NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC KaiSoo {Mixed Blood} Ft.EXO (END)

    ลำดับตอนที่ #15 : Mixed Blood 12

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.44K
      152
      20 มิ.ย. 66






    Mixed Blood 12





    แสงอาทิตย์ที่ตกกระทบกับใบหน้าเรียวหวานนั้นทำให้เจ้าของใบหน้ายู่เล็กน้อยก่อนจะพยายามขยับหนีแสงอาทิตย์อันร้อนแรงที่พยายามเผาใบหน้าของเจ้าตัวอยู่ แสงอาทิตย์นั้นทำให้รู้สึกร้อนอย่างบอกไม่ถูก ตามกรอบหน้าสวยมีเหงื่อเต็มไปหมดก่อนที่เจ้าตัวจะทนความร้อนไม่ไหวและตัดสินใจมุดหน้าลงไปใต้ผ้าห่มผืนหนา

    แบคฮยอนลืมตาขึ้นมาใต้ผ้าห่ม แสงอาทิตย์ยังคงสาดส่องทะลุเข้ามาได้นั่นทำให้หงุดหงิดพอตัว เขาค่อย ๆ เลิกผ้าห่มออกและมองไปรอบ ๆ หน้าต่างบานใหญ่ข้างหน้าของเขาไม่ได้ปิดผ้าม่านอย่างที่ควรจะเป็นเสียเท่าไหร่ มันค่อนข้างแย่พอสมควรเพราะตอนนี้เป็นเวลาเช้าและเขากำลังนอนถูกแดดเผาอยู่บนเตียงและที่แย่ไปกว่านั้นคือไม่มีใครอยู่ห้องนี้เลยนอกจากเขาเอง

    คนตัวเล็กถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ก่อนจะค่อย ๆ ตั้งสติและใช้เวทเคลื่อนที่ปิดผ้าม่านเข้าหากันเสียก่อนที่เขาจะกลายเป็นศพถูกย่างและตายในห้องพยาบาล

    ถ้าเขาต้องมาตายเพราะถูกแดดเผานะยอมให้ปาร์คชานยอลบีบคอยังดูสมศักดิ์ศรีมากกว่า

    แบคฮยอนทิ้งตัวเองลงจากเตียงพยายามประครองสติของตัวเองให้ได้มากที่สุด พูดถึงปาร์คชานยอลใบหน้ากวน ๆ ของอีกฝ่ายก็ลอยเข้ามาในความคิดอย่างห้ามไม่ได้ ความทรงจำที่เพิ่งจะผ่านมาไหลเข้ามาในหัวเขาไม่หยุด ความรู้สึกแย่มีมากพอ ๆ กับความอับอายที่บังเอิญไปแพ้เด็กเลือดผสมซึ่งน่าโมโหสุด ๆ

    ก่อนหน้านั้นเมื่อหลายชั่วโมงก่อนจะเช้าแบคฮยอนจำได้ว่าจงอินแวะเวียนมาหาเขาในตอนที่เขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาพอดี เราคุยกันนิดหน่อยโดยที่แบคฮยอนไม่ได้เห็นแม้แต่เงาของโอเซฮุน จงอินเองก็ไม่ได้พูดถึงเพื่อนอีกคนเช่นกันดูก็รู้ว่ายังไม่หายโกรธกันแต่เขานั้นไม่ขอออกความเห็นเรื่องนี้แม้ว่าเขาจะอยู่ข้างเซฮุนก็ตามเถอะและจงอินก็จากไปก่อนที่เขาจะหลับไปเพราะอาจารย์ห้องพยาบาลร่ายเวทใส่ทำให้หลับแต่แย่หน่อยที่เขาดันตื่นมากลางคันในเวลาเช้าแบบนี้

    มือบางคว้าเอาผ้าคลุมแสงอาทิตย์จากราวแขวนเสื้อ เขาไม่รู้หรอกว่าของใครแต่เอาเป็นว่าคงต้องยืมมาใช้เสียหน่อยเพราะเวลานี้แดดส่องเข้าถึงในปราสาทจะให้เขาเดินตัวปลิวออกไปโดยไม่สวมเครื่องป้องกันมีหวังได้กลับเข้าห้องพยาบาลรอบสองแน่ ๆ

    แบคฮยอนคลุมผ้าปกปิดมิดชิด ไม่มีส่วนไหนของร่างกายของเขาที่โผล่พ้นออกมานอกผืนผ้าสีดำ แบคฮยอนจับผ้าให้มั่นก่อนจะใช้เวทเล็กน้อยในการเปิดประตู ทันทีที่ประตูหินถูกเปิดแสงแดดแรงก็ส่องเข้ามาหาคนหน้าประตูในทันที แบคฮยอนก้มหน้าหลบแสงอาทิตย์ก่อนจะค่อย ๆ เดินไปตามทางที่อยู่ในร่มและแสงแดดส่องไม่ถึง

    แน่นอนว่าตอนนี้เขาเดินก้มหน้าอยู่และคงจะต้องเดินไปเรื่อย ๆ เพื่อที่จะกลับหอพัก แบคฮยอนไม่สามารถหายตัวได้เพราะคาดว่านั่นจะทำให้เขาเวียนหัวและวูบไปอีกรอบแน่ ๆ

    แม้ว่าจะเดินก้มหน้าหลับหูหลับตาหนีแสงอาทิตย์แต่ความรู้สึกของแบคฮยอนไม่ได้บอดเสียสนิทเหมือนมนุษย์เพราะยังไงแวมไพร์ก็มีสัญชาตญาณของนักฆ่า

    "เดินตามฉันมาแบบนี้ต้องการอะไรล่ะ? "

    "..."

    "ปาร์คชานยอล"

    "...." เจ้าของชื่อยิ้มเจื่อน เมื่อถูกคนตัวเล็กจับได้เสียแล้วว่าตัวเขาเองกำลังสะกดรอยตามอยู่ ชานยอลรีบวิ่งออกมาจากที่ซ่อนและตรงไปที่แบคฮยอนที่ยืนตัวแทบจะแนบชิดกับผนังชั้นในเพราะแสงแดดที่รุนแรงในยามเช้า

    "จะเอาอะไรอีก ถ้าจะมาเยาะเย้ยก็กลับไปเถอะ" แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงเบาวิวไม่กล้าไปต่อว่าอีกฝ่ายมากเพราะรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ที่โถมเข้ามาเมื่อเจอเข้ากับอีกฝ่าย ที่เขารู้ว่าข้างหลังคือชานยอลก็เพราะว่ากลิ่นของอีกฝ่าย เตะติดจมูกในยามที่ลมพัดโชยกลิ่นหวาน ๆ เหมือนลูกกวาดมาให้ได้สูดดม

    "ฉันว่าจะมาดูอาการของนายสักหน่อย ได้ยินว่าไม่ค่อยดี"

    แบคฮยอนกะพริบตาอย่างไม่เข้าใจ มาดูที่ชานยอลว่านี่คือมันแตกต่างยังไงกับการมาเยาะเย้ย มาดูว่าเขาแพ้ราบคาบ มาดูว่าเขารู้สึกแย่แค่ไหนน่ะเหรอ

    "มันแต่ต่างกันตรงไหนกับที่ว่าเยอะเย้ย นายมาดูว่าฉันแย่แค่ไหนล่ะสิ ในใจคงสมน้ำหน้าฉันอยู่ใช่มั้ย? "

    ชานยอลแทบจะเอาเท้าขึ้นมาก่ายหน้าผาก จะว่าแบคฮยอนความคิดป่วยก็คงได้ ทำไมต้องคิดทุกอย่างให้เป็นเรื่องลบตลอด หรือว่าบางทีอีกฝ่ายอาจจะคิดเรื่องแง่ลบกับแค่เขาคนเดียว

    "นายคิดอะไรอย่างงั้น ที่ฉันจะบอกก็คือเป็นห่วงนายต่างหากเลยมาหา"

    เป็นห่วง?

    หน้าอกด้านซ้ายของคนตัวเล็กมีแรงกระตุกขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะกลับเข้าสภาวะปกติเหมือนที่เคยเป็นมาตลอดหลายร้อยปี

    "ดูเสร็จแล้วก็เชิญกลับไป" แบคฮยอนว่าอย่างนั้นก่อนจะออกตัวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง อย่างที่คิดเอาไว้ตั้งแต่เจอเข้ากับปาร์คชานยอลมันก็เต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวายและน่ารำคาญ หัวใจเต้นแรงจนน่ารำคาญ เขาได้ยินมันเต้นตุบตับอยู่ข้างในตัวอย่างบ้าคลั่ง

    เหมือนร้องโวยวายทวงความยุติธรรมให้ทำตามดั่งใจคิดมากกว่าสมองสั่งการ

    "เดี๋ยวสิ!"

    แบคฮยอนสะดุ้งเฮือกเมื่อถูกมือใหญ่ที่แสนจะอบอุ่นคว้าเอาไว้ที่ข้อมือ

    ตุบ ตุบ ตุบ!

