ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #5 : -04-

    • อัปเดตล่าสุด 21 ม.ค. 58





    -04-
     



     

            แอสตันเลือกที่จะไม่สนใจท่าทางขยุกขยิกของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงเบาะตรงหน้าเขา นัยน์ตาเรียวสวยแอบเหลือบมองเขาเป็นระยะ ทำท่าเหมือนจะถามอะไรสักอย่าง แต่สุดท้ายกลับเลือกที่จะพึมพำขอบคุณเขาเสียงแผ่วเบา


              เวลาผ่านไปสักพัก เด็กหนุ่มที่ดูเหมือนจะสงบลงกลับฉายแววลุกลี้ลุกลนมากขึ้น หัวสีฟ้าสดนั้นขยับไปขยับมา ชะเง้อมองไปข้างหน้าบ้าง ข้างทางบ้าง นิ้วมือเรียวทำท่าจะยกขึ้นกดออดบอกให้รถหยุด แต่สุดท้ายก็ชะงักค้าง และปล่อยมือลงไว้ข้างตัวเหมือนเดิม แอสตันเหลือบมองท่าทางของเด็กหนุ่มอย่างขบขันนิดหน่อย

              ดูเหมือนคนตรงหน้าเขาจะขึ้นรถเมล์ไม่บ่อยนัก


              “จะลงที่ไหนล่ะ” เมื่อได้ยินเขาถาม นัยน์ตาเรียวก็เงยขึ้นมอง แววตาสดใสนั้นดูตกใจไม่น้อย ก่อนจะยอมตอบคำถามเขาแต่โดยดี
              “Avenue square ครับ” แอสตันเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยกับคำตอบของร่างเพรียว
              Avenue square เป็นศูนย์รวมช็อปสินค้าแบรนด์เนมชื่อดัง ที่คนปกติไม่ค่อยเลือกที่จะไปเดินกันมากนัก เพราะราคาที่สูงลิบลิ่ว เขาเคยชวนเพื่อนสนิทของเขาไปหลายหนแล้ว แต่ก็โดนปฏิเสธเพราะไปก็คงไม่มีปัญญาซื้อ แปลว่าบ้านของเจ้าเด็กนี่คงจะมีฐานะไม่น้อยเลย

              “อืม นั่งอยู่เฉยๆเถอะ เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะกดให้” จินเหลือบมองแอสตันด้วยใบหน้างุนงง ก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง เขาไม่ค่อยเข้าใจความหวังดีของคนตรงหน้าเสียเท่าไหร่ แต่ก็ทำได้เพียงเก็บความสงสัยของตัวเองเอาไว้ เพราะตอนนี้เขาคงต้องพึ่งพาคนตัวสูงคนนี้ไม่มากก็น้อย
              รถโดยสารเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ แวะจอดรับคนบ้าง จอดส่งคนบ้าง ไม่นานนักมือหนาก็เลื่อนไปกดออดให้รถหยุด ก่อนจะก้มหน้าลงบอกคนตัวเล็กกว่าว่าถึงที่หมายแล้ว
              จินก้มหน้าพึมพำพูดคำขอบคุณเป็นครั้งที่สาม ก่อนจะพยายามพยุงตัวเองขึ้นยืน ความเจ็บแปลบที่ข้อเท้าแล่นเข้ามาเป็นริ้วๆจนต้องเผลอร้องออกมาเบาๆ แอสตันเหลือบมองท่าทางของเด็กหนุ่มด้วยสายตาเป็นกังวลไม่น้อย
              ดูจากอาการของคนตรงหน้าคงจะข้อเท้าพลิกมา นักกีฬาอย่างเขาเข้าใจดีว่า ไอ้อาการแบบนี้มันเจ็บมากแค่ไหน

              มือหนาเลื่อนไปจับมือเรียว ก่อนจะวาดวงแขนไปโอบรอบเอว จินตกใจนิดหน่อยก่อนจะพยายามขืนตัวหนี แต่เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาคมที่แฝงแววจริงจังนั่นแล้ว เขาก็จำต้องยอมรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่าย
              “ผมเดินเองได้นะ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยอุบอิบ พยายามมองแต่เท้าของตัวเอง เพราะตอนนี้ถึงแม้จะไม่เงยหน้าขึ้นมา เขาก็พอจะสัมผัสได้ว่าทุกคนกำลังมองมาทางเขากับแอสตันอยู่
              “อ๊ะ” เพราะมัวแต่คิดเรื่องนู่นเรื่องนี้ เลยก้าวผิดจังหวะ น้ำหนักทั้งหมดถ่ายเทไปทางข้อเท้าที่ปวดระบม จนเกือบจะล้มคะมำไปข้างหน้า โชคดีที่มีวงแขนแกร่งของอีกคนช่วยพยุงไว้อยู่ จินเหลือบมองไปทางอีกฝ่ายตั้งใจว่าจะขอบคุณ แต่พอเจอนัยน์ตาคมฉายแววตำหนิแบบนั้นแล้ว เขาไม่พูดอะไรดีกว่า

              แอสตันเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยกับรูปร่างของคนข้างกาย ถึงแม้จะเป็นผู้ชาย แต่รอบเอวของคนตัวเล็กนั้นดูเหมือนจะบางกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก เขาสะบัดหัวเบาๆกับความคิดไร้สาระ ก่อนที่ทั้งคู่จะหยุดยืนอยู่ที่บันได วงแขนแกร่งยอมปล่อยออกจากเอวบาง
              จินค่อยๆก้าวลงแบบปกติแต่ท่าทีนั้นทุลักทุเลเต็มทีจนแอสตันต้องพยุงและบอกให้ค่อยๆก้าวทีละก้าว

              ทั้งสองแอบเห็นสายตาไม่พอใจที่ส่งมาจากคนขับ เพราะพวกเขากำลังทำให้คนขับรถเสียเวลาในการทำมาหากิน แอสตันถอนหายใจนิดหน่อย ก่อนจะเป็นฝ่ายลงไปก่อน ก่อนจะยื่นมือไปให้คนตัวเล็กที่กำลังทำสีหน้าลำบากใจ
              มือเรียวยื่นไปจับ ใช้มือหนานั่นเป็นที่ยึดในการทรงตัว ถ่ายเทน้ำหนักไปทางคนตัวสูงเพื่อที่ข้อเท้าข้างที่เจ็บจะได้ไม่ต้องทำงานหนักมาก ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างของจินแตะกับพื้นถนน รถโดยสารก็พุ่งออกตัวไปทันที กระแสลมตีผมด้านหลังของจินจนยุ่ง ไม่แพ้กับใบหน้าของเจ้าของเรือนผมที่กำลังขมวดคิ้วอย่างยุ่งยากใจ
              จินกับแอสตันมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยอาการตกใจไม่น้อย ดูเหมือนคนขับจะเข้าใจผิด คิดว่าแอสตันต้องการจะลงที่นี่เช่นเดียวกันกับจิน ผู้โดยสารทั้งสองต่างมองตามรถโดยสารที่เคลื่อนตัวห่างออกไปเรื่อยๆด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน

              คนหนึ่งรู้สึกผิด ส่วนอีกคนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย


              แอสตันหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูเวลา ก่อนจะหลุดถอนหายใจออกมาเบาๆ ตอนนี้ก็เกือบจะห้าโมงแล้ว ถ้าจะรอรถคันต่อไปก็คงอีกประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะไม่ค่อยมีรถโดยสารผ่านมาย่านคนรวยแบบนี้เสียเท่าไหร่
              “เอ่อ คือ” น้ำเสียงนุ่มน่าฟังเอ่ยขึ้นอย่างลำบากใจ เรียกให้สายตาของเขาต้องหันไปมอง
              “รุ่นพี่มีธุระอะไรรึเปล่าครับ ถ้าไม่มีให้ผมเลี้ยงไอติมเป็นการขอบคุณแล้วก็ที่ทำให้เสียเวลาแล้วกันนะครับ” แอสตันเลิกคิ้วขึ้นกับคำเอ่ยชวนที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยินออกมาจากปากของคนตรงหน้า เมื่อเห็นท่าทางฉายแววประหลาดใจแบบนั้น จินก็อดที่จะรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้
              “ถ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ขอบคุณที่มาส่งครับ บาย” พูดน้ำเสียงห้วนๆก่อนจะหันหลังเดินหนีคนตัวสูงเสียอย่างนั้น แม้ตัวเองจะเจ็บเท้า แต่ก็ยังถือฟอร์มทำให้ภาพที่ออกมาตลกไม่น้อย
              แอสตันหลุดหัวเราะกับท่าทีของเด็กที่อายุน้อยกว่าเขาเพียงไม่กี่ปี แต่กลับทำตัวเสียอย่างกับเด็กประถม ถึงยังไงก็ยังคงเป็นเจ้าเด็กแสบที่ก่อเรื่องอันสุดแสนน่าจดจำเมื่อหลายอาทิตย์ก่อนสินะ

