ตอนที่ 3 : (sf ; au Thai) Lily Amour | 02/??
Mindmint Part’s
“เจ๊มายด์ พี่วิท ผมนั่งด้วยดิ่” ผมเงยหน้าจากมื้อเที่ยงเพื่อมองตามเสียงแหบทุ้มของโอ๊ตที่เริ่มคุ้นหูเพราะได้ยินบ่อยในช่วงสองเดือนมานี้ ก่อนจะฉีกยิ้มให้เด็กผิวเข้มเป็นเชิงอนุญาต
“ช่วงนี้ตัวติดกับพวกกูจังน้า ไอ้โอ๊ตน้า” ผมได้ยินเสียงวริศ หรือผัวพี่วิท หรือที่เรียกสั้นๆ ว่าไอ้วิท เพื่อนสนิทของผมร้องโอดโอย เมื่อน้องโอ๊ตผลักไหล่มันเข้าเต็มแรง “ตั้งแต่เลิกกลัวอีเจ๊มายด์มิ้นแล้วเอาใหญ่เลยนะมึงนะ”
“ก็ผมอยากนั่งกินข้าวด้วย ไม่ได้ไง” โอ๊ตถามนิ่งๆ ด้วยหน้าตากวนตามประสา “แล้วก็.. ไม่เคยกลัวเจ๊มายด์สักหน่อย”
ผมหลุดขำให้กับประโยคหลังที่ถูกเอ่ยด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา แต่ผมได้ยินนะ
“กลัวอะไรเจ๊อ่ะคะน้องโอ๊ต เจ๊สวยนะ รวยด้วย” ผมฉีกยิ้มหวานหยดที่สุดในชีวิต พร้อมวางนิ้วชี้แนบไล้ไปบนแขนสีแทนของรุ่นน้อง “พร้อมเปย์โอ๊ตด้วยจ้ะ” และตบท้ายด้วยการกัดปากขยิบตาให้โอ๊ตหนึ่งที
“เนี่ย น่ากลัวน้อยที่ไหนวะเจ๊” โอ๊ตย่นคอหดแขนหนีสัมผัสจากนิ้วผมอย่างรวดเร็วพลางหัวเราะเสียงดัง
อาจเป็นภาพแปลกตาของคนในออฟฟิศในช่วงแรกที่โอ๊ตและผมมานั่งกินข้าวด้วยกันยามพักเที่ยง ด้วยกิตติมศักดิ์ความไม่ถูกกันของแผนกการตลาดและกราฟิก แถมผมกับโอ๊ตยังเคยปะ ฉะ ดะ กันเรื่องงานทั้งในที่ประชุมและวงเหล้า จึงดูเป็นไปได้ยากที่จะมาญาติดีกันนอกเวลางาน
คงต้องขอบคุณอุบัติเหตุจากความเมาในคืนวันศุกร์นั้น ที่ทำให้ผมได้รุ่นน้องกวนตีนๆ ที่เพิ่งมาค้นพบว่าคุยถูกคอและสไตล์คล้ายคลึงกันมาเพิ่มอีกหนึ่งคน
“เจ๊มายด์ อ่ะให้”
ผมเงยหน้ามองโอ๊ตพลางเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เมื่ออยู่ๆ ไอ้เด็กผิวเข้มก็ตักกับข้าวที่ตนพกมาจากบ้านแบ่งให้ผมเสียพูนจานอาหารเที่ยง
“ใบเหลียงผัดไข่ เห็นบ่นว่าอยากกิน” โอ๊ตตอบซื่อๆ ก่อนจะก้มลงไปสนใจมื้อกลางวันของตัวเอง ทิ้งผมไว้กับความงุนงงระคนดีใจเล็กๆ
จากที่ได้พูดคุยกับโอ๊ตมา ทำให้ทราบว่าพื้นเพที่บ้านผมและโอ๊ตเป็นคนใต้ ผมเกิดและเติบโตที่สงขลา ในขณะที่โอ๊ตเกิดที่ภูเก็ตแต่ครอบครัวย้ายมาทำงานที่กรุงเทพ โอ๊ตจึงเติบโตที่นี่ แต่เจ้าตัวกลับไปเยี่ยมญาติภูเก็ตบ่อยๆ และแหลงใต้คล่องมากทีเดียว
ผมคงเคยบ่นๆ กับน้องมันว่าอยากกินใบเหลียงอยากกินแกงเหลือง อาหารใต้อร่อยๆ ในเมืองนี้มันหาซื้อหากินยากอะไรเทือกนั้น
แต่ก็ไม่คิดว่าน้องมันจะจำได้นี่นะ...
