ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (Yaoi) What is love? รักวุ่นวายร้ายเกินพิกัด (End)

    ลำดับตอนที่ #4 : -03-

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 527
      2
      21 ม.ค. 58




    -03-




     

              บรรยากาศเย็นสบายที่หาไม่ได้ง่ายๆในตอนบ่ายที่ประเทศไทย ทำให้นักเรียนหนุ่มหน้าตาดี(?)สองคน ตัดสินใจใช้เวลาอยู่ที่สวนของโรงเรียนอีกสักพัก ทั้งๆที่ไม่มีเรียนวิชาอะไรต่อแล้ว อะไรมันจะไปสบายเท่าการนอนอ่านหนังสือการ์ตูนท่ามกลางลมเย็นๆแบบนี้ และมันคงจะรู้สึกดีมากไปกว่านี้ถ้าไม่มีสายตาแปลกๆกำลังจ้องมองเขาอยู่
              “อะไร มึงมองกูด้วยสายตาแบบนั้นหมายความว่ายังไง” สไปรท์ที่ทนสายตาแปลกๆของนักร้องหนุ่มประจำวงไม่ไหว จนต้องยอมละสายตาจากหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดมาจ้องตากลับ จินเลิกคิ้วขึ้นกับคำถามของเพื่อนสนิท
              “กูมองมึงด้วยสายตาแบบไหนวะ” ใบหน้าคมสวยฉายแววงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ยังไม่เลิกส่งสายตาแปลกๆมาให้เพื่อน สไปรท์กลอกตาไปมาอย่างจนใจ
              “ก็ไอ้สายตาแพรวพราวอย่างกับมึงกำลังม่อกูอยู่เนี่ย” สไปรท์พูดพลางเอานิ้วชี้จิ้มจึกๆที่กลางหน้าผากของจิน จนหัวทุยนั้นโยกไปมาตามแรง มือเรียวยกขึ้นปัดมือของเพื่อนตัวเองออก จินยืดตัวขึ้นเอาหน้ายื่นเข้าไปใกล้จนจมูกแทบจะติดกันกับสไปรท์ ก่อนจะจ้องตาเพื่อนสนิทของตัวเองเขม็ง
              “เวลาโดนกูจ้องอย่างนี้ มึงไม่หวั่นไหวหรือคิดว่ากูหล่อบ้างหรอวะ” คำพูดบ้าๆที่สไปรท์ไม่คิดว่ามันจะออกมาจากปากคนตรงหน้า ทำเอาเขาแทบจะปาหนังสือการ์ตูนทิ้ง แล้วหันมาทึ้งหัวไอ้คนสติไม่สมประกอบนี่แทน ไอ้เพื่อนตัวดีของเขามันเป็นบ้าอะไรเนี่ย


              “ฮ่าๆ นี่มึงยังไม่เลิกทำสายตาแบบนั้นอีกหรอวะ” แต่ก่อนที่ทั้งสองจะก่อสงครามขนาดย่อม น้ำเสียงทุ้มๆที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้นขัด ก่อนจะตามมาด้วยร่างสูงในชุดยูนิฟอร์มนักเรียนโรงเรียนเดียวกันเดินเข้ามาร่วมวงพร้อมกับถุงขนมของร้านค้าสวัสดิการในโรงเรียน
              สไปรท์หันไปมองทางต้นเสียง ก่อนจะเลิกคิ้วถามประมาณว่ามึงรู้อะไรงั้นหรอ ดินหัวเราะคิกคักก่อนจะเดินลงมานั่งทิ้งตัวข้างๆจิน แล้วเริ่มเปิดปากเล่า
              “ก็มึงจำวันศุกร์ที่ผ่านมาได้ป่ะ ที่กูกับไอ้จินรับงานไปร้องเพลงให้พี่เฟียสที่คลับของพี่แกอ่ะ” สไปรท์พยักหน้าหงึกหงัก เพราะตอนนั้นมีแค่ดินกับจินเท่านั้นที่ว่างพอจะไปได้ ก็เลยไปกันแค่สองคน
              “อืม มึงรู้มั้ยพวกกูเจอใครที่คลับ” พอพูดถึงตรงนี้จินก็ถอนหายใจพรืดออกมาอย่างหงุดหงิดทันที เรียกเสียงหัวเราะจากดินได้อีกรอบ สไปรท์มองท่าทางของเพื่อนทั้งสองอย่างงงๆ ก่อนจะเร่งให้ดินเล่าต่อ ไม่สนใจสายตาไม่พอใจของจินที่ส่งมาเลยสักนิด

