ลมหายจัยของ"กาลเวลา" - นิยาย ลมหายจัยของ"กาลเวลา" : Dek-D.com - Writer
×

    ลมหายจัยของ"กาลเวลา"

    การจากลาากัล.........

    ผู้เข้าชมรวม

    124

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    2

    ผู้เข้าชมรวม


    124

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    จำนวนตอน :  0 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  7 ก.ย. 53 / 00:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ๑.              

          เสียงเจี๊ยวจ๊าวใต้ถุนอาคารเรียนสลบลงพร้อมกับเสียงรัวระฆังสิ้นสุด เด็กชายหญิงที่รายล้อมอยู่ที่นั่นก็ทะยอยออกมาเข้าแถวเคารพธงชาติ ฉันเห็นวิลัยโงเงขึ้นจากที่คลุกฝุ่นด้วยหน้าตามอมแมมมะลอมมะลอก เห็นแต่ดวงตาคู่ใสแจ๋วกับริมฝีปากที่ถูกเลียเป็นวงเปียกเท่านั้นที่ปราศจากฝุ่น กระนั้นเขายังยิ้มกว้างอวดฟันเหลืองๆ ด้วยความสนุกสนานที่ได้เล่นอย่างนั้น ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมเขาจึงชอบเล่นเป็นหัวหน้าพวกเด็กๆ ชอบเล่นเกลือกดินเกลือกหญ้ากับเด็กปอหนึ่งปอสองนัก ทั้งที่ตัวเขาเองอยู่ปอหกแล้วตัวก็โตกว่าใครๆในห้องเสียด้วย เขามักจะมาถึงแถวช้ากว่าเพื่อนๆเสมอ และมักจะมาพร้อมกับฝุ่นปลิวว่อนเป็นทางยาวราวกับรูปดาวหางของครูละมุลที่วาดให้พวกเราดูบนกระดาน ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีวันใดเลยที่เขาไม่ได้เล่นจนเหงื่อโทรม กลิ่นเหงื่อเขาก็แรงขนาดเขาอยู่หลังชั้นยังโชยมาถึงหน้าชั้น โชยมาแต่ละที ทำเอาฉันแทบสลบ โดนครูดุเป็นประจำเรื่องความสกปรก แต่ไม่เท่านั้นหรอก ฉันว่า แทบทุกเรื่องเลยที่ครูดุเขา ถูกทำโทษเป็นประจำ เดี๋ยวก็ไปกระโดดน้ำหลังโรงเรียน บ้างก็หนีโรงเรียนไปหารังมิ้ม ขุดขี้สูด ไล่ตามโคมไฟ เรื่องการเรียนยิ่งแย่ ถึงปอหกแล้วอ่านคำว่า "สามารถ" ก็ยังไม่ออก สมุดคณิตขยุกขยิกเหมือนไก่เขี่ย ดูเหมือนชีวิตเขาจะมีแต่เล่นอย่างเดียว ไม่เคยสนใจเรียนเลยซักนิด เพื่อนผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่อยากเข้าใกล้เขาสักเท่าไหร่ อิหลักอิเหลื่อเหลือเกินเมื่อต้องพูดกับเขา

          หลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว ก็จะเป็นวิชาเลขคณิตของครูศรชัย ครูบอกพวกเราว่า สมองใหม่ของแต่ละวันก็ต้องเรียนเลขคณิตก่อน พวกเราจึงได้เรียนแต่เลขคณิตในชั่วโมงแรกทั้งปี ฉันหยิบสมุดหนังสือขึ้นมารอตั้งแต่แรกด้วยความเคยชิน แล้วก็ดูพวกเด็กอนุบาลกำลังทำกายบริหารก่อนเข้าห้องเป็นการฆ่าเวลา ใบหูกวางข้างหน้าต่างกำลังผลิใบออกจากกิ่งเป็นกระจุกเล็กๆเต็มไปหมด มันโบกกิ่งไหวๆเหมือนจะโบกมืออำลา ที่นั่งริมหน้าต่าง ทำให้ฉันได้เปรียบใครๆ ตรงที่ได้เห็นเรื่องราวความเป็นไปข้างนอก พวกเด็กๆอนุบาลส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอย่างสนุกสนาน ทำให้ฉันนึกถึงตอนที่เป็นเด็กอนุบาล นึกถึงวันแรกที่มาโรงเรียน  ฉันร้องไห้ด้วยความหวาดหวั่นไม่เป็นอันกินอันหลับ กลัวความโดดเดี่ยว กลัวถูกทอดทิ้ง หวาดระแวงคนหน้าใหม่ๆ ต้องให้ยายมานั่งเฝ้าอยู่หลายวัน จนถึงวันนี้ ฉันจะจบปอหกแล้ว เวลาที่ผ่านมาแปดปีเหมือนแป๊บเดียวจริงๆ เวลาแห่งความสนุกสนานมักหมดไปอย่างรวดเร็วอย่างนี้แหละ คิดมาน่าใจหายที่อีกไม่กี่วันฉันต้องจากโรงเรียนที่คุ้นเคย จากครูละมุลผู้ใจดี จากเพื่อนๆที่มีแต่ความสนุกสนาน ฉันเริ่มนับถอยหลังแล้วตั้งแต่ใบหูกวางเริ่มเหลืองแล้วร่วงหล่นลง มันค่อยๆร่วงหล่นทีละใบสองใบจนหมดเหลือแต่กิ่งโกร๋น แม้ฉันจะเห็นมันร่วงหล่นอยู่อย่างนี้ทุกปีแต่ก็น่าแปลกที่ฉันกลับไม่รู้สึกเหงาหงอยเศร้าสร้อยอย่างนี้

          พวกเพื่อนผู้ชายเล่นกันเฮาฮาหยอกล้อกันอยู่หลังห้องเสียงตึงตังหนวกหู เดี๋ยวก็กระโดด เดี๋ยวก็กอดรัดฟัดเหวี่ยงกันล้มลง ดูเขาไม่ทุกข์ร้อนอะไรเสียเลย นอกจากไม่ค่อยสนใจเรียนแล้ว ยังไม่ไยดีกับเรื่องที่จะจบหรือไม่จบ เล่นได้ทั้งวัน เมื่อครูศรชัยเข้ามา พวกเขาบ้างกระโดดบ้างวิ่งตะบึงเข้าประจำที่ วิลัยเงอะงะมาหลังเพื่อนตามเคย ทั้งที่รู้ว่าถ้าหากทั้งชั้นเรียนไม่อยู่ในความเรียบร้อยในตอนที่ครูเข้ามาพวกเราต้องถูกทำโทษหรือไม่ก็ต้องโดนเทศนายกใหญ่ พวกผู้ชายก็ยังเล่นกันอยู่อย่างเดิมไม่เข็ดหลาบ

         "พวกเธอนี่เหลือเกินจริงๆ จะออกไปเผชิญชีวิตอยู่อีกไม่กี่วันยังทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต" ครูส่ายหน้าเบื่อ ก่อนจะเริ่มเทศนาอีกยาวจนฉันมึนไปหมด

         แต่จะอย่างไร ครูก็ใจดีกับพวกเราทุกคนที่ไม่ให้ใครตกซ้ำชั้น

         หลังจากจบพวกเราต่างแยกย้ายกันไปคนละทิศทาง ส่วนหนึ่งได้เรียนต่อ อีกส่วนหนึ่งก็ไปทำไร่ไถนาช่วยพ่อแม่เพื่อรอให้แตกเนื้อหนุ่มสาวสักหน่อย เพื่อจะได้เข้าไปทำงานที่กรุงเทพ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีงานอะไรเยอะแยะให้คนตั้งมากมายทำ แต่ดูเหมือนทุกคนที่ไปทำงานที่นั่นจะกลับมาด้วยความสำเร็จ แต่งเนื้อแต่งตัวดูดีขึ้น พกเรื่องราวแปลกใหม่กลับมาให้ฉันได้ยินได้ฟังด้วยเสมอ นี่คงเป็นมนต์เสน่ห์อย่างหนึ่งที่ดึงดูดหนุ่มสาวรุ่นเยาว์รุ่นแล้วรุ่นเล่าให้ใฝ่ฝันอยากไป ส่วนฉันได้เข้ามาเรียนต่อที่โรงเรียนประจำอำเภอ ทั้งนี้เพราะความอนุเคราะห์ของญาติๆ

          ๒.

