NC

คำเตือนเนื้อหา

เรื่องนี้อาจมีเนื้อหาหรือการใช้ภาษา
ที่ไม่เหมาะสม เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน
กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา

อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    FIC KaiSoo {Mixed Blood} Ft.EXO (END)

    ลำดับตอนที่ #14 : Mixed Blood 11

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.08K
      127
      20 มิ.ย. 66






    Mixed Blood 11
    Ɲαɲҽɬɬҽ'ʂ ƝųɽʂᎥɲɠ Ꮥƈɦσσℓ





    สี่ทุ่มตรง คยองซูยืนอยู่ที่สนามแข่งขัน ส่วนนี้ของปราสาทเขาไม่เคยได้โอกาสมาเยือนและไม่เคยรู้ว่ามีมาก่อน ผู้ร่วมแข่งขันทุกคนต้องมาก่อนเวลาเพื่อที่จะจับฉลากการแข่งขันและเลือกคู่ คณะอาจารย์ทุกคนมาดูแลความปลอดภัย หน่วยปฐมพยาบาลเตรียมพร้อมถ้าหากมีการบาดเจ็บเกิดขึ้นและพ่อแม่หรือญาติของผู้เข้าร่วมการแข่งขันก็สามารถเข้ามาเชียร์ลูกหลานของตัวเองได้เช่นกัน
    คยองซูสวมเครื่องแบบคล้าย ๆ ชุดพละของโรงเรียนมันมีสีแดงตัดดำถูกออกแบบมาคล้าย ๆ กับชุดสมัยโบราณนิด ๆ ปาร์คชานยอลบ่นกระปอดกระแปดเรื่องแฟชั่นของโรงเรียนนี้ซึ่งคยองซูก็คิดว่าอีกฝ่ายควรจะชินเพราะตัวเขาเองก็เริ่มที่จะชินกับอะไรต่าง ๆ นานาในของที่นี่ที่ให้บรรยากาศออกไปทางยุคสมัยเก่าแก่
    เลือดผสมและเลือดแท้ถูกแยกห้องพักเพื่อรอให้ระหว่างการแข่งขันที่กำลังจะถึงทำให้คยองซูยังไม่ทันจะพูดอะไรกับคิมจงอินมากนักเราทั้งคู่ต่างแยกย้ายกันไปแต่ก็อุ่นใจขึ้นเมื่อได้รับรอยยิ้มตอบกลับมา
    “ตารางแข่งออกมาแล้ว”
    เสียงของผู้ร่วมแข่งขันคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาคนนั้นคลี่กระดาษแผ่นใหญ่ออกบ่งบอกถึงรายละเอียดการแข่งขันทั้งสามรายการนั้นเอาไว้อย่างละเอียดชัดเจน คยองซูไล่สายตามองดูชื่อของตัวเองที่มีชื่อของโอเซฮุนแนบข้างนั่นบ่งบอกถึงคู่ต่อสู้ในด่านแรกร่างกายเขาเหมือนจะชาไปชั่วครู่
    “ไหวมั้ยเจ้าลูกเสี้ยว ฉันแนะนำให้นายแกล้งเป็นลมหรือไม่พอเข้าไปก็ยอมแพ้ซะง่ายดีมั้ยจะได้ไม่เจ็บตัวเยอะ”
    เพื่อนผิวเผินอย่างพูซึงกวานที่เป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของเขาเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล ก็ล่ะนี่เป็นกีฬาเลือดเป็นการแข่งขันระหว่างเลือดแท้และเลือดผสมความจริงคือจัดขึ้นเหมือนกับให้เลือดผสมโดนรังแกเพราะว่ายังไงก็สู้เลือดแท้ไม่ได้อยู่แล้ว ความจริงอีกข้อนั้นคือยังไงก็ต้องมีการเลือดตกยางออกเกิดขึ้น
    “ฉันขอไปเข้าห้องน้ำ”
    คยองซูลุกพรวดออกจากเก้าอี้และมุ่งหน้าออกไปจากที่นี่โดยด่วนเขาอยากจะไปสงบสติอารมณ์สักครู่ไม่ก็เขียนจดหมายลาตายอะไรเทือก ๆ นั้นเพราะแค่เข้ามาแข่งแล้วเขายังลำบากแล้วยิ่งมีโอเซฮุนเป็นคู่ต่อสู้ในด่านแรกแล้วก็ยิ่งลำบากใจเข้าไปใหญ่
    “นายไม่ได้คิดจะหนีใช่มั้ย?”
    เสียงที่คุ้นเคยเรียกความสนใจจากคยองซูให้หยุดและหันไปหา คิมจงแดที่ยืนอยู่หน้าห้องพักของเลือดผสม อีกฝ่ายยิ้มแย้มปกติดีเหมือนทุก ๆ ครั้งแต่ในเวลานี้คยองซูไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับอีกฝ่ายอย่างที่ควรเป็น
    “...”
    “นายยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ ขอโทษแล้วกันที่ทำแบบนั้นกับนาย"
    "ฉันแค่อยากจะเดินไปสงบสติสงบอารมณ์ก็เท่านั้น"
    คยองซูพูดก่อนจะก้าวผ่านประธานนักเรียนไปอย่างไม่ไยดี แน่นอนว่าเขายังคงเคืองเรื่องที่อีกฝ่ายทำเมื่อวานไม่หายแต่ปัญหาใหญ่กว่านั้นคือเขาจะทำยังไงดีกับการแข่งขันที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
    "เดี๋ยวสิฟังฉันก่อน"
    คยองซูโดนคิมจงแดรั้งข้อมือเอาไว้ เขาเลิกคิ้วเชิงสงสัยก่อนจะยอมหันมาคุยกับอีกฝ่ายดี ๆ ตามที่อีกฝ่ายต้องการ
    "มีอะไร? "
    "นายแข่งลำดับสุดท้ายและคนที่นายจะต้องสู้ด้วยคือโอเซฮุนใช่มั้ย? "
    อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ก่อนที่จะล้วงเอาอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ถุงเลือดขนาดพอดีมือถูกส่งมาโดยคิมจงแด คยองซูตกใจนิดหน่อยก่อนจะรับมันมาถือ
    “...”
    “ฉันให้เวลานาย ก่อนแข่งนายต้องดื่มอีกรอบให้หมดถุงนี้ ถ้านายเอาไปทิ้งฉันจะรู้และฉันก็รู้ว่านายน่าจะรู้ดี”
    คิมจงแดชี้หน้าคยองซูคาดโทษก่อนจะเดินออกไปจากตรงที่เรายืนอยู่ คยองซูหันหลังหวังจะถามอีกฝ่ายให้แน่ใจว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ทำไมถึงต้องคอยช่วยเหลือเขาตลอดเวลาขนาดนี้แต่ว่าพอหันไปก็ไม่ได้พบคิมจงแดเสียแล้ว
    คยองซูถอนหายใจแรงก่อนจะพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก เขาเก็บถุงเลือดเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะเริ่มออกตัวเดินอีกครั้ง เขาแค่อยากจะไปสงบสติอารมณ์ให้คงที่ก็พอยิ่งมาเจอคิมจงแดแล้วการที่มีถุงเลือดอยู่ในกระเป๋ากางเกงนั้นทำให้เขาคิดมากขึ้นเข้าไปอีก
    “บอกฉันทีว่านายจะไม่ทำรุนแรง”
    ทันทีที่เดินมาจนถึงทางแยกคยองซูต้องหยุดอยู่กับที่เพียงเพราะเขาไม่อยากจะเข้าไปขัดบทสนทนาของคิมจงอินและโอเซฮุน ทั้งสองยืนอยู่อีกทางหนึ่งดูท่าทางเหมือนจะคุยเรื่องที่เป็นส่วนตัวค่อนข้างมาก คยองซูไม่ได้ตั้งใจจะแอบยืนฟังแต่เขาเองก็สงสัยอยู่ไม่น้อยทั้งสองจะคุยกันเรื่องอะไร
    “บอกฉันสิว่าทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นกับเจ้าเลือดผสมนั่น?”
