An Inconvenient Truth - หรือว่า โลกเราจะวิบัติ? - An Inconvenient Truth - หรือว่า โลกเราจะวิบัติ? นิยาย An Inconvenient Truth - หรือว่า โลกเราจะวิบัติ? : Dek-D.com - Writer

    An Inconvenient Truth - หรือว่า โลกเราจะวิบัติ?

    เรื่องที่เป็นที่กล่าวขาน กันมากที่สุด ในอเมริกา ตอนนี้ คือ An Inconvenient Truth ที่เกี่ยวกับความจริงของการเปลี่ยนแปลง ของสิ่งแวดล้อมบนโลก ในช่วงหลังๆมานี้ อย่างน่าตกใจ ว่าอนาคตของโลกเรา นั้นมันน่ากลัวอะไรอย่างนี้

    ผู้เข้าชมรวม

    3,770

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    3.77K

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    2
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  17 ต.ค. 49 / 06:26 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    นิยายแฟร์ 2025
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      An Inconvenient Truth เปิดเรื่องด้วยการกล่าวเปิดตัวของอดีตผู้สมัครประธานาธิบดี Al Gore ในการแสดงปาฐกถาแบบที่เรียกว่า Slide Show ซึ่งเหมือนการผสมระหว่างการแสดงปาฐกกับการพูดประเภท talk show เน้นสาระบวกความสนุกสนาน
                  "ผม Al Gore ผมเคยเป็นอดีตว่าที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา" คำกล่าวทักทายของอัล กอร์ เล่นเอาเรียกเสียงฮาได้ตั้งแต่เริ่ม
                  อัล กอร์ เริ่มปาฐกของเขาด้วยการเปิดเผยความจริงบางอย่างให้โลกได้รู้ ตั้งแต่การแสดงภาพถ่ายของโลกเป็นภาพแรกเมื่อมนุษย์อวกาศถือกำเนิดขึ้น ที่เรียกว่าภาพ "Rising Earth" แสดงให้เห็นความสวยงามของโลกอย่างที่ไม่มีดาวเคราะห์ดวงใดจะมีได้ กับภาพถ่ายของโลกในปัจจุบันซึ่งเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด 
                  ภูเขาคิลิมันจาโรของแอฟริกา ครั้งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยหิมะ ภาพถ่ายในปัจจุบันแทบไม่ต่างจากภูเขาหัวโล้นในบ้านเรา สิ่งที่เกิดขึ้นรวมไปถึงเทือกเขาหิมาลัย เขาสูงในสวิสเซอร์แลนด์ ทะเลสาบขนาดยักษ์ในประเทศต่างๆ ซึ่งแห้งขอดลงในเวลาเพียงสิบยี่สิบปี ชนิดที่เหมือนกับมันผ่านมาแล้วเป็นพันปี
                  อัล กอร์ ค่อยๆเผยสิ่งที่เขาค้นคว้ามาทีละเล็กทีละน้อย ด้วยท่าทีมั่นใจในข้อมูลของตน ซึ่งเขาทำได้อย่างยอดเยี่ยมในการอธิบายเรื่องวิทยศาสตร์ธรรมชาติยากๆ มาเป็นภาพที่เข้าใจง่าย รวมถึงการใช้อนิเมชั่น หรือการ์ตูน มาประกอบความเข้าใจ
                  ตั้งแต่เรื่องภาวะโลกร้อน หรือ "Global Warming" ซึ่งแค่ประเด็นเดียวสามารถเชื่อมโยงไปถึงผลกระทบทางนิเวศ์วิทยาอีกคณานับ ตั้งแต่การลดลงของธารน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อย่างน่าตกใจ ภาวะโลกร้อนซึ่งคร่าชีวิตคนเป็นแสนๆคนต่อปี ความเกี่ยวพันกับพายุเฮอริเคนที่ทวีความรุนแรงมากขึ้นหรือกระทั่งคลื่นยักษ์สึนามิ การสูญพันธ์ของสัตว์นานาชนิดในช่วงไม่ถึงสิบปีซึ่งใช้เวลานับล้านปีกว่าจะสูญพันธ์ได้ การก่อกำเนิดของโรคใหม่ๆ เช่น ซาร์ส หรือไข้หวัดนก ไวรัสอิโบล่า รวมถึงโรคที่เคยหมดไปแล้วจะกลับมาแพร่ระบาดอีก เช่น ฝีดาษ กาฬโรค
