ในกระท่อมอันห่างไกลจากตัวเมือง เป็นดินแดนอันแสนสงบเปล่าเปลี่ยว ในเขตป่าเขาลำเนาไพรที่เขียวขจี
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าในเวลาต่อมาไม่นานก็เผยความมืดให้เห็นพร้อมกับดวงดาวที่มีแสงกระพริบระยิบระยับบนฟากฟ้า
บุรุษผู้มีนัยน์ตาสีน้ำตาล ฟันเหยเกสีเหลืองซี่หนึ่งยืนออกมา และฟ้าผ่าดังเปรี้ยงสะเทือนเลื่อนลั่น
“จงเปลี่ยนเจ้าหนูตัวกระจิดริดนี้ให้เป็นพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่”
บุรุษผู้นั้นตาเบิกโพล่ง เมื่อเจ้าหนูตัวนั้นกลายเป็นเด็กชายตัวน้อยวัย 9 ปี
ที่มีมาดเหย่อหยิ่ง  ยโส  เด็กชายผู้นั้นมองบุรุษตอบกลับแล้วเปรยว่า
“เจ้าเป็นใคร และที่นี้ที่ไหน”
“ข้าคือโปท่อมและที่นี้คือบ้านของข้า”
“เจ้าชื่ออะไรรึ”โปท่อมต่อความ
“ข้าชื่อเจ้าชายเกจิ ข้ามาที่นี่ได้ยังไงรึ” เด็กชายถามด้วยความสงสัย
“ข้าใช้เวทเรียกเจ้ามาที่นี่”
“เพื่อเหตุใด”เด็กชายถามต่อ
“เจ้าต้องช่วยให้ข้าเป็นใหญ่ในพื้นที่นี้ ฮ่า ๆๆๆๆ” โปท่อมว่าความแล้วอ้าปากหัวเราะโชว์ฟันเกที่เหลือง
“ข้าช่วยเจ้าแล้วข้าจะได้อะไรเป็นการตอบแทนล่ะ” เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงวางอำนาจ
“ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า  ข้าจะใช้เวทมนต์ฆ่าเสด็จพ่อเสด็จแม่ ของเจ้าที่ข้าจับมาทิ้งซะ”
“บอกมาจะให้ข้าช่วยอะไรเจ้า”
“ให้เจ้าใช้สมองอันปราดเปลื่องของเจ้าประกอบกับเวทมนต์อันเกร่งกล้าที่เจ้ามีช่วยข้าให้เป็นใหญ่”
“แล้วข้าจะช่วยเจ้าให้เป็นใหญ่ได้อย่างไรกัน”เด็กชายถามด้วยความงงงวย
“ให้เจ้าปราบลอร์จเลทีโบว์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งนครดอเวียเตอร์”
“ข้าจะปราบลอร์จเลทีโบว์ได้อย่างไร  เขามีเวทมนต์อันเกร่งกล้ากว่าข้ามาก และเขายังเป็นญาติข้าอีกด้วย”
“ถ้าเจ้าไม่ฆ่ามัน พ่อแม่ของเจ้าก็ต้องตาย เจ้าจะเลือกอย่างไหน พ่อ แม่เจ้า ตายหรือลอร์จเลทีโบว์ญาติของเจ้าตาย”
“ข้าก็ต้องเลือกลอร์จเลทีโบว์ตายสิ” เด็กชายตอบเสียงเคร่ง
                      เช้าวันรุ่งขึ้นเด็กชายก็ออกเดินทางไปนครดอเวียเตอร์พร้อมม้าเซ็กดำซึ่งโปท่อมได้ให้เขาไว้เพื่อให้เขาเดินทางไปถึงที่เร็วขึ้น เด็กชายเดินทางผ่านทะเลทรายอันแห้งแล้งแล้วต่อด้วยป่าไม้เขียวขจี ตลอดจนเทือกเขาเงาอดำ จนไปถึงเมืองดอเวียเตอร์  นครอันสิวิลัย ที่เป็นศูนย์ร่วมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ จึงทำให้ผู้คนต่างหลั่งไหลกันมาที่นี่ เด็กชายรู้สึกตื่นตาตื่นใจที่ได้พบผู้คนมากหน้าหลายตาประกอบกับรู้สึกทึ่งกับเทคโนโลยีใหม่ๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน เด็กชายเคยมาเมืองนี้เมื่อนานมาแล้วตอนที่เขายังเป็นเด็กชายตัวเล็กๆเล็กกว่านี้  เขาได้มากับเสด็จพ่อเสด็จแม่ที่เขารัก เพื่อที่จะมาเยื่อมลอร์จเลทีโบว์ซึ่งเป็นลุงของเขา ตอนนั้นลุงของเขาจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเจ้าหญิงราเควกับเจ้าหญิงราเชล ซึ่งเป็นฝาแฝดกัน เขาได้ไปร่วมงานด้วย   