              “เดี๋ยวสิ รอพี่ก่อน ขอพี่คุยโทรศัพท์แปปนึง” เขาแกล้งตะโกนเสียงดัง ส่งผลให้สายตาหลายคู่หันมามองทั้งเขาและจิน ใบหน้าคมสวยหันกลับมา ก่อนที่นัยน์ตาเรียวจะถลึงใส่เขาฉายแววไม่พอใจ แต่ก็ยอมทิ้งตัวลงนั่งรอตรงม้านั่งที่อยู่ข้างๆ แอสตันหลุดยิ้มออกมานิดหน่อย อารมณ์หงุดหงิดค่อยๆหายไปแทนที่ด้วยความรู้สึกคาดหวัง เหมือนในตอนนั้นเลย ความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกคาดหวังว่าจะมีเรื่องสนุกๆเกิดขึ้น
              มือหนาจัดการโทรหาพี่ชายของตัวเอง เพราะอันที่จริงแล้ววันนี้เขามีนัดกับออสตินและรีฟาว่าจะไปทานอาหารเย็นด้วย เพราะพี่สะใภ้ของเขาพึ่งจะได้สูตรอาหารมาใหม่ ตอนแรกเขาก็อึกอักไม่อยากจะไป การจะให้เขาไปนั่งมองคนที่ตัวเองหลงรักกำลังสวีทกับผู้ชายคนอื่น โดยที่ผู้ชายคนนั้นคือพี่ชายแท้ๆของเขาเอง มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเท่าไหร่

              แต่พอโดนหว่านล้อม เจอถ้อยคำน่ารักๆจากหญิงสาวที่เขารักสุดหัวใจ ใจของเขามันก็อ่อนยวบ ไม่สามารถปฏิเสธคนคนนั้นได้เลย...

              ...นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่อยากไปร่วมทานอาหารกับทั้งสองคนนั้น ไม่ใช่เพราะความอึดอัดที่ต้องร่วมโต๊ะอาหารด้วย แต่เป็นเพราะเขาเจออะไรบางอย่าง อะไรที่สามารถดึงดูดความสนใจของเขา อะไรที่เขาคิดว่ามันช่างน่าสนุก น่าลองเข้าไปสัมผัสดู

              [ว่าไงแอสตัน ตอนนี้อยู่ไหนแล้ว ถ้าไม่รีบมาพี่จะกินหมดก่อนนะ ฮ่าๆ] เสียงทุ้มที่ดังมาตามสายเรียกสติของเขาให้กลับมา แอสตันกระแอมนิดหน่อยก่อนจะกรอกเสียงลงไป
              “เอ่อ พอดีผมมีธุระนิดหน่อยน่ะครับ” แอสตันเอ่ยอย่างลำบากใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปฏิเสธคำเชื้อเชิญจากพี่ชายและพี่สะใภ้
              [หืม ธุระอะไรน่ะ ทำไมมันปุบปับอย่างนี้ล่ะ] ออสตินเลิกคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะเหลือบไปมองทางภรรยาของตัวเอง ที่กำลังส่งสายตาสงสัยมาให้ เขายิ้มแห้งๆก่อนจะก้มหน้าก้มตาคุยกับน้องชายของตัวเองต่อ ปลายสายอึกอักเล็กน้อย
              “คือ พอดีรุ่นน้องของผมเค้าข้อเท้าพลิกน่ะครับ แต่ต้องไปทำธุระต่อ เลยต้องตามไปดูแล” แอสตันเลือกที่จะไม่โกหก แต่บอกไม่หมดเท่านั้นเอง แอบลุ้นว่าพี่ชายของเขาจะมีปฏิกิริยาแบบไหน และสิ่งที่ตอบกลับมานั้นคือเสียงหัวเราะชอบใจ ทำเอาเขาต้องขมวดคิ้วหน่อยๆ
              “พี่หัวเราะอะไรเนี่ย” แอสตันถามอย่างไม่เข้าใจ ปลายสายยังคงส่งเสียงหัวเราะมาให้เขาไม่หยุด จนเขาขู่ว่าถ้ายังไม่หยุดเขาจะวางสายแล้วนะ พี่ชายร่วมสายเลือดเลยจำต้องยอมควบคุมเสียงหัวเราะของตัวเอง
              [นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่นายปฏิเสธคำชวนของพี่กับรีฟา] น้ำเสียงทุ้มๆที่ฉายแววจริงจังนั้นทำเอาเขาหัวใจกระตุกวูบเล็กน้อย