                  ประเด็นดังกล่าวถูกขยายความต่ออีกว่าน่าเชื่อถือเพียงไร และจริงหรือไม่ที่นักวิทยาศาสตร์มีความเห็นขัดแย้งกัน ซึ่ง กอร์ เถียงหัวชนฝาว่าข้อมูลดังกล่าวเป็นจริง และจากการ Review Literature(คือการรวบรวมงานจำนวนวิจัยทั้งหมดที่เกี่ยวข้องและศึกษาให้ได้ผลสรุปของงานวิจัยทั้งหมดนั้น) ของวารสารวิทยาศาสตร์ชั้นนำ พบว่านักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทุกคนเห็นพ้องกับเรื่องนี้ทั้งสิ้นชนิดที่งานวิจัยที่โต้แย้งไม่ปรากฏสักงานเดียว
                  จากข้อมูลดังกล่าว น่าจะเกิดคำถามขึ้นในใจผู้ชมว่าเราสามารถหยุดและแก้ไขกลไกวินาศเหล่านี้ได้อย่างไร ทำอย่างไรเราจึงจะป้องกันไม่ให้น้ำแข็งที่ขั้วโลกใต้ละลายหมดไปก่อนปี ค.ศ. 2050 ทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดน้ำท่วมในหลายประเทศขึ้นมาในอีกสัก 40-50 ปีข้างหน้า ทำอย่างไรจะยุติการสูญพันธุ์ของสัตว์นับล้านสปีซีส์ (หลังจากสูญพันธุ์ไปแล้วนับล้าน)
                  อัล กอร์ยังได้ตั้งคำถามอีกว่า จริงหรือที่หากเราหันมาทำงานเชิงอนุรักษ์แล้วชีวิตเราจะล้าสมัยลง ดุลการค้าจะเสียไป คนจะยากจนลง ซึ่งคำตอบคือ "ไม่" หากเราจริงจังกับเรื่องสภาพแวดล้อม และใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม ผลผลิตจะมากขึ้น กำไรจะมากขึ้น คนจนจะลดลง เสมือนหนึ่งเราได้รับรางวัลตอบแทนจากธรรมชาติที่เราดูแล
                  การนำเสนอที่น่าตื่นตาตื่นใจ มีการประชดประชันรัฐบาลสหรัฐอยู่นิดๆเกี่ยวกับนโยบายเรื่องการดูแลสภาพแวดล้อม แต่ข้อมูลที่อัดแน่นและสมเหตุสมผลตามหลักวิทยาศาสตร์ ทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็นประเด็นถกเถียงกันมาก แม้จะมีผู้วิพากษ์วิจารณ์บ้างว่า อัล กอร์หวังผลเชิงการเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ถึงความตั้งใจจริงของเขา เพราะหลังจากอกหักจากกการชิงตำแหน่งแล้ว อัล กอร์ เดินสายออกงาน slide show ไปประเทศต่างๆ ด้วยทีมงานเพียงหยิบมือและหาข้อมูลเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจัง
                  "This is not a political issue, it is a moral issue." อัล กอร์ กล่าวย้ำ
                  ช่วงท้ายของรายการ กอร์ กระตุ้นให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการดูแลธรรมชาติ และตอบแทนพระคุณของโลก กอร์ บอกกับผู้ชมว่าเขาต้องเสียพี่สาวไปเพราะโรคมะเร็งปอด ด้วยเหตุที่บ้านเขาปลูกยาสูบมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ตั้งแต่นั้นมาคุณพ่อของเขาเลิกอาชีพนี้โดยเด็ดขาดเพราะความเศร้าเสียใจ เช่นเดียวกัน หากเรากำลังจะสูญเสียคนที่รัก เหตุผลเดิมๆของพฤติกรรมที่จะทำร้ายคนที่เรารักย่อมหมดความจำเป็นขึ้นมาทันใด และตอนนี้มนุษย์กำลังจะสูญเสียโลกใบนี้อยู่เช่นกัน