    "เฮ้ หลีกไป! วันนี้นายหนีไม่รอดแน่ ๆ"

    นักเรียนเลือดผสมสองคนกำลังวิ่งไล่กันที่ทางเดินและกำลังตรงมาที่แบคฮยอนด้วยความรวดเร็วพอ ๆ กับเสือชีตาห์นั่นทำให้แบคฮยอนรู้ว่าทั้งสองคนนั้นคงได้เข้าไปเรียนคลาสเวทเคลื่อนที่มาแน่ ๆ ทั้งสองถึงกล้าวิ่งไล่กันด้วยความเร็วราว ๆ ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง

    แบคฮยอนเบิกตากว้างเพราะถ้าไม่หลบคงได้เกิดการปะทะกันระหว่างพวกเราและตัวเขานั้นไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้นในเวลานี้ จะหนีไปทางไหนได้เมื่อปาร์คชานยอลยังยืนขวางทางหนีของจากทางด้านหลังมิหนำซ้ำเขายังถูกมือหนานั้นจับข้อมือเอาไว้อีก ทางหลบทางเดียวก็คงเป็นพื้นที่ข้าง ๆ กายที่มีแสงแดดส่องสว่างอยู่ไม่ได้ห่างกันมากเท่าไหร่

    "ระวัง! "

    เสียงของชานยอลตะโกนห้ามนักเรียนสองคนที่วิ่งไม่ดูทางกันเสียเท่าไหร่แต่ก็ดูเหมือนว่าหูของสองคนนั้นจะมีปัญหาเพราะดู ๆ แล้วไม่มีใครได้ยิน ทั้งสองยังคงตรงมาเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ ตรงเหมือนพวกเรากำลังจะปะทะกันอีกไม่กี่วิข้างหน้า

    แบคฮยอนหลับตาปี๋พลางคิดว่าถ้าได้เข้าห้องพยาบาลอีกหนหนึ่งเขาจะจำกัดชานยอลอยู่ในพวกสิ่งโชคร้าย เจอแล้วมีแต่เรื่องตลอด

    พรึบ!

    ลมที่พัดผ่านไปทำให้แบคฮยอนต้องลืมตาขึ้นอีกครั้ง ใบหน้าของเขากำลังแนบชิดอยู่กับแผ่นอกของปาร์คชานยอล อีกฝ่ายดึงเขาออกมาในเสี้ยววิ ร่างสูงใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นบังเขามิดจนแสงแดดไม่ได้ผ่านเข้ามาโดนตัวเขาแต่อย่างใดเพราะชานยอลนั้นจัดท่าทางเก็บแขนเก็บขาให้อย่างเรียบร้อย

    "ฉันขอไปส่งนายที่ห้องได้มั้ย เดินไปคนเดียวแบบนี้ไม่ปลอดภัยเลย"

    ร่างสูงก้มลงมากระซิบแบคฮยอนที่ข้างหูทำเอาคนถูกกระซิบขนอ่อนลุกไปทั้งตัว แบคฮยอนเซถอยหลังเมื่อร่างสูงนั้นถือวิสาสะวางมือไว้ที่เอวของเขาและบังคับทิศทางให้เขาถอยหลังอย่างช่วยไม่ได้

    "..."

    "ได้มั้ย?"

    แบคฮยอนเงยหน้ามองร่างสูงตรงหน้า เขาไม่ต้องก้มน่ากลัวแดดอีกแล้วในเมื่อร่างสูงตรงหน้าบดบังทุกอย่างจนมิด เงาร่างใหญ่กับไหล่กว้างนั้นทำให้รู้สึกปลอดภัย เหมือนว่าจะสามารถปกป้องเขาได้จากทุกภัยอันตราย

    สายตาอ้อน ๆ ของร่างสูงนั้นดูเป็นห่วงเป็นใยจริง ๆ อย่างที่เจ้าตัวพูดเอาไว้และมันก็จริงในระดับหนึ่งที่ว่าเดินกลับไปคนเดียวไม่ปลอดภัย ตอนนี้คนทั้งโรงเรียนคงจะรู้แล้วว่าพยอนแบคฮยอนนอนซมอยู่บนเตียงห้องพยาบาลถ้าใครที่เกลียดเขาหน่อยแอบตามมาแล้วผลักเขาไปหาแสงอาทิตย์ไม่เกินสามนาทีอาการก็น่าจะสาหัสแล้วเพราะช่วงอ่อนแอของชีวิตมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

    ชีวิตอมตะน่ะ ไม่มีจริงหรอก

    "ไปห้องนายดีกว่า"

    สุดท้ายแบคฮยอนก็ได้ตัดสินใจแบบนั้น การใช้ชีวิตสุ่มเสี่ยงถือเป็นงานโปรดของตัวเขาและเพื่อน ๆ อยู่แล้วและเขาก็เขาจัดปาร์คชานยอลอยู่ในประเภทของพื้นที่สุ่มเสี่ยง อันตราย แต่ก็น่าตื่นเต้นดี

    ห้องนอนของชานยอลถูกจัดใหม่เพราะในทันทีที่เขามาถึงที่นี่ เขาจำได้ว่าเครื่องดนตรีของเจ้าตัวไม่ได้เยอะขนาดนี้ ห้องที่เคยรกบัดนี้ได้เป็นระเบียงขึ้นทันตาเห็น

    "นั่งก่อนสิ" เจ้าของห้องเอ่ยชวนแขกนั่งลงบนโซฟาของตัวเองซึ่งแบคฮยอนก็ทำตามอย่างว่าง่าย ชานยอลเดินไปทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวที่อยู่ไม่ห่างจากกันมากเท่าไหร่

    "เลือดผสมดีจังเลยเนาะไม่ต้องมีรูมเมท"

    "นั่นก็เพราะนักเรียนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นเลือดแท้ต่างหาก ฉันล่ะอยากมีรูมเมท"

    แบคฮยอนแทบอยากจะกลอกตาเป็นวงกลม ทำไมชานยอลชอบอะไรให้มันยากด้วย อยู่คนเดียวน่ะดีจะตาย เขากับเซฮุนน่ะแทบจะทะเลาะกันทุกวันเพราะพื้นที่ในห้องไม่ได้เยอะการจัดระเบียบและแบ่งพื้นที่เลยการเป็นเรื่องยาก อยากจะมีเวลาส่วนตัวใจจะขาดแต่อีกฟากหนึ่งก็มีโอเซฮุนอยู่ ไหนจะต้องมาทะเลาะกันเรื่องที่รูมเมทตัวของเขาชอบพาผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าไม่ซ้ำสายเลือดมามั่วที่ห้อง ทำอย่างกับเป็นรังรัก ทั้ง ๆ ที่ก็ยังมีเขาอยู่อาศัยด้วย คิดแล้วก็ปวดหัว

    "นายจะถอนคำพูดถ้านายได้ลองมีรูมเมทจริง ๆ"

    "นายพูดเหมือนอดกลั้นมานาน" ชานยอลลุกจากเก้าอี้ไปหาแขกที่นั่งอยู่บนโซฟา แบคฮยอนมีสีหน้าแสดงเครื่องหมายคำถามอันใหญ่บนหัวก่อนที่ชานยอลจะหลุดยิ้มให้กับอีกฝ่ายแล้วเอื้อมมาไปฉุดรั้งอีกคนให้ลุกขึ้นมาจากโซฟา

    "จะทำอะไร"

    "มานี่สิ ฉันจะพานายไปทำอะไรสนุก ๆ"

    แบคฮยอนไม่ไว้วางใจเสียเลยกับไอ้คำที่บอกว่าสนุกของอีกฝ่าย เขาขืนตัวเองกับแรงดึงของอีกฝ่ายอยู่น้อย ๆ ก่อนจะยอมเดินไปตามแรงดึงรั้งของอีกฝ่ายอย่างยอมแพ้ ก็ชานยอลน่ะแรงน้อยเสียที่ไหน

    ชานยอลจับที่ข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้แน่นเพราะกลัวอีกฝ่ายจะหนีก่อนจะเปิดประตูห้องข้าง ๆ ห้องน้ำของเขาเข้าไป โต๊ะทำงานขนาดใหญ่และคอมพิวเตอร์ตั้งอยู่บนนั้นก่อนจะดึงรั้งให้คนตัวเล็กเดินตามเข้ามาและไม่ลืมล็อกประตู

    แบคฮยอนกะพริบตาปริบ ๆ อย่างนึกสงสัยว่าเรื่องสนุก ๆ ของชานยอลจะอยู่ในกล่องหน้าจอสี่เหลี่ยมได้ยังไง

    "นายนั่งตรงนี้นะ"

    แบคฮยอนถูกจับให้นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยมที่คนปกติทั่วไปในสมัยนี้เรียกว่าคอมพิวเตอร์ เขารู้เพราะว่าตลอดการเติบโตและใช้ชีวิตเขาพยายามตามโลกให้ทันเสมอ แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้จับต้องของพวกนี้เสียเท่าไหร่

    "นายรู้ใช่มั้ยว่ามันคืออะไร" ชานยอลว่าอย่างนั้นก่อนจะกดปุ่มเปิดเครื่องให้คนตัวเล็กที่นั่งเงอะงะอยู่บนเก้าอี้ของเขา

    "ฉันไม่ได้โง่นะ"

    "อาฮะ" ชานยอลตอบรับก่อนจะดึงโน้ตบุ๊กออกมาจากกระเป๋าที่วางเอาไว้ข้าง ๆ กัน ชานยอลต่อสายนู้นสายนี่เข้ากับโน้ตบุ๊กของตัวเอง หูฟังคุณภาพดีที่แอบซื้อติดมาจากข้างนอกนั้นถูกหยิบขึ้นมาเสียบ อันที่จริงเขาอยู่ห้องนี้มาสองปีแล้วเพิ่งจะมารู้ว่ามีอะไรแบบนี้ก็เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว มันเหมือนเป็นห้องที่ซ่อนอยู่ เจ้าของห้องคนเก่าร่ายเวทอะไรไว้สักอย่างจนกระทั่งเขาบ่นกับอูจีนั่นแหละว่าอยากใช้คอมแล้วก็เล่นเกมห้องนี้มันก็โผล่ขึ้นมาเฉยเลย ก็งงแหละแต่เอาเป็นว่าช่างมันเถอะ เขาก็ยังคงจะเก็บมันไว้เป็นความลับเหมือนเดิมแม้ว่าจะย้ายออกไปแล้วก็ตาม ไม่มีใครสามารถเปิดห้องนี้ได้ นอกจากเขาคนเดียวอยู่แล้ว