              [ดีแล้วล่ะ ให้นายได้เจอคนที่นายสนใจแบบจริงจังบ้าง นายไม่จำเป็นต้องทำตัวติดหนึบกับพี่เหมือนแต่ก่อนแล้วนะ ในที่สุดน้องชายของพี่ก็โตเป็นหนุ่มกับเขาเสียที ว่างๆก็พารุ่นน้องคนนั้น ไม่สิ ว่าที่น้องสะใภ้ของพี่มาเจอหน้ากันบ้างล่ะ อยากรู้จริงๆว่าสาวน้อยที่ไหนที่สามารถกระชากเอาหัวใจหนุ่มน้อยแอสตันได้ ฮ่าๆ ขอให้สนุกนะเด็กน้อย บาย]

              ออสตินพูดร่ายยาวพยายามไม่เปิดโอกาสให้น้องชายตัวเองได้พูดอะไร เพราะเขารู้ดีว่าหมอนี่ต้องโวยวายแล้วแก้ตัวแน่ๆ 
    รีฟาเหลือบมองท่าทางของสามีตัวเองอย่างสงสัย ก่อนจะละมือออกจากการทำอาหาร แล้วหันมาถามถึงคนที่อยู่ปลายสาย
             “แอสตันว่ายังไงบ้างคะ” ออสตินหันกลับมามองทางภรรยาของตัวเองนิดหน่อย ก่อนจะคลี่ยิ้มแป้นตรงเข้าไปโอบเอวร่างบางหลวมๆ หลุดหัวเราะคิกคักจนรีฟาต้องขมวดคิ้ว
             “ดูเหมือนเจ้าเด็กนั่นจะเจอใครบางคนที่ถูกใจแล้วล่ะ” คำตอบของออสตินทำเอาหัวใจของเธอกระตุกวูบ

              ...ความรู้สึกโกรธแล่นมาเป็นริ้วๆ จนต้องเผลอกำมือเข้าหากันแน่น ออสตินเห็นท่าทางแปลกไปของภรรยาจนต้องเอ่ยถาม รีฟาที่พึ่งรู้ตัวเลยทำได้เพียงเอ่ยปัดก่อนจะขอตัวมาทำอาหารต่อ



              “รอนานรึเปล่า” หลังจากวางสายแล้ว แอสตันก็เดินคลี่ยิ้มมาหาเด็กหนุ่ม
             “รากงอกจนจะเป็นต้นไทรอยู่แล้วครับ” เสียงนุ่มเอ่ยประชดจนแอสตันต้องหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ ก็พอจะคาดเดาปฏิกิริยาของร่างเพรียวได้อยู่หรอก
              ใบหน้าคมสวยนั้นยู่เข้าหากันนิดหน่อย เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้าเขาไม่มีท่าทีสำนึกผิดเลยสักนิด ก่อนจะเหลือบดูนาฬิกา ตัวเลขบนหน้าจอโทรศัพท์ทำให้นัยน์ตาเรียวเบิกกว้างอย่างตกใจ

              “ชิบหายล่ะ โอ๊ย” จินโพล่งขึ้นมาอย่างนึกได้ ก่อนที่ร่างเพรียวนั้นจะผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ลืมนึกถึงอาการปวดที่ข้อเท้าของตัวเองไปเสียสนิท ส่งผลให้เผลอร้องโอ๊ยออกมาอย่างลืมตัว เรียกความสนใจจากสายตาคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี ใบหน้าคมสวยเหยเกนั้นดูตลกไม่น้อย แอสตันหลุดคลี่ยิ้มบางๆกับความโก๊ะของคนตรงหน้า
             “พูดไม่เพราะเลยนะ” พอโดนเอ่ยขัดนัยน์ตาเรียวก็ตวัดมามองฉายแววไม่พอใจทันที ก่อนที่คิ้วเรียวจะเลิกขึ้น พร้อมกับสายตาที่เปลี่ยนเป็นแฝงแววเจ้าเล่ห์ทีละน้อย