    “อย่าเรียกคยองซูแบบนั้นนะ”
    “ทำไมล่ะ โกรธหรือไง ปกตินายไม่โกรธไม่ใช่เหรอถ้าไม่ใช่เรื่องของตัวเอง เห็นแบบนี้ยิ่งสนุกฉันจะได้ขยี้เจ้านั่นให้เหมือนแมลงวัน”
    “โอเซฮุน!” จงอินกัดฟันกรอกก่อนจะเข้าไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายด้วยความโมโห คยองซูเห็นท่าทางไม่ดีจึงออกไปขัดขวางทุกอย่างเสียก่อนที่ทั้งสองจะได้ชกต่อยกันจริง ๆ
    “พวกนายจะมาทะเลาะกันเองทำไม พอเถอะ”
    ทั้งสองคนหยุดการทะเลาะวิวาททันทีที่มีบุคคลที่สามเข้ามา จงอินสบถคำหยาบก่อนจะผลักเพื่อนรักเข้ากำแพง ส่วนเซฮุนก็ได้แต่เหยียดยิ้มและปรายตามองผู้มาใหม่ก่อนจะเดินจากไป
    “นายมาที่นี่ได้ไง เวลานี้ควรอยู่ในห้องเตรียม--”
    จงอินกลืนคำพูดแก้ตัวทุกอย่างลงคอเมื่ออยู่ ๆ คนตัวเล็กกว่าเขาก็โผเข้ามากอดเขาอย่างไม่ตั้งตัวแถมอีกฝ่ายยังซบหน้าลงมาอย่างออดอ้อนอีกต่างหากไม่เหมือนกับโดคยองซูที่เขารู้จักเลยสักนิด
    “คิดถึงนายไงเลยออกตามหา”
    “นั่นเป็นคำโกหกที่ฉันให้อภัยได้” จงอินยิ้มบาง ๆ ก่อนจะกอดตอบร่างเล็กในอ้อมกอด เขาไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายคิดถึงเขาจริง ๆ หรือเปล่าแต่แค่คยองซูพูดเขาเองก็ดีใจมากแล้ว
    “ฉันไม่ได้โกหกนายนะ”
    คยองซูหลับพริ้มก่อนจะซุกหน้าลงกับแผงอกแข็งแรง ตัวของจงอินกลิ่นกาแฟที่เขาชื่นชอบทำให้สงบสติสงบอารมณ์ได้ดี อะไรไม่รู้ทำให้อยู่ ๆ เขาก็คิดอยากจะกอดอีกฝ่ายซึ่งเขาก็ลงทำตามใจนึกอยากดูครั้งแรกก็ถือว่าไม่เลว
    จงอินไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงกอดคยองซูเอาไว้ในอ้อมแขนต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจเพราะโอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้บ่อยนัก
    “พวกนายทะเลาะเพราะฉันหรือเปล่า?” เมื่อความเงียบเริ่มโอบล้อมพวกเราเอาไว้ คยองซูเองก็เป็นฝ่ายชิงทำลายมันเสียก่อนด้วยการถามออกไปตรง ๆ สถานการณ์เมื่อกี้ยังคงติดตาของเขาไม่จางหายไป ภาพของคิมจงอินที่เขาไม่เคยเห็นกำลังจะมีเรื่องกับเพื่อนรักมันไม่ใช่ภาพที่น่ามองเท่าไหร่นัก
    “นายได้ยินเหรอ?”
    “หึ ไม่เชิง”
    “นั่นเป็นคำตอบที่ว่าไม่ใช่แต่ก็ใช่จริงมั้ย?”
    คยองซูค่อย ๆ ผลักอีกฝ่ายออกเบา ๆ พลางหัวเราะในลำคออย่างชอบใจที่อีกฝ่ายยังคงหัวไวตามเขาทันเสมออันที่จริงเหมือนจะนำหน้าเขาไปหลายขั้นแล้วด้วยซ้ำ
    “นายยังไม่บอกฉันเลย สรุปทะเลาะกันเพราะฉันใช่มั้ย?”
    “ก็...ไม่เชิง”
    อีกฝ่ายตอบพลางอมยิ้มส่งมาให้ คยองซูรู้ว่าการกระทำนั้นทำเพื่อไม่ให้เขารู้สึกร้อนใจไปมากกว่าเดิมเพราะแค่นี้เขาก็รู้สึกผิดอยู่มาโขที่ทำให้ทั้งสามเพื่อนรักเกิดการทะเลาะวิวาทขึ้น
    “ฉันช่วยอะไรได้บ้างหรือเปล่า ทำยังไงพวกนายถึงจะไม่ทะเลาะกัน?”
    “นายแค่ช่วยอย่าเจ็บตัวเยอะก็พอแล้ว แค่นี้ทำได้ใช่มั้ย?”
    คำพูดหวาน ๆ ของอีกฝ่ายมาพร้อมกับการกระทำที่ชวนหน้าร้อน อีกฝ่ายส่งยิ้มมาให้ก่อนจะกุมมือของเขาเอาไว้หลวม ๆ
    “นี่เหรอที่อยากให้ช่วย?”
    “ก็แค่นี้แหละ ฉันขอมากไปงั้นเหรอ? ได้โปรดเถอะนะอย่าเป็นอะไรเลยเพราะฉันนั้นห่วงนายเหลือเกิน แค่คิดอย่างนั้นฉันก็แทบจะบ้าแล้ว”
    คยองซูกำลังคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นลมไม่ก็เป็นบ้าแทนคนตรงหน้า คิมจงอินประสานนิ้วเข้าหามือของเขาก่อนจะยกขึ้นมาจุมพิตที่หลังมือสวยอย่างแผ่วเบาและยังคงยึดเอาไว้แนบกับหน้าของตัวอย่างออดอ้อน การกระทำแบบนี้ทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นผิดจังหวะและสูบฉีดเลือดอย่างบ้าคลั่ง
    “ทะ—ทำอะไรล่ะ ปล่อยได้แล้ว”
    “ฉันรู้ว่านายเขิน ไม่เป็นไรหรอกหน้าฉันก็เขินเหมือนกัน”
    คยองซูกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อมองมือของตัวเองที่ถูกมือใหญ่ ๆ ของอีกฝ่ายกุมเอาไว้มือของเขาดูเล็กลงในทันตาและเมื่อยืนใกล้กันแบบนี้ตัวเขาก็ดูเล็กลงเช่นกัน
    “สัญญาสิว่าจะดูแลตัวเองดี”
    คยองซูมองดวงตาของอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ภาพตรงหน้าสะท้อนภาพของเขาชัดเจน มันดูจริงจังมากกว่าจะบอกว่าจงอินทำไปเล่น ๆ แต่เขาก็พยายามแบ่งจิตแบ่งใจไม่ให้เผลอไปให้จงอินเสียหมด เพราะกลัวว่าจะเสียใจ
    “อือ สัญญา”
    คยองซูแอบเอานิ้วไขว้หลังตัวเองแทบจะไม่ทันเมื่อมองไปข้างหลังของอีกฝ่ายแล้วเจอเข้ากับโอเซฮุน อีกฝ่ายมองเขาไม่แตกต่างกับเลือดแท้คนอื่นมองเสียเท่าไหร่ แต่เท่าที่เขาจำได้ในวันแรกที่เราเจอกันอีกฝ่ายไม่ได้ใช้สายตาแบบนั้นมองเขา สายตาเหยียดหยามและพร้อมที่จะฆ่าให้ตาย
    ‘หลังจากจงอินไปแล้ว เรามาคุยกันหน่อยสิ’





    "มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันงั้นเหรอ?"
    น้ำเสียงของโอเซฮุนดูราบเรียบไม่ต่างกับสายตาของเจ้าตัวเสียเท่าไหร่ อีกฝ่ายยังคงแสดงท่าทางสบาย ๆ ผิดกับคยองซูที่เริ่มจะเกร็งไปทั้งตัวเมื่อโดนสายตาของอีกฝ่ายจับจ้อง
    "นายทะเลาะกับจงอินเหรอ? " คยองซูถามออกไปอย่าตรงประเด็นแม้ว่าเขาจะรู้สึกกลัวก็ตามทีเถอะ มีโอกาสสูงที่โอเซฮุนจะพุ่งเข้ามาบีบคอเขาไม่ก็ใช้เวทชั้นสูงอะไรเทือก ๆ นั้นทำให้เขาถึงตายก่อนจะได้เริ่มแข่งกันเสียอีก
    "ไม่ใช่เรื่องของนาย"
    คำตอบของร่างสูงตรงหน้าทำให้คยองซูกำมือเข้าหากันแน่นอย่างไม่ปิดบังความรู้สึกของตนเองเพราะอีกฝ่ายแสดงออกอยากชัดเจนมากกว่าเขานั้นคือคนนอกซึ่งนั่นมันก็จริง
    "แต่--"
    "พวกนายสองคนเป็นอะไรกัน? " เซฮุนถามพลางยกมือขึ้นมากอดเอาไว้ที่อกก่อนจะปรายสายตามองคนข้างหน้า อยากจะรู้จริง ๆ ว่าทั้งสองคนไปถึงขั้นไหนกันแล้ว คิมจงอินจะจริงจังเหมือนที่ตัวเองนั้นบอกเอาไว้กับเพื่อน ๆ หรือเปล่า
    "พวกเราเป็นเพื่อนกัน" คยองซูตอบเสียงเบาหวิว คำตอบในครั้งนี้แทบจะไม่ต้องคิดเลยว่าเราอยู่ในสถานะแบบไหน ปากบอกว่าเพื่อนกันแต่เอาเข้าจริง ๆ มันก็ไม่ใช่อย่างงั้น มีเพื่อนที่ไหนเขาจูบกันบ้างล่ะ
    "หึ เพื่อน? นายคิดว่าไงล่ะถ้าฉันจะบอกว่าขนาดพวกเราเป็นเพื่อนกันมานานหมอนั่นยังกล้าทิ้งพวกฉัน นับประสาอะไรกับคนที่เกือบจะเป็นมนุษย์อย่างนาย"
    “...”