    "ห้องนี้น่ะต่ออินเทอร์เน็ตได้"

    "แล้วไง? " แบคฮยอนกอดอกพลางหมุนเก้าอี้ไปหาเจ้าเด็กร่างสูงข้าง ๆ กายที่มัวแต่วุ่นวายกับสายอะไรไม่รู้เยอะแยะ เห็นแล้วปวดหัว

    "ก็ต่ออินเทอร์เน็ตได้แสดงว่าสามารถ ดูหนังได้ ดูยูทูบได้ เล่นเฟสบุ๊กได้ เล่นเกมก็ได้เหมือนกัน"

    แบคฮยอนพยักหน้าตามที่ชานยอลสาธยายความสามารถที่เจ้ากล่องจอสี่เหลี่ยมสามารถทำได้ ทำพวกนั้นได้แล้วไง ยังไงมันก็ไม่มีความหมายอยู่แล้วสำหรับแบคฮยอน

    "ไม่ตื่นเต้นหน่อยเหรอ?" ชานยอลหันไปเอ่ยถามคนข้าง ๆ ที่เล่นหมุนเก้าอี้เป็นเด็กเบื่อโลกไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นั่นแหละแบคฮยอนตอนนี้

    "ไม่เลย"

    "ความตื่นเต้นจะเริ่มจากตรงนี้แหละแบคฮยอน"






    แบคฮยอนรับรู้ว่าเกมจริง ๆ เป็นยังไงก็วันนี้

    "ชะ--ชานยอลฉันโดนยิ่ง!"

    "นายหลบเข้าบ้านก่อนเดี๋ยวฉันไปหา มีระเบิดควันมั้ย? "

    ชานยอลเอ่ยถามคนข้าง ๆ ที่ดูจะตื่นเต้นไปมากกว่าเขาแล้วสิบระดับ ตอนแรกแบคฮยอนน่ะงอแงบอกไม่เล่น เล่นไม่เป็นมันไม่สนุกเข้าไปก็ตายตลอด ควบคุมแป้นไม่เป็นอะไรต่าง ๆ นานาจนชานยอลคิดปวดหัว พอเอาเข้าสักพักเป็นแบคฮยอนที่เรียนรู้ได้รวดเร็วและพยายามทำความเข้าใจเกมจนกระทั่งเป็นอย่างที่เห็นตอนนี้

    "ไม่มีอะไรทั้งนั้น! รีบ ๆ มาสิฉันจะตายแล้ว!!"

    "แล้วนายจะไปห้าววิ่งเข้าไปหาพวกมันทำไมล่ะ มันมีปืนแรงน่ะไม่เห็นเหรอ!"

    ชานยอลตะโกนแข่งกับคนข้าง ๆ กายที่ดูจะหัวร้อนเป็นไฟเมื่อตัวละครของตัวเองโดนยิงล้มคาที่ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะความห้าวคิดว่าจะสู้ได้ยังไงล่ะ

    ชานยอลรีบเข้าไปฮิลอีกฝ่ายทันทีที่เห็นว่าหลอดเลือดของอีกฝ่ายนั่นลดเร็วยิ่งกว่าน้ำไหล

    ทันทีที่แบคฮยอนเลือดขึ้นแล้วเขารีบกดรีโหลดกระสุนปืนเอาไว้ทันทีก่อนจะไปที่หน้าต่างและสาดกระสุนใส่ไอ้พวกที่อยู่หน้าบ้านให้หมด

    วันนี้เขาต้องได้กินไก่!

    ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง! ปั้ง!

    ทั้งเกมเหลือผู้รอดชีวิตสามคนรวมเขาและชานยอล ตอนแรกสี่แต่คนนั้นโดนเขายิงตายคามือไปแล้วเมื่อกี้

    ชานยอลเหลือบตาไปมองคนข้างกายที่กระตุกยิ้มมุมปากด้วยความชอบใจ เกมนี้แบคฮยอนคงหวังเอาไว้อย่างมากกว่าจะได้กินไก่อีกรอบหลังจากที่เขาเล่นมาแล้วรวม ๆ สิบกว่าครั้ง

    ตู้ม!

    ครั้งต่อไปของให้โชคดี #2

    "โถ่โว้ย!!! "

    ชานยอลมองท่าทางหัวร้อนของแบคฮยอน มันน่าขำดี คนตัวเล็กโวยวายทุกครั้งที่ไม่ได้ดั่งใจ ปากเล็ก ๆ นั้นเม้มเข้าหากันยามเป็นกังวล คิ้วขมวดเมื่อรู้สึกว่าเกมมันเริ่มยาก โวยวายทุกครั้งที่ลนลาน

    "ใจเย็นน่า ได้ตั้งที่สอง"

    "ไม่ยุติธรรมนี่ มันมีระเบิดอะ ตัว ๆ กับฉันมันตายแน่ ๆ อะ"

    ชานยอลถอดหูฟังออกจากหัวก่อนจะหันเก้าอี้ไปหาแบคฮยอนที่นั่งหน้างออยู่หน้าคอม เห็นเอาแต่ใจแบบนี้ก็น่ารักไม่น้อย

    "อีกครั้ง"

    "พอได้แล้ว นายเล่นมันสิบกว่ารอบได้แล้วมั้งแบคฮยอน" ชานยอลกดออกจากเกมทันทีที่ว่าอย่างนั้นก่อนจะกดปิดโน้ตบุ๊กไปตาม ๆ กัน แบคฮยอนเห็นอย่างนั้นถึงกับงอแงไม่หยุด คนตัวเล็กเขย่าเขาเป็นว่าเล่นไหนจะสายตาอ้อน ๆ กับน้ำเสียงวิงวอนของอีกฝ่ายที่ไม่ได้มีไว้ให้เห็นบ่อยนัก

    "ชานยอลนะ นะนะ ขอเล่นอีกครั้งเดียวนะ แล้วจะพอเลยขอร้องนะ ๆ"

    นั่นแหละใครมันจะไปทนได้






    ทุกอย่างจบลงในเวลาหกโมงเย็น ชานยอลเหน็ดเหนื่อยกับการนั่งบนเก้าอี้เป็นเวลานานผิดกับแบคฮยอนที่ดูมีความสุขเหลือเกินที่ได้นั่งนิ่งบนเก้าอี้เป็นเวลาหลายชั่วโมงติด

    "นายจะทำอะไรต่อล่ะ? " แบคฮยอนเดินออกมาจากห้องเล่นเกมก่อนจะทิ้งตัวลงโซฟาของชานยอลอย่างไม่นึกจะขออนุญาตแต่อย่างใด วันนี้เขาสนุกมากสนุกสุด ๆ เหมือนกับได้เปิดโลกกว้างเลยทีเดียวทั้งหมดนี่คงต้องขอบคุณเจ้ายักษ์ชานยอลที่ทำให้โลกแคบ ๆ ของแบคฮยอนได้กว้างขึ้นมาเล็กน้อย

    "ฉันเป็นลูกผสมที่มีความหิวนะ ตอนนี้ท้องร้องแบบโครกครากสุด ๆ คงต้องหาอะไรกิน"

    แบคฮยอนเดินตัวปลิวเข้าไปหาชานยอลที่กำลังจับอุปกรณ์ทำครัวอย่างถนัดมือสุด ๆ มันน่าสนใจไปหมด โลกของอีกฝ่ายที่แบคฮยอนไม่รู้

    "ขยับออกไปห่าง ๆ หน่อยตรงนี้มันร้อน" ชานยอลเอ่ยบอกคนตัวเล็กที่ทำท่าทางอยากรู้อยากเห็นเลยมายืนดูใกล้ ๆ จนอดห่วงไม่ได้ว่าแบคฮยอนจะเผลอโดนนู้นโดนนี่ลวกเอาในเวลาที่เขากำลังหันหลังไปทำอย่างอื่น

    แบคฮยอนยอมถอยตามคำแนะนำของชานยอล มันน่าสนใจเพราะเลือดแท้อย่างแบคฮยอนไม่เคยเห็นคนยืนทำอาหารแบบใกล้ ๆ ไม่เข้าใจความรู้สึกของการชิมรสชาติได้หลากหลายไม่เข้าใจว่าทำไมอาหารมนุษย์มากมายถึงสามารถเอาไปดัดแปลงทำได้สวยงามหลากหลายสีสันรูปร่างและหน้าตาน่ากิน ไม่เห็นเหมือนเลือดที่แวมไพร์ต้องดื่ม แม้จะรสชาติแตกต่างกันแต่ก็คงเอาไปประดิดประดอยให้สวยงามเหมือนอาหารมนุษย์ไม่ได้ น่าอิจฉา

    มื้อเย็นของชานยอลคือสปาเกตตี แบคฮยอนนั่งมองมันตาละห้อย เขาสามารถได้กลิ่นอาหารของมนุษย์ กลิ่นมันหอมล่อตาล่อใจแต่ก็รู้ ๆ กันอยู่ถ้าแวมไพร์กินอาหารมนุษย์มันก็เหมือนกับกินเต้าหู้ ไม่ได้รับรสชาติอะไรทั้งนั้นจืดชืดไม่ได้สารอาหารที่มากพอ แม้แต่ขนมเค้กที่เป็นของหวานที่มนุษย์เพศหญิงโปรดปรานแวมไพร์อย่างเรา ๆ ก็ยังไม่ได้รับความหอมหวานอย่างที่คนพวกนั้นบอก มนุษย์ไม่ได้โกหกหรอกมันหวานจริง ๆ นั่นแหละ พระเจ้าแค่อาจจะลงโทษคนบาปให้ชีวิตไม่อาจได้รับรสความหอมหวานจากขนมแต่ก็ยังดีที่มีสิ่งอื่นมาแทนความหวานนั่นก็คือเลือดของมนุษย์