              “ถามจริงอายไหม” แอสตันเอ่ยน้ำเสียงเหนื่อยๆ เขาไม่รู้จะหาคำมาอธิบายการกระทำของเจ้าเด็กดื้อนี่ยังไงดี
              “ไม่เลย เอ้า เดินเร็วๆหน่อยสิครับ เดี๋ยวร้านปิดก่อนนะ” พูดพลางคลี่ยิ้มแป้น แถมยังเอามือตีหลังเขาแปะๆเป็นการเร่งอีกต่างหาก แอสตันถอนหายใจอย่างเอือมๆ ก่อนจะพยายามเร่งฝีเท้ามากขึ้น ไม่ใช่เพราะเจ้าเด็กหัวฟ้านี่เร่งหรอกนะ แต่เพราะเขาอายต่างหากล่ะ

              จะอายไปทำไมน่ะหรอ ก็เจ้าเด็กจอมกวนนี่ดันใช้อภิสิทธิ์ของคนบาดเจ็บ ขอร้องให้เขาช่วยพาไปส่งยังร้านที่ตัวเองสั่งซื้อของเอาไว้ ช่วยพาไปยังไงล่ะ ก็เด็กคนนี้เจ็บข้อเท้านี่ เขาเลยต้องยอมให้เจ้าเด็กแสบขี่หลัง ถึงแม้คนตัวเล็กจะไม่ได้หนักมากก็เถอะ แต่ให้ผู้ชายสองคนมาขี่หลังกันมันคงไม่ใช่อะไรที่น่าอภิรมย์เสียเท่าไหร่
             แอสตันพยายามเร่งฝีเท้าของตัวเอง แต่เด็กแสบอย่างจินดันแกล้งบอกทางผิด ไปผิดบล็อกบ้าง เดินเลยทางแยกบ้าง ไหนบอกว่าตัวเองรีบไงล่ะจิน กว่าจะมาถึงร้าน เขาต้องเดินผ่านสายตาที่มองมาแบบแปลกๆนับเป็นสิบสิบคู่ ทำไมเจ้าเด็กนั่นถึงไม่มีท่าทีเขินอายบ้างเลยนะ


             “อ้าว ว่าไงจิน มาทันพอดีเลย พี่เกือบปิดร้านแล้วนะเนี่ย” น้ำเสียงแหบแปร่งเรียกสายตาของแอสตันให้หันไปมอง ร่างสูงย่อลงให้คนบนหลังลงได้สะดวกขึ้น
             นัยน์ตาคมเหลือบมองสำรวจร้านนิดหน่อย ก่อนจะเข้าใจว่าทำไมเด็กหนุ่มคนนี้ถึงต้องถ่อมาซื้อที่ร้านใน Avenue
    เพราะแผ่นเสียงที่จินสั่งไม่ใช่แผ่นซีดีเพลงที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด แต่เป็นแผ่นเสียงรุ่นแบบที่ต้องใช้เครื่อง Turntable ในการเล่น
              แอสตันผิวปากเบาๆ เพราะเขาเองก็เคยคิดจะลองสะสมแผ่นเสียงแบบนี้อยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้แหล่งว่าจะไปหาแผ่นได้ที่ไหน เครื่องเล่นที่บ้านเลยปล่อยให้ฝุ่นเกาะเสียเปล่าๆ

              “แล้วพ่อหนุ่มนั่นใครน่ะ เฮ้ย นั่นมันนายแบบที่ถ่ายให้แบรนด์กางเกงยีนยี่ห้อโปรดพี่นี่” ไม่ได้รอให้ จินตอบคำถาม ชายหนุ่มก็เคลื่อนตัวเข้าหาแอสตันเสียแล้ว ร่างสูงดูตกใจไม่น้อย เมื่อจู่ๆก็มีผู้ชายด้วยกันมาส่งสายตาเป็นประกายปิ๊งๆให้
              “ผมเป็นแฟนคลับคุณเลยนะ เอ่อ ช่วยเซ็นให้หน่อยได้มั้ย” พูดพลางคุ้ยหาแผ่นกระดาษมาให้เขาเซนต์ แอสตันยิ้มบางๆก่อนจะจัดการเซนต์ให้ จินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ไม่คิดว่าคนตัวสูงจะมีชื่อเสียงขนาดนี้ เพราะกางเกงยี่ห้อโปรดของพี่คนสนิทนั้น เป็นยี่ห้อแบรนด์เนมที่ดังไม่น้อยเลย
              “ทีผมพี่ไม่เห็นดี๊ด๊าแบบนี้เลย” น้ำเสียงนุ่มบ่นอุบ นัยน์ตาเรียวมองภาพตรงหน้าอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เรียกสายตาให้แฮงส์และแอสตันหันไปมอง แฮงส์ยักไหล่อย่างไม่หยี่ระ
             “ก็เจอนายบ่อยแล้ว อีกอย่างเป็นแค่นักร้องนำวงกิ๊กก๊อก อย่าพึ่งเหลิงไปหน่อยเลย” คำพูดของแฮงส์ทำเอาจินหลุดโวยวายอีกยกใหญ่ ทั้งสองยังคงหยอกล้อกันจนเกือบจะก่อสงครามน้ำลายขนาดย่อมๆ แอสตันที่ดูเหมือนจะเริ่มเป็นส่วนเกินมากขึ้นทุกทีหัวเราะแห้งๆ