    “แต่ก็นะ เพื่อนอย่างนายก็ควรจะดีใจที่คิมจงอินอุตส่าห์มาขอร้องฉันไม่ให้ทำอะไรนาย เพื่อนอย่างฉันก็ไม่ค่อยอยากจะรับปากสักเท่าไหร่หรอกเพราะมันคือการแข่งขัน จริงมั้ย?”
    โอเซฮุนทำสีหน้ายียวนกวนประสาทของคยองซูได้ดี ในตอนนี้เขาก็ไม่แน่ใจว่าควรจะรู้สึกแบบไหนก่อนดี กลัวก็กลัว โกรธที่อีกฝ่ายมาพูดกับเขาแบบนี้และความอยากที่จะชนะของเขาก็เพิ่มขึ้นมาเสียดื้อ ๆ
    “...”
    “คิดว่าฉันเห็นแก่เพื่อนที่คบกันมานานครึ่งค่อนชีวิตแล้วกัน พอเริ่มนายก็ยืนขอบ ๆ เอาไว้ ฉันจะตีลมพัดนายให้ล้มออกไปนอกวงแค่นั้นก็คงเพียงพอแล้วสำหรับคนแบบนาย”
    คยองซูยังคงยืนนิ่งกับที่แม้ว่าโอเซฮุนจะเดินจากเขาไปแล้ว เขายังจมอยู่กับความคิดของตัวเองชั่วครู่ก่อนจะตั้งสติได้และเดินกลับไปที่ห้องเตรียมตัว
    “หายไปไหนมาตั้งนาน ฉันเป็นห่วงนายแทบแย่”
    ทันทีที่มาถึงปาร์คชานยอลเป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามาถามเขา ใบหน้าหล่อ ๆ นั่นแสดงออกอย่าชัดเจนมากกว่าเป็นห่วง
    “สูดอากาศนิดหน่อยน่ะ นายไม่ต้องมาห่วงฉันหรอกน่า” คยองซูทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ก่อนจะคว้าถุงเลือดที่คิมจงแดให้ออกมาจากกระเป๋า เขากัดที่ถุงเบา ๆ ก่อนที่ของเหลวในนั้นจะไหลออกมา คยองซูใช้ปากงับเอาไว้ก่อนจะจิบมันอย่างเงียบ ๆ
    “เฮ้ ๆ เดี๋ยวนี้นายหันมาดื่มเลือดตั้งแต่เมื่อไหร่กันทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่องเลย?”
    คยองซูหัวเราเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางตกใจของร่างสูงข้าง ๆ กายอีกรอบก่อนที่ชานยอลจะทิ้งตัวนั่งลงที่ข้าง ๆ เขาและดวงตากลมโตของอีกฝ่ายก็จ้องคยองซูอย่างสนอกสนใจ
    “ชนะแล้วได้อะไร?” คยองซูถามออกไปอย่างนึกสงสัยเพราะยังไงถ้าชนะด่านสุดท้ายที่แข่งเป็นทีมก็ได้สิทธิ์เข้าออกทวาราแต่ด่านแรกกับด่านสองนี่แข่งกันเพื่ออะไร
    “ก็เหมือนกีฬาสีปกตินั่นแหละ ได้เหรียญ ถ้าหากเราชนะก็ถือว่าเป็นเกียรติยศติดตัวล่ะมั้งว่าครั้งหนึ่งเลือดผสมก็เคยชนะพวกเลือดแท้ แต่ส่วนใหญ่ที่ได้ยินมาไม่ค่อยมีเลือดผสมชนะหรอก”
    คำพูดของชานยอลทำให้คยองซูครุ่นคิดตามอย่างห้ามไม่ได้ เกียรติยศงั้นเหรอ?
    “สอนวิธีต่อให้ฉันสู้หน่อยสิชานยอล”
    คำขอร้องของเพื่อนตัวเล็กทำเอาชานยอลถึงกับอยากจะอ้าปากค้าง ไม่แน่ใจว่าใน
    ระหว่างที่อีกฝ่ายไปสูดอากาศนั้นได้ล้มหัวกระแทกกับอะไรหรือเปล่าทำไมถึงได้คิดที่อยากจะสู้กับเลือดแท้ และยิ่งคนนั้นเป็นโอเซฮุนแล้วยิ่งไม่น่าคิดเลย
    “อะไรของนายเนี่ย หัวกระแทกมาหรือไง?”
    “บอกฉันมาเถอะน่า อยากเห็นเพื่อนของนายถูกขยี้หรือไงฉันก็ควรจะรู้วิธีป้องกันตัวเองไม่ใช่หรือไง?” คยองซูว่าอย่างนั้นก่อนจะก้มลงดูดถุงเลือดอีกครั้งคราว อันที่จริงเขาเริ่มจะชินกับรสชาติของมันเข้าแล้ว ซึ่งคยองซูเองก็ไม่แน่ใจเสียเท่าไหร่ว่ามันเป็นเรื่องที่ดีหรือเปล่า
    “เอางี้นะฉันจะบอกให้ก็ได้” ชานยอลรู้สึกลำบากใจเล็กน้อยแต่ก็อย่างที่คยองซูบอกนั่นแหละ จะให้คยองซูเข้าไปเป็นเป้านิ่งในสนามไม่ได้
    “อือ”
    “เบสิกมาก ๆ โอเซฮุนคงจะตีลมพันรุนแรงใส่ ถ้านายไม่อยากปลิวต้องใช้เวทหินทำให้ตัวเองหนังลง อันที่จริงฉันก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ว่าจะเรียนไปทำไมในเมื่อนายอยากให้เป็นแบบไหนนายก็คิดมันก็จะเกิด”
    “...”
    “อยากให้หนักนายก็คิดเสียว่าตัวนายหนัก อยากวิ่งเร็ว ๆ ก็ลองนึกดูว่านายจะเร็วได้ขนาดไหน อยากจะจุดไฟนายก็คิดเสียว่าไฟติด มันไม่ได้ยากเลยมันขึ้นอยู่กับว่านายจะคิดได้นานเท่าไหร่ มันต้องฝึกกันที่ความคิดเสียก่อน”
    คยองซูพยักหน้าตาม เขาเข้าใจดีว่าเขาอาจจะทำตัวหนักได้แต่อาจจะไม่หนักพอที่จะทนแรงลมของโอเซฮุน
    “ถ้าหมอนั่นเสกไฟนายก็เสกน้ำดับซะ แล้วก็ที่สำคัญอย่ามองตาของหมอนั่นตรงเกินไปนายอาจจะโดนสะกดจิตเอาได้ ถ้าโดนก็ถือว่าจบเกมเลย”
    คยองซูดูดเลือดจนหยดสุดท้ายก่อนเขาจะผละริมฝีปากออกจากถุงและเผลอเลียริมฝีปากตัวเองเพราะรู้สึกว่ามีเลือดติดอยู่
    ชานยอลมองตามอีกฝ่ายตาเป็นมัน เขาไม่เคยเห็นคยองซูในมุมมองนี้มาก่อน ดื่มเลือดแล้วเลียริมฝีปากเพราะต้องเอาเลือดที่ติดอยู่ออกถือเป็นการกระทำที่ปกติมากสำหรับแวมไพร์เวลาที่ดื่มเสร็จ แต่มันดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่สำหรับโดคยองซู
    “นายคิดว่าพอมีวิธีที่ฉันจะชนะบ้างมั้ย?”
    “พูดอะไรแบบนั้น?”