    "มองขนาดนี้ลองกินสักคำมั้ย? "

    แบคฮยอนหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตัวเองเมื่อชานยอลใช้ส้อมม้วนเส้นแป้งเลอะน้ำซอสสีครีมมาจ่อที่ปากของเขา เขาชั่งใจอยู่น้อย ๆ ก่อนจะตัดสินใจอ้าปากรับของพวกนั้นเข้ามา

    กลิ่นหอมอบอวลคงเป็นอย่างเดียวที่เป็นเครื่องยืนยันได้ว่าแบคฮยอนไม่ได้กำลังเคี้ยวน้ำลายตัวเอง สปาเกตตีที่ไม่มีรสชาติ เหมือนกับชีวิตเขาตอนนี้ไม่มีผิด สิ่งที่ยังคงยืนยันว่าเขายังมีชีวิตอยู่ตรงนี้คงเป็นลมหายใจ

    "ทำหน้าอย่างกับกินโฟมเข้าไป ฝีมือฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไง? "

    แบคฮยอนอมยิ้มก่อนจะกลืนมันลงคอไปเสียหมด เขาควรจะบอกชานยอลยังไงดี ทั้ง ๆ ที่อีกฝ่ายก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าแวมไพร์ไม่มีต่อมรับรสอาหาร

    "ขอโทษทีที่ทำหน้าอย่างนั้น ฉันไม่ได้รสชาติอะไรของมันทั้งนั้นแหละ แต่กลิ่นมันหอมใช้ได้เลยนะ"

    ชานยอลมีสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เมื่อได้ยินแบคฮยอนพูดอย่างงั้นออกมา บางครั้งชานยอลก็ลืมไปเลยว่าแบคฮยอนไม่ใช่มนุษย์ ลืมเสียสนิทแต่อันที่จริงพวกเราสองเผ่าพันธุ์นั้นใกล้เคียงกันสุด ๆ

    "ฉันขอโทษที บางทีก็ลืมตัวไปน่ะว่านายไม่ใช่มนุษย์"

    คำพูดของชานยอลทำเอาแบคฮยอนคิ้วกระตุก ลืมว่าไม่ใช่มนุษย์งั้นเหรอ?

    "ช่างมันเถอะ ฉันไม่ถืออะไรอยู่แล้ว"






    ทุ่มครึ่ง แบคฮยอนยังขลุกอยู่ในห้องกับชานยอลอยู่ ในตอนนี้พวกเราย้ายที่มาที่เตียงนอนหลังจากที่ชานยอลถามว่าอยากดูหนังมั้ยแบคฮยอนก็พยักหน้ารัว ๆ ไม่คิดที่จะปฏิเสธเขาเลยสักนิดชานยอลเลยเดินเข้าไปในห้องเล่นเกมและหยิบโน้ตบุ๊กออกมา เขาโหลดหนังเอาไว้หลายต่อหลายเรื่องเพื่อจะเอามานั่งดูบนเตียงสบาย ๆ เพราะถ้าหากออกจากห้องเล่นเกมมาแล้วสัญญาณเน็ตจะหายไปทันที

    "นายอยากดูเรื่องไหนเป็นพิเศษมั้ย? "

    แบคฮยอนส่ายหน้าไปมา เขาไม่ค่อยดูหนัง ดูครั้งล่าสุดก็เมื่อนานมาแล้วนานมาก ๆ แล้ว

    "งั้นเรื่องนี้แล้วกันเป็นเรื่องเดียวที่ฉันยังไม่เคยดูของที่โหลดมาเก็บเอาไว้" ชานยอลว่าอย่างนั้นก่อนจะกดเข้าไปที่ไฟล์หนัง เรื่องที่เขาโหลดเอาไว้แต่ยังไม่ดูคือเรื่อง Let me eat your pancreas เป็นหนังญี่ปุ่นที่เขาว่าโคตรซึ้งและพอดิบพอดีมากที่เขานั้นโคตรบ้าญี่ปุ่นสุด ๆ นอกจากจะชอบบ้านเมืองที่นั่น อาหารการกิน เกม รวมถึงละครภาพยนตร์เขาก็ชอบด้วยเช่นกัน

    โน้ตบุ๊กถูกตั้งไว้บนขาของชานยอลเขานั่งพิงหัวเตียงโดยพื้นที่ข้าง ๆ ถูกแบคฮยอนยึดเอาไว้แล้ว เป็นครั้งแรกเลยที่จะได้นั่งดูหนังกับใครสักคนบนเตียง ก็ตื่นเต้นดี

    แบคฮยอนดูจะไม่ค่อยประทับใจกับหนังเสียเท่าไหร่แต่เจ้าตัวก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบและดูต่อไปเรื่อย ๆ เพราะภาพฟิล์มแสนสวยกับเพลงประกอบทำให้ละสายตาไปจากจอสี่เหลี่ยมไม่ได้เลย

    ในคราวแรกแบคฮยอนนั่งตัวห่างกับชานยอลพอสมควรก่อนที่ตัวเองจะเริ่มเมื่อยเลยขยับเข้าไปหาอีกฝ่ายมากขึ้นจนไหล่ของพวกเราชนกัน ชานยอลไม่มีท่าทีตื่นตระหนกเหมือนแบคฮยอนที่เพิ่งจะรู้ตัวเองว่าเข้าไกลอีกฝ่ายมากเกินไป

    "ถ้าเมื่อยพิงไหล่ฉันก็ได้นะ" ชานยอลว่าอย่างนั้นในขณะที่สายตาจ้องจอสี่เหลี่ยมไม่กะพริบ แบคฮยอนคิดตามที่อีกฝ่ายพูดก็ครุ่นคิดในความคิดตัวเองโดยเริ่มไม่สนใจเนื้อหาของหนังรักโรแมนติกสุดซึ้งตรงหน้า จะเสียหายแค่ไหนแค่พิงไปที่ไหล่กว้างนั่น กับเซฮุนแล้วก็จงอินก็เขาทำแบบนั้นเถอะ

    ชานยอลกลายเป็นฝ่ายที่เกร็งตัวแทนเมื่อหัวของคนตัวเล็กพิงลงมาแนบกับไหล่ของเขา แม้ว่าชานยอลจะไม่ได้หันไปสนใจคนข้างกายแต่ตอนนี้เขาก็พอจะรู้อยู่หรอกว่าแบคฮยอนจะทำหน้ายังไง ขนาดนี้ต้องทำหน้ายุ่ง ๆ แน่นอน

    เนื้อหาของหนังดำเนินไปถึงจุดพีคของเรื่อง จิตใจของเด็กหนุ่มอย่างชานยอลแสดงความรู้สึกเศร้าผ่านน้ำตาสองเม็ดที่ไหล่แอบแก้มสองข้างแค่นั้นและน้ำตาของชานยอลก็หยุดจนกระทั่งชานยอลรู้สึกถึงแรงสะอื้นที่ข้างหูของตัวเอง เขาหันไปสนใจคนที่นอนซบไหล่เขาอยู่ไม่ห่างจากกาย แบคฮยอนกำลังร้องไห้จนตัวโยน ดวงตาแดงก่ำน้ำตาดูเหมือนจะไหลโดยไม่ขาดสายแน่นอนเพราะดูทรงหนังแล้วมันจะต้องดึงดราม่าได้มากกว่านี้

    หนังจบไปพร้อม ๆ กับเครดิตหนังที่ค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาแทนหน้าจอสีดำ แบคฮยอนยังคงสะอื้นอยู่ข้างกายเขา ชานยอลไม่รู้วิธีปลอบคนเสียใจเท่าไหร่เอาเป็นว่าทั้งหมดเขาของทำไปตามสัญชาตญาณทั้งหมดของตัวเองแล้วกัน

    มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวคนขี้แงข้างกายเบา ๆ แบคฮยอนหยุดสะอื้นง่ายกว่าที่คิด ชานยอลหันไปหาแบคฮยอนใช้มืออีกข้างประคองใบหน้าน่ารักเอาไว้ก่อนจะบรรจงเกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าของคนตัวเล็กอย่างทะนุถนอมราวกับว่ากลัวจะแตกสลาย

    "นายคิดบ้างมั้ยว่าบางทีการมีชีวิตอยู่อยากจะยากกว่าจบชีวิตอีก" แบคฮยอนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือก่อนที่น้ำตาจะไหลลงมาอีกครั้ง ชานยอลมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกแย่ เขารู้ว่าทุกคนมีอดีตที่ไม่น่าจดจำและแบคฮยอนก็คงจะเป็นหนึ่งในนั้น แววตาของคนข้างหน้าเขานั้นเหมือนว่าพร้อมจะแตกสลายทุกเมื่อ มันต้องการให้ใครสักคนมาดูแลความเปราะบางนี้ซึ่งเขาก็จะทำหน้าที่นั้นเอง

    "แน่นอน แต่ลองคิดดูสิ มีชีวิตอยู่อย่างน้อยนายก็จะได้เห็นสิ่งสวยงามหลาย ๆ อย่างของโลกนะ"

    "แต่เวลามองมันเจ็บปวดมากเลยนะ ทุกอย่างผ่านไปแล้วผ่านไปเล่าเหมือนนาฬิกาที่ไม่มีวันหมุนเข็มกลับได้ ไม่ว่าฉันจะเก่งมาจากไหนยังไงคนที่ฉันรักหลาย ๆ คนก็ตายจากฉันไปหมดทำไมถึงเหลือฉันไว้คนเดียวด้วยล่ะไม่เข้าใจเลย" พยอนแบคฮยอนคนสุดท้ายและคนเดียวในโลกใบนี้ โลกที่คับแคบเป็นโลกที่แบคฮยอนไปมาทั่วและนึกเบื่อเต็มทน อยากจะโดนใครสักคนฉุดรั้งเอาไว้กับที่เสียบ้าง อยากลองเขาไปแชร์พื้นที่แคบ ๆ นี้กับใครสักคน

    "ชู่ว ไม่เอาไม่ร้อง นายเก่ง นายกินไก่ไปตั้งสามรอบแหนะ อย่าคิดเลยว่านายคนเดียว มีคนที่รักนายตั้งหลายคนนะแบคฮยอน นายมีทั้งโอเซฮุน คิมจงอิน แล้วก็ฉันไง" ชานยอลเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่ายอีกครั้งหนึ่ง

    "..."