                    เด็กชายขี่ม้าเข้าไปในเมืองแล้วตรงไปยังปราสาท ทางเข้าปราสาทต้องผ่านสะพานที่ทำจากแก้วใสและบริเวณเบื้องล่างก็คือเหวลึก มันทำให้ใครหลายคนไปกล้าที่จะผ่านไป แต่สำหรับเขาก็รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยที่จะต้องผ่านสะพายที่ทำด้วยแก้ว แต่เขาก็พยายามเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าอย่ามองลงไปข้างล่างนั่น  และเมื่อเขาเดินทางผ่านสะพานไปเขาก็เห็นตัวปราสาท ปราสาทหลังใหญ่ที่มีสีดำทะมึน แสงของดวงจันทร์ในยามราตรีสะท้อนให้เห็นป้อมปราการที่มีทหารคุมเข้มอย่างแน่นหนา ต้นไม้เลื่อยขึ้นจรดกับห้องๆหนึ่งที่มืดสนิท บนท้องฟ้าเหนือขึ้นไปมีค้างคาวบินว่อนรอบตัวปราสาทมากมาย ยิ่งทำให้ตัวปราสาทนั้นดูน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งขึ้น
เด็กชายทอดเดินเข้าปราสาทอย่างอาดหาญทุกย่างก้าวสะท้อนให้เห็นความสง่างามราวเชื้อพระวงศ์ผู้มีสายเลือดสีน้ำเงิน
“สวัสดีครับ ขอโทษที่มารบกวนผมต้องการพบลอร์ดเลธีโบว์”เด็กชายถามอย่างสุภาพแม้น้ำเสียงจะฟังดูมีอำนาจอย่างน่าประหลาด
“ท่านเป็นใคร” ทหารองครักษ์กล่าวเสียงห้าว
“ผม เป็นญาติกับลอร์ดเลทีโบว์”เด็กชายกล่าวตามความจริง
                      ภายในปราสาทอันน่าสะพรึงกลัวนั้นตกแต่งด้วยสถาปติยากรรมอันงดงามราวกับพิพิธภัณธ์  ซึ่งบนผนังปราสาทมีโคมไฟระย้าแขว้นไว้อยู่    ข้างๆชุดอัสวินมีเตาผิงไฟขนาดใหญ่มีบุรุษผู้หนึ่งนั้งอยู่ข้างเตาผิงไฟนั้นเพื่ออิงไฟ  แต่เมื่อความอบอุ่นของแสงจากเตาผิงไฟอันอบอุ่นมาต้องผิว
“เจ้าชายเกจิแห่งนครแกร์ดิเอเลอร์ ต้องการเข้าพบท่านครับ”ทหารองครักษ์ประกาศเสียงดัง
“ให้เขาเข้าพบได้”บุรุษผู้นั้นพูดเสียงแหบแห้ง
แล้วเวลาต่อมาเจ้าชายก็เข้ามาอยู่ที่ท้องพระโรง
“ท่านลุง ผมมีเรื่องมาขอร้องให้ท่านลุงช่วยครับ”เด็กชายพูดต่อ
ชายแก่ผู้นั้นยืนขึ้นแล้วมองเจ้าชายน้อย
“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรรึ”ชายแก่ผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
  เจ้าชายน้อยกลืนน้ำลายเฮือกแล้วเอ่ยความต่อ.....................ตามแผนที่เขาวางไว้
แน่ละแผนของเขาได้ผลแต่ก็ต้องสูญเสียอะไรบางอย่างที่มากมาย
การสูญเสียเมืองของลอร์ดเลธีโบว์ ............
เพื่อตกไปอยู่ในมือของโปท่อมผู้ชั่วร้าย
และชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย......
เพื่อช่วยชีวิตเสด็จพ่อเสร็จแม่ของเจ้าชายน้อย.........