          ผ่านไปแล้วหลายปี ฉันไม่ค่อยได้พบเพื่อนๆสมัยเรียนชั้นประถมสักเท่าไหร่ จนแทบไม่ได้นึกถึงเขาเลยเป็นเวลานาน เพราะมัวแต่คิดและทำเรื่องของตนเองไม่รู้จักจบสิ้น ตอนนี้ฉันเรียนอยู่ปีสองแล้ว ฉันได้ทุนเรียนครูวิทยาศาสตร์ที่มหาวิทยาลัย ก็สมใจ สุดแสนที่จะภูมิใจแล้วสำหรับเด็กบ้านนอกอย่างฉัน จะว่าเป็นความภูมิใจที่จะได้ดิบได้ดีเป็นครูคนแรกของหมู่บ้านก็ไม่ผิด อันที่จริงมันก็เกิดจากความพากเพียรอันยาวนานของฉันเช่นกัน ไม่ใช่เพียงเพราะฉันมีโอกาสกว่าคนอื่นอย่างที่บางคนว่า ฉันพากเพียรเพื่อแสวงหาโอกาสไม่ใช่โอกาสมันวิ่งเข้ามาหาฉัน

          ยังจำได้ครั้งหนึ่งครละมุลให้พวกเราออกไปพูดให้เพื่อนฟังว่าในอนาคตเราอยากเป็นอะไร "ฉันอยากเป็นครู" ฉันบอกทุกคนอย่างอายๆ ฉันอยากมีอาชีพที่ดี ร่ำรวย จะได้มีในสิ่งที่ฉันไม่เคยมี คุณครูบอกว่า ฉันเรียนเก่งที่สุดควรเรียนหมอ เรียนพยาบาล แต่ฉันชอบที่จะเป็นครูจริงๆ ตอนนั้นทุกคนต่างก็ได้พูดตามประสาความนึกฝันแบบเด็ก ทุกคนอยากเป็นคนดี อยากมีอาชีพดีๆทั้งนั้น แม้แต่วิลัยคนที่ปึกที่สุดในห้อง ยังบอกเพื่อนๆว่าอยากเป็นทหารแม้เขาเรียนไม่เก่งอ่านหนังสือไม่ค่อยออก เขาก็จะสมัครไปเป็นทหารเกณฑ์ ฟังดูกล้าหาญแต่ในน้ำเสียงเขายังหวาดๆจนออกขำ

          ช่วงสงกรานต์ฉันกลับมาบ้านซึ่งมักจะกลับมาเทอมละครั้งสองครั้งเท่านั้น ครั้งนี้ตั้งใจจะมาพักผ่อนให้สบายสักสองอาทิตย์ ก่อนที่จะกลับไปช่วยงานอาจารย์ช่วงปิดภาคเรียน หมู่บ้านดูแปลกตาสำหรับฉันทุกครั้งที่กลับมา ถนนที่เคยเฉอะแฉะด้วยขี้วัวขี้ควาย ตอนนี้ก็กลายเป็นถนนคอนกรีตแทน มีประปาใช้ บริเวณที่รกทึกก็กลายเป็นที่โล่งๆ หรือบ้านเรือนแทน ชาวบ้านเรียกสิ่งที่เกิดใหม่นี้ว่าความเจริญ ความเจริญมักจะทำให้ภาพความทรงจำเก่าของฉันถูกซ้อนทับด้วยภาพใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าทุกครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้าน จนตอนนี้มันอยู่ลึกสุดของความทรงจำ ฉันแทบนึกสภาพไม่ออกแล้วว่าสระบัวที่เคยลงเล่นน้ำกับเพื่อนๆ ทำอีโปงลอยคอแข่งกันนั้นเป็นอย่างไร ก็ดีอยู่หรอกเพราะฉันชักจะเคยชินกับสิ่งที่เรียกว่าความเจริญเหล่านี้จนอยู่ลำบากถ้าขาดมัน อีกอย่างพ่อแม่พี่น้องฉันก็จะได้อยู่สะดวกสบายขึ้น เพื่อนฉันบาลคนแต่งงานมีลูกโตพอที่จะเข้าโรงเรียนแล้ว หลายคนยังโสด พวกเขาดูเป็นผู้ใหญ่ในสายตาฉัน ทุกคนมีสิ่งที่ต้องรับผิดชอบมากมาย จนแทบไม่มีเวลาว่าง ทำงานหนักกรำแดด จนร่างกายออกจะแก่เกินวัย แต่ถึงอย่างไรเราก็คือเพื่อนกัน แสดงออกต่อกันอย่างเด็กๆ เปิดเผยและจริงใจต่อกันเหมือนเดิม