    คยองซูถึงกับหน้าบูดเมื่อโดนชานยอลทำสีหน้าแบบนั้นใส่ สีหน้าที่ไม่เชื่อว่าเขาจะสามารถชนะได้
    “นายพูดเหมือนกับไม่มั่นใจในตัวฉันเลย”
    คยองซูลองใช้พลังจิตบังคับให้ฝาถังขยะที่มุมห้องฝั่งตรงข้ามเปิดออกซึ่งน่าตกใจดีที่มันเปิดออกอย่างง่ายดายก่อนที่เขาจะใช้เวททำให้ถุงเลือดที่ว่างเปล่านี้ลอยลงถังไปพร้อมๆ กับปิดฝาถังขยะคืนให้ด้วย
    ก็ไม่ได้อยากอย่างที่เขาคิดเอาไว้
    “ก็นะ ถ้านายอยากจะชนะจริง ๆ คงต้องหาจุดอ่อนของโอเซฮุนแล้วล่ะ ซึ่งฉันคิดว่าไม่น่ามี”
    คยองซูยิ้มตอบกลับชานยอล ไม่ว่าจะแวมไพร์เก่งกล้ามาจากไหนก็ต้องมีจุดอ่อนกันบ้างแหละ และเขาก็คิดว่าเขารู้แล้วเช่นกันถึงจะยังไม่ค่อยชัวร์เท่าไหร่ก็ตามทีเถอะ
    “ถ้าฉันตาย นายต้องไปบอกจงแดให้ฝากไปบอกพ่อฉันด้วยว่าทั้งหมดเพราะท่านคนเดียว”





    การแข่งขันเริ่มมาได้สักพักแล้ว ชานยอลกำลังลงรออยู่อย่างใจจดใจจ่อเพราะต่อไปเป็นคิวของเขากับพยอนแบคฮยอนที่จะต้องได้เข้าแข่ง ซึ่งแน่นอนว่าเขาตื่นเต้นจนแทบจะบ้าและถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเก่งกาจมาจากไหนชานยอลก็จะขอสู้ในฐานะตัวแทนเลือดผสม
    เลือดผสมส่วนใหญ่ที่ถูกเลือกลงแข่งแพ้แบบแทบจะไม่ถึงสองนาทีด้วยซ้ำ มีชนะบ้างในโอกาสที่คู่ต่อสู้อีกฝั่งไม่อยากใช้กำลังมากจึงยอมออกนอกเส้นไปเองแบบดื้อ ๆ แต่นั่นก็ไม่ถือว่าชนะมาหรอก
    “ต่อไป "พยอนแบคฮยอน และ ปาร์คชานยอล”
    เสียงประกาศชื่อจากข้างนอกทำให้ชานยอลลุกขึ้นและเตรียมตัวที่จะออกไป คยองซูส่งยิ้มให้น้อย ๆ เชิงว่าเป็นห่วงซึ่งชานยอลเองก็รู้สึกดีมาก ๆ ที่ได้รับรอยยิ้มก่อนการแข่งขัน
    ชานยอลเดินเข้าไปกลางสนามแข่งที่เป็นโดมเปิด เขามองนักเรียกมากมายผสมปนเปกับคนภายนอกที่เข้ามาดูและคณะอาจารย์ที่เข้ามาดูแลความปลอดภัยให้สำหรับการแข่งขันนี้
    ชานยอลเดินเข้ามาในวงกลมขนาดใหญ่ที่ล้อมพวกเราเอาไว้ มันใหญ่มากขนาดที่ว่าจะให้เลือดผสมวิ่งหลบทุก ๆ อย่างที่เลือดแท้เสกใส่ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นเขาเองก็คิดว่ามันไม่ได้จำเป็นเพราะเขามาเพื่อที่จะสู้
    'ไม่อยากเชื่อว่าจะเห็นหน้านายที่นี่'
    แบคฮยอนเหยียดยิ้มพลางมองหน้าคู่ต่อสู้ ชานยอลยิ้มกลับแต่เขาไม่ได้มองตาของแบคฮยอนแตกต่างออกไปสายตาเขาวางไว้ตรงจมูกของอีกฝ่าย เขาไม่ได้รู้จักแบคฮยอนดีแต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักเลยว่าแบคฮยอนเป็นคนแบบไหน
    'นายไม่คิดหน่อยเหรอว่ามันอาจจะเป็นโชคชะตา'
    "ผู้เข้าแข่งขันเตรียมตัว เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณถือว่าการแข่งขันได้เริ่มและจะจบลงเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกนอกเส้นที่ขีดเอาไว้"
    ปัง!
    ทันทีที่เสียงสัญญาณจากปืนดังขึ้น ชานยอลรีบถอยตัวออกห่างคู่ต่อสู้ตัวเล็กในทันที แบคฮยอนตั้งท่าและดูเหมือนอีกฝ่ายนั้นพร้อมที่จะชนะเห็นได้แต่เรื่องอะไรที่ชานยอลจะปล่อยให้เป็นแบบนั้น
    แบคฮยอนโจมตีอีกฝ่ายทันทีที่มีโอกาส ธนูและลูกธนูถูกเสกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้แต่ชานยอลก็เตรียมจะหลบลูกธนูของอีกฝ่ายทันทีที่เห็น แบคฮยอนยิงมันขึ้นฟ้าไปหลายนัดก่อนที่มันจะต้านลมตกลงมาสู่พื้นและชานยอลก็ค่อย ๆ ถอยหลบมันทีละลูกอย่างใจเย็นสุด
    ฉึบ!
    ฉึบ!
    ฉึบ!
    ฉึบ!
    "ชิท! "
    ชานยอลสบถออกมาอย่างห้ามไม่ได้เมื่อลูกศรของอีกฝ่ายที่ถูกยิงขึ้นฟ้านั้นยากที่จะหลบเพราะตอนนี้เป็นเวลากลางคืน มองแทบจะไม่เห็น มิหนำซ้ำเขายังถอยหลังกรูดจนเกือบจะออกนอกเส้น
    "ยอมแพ้ไปเถอะก่อนนายจะเจ็บตัวมากกว่านี้"
    ชานยอลไม่สนใจและไม่ตอบคำรับคำแนะนำของอีกฝ่าย เขาเพียงแต่ลุกขึ้นแหละหลบลูกศรอีกลูกที่ยิงมาที่เขาตรง ๆ แทนที่จะยิงขึ้นฟ้า
    ฉึบ!
    ฉึบ!
    "จิ๊" แบคฮยอนจิ๊ปากรำคาญเมื่อลูกศรที่เขายิงไปทุกลูกไม่มีลูกไหนที่จะโดนปาร์คชานยอลเลยแม้แต่สักลูก ไม่ใช่ว่าเขาเล็งเป้าไม่แม่นยำแต่ชานยอลน่ะหลบลูกศรได้แม่นยำกว่าเขาเท่านั้นเอง
    เหมือนชานยอลรู้ว่าเขาจะยิงไปตรงไหน ราวกับว่าสามารถอ่านใจของเขาได้
    เมื่ออาวุธชิ้นนี้ใช้ไม่ได้กับปาร์คชานยอลแบคฮยอนจึงเปลี่ยน ร่างเล็กใช้เวทลมตีแรงขนาดที่ว่าจะพัดโดมเปิดทั้งอันลอยออกไปได้แต่มันก็ไม่สะเทือนปาร์คชานยอลอยู่ดี
    ชานยอลพอใจที่ได้เห็นว่าแบคฮยอนนั้นหงุดหงิดมากขนาดไหน เพราะนั่นมันกำลังเข้าแผนของเขาโดนสมบูรณ์
    แบคฮยอนชะงักไปชั่วครู่เมื่อร่างสูงของเด็กเลือดผสมค่อย ๆ เดินย่างกรายเข้ามาราวกับว่าพายุที่เขาสร้างนั้นเป็นแค่ลมในฤดูหนาวเย็นสบาย เขากำหมัดแน่นก่อนจะเสกดาบไฟออกมาและพุ่งเข้าไปโจมตีเป้าหมายตรงหน้าด้วยความรวดเร็วเพราะเขาจะไม่ปล่อยโอกาสให้ปาร์คชานยอลได้หนีอีกเป็นครั้งที่สองแน่ ๆ
    ชานยอลชะงักเมื่อเห็นแบคฮยอนเล่นใช้เวทระดับสูงอีกครั้งคราวแต่ต้องขอบคุณตัวเองที่รู้สึกตัวไว้เลยไหวตัวทันและพร้อมที่จะหลบทันทีที่แบคฮยอนหายตัวเข้ามาหาเขาในระยะประชิดตัว
    “!!” แบคฮยอนตัวชาไปเกือบครึ่งเมื่อชานยอลเองหลบได้อีกครั้งแม้จะดูล้มลุกคลุกคลานไปเสียบ้างแต่มันก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเลยที่เขาไม่สามารถทำอะไรอีกฝ่ายได้ทั้ง ๆ ที่เป็นแค่เลือดผสม
    ชานยอลเบี่ยงตัวหลบอีกครั้งเมื่อแบคฮยอนหายตัวไปและโผล่อีกครั้งที่ด้านหลังของเขา คมดาบที่ลุกเป็นไฟไม่สามารถทำอะไรเขาได้เพราะหากเขาไม่เห็นแต่เขาก็ยังคงได้ยินเสียงการขยับตัวของแบคฮยอนได้ชัดเจนอยู่ดี
    พรึบ!