    "มันเจ็บปวดแล้วไง นายจะตายไปเพื่อหนีงั้นเหรอ นายแน่ใจใช่มั้ยว่าจะไม่อยู่รอดูแสงของวันพรุ่งนี้ นายแน่ใจเหรอว่าจะจากโลกใบนี้ไป มันคับแคบเพราะนายมองว่ามันแคบหรือเปล่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานายเห็นแค่เซฮุนกับจงอิน ลองมองกว้างกว่านี้สักนิดนายก็จะเห็นฉัน เหมือนในตอนนี้"

    "...."

    "บนโลกใบนี้สร้างทุกอย่างมาให้แตกต่าง ไม่มีใครเหมือนเรา เราไม่เหมือนใคร เชื่อเถอะว่าโลกคงไม่อยากเสียคนแบบนายไปหรอก ชีวิตน่ะแลกด้วยชีวิตมันไม่ได้หรอกนะแบคฮยอน

    "..."

    "โปรดใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อตัวเองในวันพรุ่งนี้"

    "..."

    "ไม่ก็เพื่อฉัน"

    กระนั้นแบคฮยอนถึงเข้าใจ เวลาถอยหลังไม่ได้มันเป็นกฎเหล็กที่ใคร ๆ ก็รู้ดี ถึงจะลำบากใจในการเดินไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย แต่เขามีเวลามากพอทั้งชีวิต เหนื่อยก็หยุดแวะข้างทางเสียจะเป็นไร ก็มันงดงามและมีเพื่อนนักเดินทางคนอื่นหยุดพักอยู่

    ลองคุยดูสักสองสามประโยค เผื่อว่าพวกเราจะได้มีโอกาสได้ร่วมเดินทางไปด้วยกัน






    เสียงพูดคุยของพูดคนจำนวนมากทำให้คยองซูตื่นขึ้นมา อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหนแต่พอลืมตาขึ้นมาก็ทำให้รู้ว่าที่นี่ไม่ใช่หอพักของเขา

    "เขาฟื้นแล้ว"

    หนึ่งในสมาชิกทีมพูดขึ้นทันทีที่หันไปพบกับคยองซูที่นอนตาปรือ ๆ บนเตียงก่อนที่ทุกคนจะเริ่มให้ความสนใจกับบุคคลที่เพื่อจะผ่านการดวลอย่างดุเดือดมา

    "นายรู้สึกยังไงบ้าง?"

    "มึนหัวหรือเปล่า?"

    "อยากอ้วกมั้ย?"

    "นี่พวกนาย ให้เขาพักสมองหน่อยเถอะดูหน้าคยองซูตอนนี้สิ"

    ปาร์คชานยอลเป็นฝ่ายห้ามทุกคนที่กำลังยิงคำถามมาไม่หยุดไม่หย่อนราวกับว่ากำลังสาดกระสุนปืนเข้ามาใส่คนที่เพิ่งจะลืมตาขึ้นมาจากเตียง คยองซูตอบคำถามของทุกคนได้แต่ตอนนี้เสียงของเขาแทบจะไม่มี ตาพร่าเบลอเล็กน้อย มึนหัวนิดหน่อย และไม่ได้อยากอ้วก

    "ก็ได้ ๆ พวกฉันจะปล่อยให้นายพักผ่อนก่อน ไปกันเถอะพวกเรา"

    สมาชิกในทีมเอ่ยขึ้นก่อนจะขนค่าของตัวเองออกไปจนหมดทิ้งเอาไว้แค่ปาร์คชานยอลกับคยองซูที่ยังนอนหน้าซีดไม่หายอยู่บนเตียง

    คยองซูพลันสายตามองเพดาน ถุงเลือดกับน้ำเกลือแขวนอยู่บนเสาเหล็กนั่นพอจะเดาได้เลยว่าความรู้สึกชา ๆ ที่หลังมือด้านขวาของเขาคงไม่พ้นเจ้าเข็มที่ฝังตัวอยู่ใต้ผิวหนังของเขา

    "ดื่มน้ำก่อนสิ"

    ทันทีที่ชานยอลยื่นน้ำมาให้เขาก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับมันในทันที ร่างสูงเข้ามาพยุงตัวเขาให้ลุกขึ้นนั่งก่อนที่คยองซูจะค่อย ๆ จิบน้ำในแก้วเข้าไปทีละนิด

    "ฉันดีใจนะที่นายไม่ตาย" ชานยอลปรายตามองคนตัวเล็กบนเตียงคยองซูไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากแค่ใช้พลังมากเกินไป ร่างกายเลยอ่อนแอระดับขั้นสุด ไม่ได้มีการฝึกฝนมาก่อนพอออกสนามจริงจะเป็นลมเป็นแล้งก็ไม่แปลก

    "ฉันไม่ตายง่าย ๆ หรอกชานยอล" คยองซูพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนจะดื่มน้ำจนหมดแก้วและส่งคืนชานยอลที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กาย เขามองสำรวจร่างกายของเพื่อนตัวสูงตรงหน้าเพื่อที่จะหาบาดแผล ก่อนที่ตัวเขาจะเข้าไปที่สนามเขาจะได้ยินคนอื่น ๆ พูดกันว่าดาบของแบคฮยอนนั้นเฉือนโดนแขนล่ำของอีกฝ่ายจนเกิดแผลก็ตามที แต่ในตอนนี้คนข้างหน้าเขาไม่ได้มีแผลอะไรแถมยังดูแข็งแรงสุด ๆ อีกต่างหาก

    สายตานายดูมีความสงสัยนะ?” ชานยอลถามออกไปอย่างนั้นเพราะว่านอกจากเขาจะโดนสายตาของอีกฝ่ายสำรวจร่างกายของเขาแล้วคยองซูยังชะเง้อคอมองไปมาเหมือนกับว่ากำลังมองหาใครหรืออะไรสักอย่างซึ่งก็คงเดากันได้ไม่ยาก

    เปล่า

    ถ้าเป็นรูมเมทของนายล่ะก็เขาไม่ได้โผล่หัวมา

    คยองซูละเลียดริมฝีปากที่แตกแห้งของตัวเอง ชานยอลรู้ว่าเขากำลังมองหาใคร มันสังเกตได้ง่ายขนาดนั้นเลยเหรอไง

    ให้ตายเถอะ

    กี่โมงแล้ว

    ชานยอลมองใบหน้าของเพื่อนตัวเล็ก อีกฝ่ายยิ้มเจื่อน ก่อนจะเบี่ยงเบนประเด็นที่เรากำลังพูดอยู่ แน่นอนว่าคยองซูคงจะอึดอัดที่ถูกจับได้เรื่องของจงอินแต่ชานยอลคนนี้ก็มีความอึดอัดไม่แพ้กัน คยองซูอยู่กับเขาแค่เขาก็คงจะพอแล้วทำไมต้องมีคิมจงอินด้วย

    ดูจากแดด น่าจะเจ็ดโมงกว่า

    คยองซูพยักหน้าให้แก่คำตอบของชานยอล เขาทำท่าจะลุกจากเตียงแต่ก็โดนอีกฝ่ายห้ามเอาไว้เสียก่อน

    นายไปไหนไม่ได้จนกว่าน้ำเกลือกับเลือดจะหมดถุง

    คยองซูพยักหน้าอีกครั้งก่อนจะยอมกลับขึ้นเตียงแต่โดยดี สีหน้าของชานยอลดูไม่ค่อยสบอารมณ์เสียเท่าไหร่ อีกฝ่ายเสยผมตัวเองลวก ๆ ก่อนจะหันหลังไปคว้ากระเป๋าของตัวเองมาพาดบ่าและไม่ลืมหมุนตัวมาหาคยองซูที่เตียงอีกครั้ง

    นายจะไปไหน?”

    การแข่งขันจะมีขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ มีเวลาไม่มากสำหรับการแข่ง เดี๋ยวนายต้องพักฟื้นหน่อย ทุกอย่างเรียบร้อยฉันขอให้นายกลับห้องของตัวเองทันทีเข้าใจใช่มั้ย?”