     

              “เจอพี่แอสตันกับเพื่อนน่ะสิ”


              “พอเลยมึง ไม่ต้องเล่าต่อแล้ว” จินโพล่งขึ้นมาขัด ก่อนจะตะครุบปากของดินที่ดูไม่สนใจสีหน้าหงุดหงิดของเขาเลย สไปรท์หันไปถลึงตาใส่ก่อนจะแงะมือของจินออกจากปากของมือกลองประจำวง


              “มึงจะอยากรู้ทำไมนักหนาวะ” พอตัวเองสู้แรงเพื่อนไม่ได้ เขาเลยต้องเปลี่ยนวิธีมาเป็นเจรจาแทน
              “ก็กูอยากรู้สาเหตุที่มึงมาทำสายตาแปลกๆใส่กูเนี่ย” คำตอบของสไปรท์ทำเอาจินต้องเบ้หน้า ส่วนดินก็ยังคงหัวเราะคิกคักต่อไป เมื่อหมดทางจะเถียงเขาคงทำได้เพียงแค่ปล่อยเลยตามเลยสินะ จินทำได้เพียงนั่งหน้างออยู่ข้างๆ ปล่อยให้ไอ้เพื่อนบ้านั่งนินทาเขาในระยะเผาขน
              “รู้มั้ย พอพี่แอสตันเห็นจินเท่านั้นแหละ จ้องมันแทบไม่วางตา ถ้าเป็นสายตาแบบอาฆาตแค้นกูจะไม่ฮาเลยนะเว้ย แต่จ้องมันด้วยสายตาที่จินใช้จ้องมึงอ่ะ ฮ่าๆๆ” พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะลงไปนอนหัวเราะเกลือกกลิ้งกับพื้น สไปรท์เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย แต่ไม่ได้หลุดหัวเราะออกมาตาม มีเพียงเสียงหัวเราะของดินที่ดังก้องไปทั่วทั้งสวน และดูเหมือนมันจะไม่หยุดลงง่ายๆด้วย
              จินกลอกตาอย่างหงุดหงิด ก่อนจะลุกขึ้นเอาขาฟาดไปที่แขนของดิน ที่หัวเราะได้โอเว่อร์เหลือเกิน
              “สลัด กูฮา กูไม่นึกว่ามึงจะเอาสายตาแบบพี่มันมาใช้จ้องคนอื่นนะเนี่ย ฮ่าๆๆ” แต่คนโดนเตะกลับไม่สะทกสะท้าน แถมยังพูดจาล้อคนตรงหน้าไม่หยุดอีกต่างหาก
              จินถลึงตาใส่ ก่อนจะกระโจนตัวลงไปนั่งคร่อมแล้วบีบคอให้เพื่อนจอมกวนนี่หยุดพูดเสียที

              “จินพอก่อน เดี๋ยวไอ้ดินมันก็ตายหรอก” สไปรท์เอ่ยขัด จินได้แต่จิ๊ปากอย่างขัดใจแต่ก็ยอมละมือออกจากดินแต่โดยดี ดินหัวเราะคิกนิดหน่อย ก่อนจะยอมเงียบลง ไม่งั้นเขาคงโดนคนแถวนี้ฆ่าตายก่อนแน่ๆ