บทที่2
      ดินแดนแห่งนครดอเวียเตอร์เคยรุ่งเรือง พื้นที่ชานเมือง ชาวบ้านมีรายได้จากการทำเกษตร เลี้ยงสัตว์และเสียภาษีให้กับแผ่นดินเพียงเล็กน้อย  ส่วนในเมืองมีรายได้มาจากการอุตสาหกรรม การผลิตเทคโนโลยีใหม่ๆ ชาวบ้านต่างอยู่รวมกันอย่างมีความสุข  แต่บัดนี้ได้เปลี่ยนไป หลังจากสามสี่เดือนที่แล้วเมื่อลอร์ดเลทีโบว์ได้จากไปจากสาเหตุใดมิมีใครทราบ จนทำให้เมืองอ่อนแอเนื่องจากขาดผู้นำอันเข้มแข็ง  จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการปกครองเมื่อพ่อมดโปท่อม เข้ามาทำสงครามจนได้ปกครองนครดอเวียเตอร์    หลังจากนั้นชาวบ้านต่างเดือดร้อน เนื่องจากโปท่อมจะสั่งให้พวกทหารมาเก็บภาษีในอัตรามากและนำเงินที่ได้ไปสร้างสุขให้ตัวเอง และยังเก็บภาษีอย่างพร่ำเพรื่อ 
แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้าชายองค์น้อยปลอดภัยและกับไปปกครองเมืองตน
                      ส่วนลอร์ดเลธีโบว์  เจ้าหญิงราเชล เจ้าหญิงราเควและเจ้าชายน้อยหนีไปอยู่นอกเมืองเป็นการชั่วคราวก่อนเพื่อปรึกษากันหาทางช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนและให้ลอร์ดขึ้นปกครองอีกครั้งด้วยวิธีการฆ่าโปท่อม
ตามแผนที่เขาเคยวางไว้คือ บอกโปท่อมว่าลอร์ดเลธีโบว์ตายแล้วเพื่อช่วยพ่อแม่ของเจ้าชายน้อย
และหาทางออกใหม่ที่หลัง  ทั้งสองคบคิดหาวิธีมากมายเพื่อถึงตัวโปท่อมให้ได้
สุดท้ายลงเอยแผน ให้เจ้าชายเข้าไปในปราสาทแล้วหาทางเจรจากับโปท่อมต่างๆนาๆ
และให้ลอร์ดเลธีโบว์แอบตามไปด้วย แล้วหลังจากนั้นก็จัดการฆ่าโปท่อม
“เราจะเริ่มทำตามแผนวันพรุ่งนี้” ลอร์ดเลธีโบว์เอ่ยเมื่อเจรจากันจบ
“แล้วพวกเราล่ะ  จะไม่ให้ทำอะไรเลยหรือ”ราเชลกับราเควถามพร้อมกัน
แต่ลอร์ดเลธีโบว์กลับพยักหน้ากลับเพื่อยุติการเจรจาและดำเนินแผนตามเดิม
                      ยามอาทิตย์ขึ้นจากท้องฟ้าในตอนเช้า แสงแดดรามเลียเข้ามายังผ้าม่าน
เพื่อต้อนรับยามเช้าที่กำลังจะมาถึง  เด็กชายยกแขนขึ้นมาบังแสงแดด พร้อมรับวันใหม่ที่จะมาถึงและดำเนินตามแผน
“เจ้ามาที่นี้มีอะไรรึ อย่าบอกน่ะว่าจะมาทวงความดีความชอบจากข้า และข้าขอเตือนเจ้าก่อนเลยว่าเจ้าจะไม่ได้อะไร ตามข้อตกลงเพียงข้าสัญญากับเจ้าเรื่องจะไม่ฆ่าพ่อแม่เจ้าและข้าก็ปล่อยพวกเขาไปแล้วเจ้ายังจะเอาอะไรจากข้าอีกเรอะ” โปท่อมเปรยเมื่อเจ้าชายน้อยมาถึงแล้ว
                  “แต่เจ้าต้องได้รับกรรม”เสียงห้วนของลอร์ดเลธีโบว์ผู้ ใช้เวทแปลงกายเป็นผึ้งเกาะชายเสื้อของเจ้าชายองค์น้อยเข้ามาปรากฏตัวขึ้นหลังจากโปท่อมพูดจบ  พร้อมกับชูคทาแล้วท่องมนท์  ตาโปท่อมเบิกโพล่งด้วยความประหลาดใจเมื่อเห็นลอร์ดที่ควรจะตายไปแล้วกับมายืนตรงหน้าเขา  แต่แล้วเวทที่ลอร์ดเลธีโมเสกก็ปะทะโดนโปท่อม  โปท่อมกลิ้งลงไปนอนบนพื้น แต่แล้วก็ใช้พลังที่เหลือ อยู่เฮือกสุดท้ายสวนกลับแต่พลาดไปปะทะกับเจ้าชายองค์น้อย      ช่วงเวลาที่แสนวิกิจ
ล่างของเจ้าชายองค์น้อยก็หายลับไป................................................