          ช่วงนี้แหละที่เพื่อนๆขอให้ฉันไปช่วยเตรียมการจัดงานผ้าป่าสามาคคีที่โรงเรียน ตอนแรกฉันคิดว่าจะไปดูเท่านั้น เพราะเพื่อนๆเขาแบ่งหน้าที่กันเสร็จสรรพแล้ว แต่เมื่อเห็นพวกเขาตั้งใจกันจริงจังก็เลยนึกอาย ไหนๆก็อยู่ว่างๆ ก็เลยช่วยเขาทำเต็มที่ เป็นการดีเสียอีกที่จะได้เห็นเพื่อนครบหน้า และได้เข้ามาเยี่ยมโรงเรียนเก่า

          ฉันจากไปเสียนานแต่ทุกรอยเท่าที่นี่ยังอยู่ในความทรงจำ ภาพเรื่องราวเก่าๆทั้งหลายค่อยๆผุดพรายขึ้นในสมองเมื่อฉันได้มายืนตรงที่เคยยืน นั่นต้นไม้ที่ฉันได้ปลูกได้ดูแล ตอนนี้มันสูงใหญ่กว่าฉันหลายช่วงตัว ต้นไทรข้างลำห้วยที่พวกผู้ชายมักปีนกระโดดน้ำรกครึ้มกว่าเดิม ลำห้วยที่เคยมีน้ำใสๆตอนนี้กลายเป็นเนินทรายเกือบทั้งหมด หางนกยูงต้นที่พวกเราปีนเก็บฝักมากินตอนนี้สูงลิบลิ่วเสียดฟ้า น่าเสียดายหูกวางข้างอาคารเรียนถูกโค่นเสียแล้ว มันอาจโตเกินไปจนใบหล่นคลุมหลังคาสังกะสี ฉันเพิ่งรู้สึกเดี๋ยวนี้แหละว่าตัวเองโตขึ้นมาก จนโต๊ะเก้าอี้นักเรียนหนักและเทอะทะที่เคยนั่งกลายเป็นโต๊ะเก้าอี้ตัวกระจิดเดียว น่าขำที่ตอนเด็กๆฉันอยากจะโต เป็นผู้ใหญ่เร็วเพื่อจะได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ผู้ใหญ่เขาทำ แต่เมื่อฉันยืนอยู่ที่นี่ ตอนนี้กลับอยากย้อนชีวิตไปเป็นเด็กที่แสนจะสนุกสนานอีกสักครั้ง

         ที่โรงเรียนครูเก่าๆของพวกเรายังอยู่เกือบทั้งหมด ทุกท่านรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวฉัน จนฉันรู้สึกละอายที่ไม่เคยแวะเข้ามากราบครูสักที ได้แต่ชะเง้อเข้าไปในโรงเรียนเวลาผ่านไปผ่านมาเท่านั้น ไม่ใช่เกลียดกลัวอะไรหรอก แต่ฉันก็วางตัวไม่ถูกเหมือนกัน นึกอายทุกครั้งที่นึกถึงพฤติกรรมตอนเด็กๆ ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นเด็กอยู่อย่างนั้น เด็กยังไงก็เกรงครู