              “ทำไมมึงต้องทำหน้าเครียดแบบนั้นด้วยวะสไปรท์” ดินถามเพื่อนตัวสูงที่คิ้วแทบจะผูกโบได้อยู่แล้ว ทั้งๆที่เขารู้สึกว่าเรื่องที่เขาเล่าเนี่ยมันฮาจะตาย
              “มึงไม่รู้สึกแปลกๆรึไงวะ ผู้ชายอย่างมึงก็น่าจะรู้ดีนี่ไอ้สายตาแบบนั้นมันไว้ใช้ตอนไหน” ดินเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ก่อนจะต้องร้องอ้อออกมาเบาๆ ทั้งสองสบตากันเป็นอันว่าเข้าใจตรงกัน มีเพียงจินเท่านั้นแหละที่ดูเหมือนจะยังไม่เข้าใจ
              “ใช้ตอนไหนวะ พวกมึงอย่าทำเป็นมีลับลมคมในสิวะ” จินเริ่มโวยวาย เมื่อเห็นเพื่อนสองคนตรงหน้าไม่มีทีท่าว่าจะบอกอะไรเขาเลย
              “แล้วเวลามึงโดนจ้องแบบนั้นมึงรู้สึกยังไงวะ” สไปรท์ไม่ตอบแต่กลับถามเขากลับแทน จินเลิกคิ้วกับคำถาม รู้สึกยังไงงั้นหรอ เขาเองก็ไม่ค่อยจะเข้าใจตัวเองเหมือนกัน ตั้งท่าจะบ่ายเบี่ยง แต่พอเจอแววตาคาดคั้นจากเพื่อนสนิททั้งสองคน เลยทำได้เพียงจำใจหาคำตอบ


              ตอนแรกที่เจอหน้าแอสตันเขาเองตกใจไม่น้อย เพราะไม่คิดว่าชาตินี้จะได้เจอกันอีกครั้ง ก็แอบหวั่นๆบ้างแหละ แต่เขาคิดว่ายังไงพี่มันคงจะจำเขาไม่ได้(หรอ) ไม่ก็คงทำเป็นไม่รู้จักกันเสียมากกว่า แต่ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆมันจะโผล่มาอยู่ตรงหน้าเขา
              ใบหน้าคมที่ดูหล่อเหลาเกินมนุษย์ ขนาดเขาเองที่ได้ชื่อว่าเป็นมนุษย์หลงตัวเองยังต้องจำใจยอมรับเลยว่ามันหล่อ ยิ่งนัยน์ตาคมมีเสน่ห์คู่นั้นด้วยแล้ว มันใช่คนสปีชี่ย์เดียวกันกับเขารึเปล่าวะ ครั้งแรกที่สบตากัน ก็เจอสายตาแพรวพราวแบบนั้นส่งมาให้ ตอนนั้นสมองเขายังไม่ทันได้คิดอะไรหรอก รู้แต่ว่า คนตรงหน้าแม่งหล่อจนน่าถีบ


              “กูหมั่นไส้ว่ะ” สไปรท์กับดินเลิกคิ้วขึ้นกับคำตอบ ก่อนจะหันไปสบตากันนิดหน่อยอย่างขอความเห็น ดินยักไหล่เป็นการบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ทำเอาสไปรท์ต้องยอมเปลี่ยนเรื่อง หวังว่าลางสังหรณ์ของเขามันจะผิด เพราะคิดมากไปเอง





              “จินมึงอย่าหักโหมได้มั้ยวะ แค่แข่งบาสกับห้องอื่นในคาบพละเอง” สไปรท์พูดฉายแววตำหนิ เมื่อเห็นเพื่อนสนิทของเขาดูเอาจริงเอาจังกับการแข่งกีฬาในครั้งนี้เหลือเกิน ทั้งๆที่เป็นแค่การแข่งเก็บคะแนนเล็กน้อยในวิชาพละเท่านั้น
              “มึงไม่รู้อะไร นี่มันเป็นศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายเว้ย” พูดพร้อมกับสะบัดข้อมือข้อเท้าเตรียมพร้อมลงแข่ง สไปรท์กลอกตาไปมาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะหันไปวอร์มร่างกายให้ตัวเองบ้าง 


