกับตาตัวเอง ความรู้สึกหลายอย่างก็ท่วมท้นขึ้นมาในใจ มันยากจะอธิบายว่า เป็นความรู้สึกเช่นไร รู้แต่หนึ่งในนั้นคือความยินดี

    เฮ้ย !!

    น้ำหนักและความเย็นของมัน เป็นเครื่องยืนยันว่า ของสำคัญที่คิดว่าสูญหายไปแล้ว ตอนนี้มันกลับคืนมาอยู่บนมือของเขาแล้วจริงๆ พอคิดแบบนั้นน้ำตาหยดใสๆก็ร่วงลงมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ 

    ขอบคุณ..

    อาโอมิเนะที่ดูเหมือนกำลังลำบากใจอะไรสักอย่าง ยกมือขึ้นเกาหัวแรงๆ คากามิมองหน้าอีกฝ่าย แล้วนึกสงสัยว่า ตัวเองทำอะไรไม่ดีลงไปหรือเปล่า คงเป็นเพราะน้ำตานี่ล่ะมั้ง ไม่ได้อยากร้องไห้หรอกนะ แต่มันไหลออกมาเอง

    ก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกไป ลิ้นอุ่นๆของ คนตรงหน้าก็แตะโดนบริเวณขอบตา ก่อนที่จะไล่เรียงสัมผัสลงมายังริมฝีปาก เพื่อบุกรุกเข้าไปในยังโพรงปากด้านใน

    ...จูบ...เขากำลังถูกจูบ...

    ภายในหัวคิดวนเวียนได้เพียงแค่นั้น รู้สึกเหมือนร่างกายไร้เรี่ยวแรง ขาทั้งสองแทบจะพยุงตัวเอาไว้ไม่ได้ และคงจะทรุดลงไปกองกับพื้น หากไม่มีมือของใครคนหนึ่งช่วยประคองเอาไว้

    ฉันชอบนาย

    นั่นเป็นการสารภาพรักครั้งแรกในชีวิตของอาโอมิเนะ ไดคิ ใช่ว่าคนอย่างเขาไม่เคยมีผู้หญิงมาชอบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อน แถมใครจะไปคิดว่า คนที่ทำให้เขายอมเอ่ยปากเรื่องนี้ได้คือไอ้บ้าบาสประจำทีมเซย์ริน เป็นผู้ชายทั้งแท่งตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วนสูงก็เกือบจะเท่ากัน ไม่มีตรงไหนที่เรียกได้ว่าสวยหรือน่ารัก แต่ถึงอย่างนั้นอาโอมิเนะก็มั่นใจว่า ความรู้สึกนี้เป็นของจริง

    ใบหน้าเอ๋อๆของคากามิที่เหมือนสมองลัดวงจรไป เพราะคำพูดสามพยางค์ของเขา ดูแล้วตลกเป็นบ้า

    นายว่าอะไรนะ ?”

    ฉันบอกว่า ฉันชอบนาย

    พอพูดออกไปแล้วครั้งหนึ่ง การพูดครั้งที่สองมันง่ายขึ้นกว่าเดิมเยอะ โซ่ตรวนของความลังเลใจและความสับสนถูกปลดออกไปพร้อมกับการบอกความรู้สึกในครั้งแรก เหมือนอะไรบางอย่างที่เคยอัดแน่นอยู่ในอกได้สลายหายไปแล้ว รู้อย่างนี้พูดออกไปตั้งแต่ทีแรกก็หมดเรื่อง การมานั่งคิดมาก เก็บงำความรู้สึกเอาไว้นี่ ไม่เหมาะกับเขาจริงๆด้วย

    ก็แค่อยากบอกไว้ ถึงนายจะมีเจ้าของแหวนนั่นอยู่แล้วก็เถอะ

    หา ?”

    หรือว่าเจ้าของไปสวรรค์แล้ว

    บ้า !! ยังอยู่เว้ย !!

    อาโอมิเนะมองคนตรงหน้าที่เดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็โมโห เป็นคนที่แสดงความรู้สึกของตัวเองออกมาทางสีหน้า โดยไม่ปิดบัง คงเพราะอย่างนี้ล่ะมั้งถึงได้ชอบ เพราะอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ไม่มีความลับอะไรต่อกัน ถึงจะน่าเสียดายที่ไม่ได้ครอบครองเป็นของตัวเอง แต่ได้พูดความในใจออกไปแล้ว ต่อจากนี้ก็คงหายหงุดหงิดไปได้บ้างไม่มากก็น้อย

    เออ...ที่บอกว่ามีเจ้าของแหวนอยู่แล้วก็เถอะ หมายความว่าอะไร ?”

    ยังไงฉันก็ยังชอบนาย ถึงจะรู้ว่านายมีแฟนอยู่แล้วก็เถอะ

    มีแฟน ???”