                  หนังแสดงเป็นตัวเลขให้เราเห็นว่า แค่เพียงเราลดการใช้รถยนต์ลงเท่าที่จำเป็น เปิดแอร์ให้เย็นอย่างพอเหมาะ ปิดไฟทุกครั้งที่ไม่ใช้ ล้วนช่วยโลกได้อย่างมาก (ย้ำว่า "อย่างมาก"ไม่ใช่คำพูดที่ว่า "ช่วยได้ไม่มากก็น้อย") และยังไม่สายเกินไปที่จะมาดูแลโลก ด้วยว่าโลกกำลังส่งสัญญาณเตือนเราอยู่ทุกวัน
                  ผมประทับใจกับบรรยากาศในโรงหนังซึ่งไม่มีใครลุกออกจากโรงหลังจากหนังจบ ไม่ใช่เพราะมีภาพสวยๆตามา หรือดูเบื้องหลังการถ่ายทำ แต่ด้วยเหตุที่ว่าทุกคนกำลังดูกลวิธีช่วยโลกเล็กๆน้อยๆที่หนังรวบรวมมา ตั้งแต่วิธียากๆ เช่น เลือกผู้แทนที่สัญญาว่าจะรักษาสภาพแวดล้อม(ที่ว่ายากเพราะหาผู้แทนแบบนี้ไม่ค่อยได้ในบ้านเรา) ช่วยกันปลูกต้นไม้คนละต้น(รวมคนบนโลก 6,500 ล้านคน = 6,500 ล้านต้น) หรือ ง่ายที่สุดคือสวดวิงวอนให้มนุษย์กล้าที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง! 
                  ผมเชียร์หนังเรื่องนี้ด้วยใจจริงและอยากให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กๆได้ดู ด้วยมุ่งหวังว่าจะจุดไฟรักโลกขึ้นมาในใจเด็กไทยบ้าง
                  มีการเปรียบเทียบที่น่าสนใจมากครับ นั่นคือโลกเกิดมาเมื่อ 4,600 ล้านปีก่อนและมนุษย์เกิดมาได้ไม่ถึง 200,000 ปี ถ้าเอาวันกำเนิดโลกเทียบเท่ากับวันที่ 1 มกราคม 0.00 น. ช่วงเวลาที่มนุษย์เกิดขึ้นคือประมาณวันที่ 31 ธันวาคม 23.59 น. ยิ่งนับเวลาที่มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมาแทบจะเทียบได้กับเสี้ยววินาทีของปี แต่ความสามารถของมนุษย์สามรถใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีนี้ทำลายสิ่งที่โลกสร้างมานานนับปีได้อย่างมากและรุนแรงถึงขั้นจะทำลายโลกใบนี้ได้ทีเดียว
                  มีนักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้คำหนึ่งถึงคุณค่าของสรรพสิ่งมีชีวิตทั้งมวลที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้และตั้งทฤษฎี "กายา" หรือ "GAIA Theory" ตามชื่อเทพปกรณัมของกรีก ดฃเทพกายา ซึ่งเป็น Goddess of Earth มเหสีของเทพยูเรนัส ซึ่งเสนอว่า สิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนโลกเป็นเสมือนอภิมหาสิ่งมีชีวิต (Living Superorganism) นั่นคือเรา พืช สัตว์ แผ่นดิน ผืนน้ำ ทัองฟ้า ก้อนกรวด ใบหญ้า รวมกันเป็นหน่วยชีวิตหน่วยหนึ่งซึ่งเรียกว่า "โลก"
                  เราจึงเหมือนเป็นเซลล์หนึ่งๆของโลกก็ได้ ว่ากันว่าโลกประกอบด้วยส่วนที่เป็นน้ำกว่า 70% ในสัดส่วนเดียวกับปริมาณน้ำรวมในร่างกายมนุษย์ และในสัดส่วนเดียวกับน้ำในเซลล์หนึ่งเซลล์ของมนุษย์ มนุษย์และโลกจึงแยกจากกันไม่ได้ เช่นเดียวกับที่มนุษย์แยกจากสัตว์อื่นไม่ได้ ตัดขาดจากกรวดหิน ดิน ทราย ไม่ได้ และตัดขาดจากมนุษย์กันเองไม่ได้