              “เอ้า มารวมแถวกันตรงนี้ก่อน แข่งครั้งนี้ทีมที่ชนะจะได้ห้าคะแนน ส่วนทีมแพ้สามคะแนนนะ แต่คะแนนไม่ใช่ประเด็น ครูต้องการให้พวกเธอเรียนรู้กติกา และที่สำคัญคือต้องมีน้ำใจเป็นนักกีฬา เข้าใจมั้ย!!” ครูพละหน้าโหด พูดพร้อมกับส่งสายตาดุดันมาให้ ก่อนจะปล่อยให้แต่ละทีมได้ไปปรึกษาหารือกันเกี่ยวกับแผนการเล่น
              “กรี๊ด พี่จินสู้เค้านะค้า วง Alcoholic สู้ๆ” และเสียงเชียร์อีกมากมายทำให้จินต้องละสายตาก่อนจะหันไปชูสองนิ้วให้บรรดาแฟนคลับ ก่อนจะส่งสัญญาณให้ประมาณว่าอย่าส่งเสียงรบกวน เพราะตอนนี้เขาโดนอาจารย์ส่งสายตาตำหนิมาให้แล้ว
              “แผนตามนี้แหละ จินมึงคอยรอทำแต้มอย่างเดียว พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะ โอเคนะ” เพื่อนร่วมชั้นที่มีดีกรีเป็นนักกีฬาเอ่ยเตือน แต่มีหรือลูกผู้ชายอย่างจินจะยอมอยู่เฉยๆจนลูกลอยเข้ามาหาตัวเอง
              “ทำไมวะ กูก็อยากช่วยแย่งลูกบ้าง” พูดโวยวายจนเพื่อนในทีมต้องส่งสายตาเอือมๆกลับมาให้
              “ตัวมึงบางอย่างกับกระดาษ A4 มึงไปปะทะกับใครเค้าก็มีแต่กระเด็นเท่านั้นแหละ รอจนกว่าลูกจะมา สไปรท์กับแอนดี้ช่วยกันคนมาแย่งลูกกับจินด้วย โอเคมั้ย” จินที่ทำท่าจะโวยวายต่อจำต้องเงียบปากลง เมื่อเพื่อนๆในทีมส่งสายตาประมาณว่าเห็นพ้องกับข้อสรุปนี้แล้ว เด็กหนุ่มจิ๊ปากอย่างขัดใจ


              หลังจากตกลงกันเสร็จนักกีฬาทุกคนต่างพากันไปรวมตัวที่สนาม ทันทีที่เริ่มเกม โชคดีที่ฝ่ายของจินได้ลูกไปครอบครองก่อน ด้วยฝีมือของนักกีฬาบาสของโรงเรียน ก่อนจะส่งลูกต่อไปให้แอนดี้ เด็กหนุ่มรับลูกอย่างแม่นยำก่อนจะเลี้ยงหลบหลีกทีมฝ่ายตรงข้ามจนเข้าใกล้แป้นบาสมากขึ้นทุกที
              “สไปรท์” เด็กหนุ่มส่งลูกกลับไปหาเพื่อนร่วมทีม เมื่อสถานการณ์ตรงหน้าเกินจะรับมือ สไปรท์รับลูกก่อนจะส่งต่อไปให้จินที่ยืนรอจนหน้าหงิกข้างๆกับทีมฝั่งตรงข้ามร่างยักษ์ ร่างเพรียวเปลี่ยนตำแหน่งมารับลูกได้อย่างแม่นยำ ก่อนที่จะตั้งท่าเตรียมชู้ตเก็บแต้ม
              ลูกบาสกลมๆสีส้มลอยเข้าห่วงไปอย่างแม่นยำ เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดากองเชียร์ได้เป็นอย่างดี แต่สำหรับบรรดานักกีฬาไม่มีเวลาได้พักหายใจหายคอหรอก เพราะเกมส์ยังคงดำเนินต่อไป การทำคะแนนของทีมของจินทำให้บรรยากาศเริ่มตึงเครียดขึ้น ทีมฝ่ายตรงข้ามรุกหนัก จนทีมของจินแทบจะไม่มีโอกาสได้แตะลูก


              หมดครึ่งแรก ทั้งสองทีมจบลงด้วยคะแนน 20 ต่อ 22 โดยทีมของนักร้องหนุ่มยังคงเป็นฝ่ายนำอยู่


              “พี่จินคะ น้ำค่ะ ให้เพื่อนๆในทีมพี่ด้วย” เด็กสาวหน้าตาน่ารักคนหนึ่งยื่นถุงใส่ขวดน้ำให้จิน เด็กหนุ่มยิ้มรับก่อนจะก้มศีรษะลงเป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะเดินเอาน้ำไปแจกเพื่อนๆ ที่กำลังนั่งพักเหนื่อยกันอยู่ โดยไม่ได้รู้ตัวเลยว่า มีสายตาหลายคู่กำลังจับจ้องไปยังเขาด้วยความไม่พอใจ