ไม่เหลือแม้ล่องลอย
เจ้าชายองค์น้อยตื่นขึ้นมายามเช้าของอีกวันด้วยความปวดหล้าอย่างมาก
ข้าอยู่ที่ไหนเนี่ย
เจ้าชายเกจิคิดในใจ
แต่แล้วความประหลาดใจก็วิ่งวูบเข้ามา
เมื่อเห็นสิ่งของทุกอย่างใหญ่โตมโหราฬเมื่อเทียบกับตัวของเขาแล้ว
เมื่อยักษ์เหรอ!!
“ในที่สุดเจ้าโปท่อมผู้ชั่วร้ายก็ตายลง ด้วยฝีมือของลอร์ดเลธีโบว์ แต่ก็สงสารเจ้าชายเกจิน่ะที่โดนลูกหลงอย่างนั้น ”
เสียงแหลมเล็กที่ฟังดูแล้วคุ้นหูหรือเกิน
เจ้าชายเปรยในใจ
แล้วแหงนมองต้นเสียง
เจ้าหญิงราเชลกับราเคว!!
“ฉันอยู่นี้ ” เจ้าชายเกจิตะโกนเรียกพวกหล่อน
“เธอได้ยิงเสียงอะไรไหมราเชล” ราเควถามราเชล
“ช่ายฉันก็ได้ยินน่ะ”
“หรือหูแว่ว”
“ไม่น่ะ  ราเชล ราเคว ฉันเองเจ้าชายเกจิมองลงมาข้างล่างสิ!! ”เจ้าชายเกจิยังไม่หมดความพยายามตะโกนร้องเรียกพวกหลอน
“ดูนั่นสิน่ารักจังเจ้าหนอนตัวน้อย”
ในที่สุดพวกหลอนก็เห็นเขาแล้ว เจ้าชายถอนหายใจเฮือกยาวๆอย่างโล่งใจ
“อย่าแตะมันน่ารังเกรียจออก”
น่ารังเกียจเหรอ
เจ้าชายเกจิคิดในใจแล้วก้มลงมองตัว ตัวเอง
หา!!!!!!!
แต่แล้วเจ้าชายก็ตะนักถึงความเปลี่ยนแปลง
เขาเป็นหนอน!!  ช่ายหนอนน่าเกรียดและที่แย่ที่สุดมันมีขนยาว!!
