ไม่มีอะไรหรอก บลาบลาบลา
มันยังคงรอใครบางคนเข้าแทนที่ มันยังคงรอคอยวันหวนคืน วิญญาณจะยังคงพร่ำหาผู้ที่มีพลังแห่งจักพรรดิ และสักวันเขาจะฟื้นคืนสู่โลกมนุษย์...
ผู้เข้าชมรวม
412
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
ข้อมูลเบื้องต้น
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
The Cursed Ring คำสาปแหวนแห่งจักรพรรดิ
นานมาแล้วบนพื้นพิภพแห่งยุคที่มนุษย์ยังคงเดินทางตามสุริยา เฉกเช่นเดียวกับจักรพรรดิที่ได้ปกครองผืนปฐพีในทุกๆ สหัสวรรษ
หลายพันปีที่มนุษยชาติดำรงอยู่ พวกเขาถูกปกครองด้วยจักรพรรดิสิบองค์ ทั้งสิบคือบุตรแห่งผู้วิเศษที่เฝ้ามองโลกมนุษย์จากอีกโลกนาม...โลกนิรันดร์กาล
กษัตริย์ทั้งสิบพระองค์คือผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลพื้นพิภพแห่งนี้ พรของพวกเขามีเพียงข้อเดียวคือ ความเป็นอมตะ
ทว่าพรศักดิ์สิทธิ์มิอาจตกทอดแด่รัชทายาทสืบบัลลังก์ ผู้เป็นอมตะยังคงอ่อนวัยในขณะที่เชื้อไขกลับชราเฒ่า แม้เหล่าผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องล้มหายตายจาก กระนั้นจักรพรรดิก็ยังคงยืนยงเกรียงไกรตราบเท่าที่โลกเดินทางตามกาลเวลา
ครั้นเมื่อกาลหนึ่งก็ได้บังเกิดอุกกาบาตประหลาดขนาดมหึมา พุ่งตรงดิ่งจากนอกโลกลงสู่หุบเขาแห่งความหลัง ที่นั่นเต็มไปด้วยสัตว์น้อยใหญ่ พงไพร ลำธาร ที่นั่นอยู่ห่างจากเมืองหลวงแห่งการค้าขายมากนัก ทว่าที่นั่นกลับมีชนเผ่าลึกลับอาศัยอยู่...พวกเขาคือเซทรา
อุกกาบาตแปรผันเป็นหินแร่สีขาวส่องแสงสว่างวูบวาบเรืองรองอย่างน่าประหลาด ไม่มีใครรู้ว่ามันมีเวทมนต์เหนือคำบรรยาย กลุ่มชนเผ่าจ้องมันราวกับลืมทุกสิ่งบนโลกใบนี้ พวกเขาเริ่มลุ่มหลงในแร่ก้อนเดียว
บางตำราว่ากันว่านั่นคือดวงดาวจากจักรวาล ผู้แสวงหาใคร่รู้กล่าวนาม...แร่ธาตุสูงส่งแห่งโลกทั้งปวง แล้วจะมีใครเล่า ล่วงรู้ว่านั่นคือสิ่งล้ำค่าจากโลกนิรันดร์กาล
ชะตากรรมได้ถูกกำหนดไว้ เมื่อนักผจญภัยจากเมืองหลวงเดินทางผ่านหุบเขาแห่งความหลังเพื่อค้นหาภูมิประเทศ พวกเขาพบกับกลุ่มชนเซทราเข้าโดยบังเอิญ และพวกเขาก็ถูกต้อนรับดั่งมิตรสหาย หากแต่ไม่ใช่ความบังเอิญที่เกิดขึ้น...เพียงแค่เป็นกลลวงเล็กๆ
ใช่ มันได้ตั้งตระหง่านแก่สายตาของนักผจญภัยแล้ว ทว่าในบัดดล เมฆก็เริ่มครึ้มทะมึนหนาทันใดเมื่อหนึ่งในผู้มาเยือนได้กล่าวบางสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่ง “นอว์บิอุส!!!”