    คยองซูนิ่งเงียบไปเพราะชานยอลเลือกที่จะไม่ตอบคำถามของเขา ร่างสูงว่างอย่างงั้นก่อนจะหันหลังกลับออกไปทันที คยองซูไม่รู้หรอกว่าชานยอลไม่พอใจอะไรเขาแต่เอาเป็นว่าตอนนี้เขาไม่ได้มีแรงมากที่จะวิ่งตามไปกระชากแขนอีกฝ่ายมาถามตรง ๆ ว่า นายเป็นอะไรของนาย’ เลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย







    ในเวลาเที่ยงคยองซูมีสิทธิ์ลุกออกจากเตียงเพราะอาจารย์ห้องพยาบาลเดินมาถอดสายน้ำเกลือออกให้ เขาหยิบเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าของตัวเองและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดสบาย ๆ ก่อนจะยกกระเป๋าเป้พาดบ่าและเดินออกไปจากที่นี่

    คยองซูทำตามคำแนะนำของชานยอลนั่นก็คือการเดินตรงดิ่งกลับห้องของตัวเองเพื่อไปพักผ่อน แม้ว่าเขาจะนอนมาทั้งวันแล้วก็ตามเถอะแต่ในเวลานี้ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเหนื่อยขนาดนี้

    วิธีกลับหอพักก็คือเดินข้ามกลับไปที่ปีกซ้ายซึ่งตอนนี้เขาอยู่เกือบจะสุดทางปีกขวา คยองซูรู้สึกเหนื่อยล้ามากกว่าเดิมเมื่อคิดถึงบันไดทางเดินที่ยาวเหยียดเขาก็อยากจะเป็นลมมันตรงนี้

    สวัสดีครับอาจารย์” คยองซูโค้งหัวทักทายอาจารย์วิชาประวัติศาสตร์ที่เพิ่งจะเปิดประตูออกมาจากห้องเรียน อาจารย์หนุ่มสวมผ้าคลุมสีเข้มปกปิดผิวหนังตัวเองจากแสงแดดเต็มที่แม้แต่ใบหน้าก็ยังมีหมวกของเสื้อคลุมบดบังแต่นั้นมันก็ไม่ได้ทำให้คยองซูจำอาจารย์ไม่ได้

    "ในการสอบครั้งที่แล้วคะแนนของคุณไม่ค่อยดีเท่าไหร่"

    คยองซูแทบจะอ้าปากค้างเมื่ออาจารย์หนุ่มเอ่ยทักทายเขาด้วยเรื่องคะแนนสอบแทนที่จะเป็นคำว่าสวัสดี

    "ครับผมทราบแต่ถ้าจะให้ดีกว่าเดิมก็คือผมต้องได้คะแนนเต็ม" คยองซูเอ่ยเถียงท้วงทันที เขาไม่คิดว่าคะแนนตัวเองแย่อะไรเพราะเต็มยี่สิบเขาได้สิบเจ็ดคะแนน และถ้าจะเอาดีกว่านั้นเขาก็คงจะต้องทำเต็มและเขาก็ไม่ใช่อัจฉริยะอะไร ไม่สามารถใช้เวทไปอ่านใจคนได้เพื่อเอาคำตอบได้ในเวลานั้นด้วย

    "ใช่ ฉันคิดว่าการทำรายงานสักสิบแผ่นและส่งในวันแรกที่เปิดเรียนหลังจากการแข่งขันจบไปแล้วคงจะทำให้เธอจำอะไร ๆ ได้มากขึ้น" อาจารย์พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังไม่แพ้ใบหน้าดุ ๆ นั่น คยองซูมองอีกฝ่ายที่ส่งม้วนกระดาษรายงานมาให้เขาด้วยท่าทางบังคับสุด ๆ แต่เรื่องอะไรที่เขาจะยอม

    "แต่ผมต้องลงแข่งแล้วผมจะเอาเวลาไหนไปทำ? "

    "อย่าเอาการแข่งขันเป็นข้ออ้าง อย่าลืมคุณติดทัณฑ์บนวิชาของผมอยู่"

    คำพูดสุดท้ายเหมือนเป็นสิ่งที่ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาต้องยอมทำตามอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้ต้องเรียนซ้ำชั้นและเขาจะได้หลุดออกจากวงเวียนบ้า ๆ นี้สักที

    คยองซูรับกระดาษรายงานมาถือแบบเซ็ง ๆ ก่อนจะโค้งหัวน้อย ๆ ให้อาจารย์ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าตัวเอง อีกฝ่ายไม่ได้พูดอะไรนอกจากเบือนหน้าหนีคยองซูและเดินออกไปจากตรงนี้ ไหล่ของพวกเราชนกันเบา ๆ อาจารย์ไม่ได้หันมาขอโทษนะคยองซูก็คิดจะหันไปเรียกร้องอะไรเสียด้วย เขาเพียงแค่รู้สึกหัวเสียเล็กน้อยที่มีงานเข้ามาอีกแล้ว รายงานวิชาเดิมความกดดันแบบเดิม บางทีลงสนามไปถูกฆ่าไม่ก็บาดเจ็บเข้าขั้นโคม่าก็ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้เลวร้ายอะไรไปมากกว่าเรื่องนี้

    ก่อนที่คยองซูจะเดินไปยังจุดหมายของตัวเองอยู่ ๆ สายตาก็พลันไปเห็นกล่องอะไรสักอย่างตรงอยู่บนพื้นที่ข้าง ๆ เขา คยองซูเก็บมันขึ้นมาเปิดดูในทันทีเพราะความสงสัย เม็ดยารูปร่างประหลาดและสีน่ากลัวถูกบรรจุอยู่ในกล่องนั้น คยองซูเลิกคิ้วด้วยความสงสัย กล่องยานี้น่าจะเป็นของอาจารย์เพราะก่อนหน้านั้นเขาไม่เห็นจะมีอะไรอยู่ตรงนี้ สงสัยคงจะหล่นตอนที่ไหล่เราชนกันแน่ ๆ ไว้เจอกันคราวหน้าค่อยเอาไปคืนก็แล้วกัน






    คยองซูกลับถึงห้องนอนโดยปลอดภัยไม่มีใครมาดักทำร้ายหรือข่มขู่ในอย่างที่เขาคิด หอพักเลือดแท้ในเวลานี้เงียบสงบเพราะเป็นเวลาพักผ่อนของพวกคุณเขา คยองซูผลักประตูห้องเข้าไปอย่างเบามือเพราะมันไม่เคยล็อกตั้งแต่แรกอยู่แล้วเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องไขกุญแจเข้าไปให้ยุ่งยาก

    ทันทีที่แทรกตัวเข้าไปในห้องสำเร็จคยองซูก็สอดส่องสายตาหาร่องรอยการมีอยู่ของรูมเมทของตัวเองทันที แต่ก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอยู่ในห้องนี้แม้แต่น้อย

    กระเป๋าเป้ถูกพาดเอาไว้ที่เก้าอี้คยองซูบิดขี้เกียจไล่ความเหมื่อยล้าออกไปจากร่างกาย หลังจากที่ตัวเขานั้นได้นอนติดเตียงมาเป็นเวลานานแทนที่จะเป็นการพักผ่อนกลายเป็นว่าร่างกายล้าไปหมดเสียงั้น

    หน้าต่างที่แง้มเอาไว้เผยให้เห็นวิวข้างนอกและแสงแดดอันร้อนแรงที่พร้อมจะแผดเผาทุกชีวิตของเผ่าพันธุ์แวมไพร์ เพราะเป็นห่วงใครบางคนที่โดนแสงอาทิตย์ไม่ได้คยองซูจึงเอื้อมมือไปปิดมันเสียรวมถึงดึงผ้าม่านสีเข้มเข้ามาปิดจนสนิท

    คยองซูตัดสินใจว่าจะแช่น้ำอุ่นเพื่อให้ร่างกายผ่อนคลายเสียหน่อยจึงคว้าเอาผ้าขนหนูก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำตามปกติ ไฟถูกเปิดขึ้นและเขาก็ไม่รอช้าที่จะปิดประตูไม่ลืมลงกลอน เผื่อว่าคิมจงอินจะพรวดพราดเข้ามาอีกแต่คยองซูก็ลืมไปว่าถ้าอีกฝ่ายตั้งใจจะเข้ามาจริงกลอนประตูโง่ ๆ ก็คงขวางคิมจงอินเอาไว้ไม่ได้

    เสื้อผ้าถูกเจ้าตัวสลัดทิ้งทีละชิ้น ๆ อย่างใจเย็น เขาไม่กังวลว่าจะเจอคิมจงอินในนี้เพราะว่าสำรวจอ่างอาบน้ำดูแล้วไม่เจออีกฝ่ายแสดงว่าวันนี้เขาปลอดภัยทั้งร่างกายและจิตใจ

    คยองซูเปิดน้ำใส่อ่างขนาดใหญ่และไม่ลืมปรับให้มันเป็นน้ำร้อน รอสักพักน้ำในอ่างได้ระดับเขาจึงค่อย ๆ หย่อนตัวลงไปข้างใน เขานอนเหยียดแข้งเหยียดขาในอ่างอย่างสบายอกสบายใจ ความร้อนของน้ำทำให้กล้ามเนื้อคลายตัวออกได้อย่างดีซึ่งเป็นอะไรที่คยองซูรู้สึกพอใจมาก ๆ

    เสียงเปิดประตูห้องกับกลิ่นที่คุ้นเคยที่โชยเข้าจมูกไม่ได้ทำให้คยองซูตกใจเท่าไหร่นักเพราะว่าเขารู้ได้ในทันทีว่าคนที่อยู่ข้างนอกห้องน้ำในตอนนี้คือคิมจงอิน

    "คยองซู? "

    "อือว่าไง" คยองซูนอนหลับตาพริ้มหัวพิงขอบอ่างก่อนจะตอบกลับเสียงของจงอินที่ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของประตู ก็อย่างที่บอกไม่มีทางผิดแน่ๆ ยังไงก็ต้องเป็นจงอิน

    "นายอาบน้ำ? "

    "อือ ฉันว่าจะแช่น้ำอีกสักพักจะออกไปนายจะเอาของในห้องน้ำงั้นเหรอ? " คยองซูพ่นคำพูดออกไปยาวเหยียดเพราะว่าได้ยินเสียลูกบิดประตูบ่งบอกได้เลยว่าจงอินมีจุดประสงค์ที่จะเข้ามาในนี้ ถ้าเข้ามาตอนนี้ก็คงจะไม่ดีเสียเท่าไหร่เพราะผ้าขนหนูก็แขวนอยู่ไกลอีกอย่างในอ่างไม่ได้มีฟองมาปกปิดเรือนร่างเขาเลยสักนิด

    "..."