อยู่ๆ ความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในใจของผมเงียบๆ
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรมึงวะมายด์ ผู้ชายตักกับข้าวให้ มันต้องสะดิ้งเบอร์นี้เลยหรอ” เสียงมารเสียงนรกของไอ้วิททำให้ผมต้องเงยหน้าจากจานข้าวเพื่อแย่งเก๊กฮวยในแก้วน้ำของมันมาดูดอึกเดียวจนหมดแก้ว!
“อิเจ๊ อิใจบาป มึงมันใจคดใจชั่ว!!! นั่นน้ำเก๊กฮวยที่ณดาวต้มใส่กระติกมาให้กูนะโว้ย” ผมมองหน้าตาบุบบี้ของวิทแล้วหัวเราะหึใส่มันอย่างสะใจ
“โวยวายเก่งจังวะพี่วิท มึงมีอีกหลายกระติกตั้งอยู่ที่โต๊ะพี่มึงอ่ะ ขี้เวอร์มาก ทำเหมือนเป็นแก้วสุดท้ายบนโลกนี้” ผมหันไปแท็กมือกับโอ๊ตเพราะมันพูดถูกใจ น้ำเก๊กฮวยที่น้องณดาวต้มมาให้ไอ้วิทย์น่ะ เยอะพอเลี้ยงได้ทั้งออฟฟิศเป็นอาทิตย์เชียว
“มันคือความรักของกูไง พวกมึงมันจะไปเข้าใจอะไรอ่ะ คนนึงก็เพลย์บอย— ขอโทษจ้ะ เพลย์เกิร์ล อีกคนก็เป็นไอ้หนุ่มไม่ชอบผูกมัด” วิทบุ้ยปากใส่ผมกับโอ๊ต คิดว่าทำหน้าแบบน่ารักตายห่าแล้วมั้ง
“ถ้าไม่หยุดทำหน้าเหมือนตีนนะวิท กูจะเอามึงมาเป็นผัว” บทสมนาต่อล้อต่อเถียงในมื้ออาหารเงียบลงตรงนั้น เพราะวิทคงขยาดและระอาในคำขู่ของผมมาก
“เดี๋ยวกูออกไปซื้อขนมกับณดาวนะ พวกมึงเอาไรข้างนอกมั้ย” ไอ้วิทที่กำลังจัดผมขยับไทด์ถามผมกับโอ๊ตด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดีที่ปิดไม่มิด
“ขอบคุณนะที่อุตส่าห์นึกถึงกู แต่ไม่ฝากหรอกจ้ะ สวยๆ โสดๆ ไดเอท” ผมจีบปากจีบคอตอบมันด้วยความหมั่นไส้ตามประสา
“ฝากซื้อบุหรี่หน่อยดิ่พี่วิท” ผมแอบลอบมองหน้ารุ่นน้องเล็กน้อย “เอาแอลเขียว*ซองนึง”
“คือกลับมาดูดอีกแล้วหรอวะโอ๊ต” วิทเปลี่ยนน้ำเสียงในการถามและมองโอ๊ตด้วยสีหน้าจริงจัง
“อือ เครียดๆ ว่ะพี่” คนเด็กที่สุดตอบอ้อมแอ้มเมื่อเห็นรุ่นพี่ที่ตนสนิทถอนหายใจเฮือกใหญ่
“กูขอเลยนะ อย่าดูดวันละซองเหมือนตอนนั้นอีก สัญญากับกู” ผมมองคนสองคนสลับกันกับบทสนทนาที่ผมยังไม่ใคร่เข้าใจดี แต่ไม่ได้เอ่ยปากถามออกไป