    “นายจะหลบไปถึงไหน!” แบคฮยอนโมโหจนเลือดขึ้นหน้าเพราะเขากำลังจะกลายเป็นไอ้คนไม่เอาไหนที่ทำอะไรเลือดผสมอย่าปาร์คชานยอลไม่ได้
    ชานยอลไม่ตอบคำถามนั้นแถมยังยืนรอให้แบคฮยอนเข้ามาปะทะตัวเองอีกต่างหากการกระทำนั้นทำเอาอีกฝ่ายขบกรามแน่นก่อนจะวิ่งเข้าไปหาชานยอลที่ยืนตั้งรับอยู่หน้าตัวเองอยู่แล้ว แบคฮยอนใส่แรงไม่ยั้งในการฟาดดาบใส่อีกฝ่าย ในที่สุดความพยายามของแบคฮยอนก็เป็นผลเมื่อดาบที่ติดไฟนั้นได้เฉียดโดนผิวหนังของปาร์คชานยอล เลือดสีแดงฉานกับแผลที่โดนเผาจากความร้อนปรากฏต่อสายตา ร่างสูงแสดงสีหน้าเจ็บปวดแล้วก็ปล่อยแผลของตัวเองเอาไว้แบบนั้น แบคฮยอนไม่เข้าใจว่าทำไมชานยอลไม่รักษาแผลเพราะถ้าปล่อยไว้อย่างนั้นอาจจะติดเชื้อเอาได้
    ในระหว่างที่แบคฮยอนกำลังชะงักกับบาดแผลของอีกฝ่ายนั้นชานยอลไม่อยู่เฉยเขาเสกสร้างกลุ่มหมอกควันให้ล้อมรอบที่นี่โดยเร็วมันหนามากจนชานยอลเองแทบจะมองอะไรไม่เห็นและเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่แตกต่างจากกันเสียเท่าไหร่
    แบคฮยอนปัดป่ายหมอกควักตรงหน้าไปมา มันหนาจนบังการมองเห็นขนาดที่ว่ามองไม่เห็นอะไรเลย ตลอดการก้าวเดินของแบคฮยอนจึงเต็มไปด้วยการระแวดระวัง ปาร์คชานยอลมีโอกาสโจมตีเขาได้ทุกรอบทิศทางเลยอีกอย่างเดินไปเรื่อย ๆ เขาอาจจะเป็นฝ่ายเดินออกจากเส้นเองก็ได้
    ฉึบ!
    เพล้ง!
    แบคฮยอนใช้ดาบไฟของตัวเองปัดกระสุนน้ำแข็งที่พุ่งมาจากทางด้านซ้ายอย่างรวดเร็วเพราะเขารู้ตัว จนกระทั่งแบคฮยอนทนไม่ไหวจึงได้ใช้เวทชั้นสูงอีกรอบเพื่อบังคับให้ชานยอลแสดงตัวออกมาจากหมอก
    ‘นายตามหาฉันอยู่เหรอ?’
    เสียงที่มาจากข้างหลังทำให้แบคฮยอนหันหลังไปอย่างรวดเร็วแต่ที่ตรงนี้ก็ไม่ได้มีปาร์คชานยอลอยู่ เขาเริ่มที่จะสงสัยแล้วว่าชานยอลจะเก่งกาจมาจากไหนทำไมถึงได้ต้านเวทชั้นสูงได้ ตามความเป็นจริงแล้วหมอกควรจะหายไปและชานยอลก็ควรปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้แล้วแต่ไม่เลยทุก ๆ อย่างยังคงอยู่ที่เดิมของมันรวมถึงตัวแบคฮยอนด้วย
    “...”
    ‘เริ่มกลัว ฉันสัมผัสได้ถึงความกลัว’
    ‘ออกไปจากหัวฉันนะ’
    ความอบอุ่นจากด้านหลังทำให้แบคฮยอนเริ่มจะแน่ใจว่าครั้งนี้เป็นชานยอลไม่มีผิดแน่ แต่ร่างกายของกับนิ่งขยับไปไหนไม่ได้เลย
    ดาบไฟถูกคู่ต่อสู้ปลดออกจากมือในทันทีที่มีโอกาสชานยอลโยนมันออกไปไกลจากบริเวณที่พวกเรายืนอยู่ อันที่จริงถึงโยนไปแบคฮยอนจะเสกมันขึ้นใหม่ก็ยังได้ ถ้ายังมีแรงเหลือซึ่งชานยอลเองก็คิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าเหลือแล้วเพราะว่าใช้พลังมากเกินไปและติดต่อกันเป็นเวลานาน
    ‘ชื่นชมในความเก่งของนายจริง ๆ แบคฮยอน แต่มันไม่พอ’
    แบคฮยอนฝืนกำลังทุกอย่างที่กำลังกดตัวของเขาและหันไปเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ของตัวเอง อย่างน้อยถ้าเขาสบตากับชานยอลใช้วิธีสะกดจิตเสียก็สิ้นเรื่องแล้ว
    “!!” แบคฮยอนหันไปปะทะกับชานยอลตรง ๆ และในทันทีที่เขาสบตาเข้ากับดวงตาคู่นั้นเหมือนโลกค่อย ๆ หมุนช้า ๆ ความสวยงามของดวงตาอีกฝ่ายยังคงยั่วยวนไม่สามารถทำได้ละลานตาไปได้นัยน์ตาคู่นั้นของชานยอล มันเหมือนหลุมดำที่จะดึงดูดของลงไปในนั้นและคล้ายว่าจะสามารถพาเขาขึ้นไปลอยอยู่บนอากาศ
    คู่ต่อสู้ตัวเล็กจ้องเข้าไปที่นัยน์ตาสวยตรงหน้าก่อนจะเผลอตัวไปกับความสวยงามของดวงตาคู่สวยของชานยอลอย่างไร้สติและนั่นแหละที่ทำให้ชานยอลต้องเหยียดยิ้มออกมาราวกับผู้ชนะ
    ผู้คนที่นั่งดูอยู่ถึงกับส่งเสียงฮือฮากันใหญ่เพราะสงสัยงานนี้เลือดผสมจะเป็นฝ่ายที่ชนะ
    “นายจะเดินออกไปนอกเส้นเพราะว่านายรู้สึกเหนื่อย”
    “ใช่ฉันเหนื่อย”
    ร่างเล็กพูดออกมาราวกับจิตใจกำลังเลื่อนลอยไปที่ไหนสักที่ก่อนจะค่อย ๆ ย่างกายออกนอกสนามไปตามคำสั่งของชานยอลที่ยืนรอดูผลงานของตัวเองอยู่
    “ไม่นะแบคฮยอนนายทำอะไรของนายกลับเข้าไปเดี๋ยวนี้!”