              ไม่รู้ว่าเขารู้สึกไปเองรึเปล่า แต่ดูเหมือนไอ้ลูกกลมๆส้มๆนั่นมันจะลอยเฉียดหัว เฉียดหน้าเขาไปมาบ่อยเหลือเกิน และแต่ละครั้งก็ดูเหมือนจะตั้งใจโยนสุดแรง ไม่เหมือนการพาสลูกเลยสักนิด แต่จินไม่อยากจะคิดในแง่ร้ายหรอกนะ เพราะทีมฝั่งตรงข้ามก็เป็นเพื่อนๆกันทั้งนั้น 

              ///ปึก///

              “จิน!!! มัวเหม่ออะไรอยู่” พอรู้ตัวอีกทีก็มีลูกบาสลอยละลิ่วเข้ามาหาเสียแล้ว แขนเรียวยกขึ้นกันลูกได้อย่างฉิวเฉียด แต่แรงกระแทกที่แขนนั้นก็ทำให้รู้สึกปวดไม่น้อย สไปรท์รีบวิ่งมาดูอาการเพื่อนด้วยความเป็นห่วง
              “โทษทีๆ ไม่เป็นไรๆ มึงอย่าเว่อร์ได้ป่ะ” จินพูดปัดก่อนจะไล่ให้สไปรท์ไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ แม้จะรู้สึกปวดหนึบๆที่แขน แต่เขาเองก็เป็นผู้ชาย อาการปวดแค่นี้ไม่ทำให้เขาสะทกสะท้านมากหรอก
              ไม่นานนักลูกบาสก็ลอยละลิ่วมาหาเขาจากฝีมือของเพื่อนร่วมทีม จินรับลูกแบบทุลักทุเลนิดหน่อยเพราะอาการปวดที่แขน ก่อนจะเปลี่ยนมาเลี้ยงลูกด้วยแขนอีกข้างที่ไม่เป็นไร โชคดีที่มีสไปรท์กับแอนดี้ช่วยกันทีมฝั่งตรงข้ามให้ จินเลี้ยงลูกหลบฝ่ายตรงข้ามนิดหน่อย พอถึงระยะที่คิดว่าจะชู้ตได้ลงแน่ๆ ก็ค่อยๆตั้งท่า

              ///พลั่ก///

              แต่ก่อนที่ลูกบาสจะลอยละลิ่วออกจากมือ แรงกระแทกรุนแรงทำให้จินที่ไม่ได้ตั้งตัวล้มลงกระแทกพื้น ก่อนจะรู้สึกถึงแรงกดที่ข้อเท้าและร่างหนาที่ล้มทาบทับลงมาจนรู้สึกจุก
              “เฮ้ย!!!” เสียงร้องอุทานอย่างตกใจ ตามด้วยเสียงเป่านกหวีดเพื่อหยุดเกมชั่วคราว ไม่นานนักน้ำหนักหนักๆที่ทับตัวเขาก็ถูกยกออก ก่อนจะตามมาด้วยแรงพยุงให้เขาลุกขึ้น
              “อึก” จินแทบจะไม่มีแรงไว้ร้องออกมา ความรู้สึกจุกทำเอาเขาพูดไม่ออก เพื่อนร่วมวงของเขารีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
              “มึงยืนไหวป่ะเนี่ย” ดินที่นั่งดูอยู่ริมสนามวิ่งเข้ามาช่วยพยุง
              “พาจินไปพักที่ม้านั่งก่อน ดูเหมือนข้อเท้าจะพลิกนะ แข่งไม่ไหวแล้วล่ะ ดินมึงลงมาเล่นแทน” ดินหันหน้าไปพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะปล่อยให้เพื่อนร่วมห้องช่วยกันพยุงจินไปนั่ง ความรู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ข้อเท้าทำเอาเขาต้องเผลอเบ้หน้า