“จะพยายามนะพี่” โอ๊ตเงียบไปในขณะที่วิทก็ไม่ได้เอ่ยอะไรตอบ
“งั้น กูฝากซื้อลูกอมหน่อยดิ่” ผมเอ่ยทำลายความเงียบ “เลี้ยงลูกอมเมียสักแท่งสิคะวิทคะ” ผมยิ้มกรุ้มกริ่มให้เพื่อนสนิท
“อ่ะ มึงจะฝากกูซื้ออะไร พูดดีๆ อิเจ๊ อะไรอมๆ แท่งๆ” อีวิทมีสีหน้าลามกจกเปรตอย่างปิดไม่มิด
“จูปาจุ๊บส์ไง มึงคิดไรอ่ะวิท” ผมฟาดมือลงบนแขนเพื่อนไม่เบาไม่แรงนัก และแอบเหลือบมองรุ่นน้องผิวเข้มที่ยังคงมีสีหน้าเครียดขึงอยู่ “เอา 5 แท่ง”
“เออๆ เดี๋ยวกลับมาแล้วแวะเอาไปให้ที่โต๊ะมึงนะ” ผมพยักหน้าเออออให้ไอ้วิทที่แยกตัวออกไป ทำให้ตอนนี้บนโต๊ะอาหารเหลือเพียงแค่ผมและโอ๊ต “ขึ้นออฟฟิศเลยป่ะโอ๊ต”
“ยังอ่ะเจ๊ ผม…” โอ๊ตอึกอักเล็กน้อยเมื่อสบตากับผมเข้า “ยังไม่อยากกลับขึ้นไปว่ะพี่”
“ตึงอะไรกับคนในทีมป่ะเนี่ย” ผมเลิกคิ้วมองโอ๊ตที่เม้มปากแน่นสนิท “มีอะไรเล่าเจ๊ได้นะโอ๊ต เจ๊ทีมโอ๊ตเลยนะ! กราฟิกกับมาเก็ตติ้งน่ะ ไม่ถูกกันอยู่แล้ว” และผมก็พูดด้วยน้ำเสียงหยอกล้อที่ใจดีและผ่อนคลายที่สุดเท่าที่คนปากกรรไกรแบบผมจะทำได้
ก็ดูไอ้โอ๊ตหน้างอ คิ้วย่นพันกันขนาดนั้น ใครจะไปคาดคั้นเสียงแข็งไหววะ
“จะมาทีมผมอะไรเนี่ย ผมเป็นมาเก็ตติ้งไงพี่” โอ๊ตหลุดหัวเราะนิดหน่อยแล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ บรรยากาศเครียดขึงรอบตัวเด็กนั่นดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย
“ผมจะขึ้นไปดาดฟ้า ถ้าเจ๊อยากฟังเจ๊จะตามมาก็ได้ครับ”
ผมเดินขนาบข้างโอ๊ตขึ้นไปบนดาดฟ้าอย่างเงียบเชียบ พร้อมกรอกตามองบรรยากาศดาดฟ้าตึกสำนักงานตอนเวลาเที่ยงสี่สิบด้วยความเหนื่อยอ่อน โอ๊ตพาผมไปหยุดยืนอยู่ตรงโซนที่มีสแลนกันแดดพาดบังแดดไว้ ม้านั่งตัวยาวสองตัวถูกจัดชิดเข้ามุมกำแพงด้านหนึ่ง พร้อมกับกล่องเขี่ยบุหรี่ที่ทำจากสเตนเลสสภาพสมบุกสมบัน
เป็น Smoking area ของพวกสิงห์อมควันในตึกสำนักงานแห่งนี้