“ไม่ฉันว่ามันน่ารักออก ดูสิราเชล” ราเคว หยิบหนอน ตัวน้อยขึ้นมา
“ฉันจะตั้งชื่อให้แกว่า เอ่อ แมงโบ้ง  เป็นไง”
“เจ้ามาอยู่บ้านข้าได้ไงจ๊ะ เจ้าแมงโบ้งน้อย”
“ราเชล ราเควมานี้ลูก  พ่อมีอะไรจะบอกเจ้าสองคนแหนะ”
“อะไรเหรอค่ะ”เจ้าหญิงทั้งสองมองหน้ากันด้วยความสงสัย
“เราเลิกหาเจ้าชายเกจิเถอะเขาคงตายไปแล้ว แต่พ่อก็เสียใจกับเรื่องนี้น่ะเสียใจจริงๆ”
ลอร์ดเลธีโบว์เปรยกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสรด
“แต่เราจะบอกพ่อกับแม่ของเขายังไงดีล่ะค่ะ  เค้าคงเสียใจแย่เลย”เสียงแผ่วเบาดังมาจากราเชล
                                    บทที่3
“ฉันว่าปล่อยมันได้แล้วน่ะราเคว”
“ไม่มีทางหรอก”
เสียงดังที่ปลุกเจ้าชายเกจิให้ตื่นขึ้นมา
“ดูมันสิตื่นแล้วเพราะเจ้าปลุกมัน!”เสียงแหลมที่ดูเหมือนเสียงคำรามดังมาจากราเควนั้นเรียกให้เขามองเธอ
“นี่พวกเธอต้องช่วยฉันน่ะ” เจ้าชายเกจิพูดกับพวกหลอนด้วยเสียงดังคล้ายเสียงตะโกนก้อง
“เจ้าแมงโบ้งพูดได้ด้วย”เสียงใสของเจ้าหญิงราเชลดังขึ้น
“ฉันรู้สึกว่ามีเวทอะไรบางอย่างอยู่แถวๆนี้ด้วย แล้วเจ้าล่ะรู้สึกไหม”
“ช่ายจริงด้วย มันอยู่ใกล้ๆนี่เอง”
“นั่นเจ้าแมงโบ้ง!!”เสียงสองเสียงเปรยพร้อมกันราวกับนัดแนะ
“เจ้าถูกสาป แย่จังเลยน่ะเจ้าแมงโบ้ง” น้ำเสียงฟังดูหวานหูดังมาจากราเชล
“ข้าบอกแล้วว่าข้าคือเจ้าชายเกจิ เรียกเกจิสิ” น้ำเสียงตวัดห้วนคราวนี้ดังมาจากเจ้าชายเกจิ
“แต่ข้าจะเรียกเจ้าว่าเจ้าชายเกจิก็ต่อเมื่อเจ้าเปลี่ยนร่างแล้วเท่านั่น และในเมื่อตอนนี้เจ้ายังเป็นหนอนข้าก็จะเรียกเจ้าว่าแมงโบ้ง” เจ้าหญิงราเควเอ่ยบ้างด้วยน้ำเสียงยั่วโมโห
แล้วทั้งสองก็หัวเราะเมื่อเห็นสภาพของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กลายเป็นหนอนผู้ต่ำต้อยที่ยังวางภูมิอยู่
“เออ พวกเจ้าอยากเรียกอะไรข้าก็เรียกไป” คำพูดต่อมาของเจ้าชายเกจิก็ทำให้เจ้าหญิงทั้งสองพระองค์หยุดหัวเราะ
“โธ่ พวกเราขอโทษเจ้าแมงโบ้ง ” เจ้าหญิงราเชลเปรยก่อนกลับไปหัวเราะอีก
“แต่พวกเจ้าต้องช่วยข้าน่ะ”
“ช่วยอะไรรึ”
“ร่วมพลังเวทกัน แล้วเสกข้าให้กลับไปอย่างเดิมไง”
“จันทราและพลังวิเศษทุกสรรพสิ่งจงมารวมกันที่นี้ แล้วเปลี่ยนเจ้าหนอนให้กลับไปเป็นเจ้าชายเกจิคนเดิม” แต่แล้วแสงสว่างรอบๆก็พลันรวมตัวกันแล้วตรงไปที่ร่างหนอนแมงโบ้งนั้น
ร้อน โอย! เจ็บ!
คำสบถที่หลุดมาจากเจ้าชายเกจิก็ดังขึ้นหลังจากความเงียบสงบบังเกิดขึ้นมานาน
“เย่ เหมือนเดิมแล้ว”
“ช่าย”
แอ๊ด!!
“ทำอะไรกันอยู่เด็กๆ” ลอร์ดเลธีโบว์ก้าวเดินเข้ามาในห้อง
“พ่อดูนี่สิเจ้าชายเกจิ” เจ้าหญิงราเชลเปรยขึ้น
“ไม่เห็นมีอะไรเลย”ไง
“ก็นี้ไง
”เจ้าหล่อนชะงังเมื่อหันกลับไปดูเจ้าชายเกจิ
แล้วตาของเจ้าหญิงก็เบิกกว้าง
เจ้าหนอนแมงโบ้ง!
ทำไมเป็นแบบนี้
ก็เมื่อกี้....