             “เดี๋ยวพี่จะกลับมาคุยใหม่นะ แต่ตอนนี้พี่รีบอ่ะ ตายล่ะ ถ้าไปช้าต้องโดนด่าแน่เลย พี่ไปแล้วนะ ดูแลตัวเองด้วย” แฮงส์เหลือบมองนาฬิกาก่อนจะหลุดพึมพำออกมาอย่างเป็นกังวล มือใหญ่ยกขึ้นบอกลาลูกค้ากิตติมาศักดิ์ ก่อนจะหายตัวเข้าไปในร้าน หลังจากส่งสินค้าให้เรียบร้อยแล้ว
              จินบ่นอุบอิบอยู่คนเดียว แอสตันเหลือบมองภาพตรงหน้ายิ้มๆ

              เขาเคยคิดว่าเด็กตรงหน้าที่รักแฟนมากขนาดนั้น หรือมีความกล้ามากพอที่จะทำเรื่องวุ่นวายเสียยิ่งใหญ่ คงจะต้องเป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง ถ้าเอาตรงๆก็คงเรียกว่าแก่แดดแก่ลมล่ะมั้ง แต่สำหรับรุ่นน้องจอมแสบนี่ กลับไม่มีความเป็นผู้ใหญ่เลยสักนิด ยังดูเป็นเด็กน้อย ที่ถึงจะกวนโอ๊ยไปบ้างก็เถอะ


             “เดี๋ยวผมเลี้ยงไอติมนะครับ” จินหันมาพูดกับคนตัวสูง แอสตันเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
             “แล้วนี่ต้องขี่หลังพี่อีกรึเปล่า พี่ไม่ไหวแล้วนะ เห็นตัวผอมๆแบบนี้ หนักใช่ย่อยเลยนะเรา” แอสตันเอ่ยแซวจนจินต้องถลึงตาใส่ ถ้าเป็นคนอื่นเขาคงจะยกขาขึ้นยันใบหน้าให้หายแค้นไปแล้ว แต่เห็นว่ารุ่นพี่รูปหล่อที่เคยช่วยเขาไว้หลายทีเหอะ จะยอมให้กวนต่อไปก็ได้



              ทั้งสองมาหยุดอยู่ที่ร้านไอติมเล็กๆ บรรยากาศการตกแต่งสไตล์วินเทจให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก จินเลือกที่จะนั่งอยู่มุมร้านที่ไม่สะดุดตามากนัก พนักงานประจำร้านเข้ามาทักทายจินอย่างสนิทสนม เป็นการบ่งบอกว่าเจ้าเด็กแสบนี่คงจะเป็นลูกค้าประจำของที่นี่แน่ๆ ทั้งคู่คุยกันสักพัก ก่อนที่พนักงานสาวจะปล่อยให้เด็กหนุ่มได้เลือกเมนูอย่างเป็นส่วนตัว
              “รุ่นพี่เลือกได้รึยัง” หลังจากก้มดูเมนูอยู่นาน เด็กหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นถามคนตรงหน้า ที่ดูเหมือนจะมองมาทางเขาก่อนแล้ว แอสตันเลิกคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ จินเลยหันไปเรียกพนักงานมารับออเดอร์
              แอสตันเหลือบมองท่าทางการสั่งไอศกรีมถ้วยโปรดด้วยความกระตือรือร้นของจินอย่างเอ็นดู ก่อนที่ตัวเขาเองจะหันไปสั่งเพียงเอสเปรสโซร้อนเท่านั้น ทำเอาเจ้าเด็กนั่นโวยวายไม่หยุด บอกว่ามาเลี้ยงไอติมไม่ได้มาเลี้ยงกาแฟ
              “งั้นเดี๋ยวพี่กินกับจินแล้วกัน เอาแค่นี้แหละครับ” พูดพร้อมกับคลี่ยิ้ม จินจิ๊ปากนิดหน่อยแต่ก็ยอมแต่โดยดี