          แรกๆฉันไม่เชื่อเลยที่ได้ยินว่าวิลัยเป็นประธานงานนี้ เขาเป็นคนที่ปึกที่สุดในห้องในสายตาของเพื่อนๆ เขาเป็นคนที่ไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลยสักอย่าง แล้วจะให้ฉันเชื่อได้อย่างไร ว่าเขาคือผู้นำความคิดที่จะพัฒนาชุมชนบ้านเกิดในมุมมองของเขา ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะทำได้ ฉันคิดว่าอย่างเขาแค่เอาตัวให้รอดก็ลำบาก ทึ่มออกอย่างนั้นจะพูดให้ใครเขาเชื่อได้ แต่เขาก็กำลังพิสูจน์ให้ฉันดู

          ๓.

          คณะผ้าป่ามาถึงแต่เช้า พวกเราและชาวบ้านออกไปต้อนรับที่โรงเรียน ฉันได้เห็นวิลัยหลังจากที่จากกันวันจบปอหก นี่ก็ล่วงมาแล้วแปดปี ท่าทางเขานั้นต่างกับเมื่อก่อนมาก เป็นหนุ่มมาดมั่นขึ้น ผิวยังคล้ำเหมือนเดิมแต่ก็ผ่องใสเหมือนกับได้รับการดูแลมาดี ฟันนั้นไม่เหลืองเหมือนก่อนแล้ว แววตาเขานั้นยังเหมือนเดิม ยังส่องประกายใสเหมือนน้ำที่ไม่รู้จักขุ่น เขาทักทายและใช้คำแทนตัวฉันว่า "ครู" ด้วยน้ำเสียงออกจะเจียมตัว จนทำให้ฉันรู้สึกกระดากใจ ฉันก็เพิ่งรู้ว่าเขาทำงานหนักและเพียรพยายามอย่างมากจนได้เป็นเจ้าของร้านทำเบาะรถยนต์เล็กๆแห่งหนึ่งที่อยุธยา มีลูกน้องห้าหกคน มีงานไม่ได้ขาดมือ มีเงินได้สร้างบ้านได้ซื้อที่นาให้พ่อแม่และมีแรงใจที่อยากจะพัฒนาหมู่บ้านตน

         "เป็นไงบ้าง ดีใจด้วยนะที่ได้เป็นครู" เขาพูดออกเขินๆ อวดที่เขารู้เรื่องฉันโดยไม่สบตา

         "เป็นที่ไหนกับเล่า เรียนยังไม่รู้ว่าจะจบด้วยซ้ำ" ฉันยิ้มตอบรับ

          "อย่างเธอ เราเชื่อมือ" เขาคล้ายกำลังนึกว่าจะพูดอะไรต่อดี เขาทำท่านึก "เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ "

          "ก็ตั้งแต่จบ นายดูหล่อขึ้น" เขาหน้าแดง

          "กิจการเป็นยังไงบ้างล่ะ" อะไรบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกสนิทกับเขา

          "พอมีงานให้ทำเรื่อยๆ แต่ก็เหนื่อยหน่อย สมที่เรียนมาน้อยนั่นแหละ"

           "คนเขาไม่สนกันหรอกตรงนั้น ขอให้มีเงินเยอะๆแล้วชี้เอาว่า อยากได้อยากเป็นอะไร ว่าแต่ถ้ามีเงินเยอะใช้ไม่หมดก็แบ่งเพื่อนใช้บ้างก็ได้นะ"

           "ไม่ค่อยเหลือหรอก ก็ส่งให้แม่..อยากให้ไอ้นัยมันเรียนสูงอย่างเธอ มันจะได้เป็นเจ้าคนนายคนกับเขาบ้าง"

          "ก็ดี ..แล้วนายไม่ได้เรียนต่อที่ไหนอีกเหรอ"