“ทำไมขึ้นมาดูดบุหรี่บนนี้ตอนเที่ยง ไม่ร้อนรึยังไง” โอ๊ตส่ายหัวแทนคำตอบขณะทิ้งสะโพกพิงกับผนัง และเคาะเอาบุหรี่มวนสุดออกจากกล่องบุบบี้ ก่อนจะสอดมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตนเพื่อควานหาไลท์เทอร์
“เจ๊ มีไฟแช็คป่ะ ผมลืมพกออกมาว่ะ”
“คิดว่าคนแบบเจ๊เนี่ย—”
“ต้องมีสิ ผมเคยเห็นเจ๊สูบอ่ะ ตอนไปเอ้าท์ติ้ง” โอ๊ตเอ่ยขัดทันทีที่ผมเริ่มจีบปากจีบคอพูดปฏิเสธการพกไฟแช็ค
“เออ เบื่อนัก พวกผู้ชายรู้ทัน” ผมโยนไฟแช็คสีขาวในกระเป๋าให้รุ่นน้องผิวเข้ม และเริ่มกวาดสายตามองโดยรอบอีกครั้ง ก่อนที่จะหยุดสายตาไว้ที่รุ่นน้องตรงหน้า
ควันกลิ่นนิโคตินที่ลอยปะปนมาในอากาศ ลมร้อนช่วงเดือนกรกฎาพัดมากระทบผิวกาย กับร่างของโอ๊ตที่ถูกอาบไล้ด้วยเงาจากแสงแดดที่ลอดผ่านสแลนกันแดดเข้ามา
“เจ๊เคยรู้สึกป่ะ แบบเออกูไม่ควรอยู่ที่นี่เลยว่ะ พยายามเท่าไหร่แม่งก็ยังไม่ดีพอสักที”
ผมสัมผัสได้ถึงความเหนื่อยล้าในเสียงทุ้มนั้น
“เหมือนกับว่าเรายืนอยู่และเดินตามเงาของคนที่เราไม่รู้จักแม้แต่ชื่อ เหมือนตัวตนของเราที่เป็นอยู่มัน.. โคตรไร้ค่า” โอ๊ตเงียบเสียงลงขณะอัดควันบุหรี่เฮือกใหญ่เข้าปอด “ผมแม่งกำลังรู้สึกแบบนั้นเลยว่ะเจ๊ ผมอยากยอมแพ้แล้ว ทำไมผมต้องมาอยู่ที่นี่วะ”
ผ่านไปสักพักโอ๊ตก็ขยี้ก้นบุหรี่ลงในกล่องเขี่ยบุหรี่ แล้วหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ ผม น้องค่อนข้างเหม่อเพราะไม่ได้รู้สึกถึงสายตาของผมที่มองจ้องตนอยู่เลยแม้แต่น้อย
“ถ้ามันเหนื่อยก็พักก่อนโอ๊ต” ผมไล่สายตาไปตามโครงหน้าด้านข้างของรุ่นน้อง “ยังไงเจ๊ก็เชื่อว่าที่ผ่านมา โอ๊ตทำเต็มที่มาตลอด”
คิ้วเข้มเป็นโครงชัด ดวงตาเรียวรีทีดูคมดุด้วยหางตาที่ปาดเฉียงขึ้นสูง จมูกโด่งเป็นสันตรง ขี้แมลงวันเม็ดเล็กบนโหนกแก้มข้างซ้าย รับกับสันกรามคมชัดแบบผู้ชาย