    "ถ้านายจะเอาของฉันจะหยิบให้--เฮ้ย!! "

    คยองซูร้องเสียงหลงรีบชันขาเข้าหาตัวเองเพราะความตกใจ เมื่อลืมตาขึ้นคนที่อยู่อีกฝั่งของประตูบัดนี้ได้ยืนอยู่ในห้องน้ำเรียบร้อย คยองซูเลิ่กลั่กเพราะสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเขาเหมือนว่าโลมเลียไปทั่วร่างกาย นี่เป็นครั้งแรกที่คยองซูเข้าใจความรู้สึกที่ว่าถูกลวนลามทางสายตา

    "แช่ด้วยคนสิ"

    อีกฝ่ายพูดหน้าตาเฉยทั้ง ๆ ที่ก็ยังไม่ยอมหยุดจ้องคนตัวเล็กที่นั่งชันเข่าอยู่ในอ่าง คยองซูกลืนทุกคำพูดปฏิเสธลงคอไปหมดเพียงเพราะสายตาที่จงอินใช้มองเขาเหมือนจะสื่อความหมายอะไรสักอย่างและแขนแกร่งของอีกฝ่ายก็ค่อย ๆ เปลื้องผ้าทีละชิ้นทีละชิ้น ดูไม่รีบร้อน

    คยองซูเบือนหน้าหนีไปทางอื่นทันทีที่ตัวของอีกฝ่ายนั้นไร้ซึ่งเสื้อผ้าเหมือนกันกับเขา อีกฝ่ายค่อย ๆ หย่อนตัวลงที่ลงข้ามกับเขาและน้ำหนักของพวกเราสองคนในอ่างทำให้มีน้ำบางส่วนไหลออกไป คิมจงอินนั่งชันเข่าไม่แตกต่างกันกับเขาแต่สุดท้ายอีกฝ่ายก็เหยียดขาออกและหลับตาพิงขอบอ่าง

    "นายจะอายอะไร วันแรกที่เราเจอกันก็เห็นหมดแล้วเถอะ"

    คำพูดของจงอินยิ่งทำให้คยองซูเลือดขึ้นหน้า เขาไม่รู้หรอกว่าจงอินเห็นร่างกายเขาไปแค่ไหนแต่เขาไม่เห็นอะไรขอจงอินทั้งนั้น

    "จะ--จะทำอะไร! " คยองซูโวยวายลั่นห้องน้ำเมื่อแขนยาว ๆ ของจงอินเอื้อมมาจับที่แขนของเขาแถมอีกฝ่ายยังออกแรงดึงให้เข้าไปหาอีกต่างหาก

    "ตกใจอะไร เมื่อยไม่ใช่เหรอ ฉันนวดให้" จงอินเลิกคิ้วเชิงสงสัยว่าคยองซูเป็นอะไรไปเมื่อเขาจับนิดจับหน่อยก็โวยวายลั่นแถมแก้มขาว ๆ นั่นก็ขึ้นสีอีกไม่รู้ว่าเป็นเพราะอุณหภูมิของน้ำในอ่างหรืออาการขวยเขินของเจ้าตัวกันแน่

    'โอเคนวด แค่นวดคยองซูคิดอย่างนั้นในใจพยายามสงบสติสงบอารมณ์ของตัวเอง เขาขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่ายตามแรงดึงก่อนจะหันหลังให้เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายถึงแม้ว่าในใจเขาจะรู้ดีว่าต่อให้หันหลังคิมจงอินก็ยังคงใช้สายตาแบบนั้นมองเขาไม่เลิก

    มือใหญ่สัมผัสเบา ๆ ที่ไหล่แคบ คยองซูมีอาการสั่นเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายบีบลงมาเบา ๆ ที่ลาดไหล่ของเขามันรู้สึกผ่อนคลายและขนลุกไปในเวลาเดียวกัน

    "นายไม่ต้องนวดแล้วก็ได้นะ" คยองซูรีบเอ่ยปฏิเสธออกไปเมื่อเป็นตัวเขาเองที่ทนกับสัมผัสชวนอ่อนระทวยของอีกฝ่ายไม่ได้

    "ฉันอยากทำให้"

    ร่างสูงพูดทั้งที่ยังคงบีบเคล้นไหล่ของคยองซูไปด้วยทำเอาเจ้าของร่างกายถึงกับก้มหน้าชันเข่าปิดบังส่วนอ่อนไหวของร่างกายที่ชูชันขึ้นมาอย่างน่าอาย

    "ตะ--แต่"

    "หรือนายอยากจะทำอย่างอื่น? "

    "จงอิน! "

    คยองซูถูกอีกฝ่ายดึงเข้าไปหา แผ่นหลังของเขาแนบชิดกับแผ่นอกของอีกฝ่าย มือที่เคยวางอยู่ที่ไหล่ตอนนี้ได้ไล้สัมผัสไปทั่วทุกที่บนร่างกายของเขา คยองซูนั่งตัวสั่นสะท้านเมื่อริมฝีปากเย็น ๆ ได้ทาบทับลงมาบนต้นคอ จงอินกดจูบจากต้นคอลงมาถึงไหล่แคบ มือที่ว่างของจงอินจับให้คยองซูหันหน้ามารับจูบของตัวเองทั้ง ๆ ที่มืออีกข้างก็ยังคงวุ่นวายกับการสัมผัสคนตัวเล็กไม่เลิก

    คยองซูหลับตาแน่นเมื่อริมฝีปากอีกฝ่ายประทับลงมาบนอวัยวะเดียวกัน เขารู้สึกเหมือนกำลังจะตายให้ได้ในเวลานี้ จิตสำนึกภายในใจร้องประท้วงว่าควรจะผลักคิมจงอินออกเสียแต่จิตใต้สำนึกตอนนี้กลับกำลังชอบอกชอบใจใหญ่ อยากให้อีกฝ่ายสัมผัสมากกว่านี้

    จงอินก็ยังคงเป็นจงอินวันยังค่ำ อีกฝ่ายยังคงชอบใช้สายตาที่พร้อมจะแผดเผาร่างเขาให้กลายเป็นเถ้าธุลีอยู่เรื่อย

    "นายไม่ปฏิเสธฉันใช่มั้ย? "

    อีกฝ่ายพูดพร้อมใช้ริมฝีปากคลอเคลียอยู่ไม่ห่างลำคอ คยองซูกระตุกเกร็งเมื่อจงอินใช้ฟันครูดเนื้อของเขาราวกับว่ากลั่นแกล้งซึ่งคยองซูก็อยากจะบอกว่าขอแสดงความยินดีด้วยเพราะมันสำเร็จ

    "..."

    "พูดสิ"

    คำเร่งเร้าจากอีกฝ่ายไม่ได้เข้าหูคยองซูแต่อย่างใดเมื่อเขายังหลงระเริงอยู่กับสัมผัสชวนวาบหวิวที่คอ

    "อือ จงอิน"

    คมเขี้ยวของอีกฝ่ายแทงทะลุผิวหนังลงมาบนต้นคอขาวอย่างห้ามไม่ได้ คยองซูตัวเกร็งและสูดลมเข้าปอดด้วยความทรมาน

    "คยองซู"

    เสียงของอีกฝ่ายเหมือนละเมอไปกับรสชาติของเลือด จงอินระบายน้ำในอ่างออกก่อนที่สองแขนกระชับร่างเล็กเข้ามาหากายเรื่อย ๆ ด้วยความโหยหาและต้องการ เมื่อคยองซูมีท่าทีปฏิเสธจงอินเลยจำใจใช้มือข้างเดียวล็อกอีกฝ่ายเอาไว้กับขอบอ่างและมือข้างที่ว่างก็บังคับให้อีกฝ่ายหันคอไปในทิศทางที่ต้องการ

    "จงอิน...ฉันเจ็บ" คยองซูเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนของให้อีกฝ่ายปล่อยเขาสักที แววตากระหายกับท่าทางแข็งกร้าวราวกับบังคับทำให้คยองซูนึกกลัวอีกฝ่ายขึ้นมา

    "นายเป็นของฉันแค่คนเดียว"







    คยองซูสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาในเวลาทุ่มกว่า ๆ เหงื่อกาฬบนใบหน้าเหมือนจะบ่งบอกได้ชัดเจนมากว่าเขาแค่ฝันไปก็เท่านั้น เหมือนเดิมวันนี้เขาก็ยังคงโดนคิมจงอินกอดเอาไว้ แขนแกร่งทั้งสองข้างโอบกอดเขาเอาไว้แน่นเหมือนกลัวว่าจะหายและนั้นคงเป็นต้นเหตุที่เขาถึงฝันบ้าแบบนั้น

    ความคับแน่นที่กางเกงที่ให้ตัวเขานั้นรู้สึกหัวเสียพอสมควร ก็นานแล้วที่ห่างหายจากเรื่องแบบนั้น แต่มันก็ไม่ควรมาเกิดขึ้นในเวลาแบบนี้