          "สมองอย่างเราเธอก็รู้ อ่านหนังสือยังไม่ค่อยออกเลย ที่มีอะไรบ้างก็เพราะขยันทำงานหนักหน่อย ได้ส่งน้องเรียนสูงๆก็ดีใจแล้ว อีกอย่างถ้าเรายังพอหาพอใช้อยู่อย่างนี้ ก็อยากช่วยให้โรงเรียนบ้านเรามีสภาพดีๆขึ้นกว่านี้ เด็กๆลูกหลานจะได้ไม่ลำบากอย่างพวกเรา ไม่ต้องลำบากเข้าไปเรียนในเมือง เราอยากให้เด็กรุ่นใหม่รักโรงเรียน รักหมู่บ้าน จำได้ไหม แต่ก่อนทุกหน้าแล้งพวกเราต้องลำบากหาบน้ำเป็นกิโลวันละหลายเที่ยว นี่ถ้าทำประปาโรงเรียนสำเร็จเราคงสุขใจมาก คราวต่อไปเรากะว่าจะทำผ้าป่าหนังสือมาให้โรงเรียนบ้าง"

          "นายดีนะ..รู้จักคิดถึงคนอื่น"

          "เราไม่อยากให้คนอื่นโง่เหมือนเรา.."

          "ช่างเถอะ..ว่าแต่ทำยังไง ถึงได้เงินมาเยอะขนาดนี้"

           "ก็มีแต่คนอิสานทั้งนั้นทั่วกรุงเทพฯ รู้จักใครเราก็ไปหา ขอร้องเพื่อนๆเราด้วย แล้วยังเพื่อนของเพื่อนอีก ขยันหาหน่อยเงินแค่นี้ไม่กี่วัน แต่ก็ลงทุนหนักตอนพิมพ์ซอง เหนื่อยหน่อยแต่ก็สุขใจ"

          เราได้สนทนากันสั้นๆ แต่ก็เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ฉันรู้สึกพอใจที่ได้คุยกับเขา

          งานเลี้ยงต้อนรับผ้าป่าจัดขึ้นในตอนกลางคืน เราจัดการละเล่นหลายอย่างเพื่อหาเงินสมทบกองผ้าป่า รวมทั้งการประกวดเทพีสงกรานต์บนเวทีด้วย ครูเก่าๆที่เคยสอนพวกเราเวียนกับขึ้นไปกล่าวขอบคุณคณะผ้าป่า ขอบคุณพวกเราและวิลัย บางท่านก็เอ่ยถึงเรื่องเมื่อครั้งที่เขาเป็นนักเรียนพอเป็นที่สนุก แต่ในทีครูทุกคนแสดงออกชัดว่าภูมิใจในตัวเขามากแค่ไหน เขามีพวงมาลัยดอกคูนที่เด็กนักเรียนมอบให้เต็มคอ ห้อมล้อมด้วยชาวบ้านและผู้หลักผู้ใหญ่หลายคน เขาดูมาดมั่น ฉันไม่อาจยืนอยู่เคียงข้างเขาได้ เขาเป็นผู้ใหญ่เกินไป ยังไงเด็กก็เกรงผู้ใหญ่อยู่ดี เขาขึ้นไปกล่าวอะไรหลายอย่างบนเวที ท่าทีเขาออกจะกล้าหาญอยู่มาก พูดจาฉะฉานเรียบง่าย แต่ก็อยู่ในอากัปกิริยานอบน้อม ถ่อมตน

          ฉันเคยเชื่อว่า การศึกษาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงคนให้ดีขึ้นได้ ฉันเองก็ผยองในตัวเองเพราะความคิดนี้ แต่สำหรับเขา สำนึกที่ดีกับเวลาไม่กี่ปีได้เปลี่ยนเขาไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่เขาคิดและทำเพื่อคนอื่น ส่วนฉันยังพะวักพะวงอยู่แต่กับตัวเองไม่รู้จักจบสิ้น ฉันอยากรู้จริงๆว่าที่แท้มันคืออะไรที่ทำให้มนุษย์มีสำนึกไตร่ตรองได้ดีเลวแตกต่างกันและอะไรกันแน่ที่ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น