                  การทำงานของโลกจึงไม่ต่างอะไรกับการทำงานของร่างกายมนุษย์ ตั้งแต่สูดออกซิเจน คายคาร์บอนไดออกไซด์ สะสมแร่ธาตุ และปรับสมดุลระหว่างหน่วยสิ่งมีชีวิต
                  ร่างกายมนุษย์เป็นตัวอย่างของการทำงานของโลกที่ชัดเจนที่สุด หากมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามา ตัวเราจะร้อนขึ้นโดยหวังเอาความร้อนมาทำลายเชื้อโรค หากเชื้อโรคเกาะกินลำไส้ ร่างกายต้องปรับสมดุลโดยการถ่ายท้องเสียขับไล่เชื้อโรคออกมา หากเชื้อโรคกำลังทำลายหลอดลมและปอด ร่างกายต้องไอจามและเป็นหวัดเพื่อขับไล่เชื้อโรค
                  ถ้าเฮอริเคนแคทรินาและริตาเสมือนการเป็นหวัดครั้งใหญ่ของโลก สึนามิคือการท้องเสียครั้งใหญ่ของโลก แผ่นดินไหวคืออาการแสดงว่าโรคกำลังหนาวสั่น สิ่งเหล่านี้เป็นสัญญาณเตือนว่าแม่ของเรากำลังป่วย และไม่นานเราเองก็จะป่วยตามไปด้วย
                  พูดอย่างตรงไปตรงมา มนุษย์กำลังทำตนตัดขาดจากโลก เสมือนหนึ่งเซลล์มะเร็งที่ทำตนตัดขาดจากเซลล์อื่นๆในรางกาย นึกอยากโตก็โตเบียดเบียนผู้อื่น หนำซ้ำยังทำลาย เกาะกินเซลล์ข้างเคียงและส่งผลไปทั่วร่างกายเหมือนที่เรากำลังเกาะกินโลก เบียดเบียนสิ่งแวดล้อม และเบียดเบียนกันเอง
                  การจะแก้ไขสิ่งปัญหาต่างๆบนโลกจึงต้องเริ่มจากตนเองก่อน และต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็ง เชื่อมั่นว่า "ความดีเล็กๆน้อยๆก็เปลี่ยนแปลงโลกได้"
                  ร่างกายเราหากเซลล์ใดเซลล์หนึ่งผิดปกติ มันจะส่งสัญญาณไปทั่วร่างกาย ให้ทุกเซลล์ได้รับรู้ ตื่นตัวและมาช่วยแก้ไข เซลล์นับพันล้านจะเข้ามาช่วยเหลือด้วยวิธีต่างๆนานา ส่งข่าวบอกเซลล์อื่น ส่งสารมาทำลายเชื้อโรคให้ สร้างระบบป้องกันภัยตนเอง
                  เช่นเดียวกัน หากเราเชื่อว่ามนุษย์กับโลกสัมพันธ์กันและเราเป็นส่วนหนึ่งของโลก สัญญาณดีๆที่เราแสดงแก่โลกย่อมส่งผลถึงคนอื่นๆและส่งผลดีต่อโลกได้แน่นอน
                  ไม่มีใครคิดว่าเหตุการณ์การกีดกันเชื้อชาติเล็กๆบนรถเมล์สายหนึ่งจะนำมาซึ่งการเรียกร้องถึงสิทธิทางเพศของคนผิวดำในอเมริกาโดย มาร์ติน ลูเธอร์ คิง
                  ไม่มีใครคาดคิดว่าเหตุการณ์กดขี่เชื้อชาติบนรถไฟ จะนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่จนเกิดมหาบุรุษของโลกอย่างมหาตมะ คานธี ซึ่งนำหลักอหิงสาแผ่ซ่านไปทั่วโลก
                  ไม่มีใครคิดฝันว่าการพบกับผู้คนซึ่งทุกข์ยากเพียงครั้งหนึ่งจะนำปลุกหัวใจแห่งความดีของเจ้าชายคนหนึ่ง จนกลายมาเป็นมหาบุรุษผู้นำพุทธศาสนามาเป็นประทีปส่องทางของโลก
                  ผมจึงหวังไว้ว่าเราสุดท้ายจะมีกำลังใจที่เข้มแข็งเช่นนั้น และช่วยเหลือโลกอย่างเต็มความสามารถ ขอเพียงมั่นใจว่าความดีส่งต่อถึงกันได้ ความดีเพียงเล็กน้อยกลายเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่ได้ เมื่อนั้นความดีเล็กๆนี้เองจะสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้แน่นอน

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×