    คยองซูขยับตัวออกห่างจากอีกฝ่าย ค่อย ๆ แกะมือที่กอดเขาเอาไว้แน่นออกแต่ก็ดูเปล่าประโยชน์เสียจริงเมื่อคิมจงอินก็คงยังดึงเขาเข้าไปแนบชิดมากเรื่อย ๆ เขาเม้มปากพลางใช้ความคิด สิ่งอ่อนไหวใต้ชั้นในปวดหนึบต้องการปลดปล่อยแต่เขาไม่สามารถลุกออกไปจากตรงนี้ได้

    ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาความกล้ามาจากไหนแต่มือที่กำแน่นเพราะความต้องการในตอนนี้ค่อย ๆ คลายออกก่อนจะสอดเข้าไปในกางเกงของตัวเอง สัมผัสอย่างแผ่วเบาก่อนจะค่อย ๆ ชักรูดด้วยความระแวดระวังเพราะกลัวว่าอีกคนจะตื่นขึ้นมาเห็นว่าเขากำลังทำเรื่องอย่างที่ว่า

    เขาพยายามหายใจให้เบาที่สุดขยับตัวให้น้อยที่สุดทั้ง ๆ ที่ใจจริงเขาอยากจะทำมันเร็ว ๆ ตามจังหวะตามแรงอารมณ์แต่ติดที่ว่ามีคนที่นอนกอดเขาจากทางด้านหลังอยู่ในตอนนี้ เขาก็ได้ภาวนาขอให้จงอินอย่าตื่นมา

    อึก” คยองซูเกร็งตัวคิ้วสวยขมวดเข้าหากันเมื่อสัมผัสตัวเองไม่ได้อย่างที่ใจต้องการ เขาขยับได้เพียงแต่น้อย ๆ ก็เท่านั้น น่าหงุดหงิดจริง ๆ นี่มันไม่ได้ดีขึ้นกว่าคราวที่แล้วสักนิด

    ให้ฉันช่วยมั้ย?”

    “!!!”เสียงกระซิบที่ข้างหูทำให้คยองซูต้องหยุดชะงักทุกการเคลื่อนไหว เหงื่อกาฬเริ่มผุดขึ้นมาตามกรอบหน้า หัวใจเต้นแรง เขายังคงนอนนิ่งอยู่กับที่ไม่ยอมขยับไปไหนบางทีเสียงที่เขาได้ยินเขาอาจจะหลอนหูไปเองก็ได้

    “คยองซู” จงอินตั้งใจกระซิบข้างหูอีกฝ่าย เมื่อคนตัวเล็กไม่ตอบรับเขาจึงดึงมือของคยองซูที่สอดอยู่ในกางเกงออกก่อนจะสอดมือตัวเองเข้าไปแทนและการที่คยองซูไม่ได้ปฏิเสธสัมผัสของเขานั่นทำให้ยิ่งได้ใจ

    มือของอีกฝ่ายที่วางไว้ที่หน้าท้องเขาตอนนี้ค่อย ๆ เลื่อนต่ำลงเรื่อย ๆ

    คยองซูก้มมองมืออีกฝ่ายที่ค่อย ๆ เลื่อนหายเข้าไปในกางเกงตัวเองหัวใจเต้นแรงอย่างบอกไม่ถูก ทันทีที่ได้รับสัมผัสแปลกใหม่จากมือที่ไม่ใช่ของตัวเองนั้นยิ่งทำให้อารมณ์ลุกโชนขึ้นอย่างง่ายดาย

    “นายฝันถึงฉันหรือเปล่า?”

    คยองซูไม่ได้สนใจคำถามของอีกฝ่ายเพราะตอนนี้ความสนใจของเขายังคงเป็นมือใหญ่ที่กอบกุมส่วนอ่อนไหวของตัวเขาใต้กางเกง สติของคยองซูเริ่มจางหายไปตามความเร็วที่อีกฝ่ายขยับข้อมือ

    “...”

    “นายเรียกชื่อฉันด้วยตอนหลับอยู่ เราทำแบบนี้กันในฝันของนายหรือเปล่า?”

    “เงียบที...อะ--”

    มือข้างที่ว่างสอดเข้าใต้สาบเสื้อของร่างเล็กที่นอนนิ่ง จงอินสะกิดยอดอกที่ชูชันสู้มือของเขาก่อนจะกดจูบลงบนต้นคอของอีกฝ่าย กระจกเบื้องหน้าทำให้คิมจงอินไม่ต้องจินตนาการถึงใบหน้าของคยองซูเลยแม้แต่น้อยว่าอีกฝ่ายจะทำหน้าแบบไหนตอนเขาสัมผัสตัวตนของอีกฝ่ายอยู่

    คยองซูเม้มปากกลั้นเสียงที่แสนจะน่าอายเอาไว้ คิมจงอินยังคงปรนเปรอความรู้สึกของเขาได้ดีมากกว่าที่คิดเอาไว้นั้นทำให้เผลอสติหลุดไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง

    มือใหญ่ชักรูดแก่นกายของอีกฝ่ายด้วยจังหวะเนิบนาบ มันน่าขัดใจแต่ในขณะเดียวกันทำเสียวซ่านจนใจแทบจะขาด คยองซูเชิดหน้าหอบหายใจอย่างห้ามตัวเองไม่ได้เมื่อมีสิ่งกระตุ้นมากมายจนคิดว่าตัวเขาเองคงจะต้านมันไม่ไหว

    “อย่ากลั้นเอาไว้สิ มันจะปวดเอานะ”

    น้ำเสียงแหบพร่าของจงอินกระซิบที่ข้างใบหูก่อนที่ลิ้นของอีกฝ่ายจะเล็มเลียติ่งหูของคนตัวเล็กราวกับกลั่นแกล้ง มือของจงอินปัดป่ายขยำไปทั่วแผ่นอกของคยองซูและสัมผัสนาบเนิบจากช่วงล่าง ทุกอย่างกำลังทำให้คยองซูเป็นบ้า

    จงอินคิดเห็นหนทางที่จะแกล้งคนในอ้อมกอดอีกเยอะแยะ เขาเปลี่ยนจังหวะชักรูดแก่นกายของอีกฝ่ายเป็นจังหวะที่เริ่มจะเร็วขึ้น คยองซูดูจะชอบใจเพราะใบหน้าของอีกฝ่ายดูจะเปี่ยมไปด้วยความสุขสม มือข้างที่เคยวุ่นวายใต้สาบเสื้อถูกดึงออกมาก่อนที่เขานั้นจะบีบคางมนให้ปากรูปหัวใจนั้นเผยออกแล้วส่งนิ้วเข้าไปในโพรงปากร้อนชื้น

    “อื้อ—” คยองซูลืมตาขึ้นทันทีที่นิ้วทั้งสองของอีกฝ่ายสอดเข้ามาที่ปาก เขาเตรียมจะขัดขืนเต็มที่แต่ร่างกายตอนนี้กลับกลายเป็นว่าขยับไม่ได้เลย

    “พูดออกมา”

    “จงอิน...อะ” คยองซูพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาหวิวคล้ายกับว่ากำลังละเมอเพ้อไปกับสัมผัสของอีกฝ่าย ความทรมานที่เกิดจากการที่อีกฝ่ายใช้นิ้วขยี้ส่วนปลายมนนั้นทำให้ต้องหอบหายใจหนัก ๆ แต่มันก็เสียวซ่านไม่น้อย

    “หืม ว่าไง?” จงอินถอดนิ้วออกจากริมฝีปากของอีกฝ่ายก่อนจะเลื่อนไปขยำสะโพกของอีกฝ่ายแทน

    “จงอิน”

    เมื่อได้ยินอย่างนั้นร่างสูงยิ่งชอบใจเข้าไปใหญ่ กระจกเบื้องหน้าสะท้อนภาพอีกฝ่ายกำลังแสดงสีหน้ายังไงอยู่ คยองซูหลับตาแน่นเหงื่อเริ่มซึมตามร่างกายหน้าอกหอบขึ้นลงอย่างรวดเร็ว ภาพทั้งหมดนั่นทำให้จงอินรู้สึกมีอารมณ์ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

    “...มะ—ไม่ไหวแล้ว เร็ว ๆ หน่อย” คยองซูลืมความอายไปชั่วขณะเมื่อจงอินกลับมามอบสัมผัสเขาด้วยความเร็วอีกครั้ง คยองซูเอนหลังพิงอีกฝ่ายอย่างลืมตัวเขาขยับเข้าหาจงอินที่คลอเคลียหน้าไม่ห่างกับลำคอของเขา

    ชอบ ชอบไปหมด ชอบมาก ๆ

    “อะ—อื้อ”

    คยองซูกระตุกตัวปลดปล่อยความต้องการออกมาจนหมด ร่างสูงยังคงชักรูดความต้องการที่ยังคั่งค้างอยู่ออกให้หมดจึงดึงมือตัวเองออกจากกางเกงของคนตัวเล็ก

    “...”

    ระหว่างเราไม่มีใครพูดอะไร เหมือนความอึดอัดจะแทรกซึมระหว่างกายจะกอบกุมไปทั่วหัวใจ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้มาทำเรื่องแบบนี้ยิ่งเป็นกับรูมเมทของตัวเองแล้วยิ่งแล้วใหญ่ ต่อไปเขาจะกล้ามองหน้าจงอินได้ยังไง

    นี่คยองซู

    ว่าไง?”

    "เราคบกันดีมั้ย?”






    Are you bleeding?
    -100%-
    #ลูกเสี้ยวคซ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×