    หนึ่งในเลือดแท้ส่งเสียงห้ามเมื่อเห็นว่าแบคฮยอนตัวแทนเลือดผสมหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งของโรงเรียนกำลังจะพ่ายแพ้
    “ไม่ได้ผลหรอกเขาถูกสะกดจิต”
    ทันทีที่เท้าของร่างเล็กแตะเส้นวงกลมเสียงประกาศดังก้องขึ้นพร้อมกับเสียงโห่ร้องด้วยความภูมิใจของเหล่าเลือดผสม
    “ผู้ชนะคือปาร์คชานยอล”





    คยองซูนั่งใจลอยอยู่ที่ห้องเตรียมการคนเดียวเพราะเขานั้นแข่งเป็นคนสุดท้าย เขาพลางใช้ความคิดอย่างมากว่าควรจะทำยังไงดี เขาอยากจะชนะเหมือนกับเพื่อนของเขา ชานยอลน่ะเป็นความภูมิใจของเลือดผสมที่สามารถเอาชนะเลือดแท้มาได้ด้วยการใช้สติปัญญาล้วน ๆ ซึ่งคยองซูคิดว่ามันค่อนข้างที่จะน่านับถือ
    “ต่อไป โอเซฮุน และ โดคยองซู”
    ทันทีที่ได้ยินประกาศชื่อของตัวเองคยองซูก็ลุกขึ้นและก้าวออกไปข้างหน้า มันดูมั่นคงในแต่ละก้าวเดินแต่ความเป็นจริงแล้วเขาอยากจะวิ่งหนีไปจากตรงนี้ด้วยซ้ำ
    ภาพสนามแข่งขันโดมเปิดขนาดใหญ่และผู้คนที่ดูเหมือนว่าจะมาดูเยอะกว่ารอบไหน ๆ ได้ปรากฏต่อสายตาของคยองซู เขาเห็นเส้นวงกลมขนาดใหญ่และโอเซฮุนที่ยืนอยู่ในนั้นอยู่ก่อนหน้าเขาแล้ว
    คยองซูก้าวเท้าเข้าไปข้างในเส้นอย่างกล้า ๆ กลัวแต่ก็ถอยได้ที่ไหนเพราะสถานการณ์นี้เขาถูกมัดมือชกไปเรียบร้อย
    "ผู้เข้าแข่งขันเตรียมตัว เมื่อได้ยินเสียงสัญญาณถือว่าการแข่งขันได้เริ่มและจะจบลงเมื่อมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งออกนอกเส้นที่ขีดเอาไว้"
    คยองซูไล่สายตาไปบนที่นั่งชั้นแรก เขาเห็นชานยอลนั่งอยู่ตรงนั้น อีกฝ่ายส่งยิ้มมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาโชว์หมัดและรอยยิ้มให้เขาจนเขาต้องยิ้มตอบก่อนสายตาจะพลันไปข้าง ๆ ปาร์คชานยอลมีคิมจงอินนั่งอยู่ตรงนั้นแม้ว่าจงอินจะส่งยิ้มมาให้เขาก็ตามแต่เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าสีหน้าแบบนั้นของอีกฝ่ายก็คือกำลังเป็นกังวลอยู่
    ปัง!
    ทันทีที่เสียงสัญญาณจากปืนดังขึ้นคยองซูหยุดยืนกับที่เพื่อจะรอดูว่าโอเซฮุนนั้นจะทำอะไรต่อไป อีกฝ่ายยืนนิ่ง ๆ ทำสีหน้านิ่งติดรำคาญก่อนพายุจะโหมกระหน่ำขึ้น เศษฝุ่นและใบไม้ทำให้คยองซูต้องหยีตาลงอย่าเลี่ยงไม่ได้ ลมแรงจนเขาคิดว่าตัวเขานั้นต้องปลิวไปกับลมแน่ ๆ แต่มันก็ไม่ได้ดูจะเป็นอย่างนั้นเพราะตัวเขายังคงอยู่กับที่แม้ว่าจะมีการขยับเขยื้อนไปด้านหลังเล็กน้อย
    เซฮุนจิ๊ปากอย่างรำคาญใจที่เจ้าลูกเสี้ยวดื้อดึง เซฮุนจึงใช้เวทเคลื่อนย้ายค่อย ๆ ผลักคยองซูลงไปข้างหลังเรื่อย ๆ คยองซูตะเกียกตะกายพยายามยื้อตัวเองให้อยู่กับที่จนถึงที่สุดแต่ก็ไม่เป็นผลเมื่อเซฮุนนั้นย่างกายเข้ามาเรื่อย ๆ แถมเขายังถอยเข้าไปใกล้เส้นเรื่อย ๆ ด้วย
    จากการผลักด้วยพลังจิตแปรเปลี่ยนเป็นไฟที่ค่อย ๆ ลุกลามเข้าต้อนคยองซูให้ออกจากเส้น เซฮุนเริ่มรำคาญและไม่อยากจะออกแรงมากสำหรับคยองซูที่ยังคงพยายามสู้แรงเขาด้วยการดันกลับคืนทำให้เขาเซไปเล็กน้อยแต่นั้นมันก็ดูจะพยายามเกินไปที่จะเอาชนะโดคยองซู ความพยายามขนาดนั้นไม่ควรให้กับแค่ลูกเสี้ยวหรอก
    คยองซูถอยหลังกรูดไปด้านหลังเพราะเพลิงไฟที่ค่อย ๆ โหมแรงขึ้นเรื่อย ๆ และมันแรงจนเขาไม่เห็นอีกฝั่งที่เซฮุนยืนอยู่
    พรึบ!
    คยองซูหายตัวไปอีกด้านของสนามด้วยสัญชาตญาณของตัวเองล้วน ๆ เหมือนตอนที่เขาสามารถหายตัวและหลบลูกไฟของจงแดได้ในคราวนั้น เขาปาดเหงื่อออกก่อนจะจ้องมองไปที่แผ่นหลังของโอเซฮุน อีกฝ่ายยืนอยู่หน้ากองไฟ ความคิดของคยองซูตีกันรวนไปหมด แต่ในที่สิ้นสุดเข้าก็ตัดสินใจได้ว่าควรทำยังไง
    เพราะว่ามันเป็นเกม
    เขาหายตัวอีกครั้งก่อนจะไปโผล่ที่ด้านหลังอีกฝ่ายตามที่เขาเล็งเป้าเอาไว้ตามที่คาดก่อนจะผลักอีกฝ่ายอย่างแรงจนเซฮุนนั้นล้มลงไปที่กองเพลิงไฟด้านหลัง
    อีกฝ่ายไม่เป็นอะไรเลยเพราะเมื่อถูกผลัก เซฮุนเหมือนจะไหวตัวทันจึงควบคุมไฟและปัดพวกมันออกจนหายไปหมดก่อนที่อีกฝ่ายจะล้มลงไปกับพื้นหญ้าแทน
    เซฮุนดูจะหัวเสียมาก ๆ ที่พลาดท่าเอาจนได้ ร่างสูงลุกขึ้นก่อนจะปัดเสื้อตัวเองและปรายตามองคาดโทษคู่ต่อสู้ตัวเล็กที่ไม่แม้แต่จะมองหน้าเขา ดูเหมือนจะระวังตัวสำหรับการสะกดจิตมาดี
    มือใหญ่หยิบก้อนหินที่พื้นขึ้นมาก่อนจะขว้างออกไปข้างหน้าโดยมีคยองซูยืนอยู่ไม่ได้ไกลมากนั้น ก้อนหินหนึ่งก้อนแตกเป็นสี่ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาคยองซูที่ยืนตั้งรับแทบจะไม่ทันจนในสุดท้ายคยองซูก็ตัดสินใจกระโดดหลบหินพวกนั้น
    ตู้ม!
    ทั้งทีที่หินทั้งสี่ก้อนตกกระทบพื้นมันแต่ตัวออกเป็นระเบิดขนาดย่อมที่รุนแรงจนสามารถระเบิดมือคนปกติได้เลยถ้าหากบังเอิญไปโดนเข้า
    คยองซูล้มลงกับพื้นก่อนจะกลิ้งไปจนเกือบจะออกนอกเส้นแต่ก็หยุดลงเสียก่อน เขาเหมือนปลายรองเท้าของอีกฝ่ายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จนต้องลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็วเพราะถ้านอนอยู่แบบนี้ถือว่าเป็นเป้านิ่งชั้นดีให้อีกฝ่ายได้ทำร้ายเอา
    ‘ฉันบอกนายแล้วไงว่าอย่ารุนแรง’ เสียงที่ดังเข้ามาในความคิดนั้นทำให้เซฮุนนั้นชะงักเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อไปที่คู่ต่อสู้ของตนเอง
    ‘คงทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกเพราะมันคือการแข่งขัน’ เซฮุนมองคู่ต่อสู้ที่ลุกขึ้นยืนตั้งท่ารับเรียบร้อยแล้วจึงได้แต่ยิ้มอย่างพอใจ นี่คยองซูพร้อมที่จะสู้จนตัวตายหรือไง แล้วเพื่ออะไรกันล่ะ
    ทันทีที่ยืนมองอีกฝ่ายอยู่ไม่นาน เป็นฝ่ายคยองซูเองที่ขว้างมีดมาที่เซฮุน มีดที่ถูกเสกขึ้นไม่ได้แข็งแรงเท่ากับมีดของเลือดแท้คนอื่นแต่มันมาเร็วจนเซฮุนแทบจะหลบไม่ทัน มีดเล่มเล็กเฉียดใบหน้าหล่อเหลาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้นและสร้างรอยแผลเอาไว้ให้ดูเล่นเป็นของต่างหน้า
    คยองซูหัวใจเต้นเร็วและรัวมากเมื่อรู้ว่ามีดที่เขาขว้างไปนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์ แต่เห็นเซฮุนมีท่าทีหงุดหงิดนั้นก็อดกลัวไม่ได้ เขาเองก็กลัวตายอยู่เหมือนกัน
    มีดอีกเล่มและอีกเล่มถูกเสกขึ้นมาก่อนที่คยองซูจะขว้างมันออกไปแบบไม่คิดชีวิตเมื่อเซฮุนเริ่มวิ่งเข้ามาหาเขาคยองซูถอยหลังไม่เพราะด้านหลังนั้นเป็นเส้นเขตวงกลม เขาถอยไปด้านข้างเรื่อย ๆ และยังคงขว้างมีดออกไปจนกระทั่งเซฮุนมาประชิดตัวของเขาได้จึงได้ลองหายตัวอีกรอบซึ่งมันได้ผลแต่เซฮุนเองก็ตามมาติด ร่างสูงเหวี่ยงดาบลงมากลางแสกหน้าของคยองซูชั่วพริบตาหนึ่งคยองซูหลับตาลงก่อนจะได้ยินเสียงปะทะกันของโลหะเกิดขึ้น
    เคร้ง!