              เมื่อพนักงานจากไปความเงียบก็เริ่มเข้าปกคลุมทั้งคู่ จินเลือกที่จะนั่งเงียบ เพราะเขาเองก็ไม่รู้จะคุยอะไร ในเมื่อคนตรงหน้าเป็นบุคคลที่เขาไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอบ่อยขนาดนี้


              “ทำไมถึงเจ็บข้อเท้าได้ล่ะ” ขณะที่สมองกำลังคิดเรื่อยเปื่อย น้ำเสียงทุ้มก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบ จินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อยก่อนจะตอบคำถามแต่โดยดี
              “เล่นบาสในชั่วโมงพละน่ะครับ” แอสตันเหลือบมองท่าทางของคนตรงหน้าที่ตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
              “อืม พี่ก็เป็นบ่อย คราวหน้าก็ระวังๆหน่อยล่ะ” คำพูดเป็นเชิงเตือนทำให้จินต้องเลิกคิ้วขึ้น อันที่จริงเขาก็ลองนึกถึงสาเหตุที่ทำให้เขาต้องมาเจ็บขาแบบนี้หลายรอบแล้วล่ะ สุดท้ายเขาก็ได้ข้อสรุปว่ามันไม่ใช่อุบัติเหตุหรอก มันเป็นความจงใจจากทีมฝ่ายตรงข้ามมากกว่า
             “ต่อให้ระวังแค่ไหน ถ้ามันมีคนอยากจะทำให้เจ็บ มันก็เจ็บอยู่ดีแหละครับ” จินพูดน้ำเสียงหงุดหงิด เพราะนึกถึงสภาพตัวเองที่ต้องเดินกระโผลกกระเผลกแบบนี้ไปอีกหลายวัน แอสตันขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะเข้าใจความหมายที่เจ้าเด็กจอมกวนนี่ต้องการจะสื่อ
              “คนเราจะให้ทุกคนมาชอบเราก็ไม่ได้หรอก” น้ำเสียงทุ้มพูดเชิงปลอบประโลม จนจินต้องหันขวับมามอง
              “พี่เหมือนคนแก่เลยอ่ะ” เสียงนุ่มเอ่ยแซว ทั้งสองมองหน้ากันนิดหน่อย ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมๆกัน บรรยากาศน่าอึดอัดค่อยๆจางหายไป เหลือเพียงแต่ถ้อยคำหยอกล้อ และเสียงหัวเราะสดใสเท่านั้น

              เป็นครั้งแรกในรอบหลายๆปีที่แอสตันรู้สึกสบายใจเวลาได้คุยกับใครสักคน คิดแล้วเขาก็เริ่มอยากจะเป็นเพื่อนกับคนตรงหน้าขึ้นมาจริงๆ อยากจะทำความรู้จัก อยากจะเรียนรู้ให้มากกว่านี้ แต่มันมีปัญหาตรงที่ว่า การพบกันของเขากับจินเริ่มต้นได้ไม่สวยเท่าไหร่

              “นี่” แอสตันเริ่มเปิดประเด็น เขาอยากจะเคลียร์ปัญหานี้ให้จบๆ ไม่อยากให้มันค้างคาอีกแล้ว
              จินเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะพยักหน้าเบาๆเป็นการบอกว่ากำลังฟังอยู่
              “เรื่องของไอรีนน่ะ พี่ขอโทษนะ” แอบหวั่นๆว่าเจ้าเด็กนี่จะโมโหจนลุกหนีเขาไปรึเปล่า แต่ผิดคาดเพราะจินกลับทำเพียงจ้องหน้าเขา และถอนหายใจออกมาเท่านั้น