ความประหลาดใจแล่นเข้าแวบหัวใจเจ้าหญิง
  ลอร์ดเลธีโบว์เปรย “เวทที่พวกเจ้าใช้ถอนคำสาปนั้นถอนได้แค่ครึ่งนึงเท่านั้น”
“เจ้าจะกลายเป็นมนุษย์ในตอนกลางคืนส่วนกลางวันเป็นหนอน”
เพราะฉะนั้นเจ้าต้องหายาสมุนไพรถอนพิษ”
“ข้าช่วยได้อย่างมากก็แค่คำแนะนำเท่านั้น”ลอร์ดเลธีโบว์เอ่ยเสียงเข้ม
“มันอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
และแล้วเจ้าหญิงราเคว เจ้าหญิงราเชล และเจ้าชายเกจิก็ออกเดินทางไปสิวิลัย
เมืองวารีสิวิลัย
นี้เหรอ?
เจ้าชายเกจิคิดในใจขณะกวาดตามองรอบๆ  มันเป็นทะเลสีเขียวสดใสระยับเมื่อน้ำทะเลนั้นต้องแสงแดดราวของล้ำค่าที่อยู่แสนไกล
“นี่คิดเรอะว่าที่นี่เป็นเมืองวารีสิวิลัย” เสียงใสดังขึ้นจากเจ้าหญิงราเชลเมื่อเห็นสีหน้าฉงนของเจ้าหนอนแมงโบ้งที่อยู่บนฝ่ามือของเธอ
“พวกเราเคยไปมาแล้วน่ะ” เจ้าหญิงราเชลรีบแจกแจงเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจจากเจ้าแมงโบ้ง
“เราต้องลงไปใต้น้ำ และโน้นทางไป  ” หลอนชี้ไปในทะเลอันกว้างใหญ่ และพึมพำมนต์บางอย่าง
“ฟลอน่าราเวล” แล้วฟองอากาศขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นรอบๆตัวหล่อน
“ฟลอน่าราเวล” เจ้าหญิงราเควพูดบ้าง
ฟองอากาศรอบๆตัวนั้น สามารถป้องกันน้ำได้หายห่วงเลย
แล้วทั้งสามคนก็พร้อมเดินทางไปยังเมืองวารีสิวิลัย
“พวกเจ้าเคยมาที่เมืองวารีสิวิลัยกันด้วยรึ”เลียงเปรยจากเจ้าหนอนแมงโบ้งดังขึ้นหวังชวนคุย
“ช่ายตอนที่เรายังเป็นเด็กเล็ก”เสียงใสจากเจ้าหญิงราเควดังขึ้นแล้วต่อความต่อ
“มันสนุกมากเลย สวยงาม และแสนจะสงบ”
“ดูนั้นนางเงือก มันสวยสง่างามแต่....
.”เสียงใสจากเจ้าหญิงอีกพระองค์จะต่อความต่อแต่ก็หยุดลงเมื่อนางเงือกนั้นตรงดิ่งมายังทั้งสามคน
“แต่อะไร?” น้ำเสียงประหลาดใจดังมาจากหนอนแมงโบ้งที่โพล่ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อ
“อ้า!  หนีเร็ว มันกำลังหิว” เจ้าหญิงทั้งสองรีบว่ายไปตามสายน้ำโดยมีเจ้าแมงโบ้ง
ที่ดูจะสบายสุดที่เอาแต่นอนกินแรงอยู่ในกระเป๋าเสื้อของราเชล
“มันไปรึยัง”เจ้าแมงโบ้งตะโกนถามเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง
“ยังเลย” เจ้าหญิงกระซิบ
“มันต้องการอะไรเหรอ” เจ้าแมงโบ้งถามด้วยความสงสัย
“เพราะต้องการกินเราน่ะสิ เมื่อมันหิวมันจะไม่ปราณีปราสัยเลยเมื่อเห็นมนุษย์มันจะกินอย่างเดียว
แต่ถ้ามันอิ่มแล้วมันจะเป็นเงือกที่ใจดีผิดกันเลยล่ะ” เจ้าหญิงราเควอธิบายเป็นเสียงกระซิบ
“แต่มันหิวไม่บ่อยหรอก กระเพาะมันเล็กน่ะ เราซวยเกินไป มันกินอาหารทีปีละหนเอง”
เจ้าหญิงราเชลเปรยต่อด้วยเสียงที่แผ่วเบา
“อ้า ข้าเจออาหารอันโอชะสำหรับปีนี้แล้ว” เสียงๆหนึ่งดังขึ้น
นางเงือก!
เราตายแน่!!