              “ไหน ให้ครูดูอาการหน่อย” ครูพละที่ไม่รู้โผล่เข้ามาตอนไหน นั่งคุกเข่าลงก่อนจะยกข้อเท้าของจินขึ้น
              “โอ๊ย จารย์ เจ็บๆๆ” ร่างเพรียวร้องเสียงหลง ทำเอาบรรดาแฟนคลับพากันมามุงดูอย่างเป็นห่วง อาจารย์หนุ่มจับที่ข้อเท้าของนักเรียนตัวแสบนิดหน่อย ก่อนจะหันไปเรียกนักเรียนที่ยังว่างอยู่ ให้มาพาจินไปห้องพยาบาล
              “ให้อาจารย์ห้องพยายามช่วยปฐมพยาบาลให้ เสร็จแล้วก็กลับได้เลย อีกเดี๋ยวก็หมดเวลาแล้ว” เสียงทุ้มเอ่ยรับคำของอาจารย์ก่อนจะขอตัวออกไป โดยมีแฟนคลับตามไปให้กำลังใจเป็นขบวน




              “นี่แม่คุ๊ณ อย่าเว่อร์ได้ไหม เขาแค่ข้อเท้าพลิก ไม่ต้องทำหน้าเหมือนเขาขาขาดก็ได้ พวกเธอกลับไปได้แล้ว ครูทำงานไม่ได้” ครูสาวสุดสวยเอ่ยปากไล่บรรดาแฟนคลับของเด็กหนุ่มอย่างรำคาญ ก่อนจะปิดประตูเพื่อกันการเข้ามารบกวน แล้วเดินมาดูเด็กหนุ่มที่นั่งทำหน้าแหยอยู่บนเตียง
              “อาจจะเดินไม่สะดวกประมาณสามสี่วันนะ พยายามอย่าใช้งานข้อเท้าหนักมาก” พูดพร้อมกับจัดการพันผ้าที่ข้อเท้าของเด็กหนุ่มอย่างเบามือ จินยกมือไหว้ขอบคุณอาจารย์ ก่อนจะลองเดินดู ความรู้สึกเจ็บแปลบแล่นเข้ามาเป็นริ้วๆ จนเด็กหนุ่มต้องเบ้หน้า
              เสียงพูดคุยอื้ออึงที่ดังอยู่หน้าห้องพยาบาลทำให้จินต้องชะงัก ถ้าเขาออกไปตอนนี้ล่ะก็คงจะถูกบรรดาแฟนคลับรุมทึ้งแน่นอน อาจารย์พยาบาลเหลือบมองท่าทางของเด็กหนุ่มอย่างสงสาร ก่อนจะอนุญาตให้นอนพักอยู่ในห้องพยาบาลได้จนกว่าบรรดาแฟนคลับจะกลับกันหมด