“ถ้าสิ่งที่โอ๊ตกำลังพยายามทำมันคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับงานของโอ๊ต เจ๊เชื่อว่าเวลาและโอกาสที่เหมาะสมจะมาถึงโอ๊ตในอนาคตนะ” ผมฉีกยิ้มน้อยๆ เมื่อรุ่นน้องหันมาสบตา “แต่ถ้าถึงจุดนึง ถ้าที่นี่มันไม่พอดีกับตัวโอ๊ต ก็อย่าเสียดายมัน เชื่อมั่นในทางที่ตัวเองเลือกนะคะ”
“อื้ม ขอบคุณนะครับเจ๊มายด์” โอ๊ตพยักหน้ารับพลางมองตอบผม
ผมกำลังรู้สึกแปลกประหลาด ความรู้สึกวูบวาบ มันเป็นความรู้สึกปั่นป่วนในอก เพียงแค่เพราะโอ๊ตยกยิ้มตอบกลับมา
อาจจะเป็นเพราะเขี้ยวซ้ายเล็กๆ ที่โผล่ออกมายามที่ปากหยักนั้นขยับ หรือเพราะรอยบุ๋มเล็กๆ เหมือนที่หนวดแมวบนแก้มซ้ายที่ปรากฎขึ้นเมื่อเด็กนั่นยิ้มกันแน่
“...มายด์” ผมสะดุ้ง “…เจ๊มายด์” แล้วหันไปมองต้นเสียง
“กลับออฟฟิศกันเจ๊ หมดพักเที่ยงแล้ว” โอ๊ตเดินนำผมออกจากดาดฟ้าไป ผมที่ยังคงรู้สึกมึนเบลออยู่ได้แต่เดินตามไปเงียบๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องแผ่นหลังกว้างของรุ่นน้องที่เดินนำหน้าอยู่ไม่วางตา
“พี่มายด์ ตามหาตั้งนานแน่ะ อย่าลืมเตรียมตัวนะคะ ประชุมบ่ายครึ่งค่ะ” ผมเพิ่งมาได้สติเต็มร้อยก็ตอนที่เข้ามาในออฟฟิศแล้วได้ยินเสียงหวานๆ ของน้องทราย น้องในแผนกดีไซน์เตือนเรื่องประชุมบ่ายนี้
“โอเคจ้ะ เจ๊เตรียมแล้ว” ผมส่งยิ้มให้รุ่นน้องสาวแล้วนั่งลงประจำที่เพื่อเริ่มตรวจสอบข้อมูลที่จะใช้ประชุม พลางเหลือบไปเห็นจูปาจุ๊บส์รสเดียวกันจำนวน 5 แท่งที่วางอยู่บนโต๊ะ ใจหนึ่งก็นึกอยากจะถามแกมด่าไอ้เพื่อนวริศตัวดีว่า ลูกอม 5 แท่งนี้ซื้อคละหลายรสมาไม่ได้หรือไง แต่ก็ทำได้เพียงหยิบเจ้าลูกอมแท่งเล็กมาแกะชิม
‘Strawberry cream’
“หวานจังวะ” ผมพึมพำกับตัวเองทั้งที่ยังคาบลูกอมไว้ในปาก “แดกเยอะตัดขาแน่มายด์” แต่สุดท้ายก็กินจนหมดอยู่ดี
เพราะผมน่ะชอบกินของหวานมากจริงๆ
.
.
.
.
.
.
.
“โว้ย กลับบ้านสักทีค่า มีโอทีให้กูมั้ยคะถ้าจะเลิกประชุมเลทขนาดนี้” ผมบ่นกับไอ้วิทด้วยน้ำเสียงที่ค่อนไปทางกระซิบ ใครจะไปบ่นเสียงดังกันเล่า!