    ดาบและโล่เหล็กกระทบกันอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณรอบ ๆ คยองซูลืมตาขึ้นก็พบโล่เหล็กอยู่ที่มือของเขา มันมาจากไหนไม่รู้แต่เมื่อได้สติคยองซูก็โดนเซฮุนเหวี่ยงดาบมาอีกรอบคราวนี้หลบพ้นเพราะโล่คอยบังเอาไว้ไม่ให้ร่างเขาจะต้องถูกฟันเสียก่อน แรงกระแทกของดาบทำให้คยองซูล้มลงไปกับพื้นอีกครั้ง ตัวเขาไถลไปกับพื้นจนโดนก้อนกรวดและหินเล็ก ๆ ทิ่มแทงมาบ้าง
    โอเซฮุนตามมาคร่อมทับเอาไว้ในทันทีที่เป้าหมายกำลังเสียหลัก โล่เหล็กสิ่งของป้องกันอย่างเดียวถูกดึงออกจากแขนของคยองซูอย่างง่ายดายก่อนที่เซฮุนจะพยายามปักดาบลงมาที่กลางอกของคู่ต่อสู้
    เหงื่อที่ออกมาตามกรอบหน้าแสดงถึงความเหนื่อยล้าได้อยากชัดเจน คยองซูต้านมือของเซฮุนที่จะพยายามจะกดดาบลงมาสุดแรงเขาจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ เขาต้องตายแน่ ๆ ถ้าหาต้านไม่ไหว
    แสงไฟที่คล้ายดวงอาทิตย์ถูกเสกขึ้นโดยคนใต้ร่างในขณะที่เซฮุนกำลังจะจบเกมนี้ มันรุนแรงและแยงเข้าตาของเซฮุนโดยตรงจนต้องยอมปล่อยมือจากดาบและถอยออกห่างจากคู่ต่อสู้ของตัวเอง คยองซูหอบหายใจด้วยความตื่นตระหนกมันเป็นสัญชาตญาณอีกแล้วที่ทำอะไรลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
    คยองซูลุกขึ้นและจะวิ่งไปคว้าเอาดาบไม่ก็โล่มาเพราะตัวเขาเองไม่มีแรงที่จะเสกของออกมาอีกแล้ว ในทันทีที่มือกำลังจะแตะที่ดาบของอีกฝ่ายลูกศรน้ำแข็งจากธนูของเซฮุนได้พุ่งตรงมาจากทางด้านหลังโดยที่เจ้าตัวนั้นก็ไม่ได้รู้ตัว
    “คยองซูระวัง!!”
    ฉึบ!
    คยองซูรู้สึกว่าร่างกายตัวเองชาไปชั่วครู่ก่อนที่เขาจะล้มลงกับพื้นเพราะไม่สามารถขยับกายได้ นี่มันเวทระดับไหนกัน
    เซฮุนมองผลงานของตัวเองก่อนจะตามเข้าไปดูใกล้ ๆ เขาคิดเอาไว้แล้วว่าคงไม่ต้องงัดเวทขึ้นสูงอะไรมามากมายแต่ก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเพราะอันที่จริงเกมนี้มันควรที่จะจบตั้งนานแล้วแต่คยองซูนั้นยังคงต้องการที่จะเล่น เขาก็ไม่ขัดศรัทธาของอีกฝ่ายหรอก แต่เขาก็แพ้ไม่ได้
    ร่างเล็กนอนตะแคงข้างอยู่บนพื้นอย่างเกร็งตัว มันเกร็งไปหมดแถมขยับไม่ได้เขารู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองกำลังจะระเบิดมันเต้นแรงแต่ช้าเชื่องช้าเหมือนจะหยุดเต้น ไม่นานเกินรอเซฮุนก็เดินเข้ามา เขาเห็นปลายรองเท้าของอีกฝ่าย ดาบของเซฮุนถูกหยิบมาเรียบร้อย อีกฝ่ายใช้ดาบดาบพลิกตัวคยองซูให้นอนหงายหน้าขึ้นก่อนจะปรายตามองอีกฝ่ายอย่างนึกสมเพช
    ยังไงเลือดผสมก็คือเลือดผสม
    คยองซูมองฟ้ายามราตรีมีดวงจันทร์ทอแสงอยู่หน้าเขา และดวงดาวต่าง ๆ ในวันนี้เขาคงตายไม่ก็บาดเจ็บสาหัสคงต้องพักรักษาตัวเป็นปีไม่ก็หลายปี ที่บ้านจะภูมิใจหรือเปล่าที่เขาสู้จนตัวตายขนาดนี้
    พร่ำเพ้ออยู่นานสายฝนค่อย ๆ เทลงมา มันตกแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนพื้นที่โดยรอบที่ไม่มีหลังคากำบังเปียกไปหมด เขาสบตากับเซฮุนเพราะในตอนนี้อีกฝ่ายคงไม่จำเป็นต้องสะกดจิตเขาแล้วแหละ ไม่มีอะไรน่ากลัว
    นัยน์ตาอีกฝ่ายวูบไหวอย่างบอกไม่ถูกคยองซูนึกสงสัยว่าอีกฝ่ายจะรอช้าอยู่ไยทำไมไม่ทำให้มันจบสักทีในเมื่อจบเกมตอนนี้ยังได้ อีกอย่างอากาศเย็นจนเขารู้สึกหนาวไปทั้งตัว
    “เร็ว ๆ สิเซฮุน ฉันหนาว” คยองซูพูดออกไปพลางมองตาอีกฝ่ายไปด้วย หยดน้ำที่ตกกระทบใบหน้าทำให้เขาต้องปรือตามองอีกฝ่ายอย่างยากลำบาก
    ‘เร็ว ๆ สิเซฮุน ฉันหนาว’
    “ขอโทษ”
    คยองซูไม่เข้าใจในประโยคนั้นที่อีกฝ่ายได้เอ่ยออกมา มันเบาหวิวแต่เขาได้ยินมันชัดเจนมาก
    เสียงความคิดของเขาตีกันไปมาในหัว คยองซูเริ่มขยับร่างกายของตัวเองได้แล้วแต่เขายังคงนอนนิ่งอยู่กับที่ ควรจะสู้อยู่หรือเปล่า เขาอยากจะพอแล้วแต่ว่า… ‘รอช้าอยู่อะไร นี่โอกาสของนายแล้วนะสู้สิ’
    เมื่อคิดได้อย่างนั้นคยองซูจึงทำให้พื้นที่ให้พื้นที่เซฮุนยืนอยู่เย็นจัดจนพื้นที่ตรงนั้นกลายเป็นน้ำแข็ง อีกฝ่ายลื่นเล็กน้อยก่อนจะพยายามทรงตัวบนพื้นน้ำแข็งด้วยความทุลักทุเล คยองซูเงยหน้าขึ้นไปมองเมฆฝนข้างบนฟ้าแล้วจึงคิดอะไรบางอย่างออก
    เปรี้ยง!
    สายฟ้าเส้นแรกฟาดลงมากลางพื้นที่โดยการควบคุมของคยองซู คนรอบบริเวณต่างฮือฮากันใหญ่แต่ก็ยังคงไม่ลุกไปไหน คยองซูค่อยพยุงตัวลุกขึ้นจากพื้นและมองโอเซฮุนที่ยังมองเขาอยู่ไม่วางตาแต่อีกฝ่ายไม่ได้จู่โจมเขาอย่างที่ควรเป็นนั่นทำให้สงสัยไม่น้อยแต่ในเมื่อเป็นอย่างนั้นคยองซูก็จะถือว่านี่เป็นโอกาสของเขา
    เปรี้ยง!