“หนีเร็ว!  ว่ายตามมาราเชล”ราเควว่ายน้ำด้วยความเร็วจี๋อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“ทางนี้!!” ทั้งสองว่ายกระหืดกระหอบด้วยความเร็วตามสันชาติญาณการเอาตัวรอด
“เร็วซิ! ว่ายไปถึงช่องแคบนั้นก็จะลอดแล้ว”ราเชลพูดด้วยเสียงแทบตะโกนด้วยความหวาดกลัว
เมื่อเห็นนางเงือกนั้นว่ายตาวราเควติดๆ 
“ยื่นแขนมาราเคว” ราเชลบอกราเควเมื่อเธอถึงช่องแคบนั้นแล้วซึ่งราเควก็รีบทำตามทันทีแต่แล้วนางเงือกก็กัดเข้าที่ฟองอากาศของราเคว! ฟองอากาศที่ห่อหุ้มรอบๆราเควก็แตกโพลก !
กริ๊ด!!!
ราเควกริ๊ดเสียงดังลั่นแล้วหล่อนก็สำลักน้ำ แล้วไอโคก เคก
“โนเลซ” เจ้าหนอนแมงโบ้งรีบร่ายเวท
สำเร็จ! เจ้านางเงือกรีบปล่อยขาของราเควเมื่อปากของมันกำลังบิดเบี้ยว
อ้า!!!!!!!!!!!!
มันร้องด้วยความตกใจละคนประหลาดใจ
ราเชลรีบดึงราเควให้ห่างจากเจ้านางเงือกแสนร้ายกาจนั้น
“ฟลอน่าราเวล ” ราเชลร่ายเวทไปที่ราเควแล้วฟองอากาศก็ปรากฏกายขึ้นรอบตัวราเคว
“เป็นอะไรมากไหม” แมงโบ้งถาม
“บาดแผลนิดหน่อยน่ะ” แล้วราเควก็เอามือตัวเองไปจับที่แผลตรงขาแล้วร่ายเวทแผลเป็นนั้นก็หายไปในพริบตา
“ทำไมมันถึงไม่ตามมาถึงช่องแคบนี้ล่ะ” เจ้าหนอนแมงโบ้งถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“นายอยากให้มันตามมาฆ่าพวกเราถึงที่นี้รึไง”ราเควตะคอกใส่เจ้าหนอนแมงโบ้ง
“ใจเย็นหน่าราเคว เรารอดมาได้ก็เพราะแมงโบ้งน่ะ”ราเชลบอกราเควแล้วหันมาคุยกับแมงโบ้ง
ที่หล่อนเอาออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้ว
“ที่มันไม่มาถึงที่นี้ก็เพราะเลยช่องแคบไปแล้วมันจะเป็นป่าน้ำมีพิษ แต่พิษสำหรับพวกมันน่ะไม่ใช่มนุษย์อย่างพวกเรา พิษแบบนั้นไม่มีผลกับพวกเราและป่าน้ำนี้นี่แหละที่เรามาตามหาสมุนไพร”
“เดี๋ยวเราเข้าไปเก็บสมุนไพรก็กลับได้แล้วล่ะ”
แล้วทั้งสองก็แยกย้ายไปเก็บสมุนไพรที่ต้องการแล้วมุ่งหน้ากลับปราสาทของลอร์ดเลธีโบว์
บทที่4
“เรากลับมาแล้วค่ะ ท่านพ่อ” ราเควตะโกนร้องเรียกแต่คำตอบก็กลับมาเป็นความเงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ดูนั้นราเชล”  ราเควชี้ไปที่โต๊ะทำงานของท่านพ่อ 
มันเป็นจดหมาย
ราเชลคิดในใจแล้วเดินตรงเข้าไปเปิดอ่านจดหมายทันที
  ถึง ราเชลและราเคว
           
                  พ่อต้องเดินทางไปปราสาทฮอสกิ้นส์ทางตอนใต้อย่างเร่งด่วนเมื่อลูกกลับมาจากเมืองวารีสิวิลัยแล้วลูกก็คงได้สมุนไพรมาแล้ว    ลูก ดูในตำราอีกแผ่นหนึ่งที่พ่อเขียนไว้  ถ้าลูกทำตามทุกอย่างแล้วเจ้าชายก็จะถูกถอนคำสาป
ปล.พ่ออาจจะกลับมาอีก5วันข้างหน้า
                                         
                              จาก ลอร์ดเลธีโบว์
“นี้ใช่ไหม” ราเควถามราเชลเมื่อหล่อนอ่านจบ
“อาจใช่”เสียงเจ้าชายเกจิดังขึ้น  ทั้งราเชลและราเควก็หันกลับไปมองเจ้าชาย
ทำไมเป็นร่างเจ้าชายเกจิ?