อยากทำงานน้อยๆ ได้เงินเดือนเยอะๆ ขอแค่นี้ให้กันได้มั้ยคะ
“เบาน้ากะเทย กูไม่อยากโดนไล่ออกน้า ออกแล้วกูจะเอาอะไรแดก” วิทคลายไทด์ที่ถูกผูกไว้ทั้งวันพลางปลดกระดุมข้อมือเชิ๊ตออก “วันนี้กูไปกินข้าวกับณดาวนะ เมียน้อยไม่ต้องรอนะคะ”
“ใครเค้ารอมึง คนอย่างมายด์มิ้นไม่เคยรอใครค่ะ ผู้ชายมีเยอะแยะค่ะ” ผมสะบัดผมทิพย์ทัดหูใส่อีวิทด้วยอินเนอร์เกินร้อย “ถ้าไม่ต้องกลับพร้อมมึงกูก็ไม่รีบแล้ววันนี้” ผมเก็บของใส่กระเป๋าโดยไม่ลืมกวาดลูกอมที่เหลือใส่ลงในกระเป๋ากางเกง
“เดี๋ยวนะ ไฟแช็คไปไหนวะ..” ผมล้วงมือลงในกระเป๋ากางเกงอีกข้างเพื่อตามหาไลท์เทอร์สีขาวอันเก่ง “มึงยังพกไฟแช็คป่ะวิท” ผมหันไปเลิกคิ้วมองไอ้เพื่อนสนิทตัวดี
“ไม่ต้องมามองหน้ากูเลย ไม่ได้พกแล้ว เลิกแล้วจริงๆ ว่ะ” ผมพยักหน้าให้นายวริศ คนดีคนเดียวของน้องณดาว เป็นเรื่องดีๆ ที่ไอ้วิทเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างเด็ดขาด ด้วยพลังแห่งรักหรืออะไรก็ตามที่ไอ้วิทนิยามว่าคือ น้องณดาว
สำหรับผม ความรักมันไม่ใช่เรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไร แต่ก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความรักคือสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนทำสิ่งต่างๆ ที่ยากแสนยากให้สำเร็จได้
ส่วนคนอย่างผมที่ไม่ศรัทธาในความรักและไม่มีแรงบันดาลใจในการเลิกบุหรี่ก็ยังคงตามหาไฟแช็คต่อไป ผมกวาดตามองไปที่โต๊ะแผนกการตลาดที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วจึงนึกขึ้นได้ว่าลืมไฟแช็คไว้ที่ไหน
.
.
.
.
.
.
.
ดาดฟ้าตอน 5 โมงเย็นไม่ได้ร้อนระอุเหมือนเมื่อตอนเที่ยง แม้ภายในอากาศจะเจือด้วยไอร้อนจากถนนและสภาพแวดล้อมในเมืองหลวง แต่ก็ไม่ได้ถือว่าแย่เกินไปนัก ผมมองแผ่นหลังเดิมที่คุ้นตาจากตอนกลางวัน กับซากซองบุหรี่ที่ตั้งอยู่บนเก้าอี้ม้านั่งด้านข้าง
บุหรี่ 1 ซองมี 20 มวน จากซากซองบุหรี่ตรงหน้า ประเมินจำนวนคร่าวๆ น่าจะเหลืออยู่ 9 ตัวได้...
“โอ๊ต ถามจริงๆ นะ บุหรี่นี่ซื้อมาสูบหรือซื้อมาแดกคะ” ผมแค่คิดเล่นๆ ในใจ แต่ทำไมปากเจ้ากรรมมันดันเปล่งเสียงออกไปวะ
“...” รุ่นน้องผิวเข้มไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่ขยี้ดับบุหรี่ตัวที่อยู่ในมือทิ้งเงียบๆ
“เข้าใจว่าเครียด แต่พักปอดหน่อย นี่มันเยอะเกินไปแล้วโอ๊ต” ผมทิ้งตัวลงนั่งบนม้านั่งด้านข้าง ตำแหน่งเดิมกับเมื่อตอนกลางวัน มองใบหน้าดุรั้นที่ไม่ฉายอารมณ์ใดๆ ออกมา “เจ๊มาขอไฟแช็คคืนจ้ะ”
“ขอโทษทีครับ ผมลืมคืน” โอ๊ตหยิบไฟแช็คสีขาวของผมออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ผมรับไฟแช็คและรั้งมือของโอ๊ตไว้