    ตอนแรกคิดว่า เจ้าตัวไม่ค่อยเข้าใจภาษาญี่ปุ่น เนื่องจากโตที่อเมริกา พอใช้คำและประโยคให้ง่ายขึ้น คากามิก็ปฏิเสธเสียงแข็งขึ้นมาทันที แถมยังโวยวายต่อถึงที่มาของแหวนนี้ พอรู้ว่า แหวนนี่ไม่ใช่แหวนคู่รัก แต่เป็นคำสัญญาว่าจะเป็นพี่เป็นน้องกัน ใบหน้าของคุโรโกะก็แว่บขึ้นมาเป็นคนแรก ต้องตั้งใจให้เข้าใจผิดแน่ ตั้งใจแน่ๆ

     เข้าใจผิดไปถึงไหนกัน

    ที่จริงปล่อยให้เขาเข้าใจผิดไปแบบนั้นก็ได้ แต่ที่ปฏิเสธเสียงแข็ง แถมยังโวยวายแก้ตัว นี่มันเหมือนโดนแฟนหาว่านอกใจ ก็เลยต้องรีบอธิบายกึ่งโวยวายนิดหน่อยด้วยความโมโห งั้นก็แสดงว่า ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดคิดว่า ตัวเองมีแฟนอยู่แล้ว ถ้าอย่างนั้นจะคิดเข้าข้างตัวเองอีกสักนิดว่า อีกฝ่ายมีใจให้เขาอยู่บ้างเหมือนกัน ก็คงไม่แปลกอะไร

    งั้นเป็นอันว่า...

    อาโอมิเนะโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วงับที่ใบหูเบาๆ คากามิสะดุ้งสุดตัว ผลักอีกฝ่ายออก รีบถอยห่างไปด้านหลัง แต่คงเพราะตกใจผสมกับความรีบร้อน เจ้าตัวจึงก้าวพลาดล้มลงไปนั่งกองกับพื้น แหวนสีเงินร่วงหล่นลงจากมือ กระทบพื้นเป็นเสียงสดใส ก่อนจะกลิ้งไปหยุดตรงเท้าของอาโอมิเนะ ชายหนุ่มก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา แล้วถือวิสาสะเดินเข้ามาในบ้านโดยไม่ถอดรองเท้า ยังไม่ทันที่เจ้าของบ้านจะได้บ่นว่าอะไร ริมฝีปากก็ถูกช่วงชิงไปอีกครั้ง

    ระหว่างที่เอสของเซย์รินยังมึนงงอยู่กับการถูกจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มผิวสีแทนก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จ้องมองเข้าไปในดวงตาสีแดงคู่นั้น เขายกมือของคากามิขึ้นมา แล้วสวมแหวนสีเงินนั้นเข้าไป

    ถึงจะเป็นแหวนของคากามิ แต่ช่วงเวลาที่ได้ลองใส่ก็ผ่านมาเนิ่นนาน จนเจ้าตัวเองยังคิดว่า ไม่น่าจะใส่มันลงไปได้ แต่แหวนกลับเข้าไปในนิ้วมือได้อย่างพอดีจนน่าประหลาด ราวกับว่า แหวนเองก็รอคอยช่วงเวลานี้อยู่เหมือนกัน

    นายเป็นของฉัน ตกลงกันแล้วนะ

    ตกลงบ้าอะไรของนาย

    คากามิที่หน้าแดงแจ๋จนถึงหู รีบชักมือกลับทันที ส่วนอาโอมิเนะก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี เมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย

    ครั้งนี้ไม่ต้องแปลเป็นคำง่ายๆ ก็เข้าใจความหมายของประโยคนั้นเป็นอย่างดี แต่นอกจากอาโอมิเนะ ไดคิแล้ว ทั่วทั้งโลกนี้ คงไม่มีใครหน้าด้านพอที่จะเอาแหวนของคนอื่นมาผูกมัด เพื่อประกาศความเป็นเจ้าของอย่างน่าไม่อาย

    อาทิตย์หน้า เจอกันนะ

    คำพูดที่มักได้ยินอยู่เสมอ ครั้งนี้เขาจะเป็นคนเอ่ยบ้าง และขอให้มันผูกมัดนายเอาไว้ เหมือนดังที่มันเคยผูกมัดฉัน อาโอมิเนะเหลือบมองใบหน้าของคนที่ยังนั่งอยู่บนพื้นเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกไปจากบ้าน

    อันตราย...อันตราย...

    จะบอกออกไปได้อย่างไรว่า การที่เห็นอีกฝ่ายนั่งก้มหน้า แต่แอบช้อนสายตาเหลือบมองเขาอยู่ ทั้งที่ใบหน้าก็ยังเป็นสีแดงระเรื่อนั้น มันกระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขา ขืนอยู่ตรงนั้นนานอีกนิดนึง เรื่องคงไม่จบแค่จูบ แล้วความยุ่งยากทั้งหลายก็จะตามมาอีกเป็นกระบุงโกย

    รสชาติหอมหวานของจูบยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก เขาคงเก็บเอาไปนอนฝันอีกหลายคืน จนกว่าวันอาทิตย์จะเวียนมาถึง ถ้าได้เจอหน้ากันอีกครั้ง ความสัมพันธ์ของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือเปล่านะ

    ก็คงต้องแล้วแต่...โชคชะตาจะนำพาไป...