             จินก็คิดเอาไว้แล้วล่ะว่าสักวันรุ่นพี่ตัวสูงจะต้องเปิดประเด็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ในตอนแรกเขาจะรู้สึกไม่ชอบหน้าแอสตันเอามากๆก็เถอะ แต่หลังจากนอนร้องไห้ฟูมฟายกว่าสามวัน จนลำบากให้สไปรท์ต้องมาปลอบ เพื่อนสนิทตัวดีก็หว่านล้อมเขาสารพัด จนในที่สุดเขาก็ต้องยอมรับความจริง
              เขาก็พอจะรู้มาจากเอแคลร์บ้างว่าตลอดเวลาที่ไอรีนพยายามเข้าหาแอสตันนั้น รุ่นพี่คนนี้ก็พยายามตีตัวออกห่างตลอด ทำให้เขาเข้าใจ ไม่สิ ต้องเรียกว่ายอมรับความจริงมากกว่า ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับไอรีนมันมาถึงจุดที่จะยื้อต่อไปไม่ได้แล้ว ต่อให้ไม่มีรุ่นพี่สุดแสนเพอร์เฟ็คอย่างแอสตัน ไอรีนก็คงจะหมดรักและจากเขาไปอยู่ดี
              ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะต้องทำใจ และให้อภัยคนตรงหน้า เพราะเขารักไอรีนมาก รักมากจริงๆ แต่ในเมื่อผู้ชายที่กำลังพยายามขอโทษเขานั้นไม่มีความผิดสักนิด เพียงเพราะเกิดมาเพอร์เฟ็คเกินไป มันไม่ผิดหรอก เพราะเขาก็เกิดมาแบบนั้นเหมือนกัน(?)

              “จะขอโทษทำไม ผมแยกแยะเป็นครับ และมันไม่เกี่ยวกับพี่ เพราะงั้นไม่ต้องห่วงหรอกนะ” พูดพร้อมกับส่งสายตาจริงจังไปให้ ทำเอาแอสตันรู้สึกใจเต้นแรง รู้สึกดีใจที่คนตรงหน้าไม่ได้เกลียดเขา แอสตันพยักหน้าหงึกๆก่อนจะคลี่ยิ้มบางๆ
             “ยิ้มทำไม ขนลุกน่ะ คิดว่าตัวเองหล่อนักรึไง แล้วจู่ๆก็เปิดประเด็นนี้ เพื่อ? เดี๋ยวผมก็กินไอติมไม่อร่อยหรอก” คำพูดของเด็กน้อยตรงหน้าทำให้เขาต้องหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้ง เขาอยากจะรู้จักเด็กคนนี้มากขึ้นจริงๆนะ
             “พี่อยากเป็นเพื่อนกับจินน่ะ เลยอยากจะเคลียร์เรื่องนั้นให้จบๆ เรามาเป็นเพื่อนกันนะ” พูดพร้อมกับยื่นมือออกไปข้างหน้า

            ในตอนแรกเขาก็รู้สึกเห็นด้วยกับคำพูดของเรียวที่กำชับนักกำชับหนาว่าอย่าไปยุ่งกับจิน เพราะเด็กนี่เป็นเด็กอันตราย ไม่รู้จะเกิดอารมณ์อยากทำร้ายใครขึ้นมาตอนไหน โดยเฉพาะกับเขาที่ดูเหมือนจะเป็นสาเหตุทำให้จินต้องเลิกกับแฟนสาวสุดที่รัก
             แต่พอได้มาคุยกันจริงๆแล้ว เขาถึงรู้ว่ามันไม่ใช่เลย เด็กก็ยังคงเป็นเด็กวันยังค่ำ แม้จะดูเป็นคนอารมณ์ร้อน ขี้โวยวาย และไม่ค่อยรู้จักกาลเทศะ แต่เจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีพิษภัยอะไรเลย ออกจะอยู่ด้วยแล้วสบายใจเสียด้วยซ้ำ

            จินเหลือบมองมือสลับกับใบหน้าของเขา ใบหน้าคมสวยฉายแววแหยงๆ ก่อนจะส่งสายตามาประมาณว่า พี่เพี้ยนป่ะเนี่ย
            “โหยพี่ พูดจาอะไรน้ำเน่ามากอ่ะ” ถึงจะบ่นอุบไปแบบนั้น แต่จินก็ยอมยื่นมือมาจับมือของเขาอยู่ดี สัมผัสอบอุ่นแผ่ซ่านมาตามปลายนิ้วจนเขาไม่อยากจะปล่อย
            “จับนานไปล่ะ ปล่อยดิ๊” จินพูดพลางทำปากยู่ แอสตันหลุดยิ้มออกมาเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

            ...ทำไมพอมาอยู่กับเจ้าเด็กนี่เขาถึงยิ้มบ่อยเหลือเกินนะ










     

    ------------------------------
    Talk : ชอบผู้ชายแบบแอสตันจุง
             เป็นผู้ชายในอุดมคติไรท์เลยอ้ะ -.,-

    ***************************
    พรุ่งนี้วันจันทร์ น่าเบื่อที่สุดเลอ ._.



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×