    สายฟ้าอีกเส้นฟาดลงมาตรงหน้าของคู่ต่อสู้ตัวสูง อีกฝ่ายถอยหลังออกไปเพื่อหลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาอย่างไม่ห้ามไม่ได้
    เปรี้ยง!
    เปรี้ยง!
    คยองซูใช้ความพยายามอย่างหนักในการควบคุมสายฟ้าให้ไปตรงจุดที่เขาต้องการ เขารับรองว่ามันไม่มีทางโดนเซฮุนแน่นอนเพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเขาคงจะรู้สึกผิดมาก ๆ ที่ทำให้อีกฝ่ายโดนฟ้าผ่า เขาแค่อยากชนะเกมนี้เท่านั้นและไม่ได้อยากให้เซฮุนบาดเจ็บอะไรมาก
    เซฮุนถอยกรูดไปข้างหลังเพราะสายฟ้านั้นฟาดลงมาไม่หยุดไม่หย่อนจนกระทั่งเขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าตัวเองได้ก้าวออกมานอกเส้นเสียแล้ว
    นี่เขาแพ้สินะ
    “ผู้ชนะคือโดคยองซู”
    เสียงประกาศดังก้องมาพร้อม ๆ กับเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจจากข้างสนาม ทุกคนลุกจากที่นั่งและรีบวิ่งมาหาคยองซูแวมไพร์ลูกเสี้ยวตัวน้อยที่สามารถเอาชนะโอเซฮุนมาได้
    “เก่งมากเจ้าลูกเสี้ยว”
    คิมจงแดเป็นหนึ่งในผู้ร่วมยินดี อีกฝ่ายใช้มือใหญ่ ๆ ขยี้ผมของคยองซูพร้อมรอยยิ้มและคยองซูก็ยิ้มตอบกลับเช่นกัน
    คยองซูยิ้มจนแก้มแทบจะฉีกแม้รู้สึกเหนื่อยล้าจากการแข่งขันมากก็ตามทีแต่นี่เป็นครั้งแรกในรอบปีที่เขารู้สึกว่าสิ่งที่พยายามนั้นไม่ได้เสียเปล่า นี่สินะความรู้สึกที่ได้รับชัยชนะ
    แสงไฟที่คอยอำนวยความสะดวกให้นักเรียนค่อย ๆ มืดลงไปพร้อม ๆ กับสติของคยองซูที่ไม่คงที โลกเอนเอียงเกินกว่าที่คยองซูจะสามารถต้านทานได้และในที่สุดทุกอย่างก็ดับเป็นภาพสีดำ





    เซฮุนเดินอยู่ทางเดินเชื่อมไปที่ห้องพยาบาลของนักเรียนเลือดแท้ เขาไม่ได้ใช้เวทหายตัวเพราะยังคิดคำพูดที่จะพูดกับแบคฮยอนไม่ออก แบคฮยอนโดนเจ้าเด็กเลือดผสมคนนั้นสะกดจิตสติเลยมึนงงอยู่ต้องไปอยู่ที่ห้องพยาบาลให้อาการคงที่ก่อนจึงออกมาได้ แน่นอนว่าเขายังคงช็อกไม่หายที่เขาแพ้โดคยองซูแต่นั้นมันก็ไม่ค่อยสำคัญเสียเท่าไหร่ถ้าเทียบกับคนอีกคนที่ยังนอนอยู่ในห้องพยาบาล
    “นายจะไปหาแบคฮยอนใช่มั้ย?”
    เสียงที่คุ้นเคยของเพื่อนครึ่งค่อนชีวิตอย่างคิมจงอินดังขึ้นจากข้างหลังทำให้เซฮุนต้องหันไปสนใจในประโยคคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบของอีกฝ่าย
    “นายรู้อยู่แล้วไม่น่าถาม” เซฮุนมองหน้าเพื่อนสนิทด้วยสีหน้านิ่ง ๆ เขายังจะไม่หายโกรธจงอินง่าย ๆ เพราะว่าอีกฝ่ายได้ละเมิดข้อตกลงระหว่างพวกเราทั้งสามคนเอาไว้ แม้จะไม่หายโกรธแต่เขาก็จำเป็นที่ต้องสนทนากับอีกฝ่ายอยู่ดี
    “ที่ฉันจะพูดก็คือนายไม่น่าแพ้”
    “ฉันก็ว่าอย่างงั้นแหละ”
    “แล้วทำไม--”
    “เพราะฉันนึกถึงวันนั้น วันที่ฉันขุดพวกนายขึ้นมา”
    “...”
    “มันลำบากมาเลยนะสำหรับการค้นหา ทรมานและเจ็บปวด เมื่อเห็นหน้าพวกนายยิ่งเจ็บ ฉันรู้สึกแย่ที่บ่อยให้พวกนายรอนานถ้าหากฉันไม่โง่และถ้าหาพวกนายเจอเร็วกว่านี้ล่ะก็--” ร่างสูงน้ำตาเอ่อที่ขอบตา อย่างห้ามไม่ได้ ไม่ว่าจะเลือดแท้เลือดผสม แต่ยังไงแวมไพร์ก็ยังมีความเป็นคนอยู่ มีความรู้สึกไม่แตกต่างกันเสียเท่าไหร่ ยิ่งอายุยืนยาวยิ่งแข็งแกร่งน่าเกรงขามเพราะผ่านโลกมามากมาย แต่เปล่าเลยยิ่งผ่านโลกมามากยิ่งพบกับความเจ็บปวดมามากมาย อดีตที่โหดร้ายมีใครบ้างที่จะเข้าใจ
    “มันผ่านมานานแล้วน่า อย่าร้องไห้เลย” จงอินว่าอย่างนั้นก่อนจะเข้าไปกอดเพื่อนสนิท โอเซฮุนถือเป็นเพื่อนครึ่งชีวิตไปแล้ว ตลอดเวลาตั้งแต่เด็กจนโตและผ่านโลกมามากมายยังไงก็มีแค่พวกเราสามคน ถึงแม้จะมีช่วงที่แยกย้ายหรือห่างหายไปกันบ้างแต่ยังไงสุดท้ายพวกเราทั้งสามก็จะวนกลับมาหากันเหมือนเดิม
    “ฉันจะพยายาม”
    “ฉันมีข้อสงสัยอีกอย่างหนึ่งที่จะถาม” จงอินปล่อยคนในอ้อมกอดเป็นอิสระ เซฮุนเช็ดน้ำตาตัวเองก่อนจะพยายามปรับสีหน้าให้กลับมานิ่งเงียบเหมือนเดิม
    “ว่ามา”
    “นายยังชอบแบคฮยอนอยู่ใช่มั้ย?”
    คำถามของอีกฝ่ายไม่ได้ทำให้เซฮุนรู้สึกสะเทือนแม้แต่อย่างใดและเขาก็ยังคงพยายามตีหน้านิ่งเหมือนอย่างที่ชอบทำ
    “ฉันว่าครึ่งค่อนชีวิตแบบนี้คงไม่ได้เรียกว่าชอบแล้วล่ะ” เซฮุนตอบก่อนจะก้าวเดินไปข้างหน้าโดยมีจงอินก้าวตามมาติด ๆ
    “พยอนแบคฮยอนมีอะไรที่ทำให้นายชอบ เสียงดัง น่ารำคาญ แถมยังซื่อบื้อ ชอบทำหน้าตาเหมือนหมา งี่เง่าด้วย”
    “แล้วไงล่ะ ฉันก็ชินแล้วกับทุกอย่างที่นายพูดมา”
    “อยากรู้เสียจริง ๆ ว่านายยังจะรักแบคฮยอนไปอีกนานแค่ไหน”
    จงอินเดินนำเซฮุนไปก่อนจะเปิดประตูเข้าห้องพยาบาลไปก่อน เซฮุนยืนอยู่ที่หน้ากระจก เขามองเข้าไปสังเกตการณ์ถึงคนตัวเล็กที่เขาชอบเฝ้าแอบมองมาตลอด จงอินเข้าไปทักทายแบคฮยอนที่สีหน้าดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ก่อนจะพูดคุยอะไรนิดหน่อยและร่างเล็กบนเตียงก็หัวเราะร่าออกมา เสียงใสของอีกฝ่ายทำให้ห้องพยาบาลที่ไม่น่ามา กลับกลายเป็นสถานที่ ๆ เหมือนมีชีวิต เหมือนกับหัวใจของตัวเขาเองที่กลับมามีชีวิตอีกครั้งและเต้นแรงผิดปกติ
    “ไม่มีวันนั้นหรอก”






    Are you bleeding?
    -100%-
    #ลูกเสี้ยวคซ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×