     

    คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป สมกับเป็นเอสแห่งโทโอ ผู้ขึ้นชื่อเรื่องเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางโลก ในตอนนี้แหวนที่อยู่บนนิ้ว ส่องประกายสีเงิน ราวกับกำลังหัวเราะคิกคักกับเรื่องราวของคนทั้งสอง โดยเฉพาะท่าทีเปิ่นๆของเขา

     ไอ้บ้านั่น

    ความรู้สึกร้อนผ่าวยังตกค้างอยู่ในปาก ร่างกายยังจำความอบอุ่นจากสัมผัสของมือนั้นได้ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่ดี ไม่ใช่ว่าจะขยะแขยง แต่มันก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อไม่ใช่เหรอ อยู่ๆก็มาสารภาพว่าชอบกัน ทั้งเขาและหมอนั่นก็เป็นผู้ชาย เรื่องแบบนี้มัน...

    เขาแตะแหวนบนนิ้วของตัวเอง ทั้งที่น่าจะรู้สึกได้ถึงความเย็นของโลหะ แต่ในครั้งนี้กลับรู้สึกร้อนเสียมากกว่า แถมหัวใจยังเต้นเร็วอย่างแปลกประหลาดทุกครั้งที่นึกถึงใบหน้าของคนที่สวมมันให้

    เจอกันคราวหน้า จะทำหน้ายังไงดีเนี่ย

     

    ในวันนี้...มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย...
    ทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี...เรื่องปกติธรรมดาและเรื่องที่น่าประหลาดใจ...

    พอพรุ่งนี้มาเยือน...มันก็จะกลายเป็นความทรงจำ...

     

    ...หลอมรวมไว้...ในแหวนสีเงินวงนี้...
     

    ++++++++++

    แถมท้าย

    คากามิยกมือขึ้น ตั้งใจจะถอดแหวนออก แต่กลับกลายเป็นจ้องมองมันเสียแบบนั้น ใบหน้าของคนหน้าด้านแว่บเข้ามาในสมอง คนที่ไม่ลงทุนขนาดเอาแหวนของคนอื่นมาผูกมัดคนที่ตัวเองชอบก็มีด้วย

     

    ...คนที่ตัวเองชอบ...

     

    พอคิดแล้วก็รู้สึกว่า หน้าร้อนขึ้นมาอีกครั้ง จึงสะบัดหัวไปมาแรงๆ เพื่อไล่ความคิดฟุ้งซ่านทั้งหมดออกไป

    ว่าแต่...ไอ้บ้านั่น รู้บ้างรึเปล่าว่า...ใส่แหวนให้เขา...

     

    ...ที่นิ้วกลาง...

     

    ++++++++++



    สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่าน พบกันอีกแล้วในฟิคคู่แรร์นะคะ (หัวเราะ)
    ฟิคนี้ในไทยหาอ่านยาก แต่ในต่างประเทศก็ดังทีเดียวนะคะ สงสัยเราต้องย้ายประเทศซะแล้ว
    กลับเข้าเรื่อง อย่างที่เขียนไปข้างบน ตอนที่เขียนมีเหตุให้ต้องช้าเยอะมาก รวมๆเราเขียนเรื่องนี้ไปประมาณ 8 รอบได้
    ดูเหมือนจะเยอะพอดู แต่ภาษากับเนื้อหา อาจจะยังไม่เข้าที่เท่าไร งงๆกับคาแรกเตอร์ตัวละครตัวเอง

    อีกอย่างหนึ่ง ตอนนี้เราลองโพสแบบไม่ตัดบรรทัดเป็นสั้นๆ ตามในword ช่วงที่มีประโยคคำพูดก็ไม่เว้นบรรทัดลงมา
    ไม่รู้อ่านยากขึ้นหรือเปล่า ? แต่เราโพสง่ายขึ้น ไม่ต้องมานั่งไล่เคาะอีกที ถ้ายังไงก็เสนอความเห็นกันได้นะคะ

    ถ้าท่านผู้อ่านรู้สึกอย่างไร ได้โปรดแสดงตัวค่ะ เพราะการเขียนฟิคคู่แรร์นั้นต้องใช้แรงกายแรงใจพอสมควร
    ไม่งั้นจะจิ้นในหัวเอาอย่างเดียวแล้วนะคะ ถ้าไม่มีใครอ่าน (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น รอคอมเมนต์ของทุกท่านอยู่นะคะ
    แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ (ถ้าได้เขียน)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×