‘เปรี้ยง!!!’ ฟ้าร้องคำรามลั่น! พายุโหมพัดกระหน่ำพร้อมสายฝนโปรยปรายลงมา
ตราบใดที่สุรีย์ดวงยังคงทอแสงทองอร่ามจากฟากฟ้า ตราบนั้นมนุษย์ก็ยังคงมีสัญชาตญาณของความเป็นมนุษย์ผู้กระหายอยู่วันยังค่ำ
พวกเขาหลงใหลได้ปลื้ม พวกเขาต้องการมัน หรือ...? มันกำลังพร่ำหา...!
การต่อสู้เพื่อแย่งชิงของเพียงชิ้นเดียวระหว่างกลุ่มชนเผ่ากับนักผจญภัยได้เริ่มขึ้น ไม่มีผู้ใดแพ้พ่ายหรือชนะ หากแต่เพียงความโลภที่ครอบงำจิตใต้สำนึกเท่านั้น...ที่เป็นฝ่ายได้ชัยไปครอบครอง
กาลเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไม่นานนัก ใครคนหนึ่งในนักผจญภัยมอบบางสิ่งให้แด่จักรพรรดิผู้เป็นอมตะทั้งสิบองค์ โดยหวังแลกกับความมั่งคั่งและชื่อเสียงทรัพย์สมบัติ เขาได้ตั้งชื่อให้แร่ชิ้นนั้นว่า ‘เนบิวล่า’ และเขาก็มอบมันให้กับสิบจักรพรรดิผู้เป็นอมตะ
หินแร่สีรุ้งเรืองระยับตั้งตระหง่านอยู่บนฐานแก้ว สิบกษัตริย์ผู้เป็นอมตะแห่งโลกจดจ้องเนบิวล่าแทบลืมหายใจ
แม้นพลังอมตะก็มิอาจหยุดยั้งความต้องการของมนุษย์
ท่าทีของเหล่ากษัตริย์เริ่มแปรผัน ราวกับความมืดครึ้มค่อยๆ ครอบงำนภา ดั่งจันทร์ทราดับมืดสนิทพลัน เฉกเช่นกษัตริย์ทั้งสิบที่ลุ่มหลงในความงดงามอันแฝงไว้ด้วยเล่ห์กล
เหล่าจักรพรรดิเริ่มต้องการครอบครองมันไว้กับตนเอง ความคิดเห็นต่างพ้องต้องกันจึงเกิดขึ้นภายในจิตใจ
เสียงโต้แย้งเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกๆ ข้อความเต็มไปด้วยคำด่าทออันรุนแรง กระทั่งพวกเขาได้หลงลืมคุณธรรมในตนเองแทบหมดสิ้น แน่นอน ดูเหมือนมนุษย์ผู้เป็นอมตะกลุ่มนี้กำลังตกอยู่ภายใต้ห้วงภวังค์แห่งเวทมนต์ แต่กระนั้นกลับมีองครักษ์คนหนึ่งได้พูดบางสิ่งเกี่ยวกับมนต์ดำ เขาเพียงพูดแค่ว่า "ถ้าหากมันจะแยกเป็นสิบส่วนโดยมนต์ดำล่ะ"
ทันใดนั้นเองเหล่ากษัตริย์จึงได้รีบออกคำสั่งให้พาตัวชนชั้นต่ำต้อยที่สุดมายังราชวัง ซึ่งเมื่อนานมาแล้วพวกเขาคือผู้ที่ถูกเนรเทศออกจากประเทศ เพราะคนพวกนั้นมีเวทมนต์ที่น่าเหลือเชื่อ ทว่ากลับมีโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ยิ่ง พวกเขาถูกขนานนามว่า ‘การ์เลศ’ (Garles) คนพวกนี้เป็นดั่งผู้ถูกสาปจากความชั่วร้าย หรือเป็นดั่งผู้มาเยือนจากนรกโลกันตร์ และบางครั้งผู้คนที่เล่าสู่กันฟังก็ได้เรียกพวกเขาว่า...ผู้ถูกทอดทิ้งจากนรกเบื้องล่าง! สำหรับมนุษย์แล้วพวกเขาไร้ตัวตน
เหล่าการ์เลศตอบรับข้อเสนอกับงานชิ้นสำคัญ ทว่าพวกเขาก็ต้องการค่าตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อ นั่นก็คือการได้อยู่ร่วมกันกับเหล่ามนุษย์ในชนชั้นเดียวกัน แน่นอน เหล่าจักรพรรดิรับข้อเสนอ
และแล้วแหวนก็ถูกหลอมขึ้นอย่างงดงามยิ่ง สิบจักรพรรดิพร้อมใจกันใช้เลือดตนให้สัตย์ปฏิญาณเป็นอักขระแด่แหวน ต่อจากนั้นมนต์แยกเนบิวล่าออกเป็นสิบส่วนก็ได้เริ่มขึ้น...กระทั่งจบลง
จักรพรรดิเชื่อมแหวนเป็นหนึ่งเดียวกับเนบิวล่า
เรื่องทุกอย่างน่าจะสิ้นสุดลงเมื่อเหล่าจักรพรรดิได้ครอบครองสิ่งล้ำค่าแล้ว ทว่า...?