ใช่แล้วนี้คือตอนกลางคืน เจ้าหนอนแมงโบ้งเลยเปลื่ยนร่างกลายเป็นเจ้าชายคนเดิม   
คำสาปที่พวกเราช่วยกันถอนไปแล้วครึ่งหนึ่งเลยทำให้เป็นแบบนี้
แต่ทั้งสองก็หันกลับไปสนใจแผ่นกระดาษอีกแผ่น
         
  การแก้คำสาป สามัคคีกัน ไว้จงดี
                    แล้วทุกอย่างจะกลับคืนดั่งเดิม
                        แล้วเจ้าจะเห็นคุณค่าของคำว่ามิตรภาพ
“มันหมายความว่าอะไร”
“ช่างเหอะน่าพรุ่งนี้ค่อยหาวิธี  ดึกแล้วไปนอนกันก่อนดีกว่า” เจ้าหญิงราเชลเปรยเมื่อก้มมองนาฬิกาข้อมือ
ดวงจันทร์ในยามค่ำคืนส่องแสงสว่างสะท้อนให้เห็น ดวงดาวในท้องฟ้าที่เป็นประกายระยิบระยับ
“ขอให้พรุ่งนี้เป็นไปดังคาดหวังเถอะ”เจ้าชายเกจิอธิฐาน
หยาดน้ำฝนที่ค้างบนใบไม้ใบหญ้าตกลงมากระทบหลังคา แหมะๆ
เสียงนกประสานเสียงกันในยามเช้าตรู่ ฟังดูนุ่มนวลน่าฟัง เมื่อฝนหยุดตกแล้ว
ดวงอาทิตย์ก็สาดแสงทำให้เกิดรุ้งกินน้ำสีขึ้น แสงแดดอ่อนในยามเช้าสาดส่องเข้ามาภายในห้องนอนอันโอ่โถง 
“อรุณสวัสดิ์ นอนกันอยู่อีกเรอะราเชล ราเคว” เสียงทุ้มนุ่มดังมาจากเจ้าชายเกจิ
“ดูฉันสิกลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมแล้ว” เสียงนั้นยังต่อความต่อ
“เงียบๆหน่อยหน่าเจ้าแมงโบ้งเรากำลังนอนอยู่ไม่เห็นเรอะ ไปไกลๆเลยไป่”เสียงแหลมจากเจ้าหญิงราเชลดังขึ้น
โซรก!!
“อ้า!  หนาว! น่ะ”
“ช่ายเอาน้ำมาสาดพวกเราทำไม....” แล้วเจ้าหญิงทั้งสององค์ก็ลืมตาขึ้น
แล้วจ้องเจ้าชายเกจิ
“ทำไมนายเป็นคนล่ะ!”น้ำเสียงประหลาดใจดังขึ้นจากเจ้าหญิงราเคว
“ฉันเข้าใจข้อความในจดหมายนั่นแล้วที่  สามัคคีกัน ไว้จงดี
  แล้วทุกอย่างจะกลับไปเป็นดั่งเดิม  แล้วเจ้าจะเห็นคุณค่าของคำว่ามิตรภาพ”
“ที่ท่านลุงให้เราไปเก็บสมุนไพรที่นครวารีสิวิลัยนั้น จริงๆแล้วต้องการให้เราสามัคคีและเป็นมิตรที่ดีต่อกันแล้วเวทที่เจ้าสองคนและข้ารวมกันก็จะบังเกิดผลอย่างเติมประสิทธิภาพ”
วันรุ่งขึ้นเจ้าชายเกจิก็ขอบคุณเจ้าหญิงทั้งสองที่ช่วยเขาพร้อมๆกับบอกลาพวกเธอแล้วเขาก็ออกเดินทางไปหาครอบครัวที่แสนอบอุ่นของเขา
จบบริบูรณ์บาม
                                                                                                                                                                                                                                                                              แด่นันทนาเพื่อนผู้แสนดีฟันเหยิน ปัจจุบันไม่ใส่แว่น
                                                                                                      ผู้จุดประกายเรื่องราว
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น