“อ่ะ ให้” ผมยัดจูปาจุ๊บส์ 2 แท่งใส่มือของรุ่นน้องไป “ถือว่าแลกกันกับไฟแช็ค”
“ตลกแล้วพี่ ไฟแช็คก็ของพี่ ลูกอมก็ของพี่ป่ะ” โอ๊ตยิ้มออกมาเล็กน้อย “แต่ก็ขอบคุณครับ”
“ไว้กินเวลาเสี้ยนบุหรี่” ผมยักคิ้วให้โอ๊ต “ดูดหนักขนาดนี้ ไม่ไหวป่ะวะ” ยังไม่ทันพูดจบประโยคผมก็เห็นโอ๊ตแกะลูกอมอมทันที
“อย่ากดดันตัวเองนักสิโอ๊ต ค่อยเป็นค่อยไปนะคะ” ผมวางมือลงบนบ่าน้องเบาๆ “มีไรก็บ่นให้เจ๊ ให้อีวิทฟังได้ ถ้าไม่ไหวจริงๆ เจ๊มายด์มิ้นท์ทีมออกแบบจะเดินจิกๆ ไปตีหน้าพี่เปิ้ลมาร์เก็ตติ้งให้น้องโอ๊ตเอง” ผมเห็นโอ๊ตสำลักลูกอมออกมาและเริ่มขำจนไหล่สั่น
“เพื่อโอ๊ตสุดหล่อ เจ๊ทำได้ทุกอย่างเลยค่ะ” โอ๊ตไม่ได้ตอบรับอะไรแต่ผมรู้สึกได้ถึงสายตาของโอ๊ตที่มองมา
“จริงหรอครับที่เจ๊บอกว่าทำได้ทุกอย่าง” ผมพยักหน้ารับและมองตอบกลับไป ในแววตาของผมคงเต็มไปด้วยความสงสัยที่ปิดไม่มิด
“ถ้างั้น.. จูบผมหน่อยได้รึเปล่า”
นั่นไม่ใช่ประโยคสุดท้ายที่โอ๊ตพูด แต่เป็นประโยคสุดท้ายที่ผมจับใจความได้
เพราะสิ่งสุดท้ายที่ผมจดจำได้ คือสัมผัสนุ่มหยุ่นที่ต้องกัน ความเปียกชื้นที่ต่างคนต่างแลกเปลี่ยน รวมถึงกลิ่นขมของบุหรี่ปะปนกับกลิ่นหอมและรสชาติหวานของลูกอมรสครีมสตรวอเบอร์รี่
ผมคงต้องเป็นเบาหวานตายจริงๆ
_______________________________
#เจ๊มายด์น้องโอ๊ต กลับมาแล้ว อุแงงงงงงงงงงงงงงงงง
ขอโทษที่หายไปนานเลยนะคะ มรสุมรุมเร้ามาก แบบเราแต่งๆ ลบๆ อยู่หลายที อ่ะแหะ ;-;
เหมือนบ่นเรื่องงานลงในฟิคเลย แต่ฟีลลิ่งแบบน้องโอ๊ต ต้องมีคนเข้าใจน้องบ้างแหละเนาะ
มาทำให้ดีในทุกวัน อย่ากดดันตัวเองมากเกินไปนะคะ!
ถือว่าเป็นการลงฟิคในวันสิ้นปี หมดปีนี้แล้วขอให้มีแต่เรื่องดีๆ เข้ามานะคะ
ปีหน้า 2020 พวกเราก็มาอยู่ด้วยกันไปกับเจ้าพวกเด็กๆ AB6IX ให้เป็นอีกปีที่เติบโตไปพร้อมกันด้วยกันน้า
หายไวๆ ด้วยล่ะเจ้าน้องอู เด็กอ้วนของคูมแม่ ทุกคนคิดถึงและเป็นห่วงหนูมากๆ เลย
ฝากเด็กอ้วนไว้ให้อั้ยพิๆ 3 คน กับเจ้าเร้กดูแลด้วยนะคะ
Happy New Year 2020 นะคะรีดเดอร์ เริ้บบบบบบบบ
แล้วก็ฝากเอ็นดู #เจ๊มายด์กับน้องโอ๊ต ไปอีกนานๆเลยนะคะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

5 ความคิดเห็น
-
#5 จ้าวจันทร์หอม (จากตอนที่ 3)วันที่ 31 ธันวาคม 2562 / 18:02กึ้ดดด เจ๊มายด์กับน้องโอ๊ตกลับมาแล้ว เค้าจุ๊บๆกัน ถ้าเจ๊มายด์จะเป็นเบาหวานเพราะจูบหนูจะหาเงินมารักษาเบาหวานพี่เองค่ะ คิดถึงนะคะไรเต้อ จะหมดปี2019 แล้วขอให้ปี2020เป็นปีที่ดีนะคะ สวัสดีปีใหม่นะคะ#50