...แหวนกลับให้ผลร้ายแด่จักรพรรดิ! พวกเขารู้สึกถึงโรคร้ายและความชราอย่างรวดเร็ว แน่นอน ความอมตะกำลังมลายหายไป นั่นคือผลลัพธ์อันน่าสะพรึงยิ่ง!!!
สิบจักรพรรดิโกรธเกรี้ยวหนัก เวทมนต์แห่งทวยเทพหายไปได้อย่างไร พวกเขาได้แต่กล่าวโทษถึงความผิดพลาดของมนต์ดำ พวกเขาไม่ต้องการให้การ์เลศมีตัวตน จึงกล่าวคำสาปแช่งต่างๆ นานาออกสู่ประชาชนว่า "กาเลศคือความอัปยศแห่งโลก"
คำสัญญาที่ไม่สามารถทวงคืนได้...!
กาลเวลาแปรเปลี่ยนผัน หมุนเวียนวนเฝ้ารอวันทวงคำมั่น ฟ้าดินพายุร้ายโหมพัดกระหน่ำ วาจามนุษย์ช่างหาเชื่อได้ยากยิ่งนัก
กาเลศรู้ถึงความชั่วร้ายในตัวมนุษย์ พวกเขาโกรธเคืองและเสื่อมศรัทธา พวกเขาจึงเริ่มพิธีกรรมสาปแช่งแห่งโลกมืด โดยการสลักอักขระไว้บนหินแห่งอำนาจด้วยประโยคที่ใช้เลือดจารึก
‘คำสาปแช่งจักรพรรดิจักชั่วกาล ตราบเท่ามารรัตติกาลครองพิภพ’
‘กษัตริย์โลภทั้งสิบจักสยบ เข้าบรรจบธำมรงค์แห่งนิรันดทร์’
เวลาของจักรพรรดิได้ล่วงมาถึงวันสิ้นอายุขัย พวกเขานึกถึงคืนวันที่เคยเป็นอมตะ กระนั้นก็ยังคงเฝ้าดูแหวนแสนรักของตนตราบลมหายใจสุดท้ายและดับสิ้นลง
ประชาชนต่างร่ำไห้ อาณาจักถึงกาลแปรผัน รูปแบบการปกครองเปลี่ยนแปลง
ทว่า...! คำสาปแช่งของเหล่ากาเลศเริ่มเป็นผล แม้ร่างกายจะสูญสลายเหลือเพียงโครงกระดูกในโลงอันสวยหรู แต่วิญญาณของเหล่าจักรพรรดิยังคงวนเวียนอยู่...ภายในแหวนแห่งคำสาปแช่ง พวกเขายังคงรอคอยวันแห่งการหวนกลับ หรือ...? ใครสักคนเข้าแทนที่...!!!
ผลงานอื่นๆ ของ Kallista ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ Kallista
ความคิดเห็น