              จินเลือกเตียงที่ติดกับหน้าต่าง ร่างโปร่งทิ้งตัวลงเบาๆ ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองออกมาต่อหูฟังและเสียบเข้ากับหู เสียงเพลงร็อคจังหวะหนักตามสไตล์ที่ตัวเองชอบช่วยคลายอาการปวดหนึบลงไปได้บ้าง ขณะที่เคลิ้มๆกำลังจะหลับ เสียงเพลงกลับหยุดชะงักก่อนที่จะมีเสียงริงโทนดังขึ้นมาแทน นัยน์ตาเรียวสวยเหลือบมองหมายเลขที่โทรเข้ามาก่อนจะกดรับ
              “ครับ พี่แฮงส์”
              [อื้ม เลิกเรียนรึยังเนี่ย พี่คุยได้รึเปล่า] น้ำเสียงแหบต่ำดังมาตามสาย จินพลิกตัวก่อนจะลุกขึ้นนั่งเพื่อที่จะคุยโทรศัพท์ดีๆ
              “ครับ เลิกแล้ว” เอ่ยรับเสียงเบา เพราะกฎของห้องพยาบาลนั้นห้ามใช้โทรศัพท์
              [ดีๆ พี่จะโทรมาบอกว่าแผ่นเสียงที่จินสั่งไว้มาแล้วนะ สะดวกมาเอาเลยมั้ย] คิ้วเรียวเลิกขึ้นนิดหน่อย นัยน์ตาเรียวเป็นประกายเมื่อได้ยินเกี่ยวกับสิ่งที่เขาชอบ ร่างเพรียวผุดลุกขึ้น แต่ความเจ็บแปลบที่ปลายเท้าทำให้เขาต้องทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงอีกครั้ง
              “เอ่อ อีกสักสองสามชั่วโมงได้รึเปล่าครับ” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยถามแห้งๆ เพราะเพื่อนในวงยังไม่เลิกเรียนกัน ถ้าจะให้เขาไปคนเดียวในสภาพนี้ก็กลัวว่าจะไปไม่ถึง คงได้โดนรถเฉี่ยวไม่ก็เดินตกท่อที่ไหนสักที่แน่ๆ
              [เอ๋ สองสามชั่วโมงเลยหรอ ไม่ได้หรอก เพราะพี่ต้องไปเก็บของอีก พอดีตอนค่ำๆพี่ต้องไปต่างจังหวัดน่ะ] ได้ยินแบบนั้นจินรู้สึกอารมณ์ของตัวเองกำลังคุกรุ่นแปลกๆ ร่างเพรียวถอนหายใจหนักๆ ไอ้นิสัยที่พออะไรไม่ได้ดังใจก็จะหงุดหงิดเกินมนุษย์ของเขาเนี่ยเมื่อไหร่จะหายสักทีนะ
              [เอ่อ เอางี้มั้ย เดี๋ยวจินค่อยมาเอาอีกประมาณสองสามวัน เดี๋ยวพี่เก็บไว้ให้] เสียงแหบเอ่ยเสนอตัวเลือก เพราะแฮงส์เองก็สนิทกับเด็กหนุ่มคนนี้พอสมควร สนิทพอที่จะรู้ว่าคนปลายสายเริ่มจะอารมณ์ไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ จินขมวดคิ้วนิดหน่อย สมองประมวลผลหาทางแก้ ระหว่างความสมเหตุสมผลกับอารมณ์อะไรจะชนะกันนะ สำหรับเขาแล้ว ต้องเป็นอารมณ์อยู่แล้วล่ะ
              “ไม่เป็นไรพี่ เดี๋ยวผมไปเอาตอนนี้เลย อย่าพึ่งปิดร้านนะครับ” พูดเพียงแค่นั้นก่อนจะตัดสายไป แฮงส์ได้แต่เกาหัวแกรกๆ ก่อนจะบอกบรรดาลูกน้องให้เลื่อนเวลาปิดร้านไปอีกหน่อย ส่วนจินหลังจากที่วางสายก็รีบโทรหาเพื่อนสนิทของตัวเองทันที

              [ฮาโหล]
              “ไอ้การ์ตูน กูจะไปเอาแผ่นเสียงที่สั่งไว้ที่ร้านพี่แฮงส์นะเว้ย ฝากบอกเพื่อนคนอื่นด้วย”
              [ห๊ะ อะไรนะ ไปยังไงวะ มึงขาเดี้ยงอยู่ไม่ใช่หรอ] น้ำเสียงทุ้มถามฉายแววเป็นห่วง 
              “เออน่า แค่นี้เอง กูสบายมาก ถ้าจะไป Avenue square นี่นั่งรถเมล์สายอะไรวะ” จินเลือกที่จะเมินน้ำเสียงเป็นกังวลนั้นแล้วถามกลับ เพราะเขามีเวลาไม่มากนัก แอบได้ยินเสียงการ์ตูนตะโกนบอกเพื่อนคนอื่นว่าเขากำลังจะฝืนสังขารตัวเองไปหาเที่ยวเล่น จินคว่ำปากลงอย่างขัดใจ
              “เชี่ยตูน มึงจะบอกกูดีๆมั้ย ถ้ามึงไม่บอกกูสุ่มไปเองก็ได้วะ” พูดด้วยน้ำเสียงงอนๆจนคนที่อยู่ปลายสายต้องรีบง้อเสียยกใหญ่
              [เออๆ สายสาม นั่งไปสักพักจะอยู่ขวามือ มึงแน่ใจหรอวะ ไม่รอพวกกะ...] แต่ไม่ทันที่การ์ตูนจะได้พูดจบ ไอ้เพื่อนตัวดีของเขาก็ดันตัดสายไปแล้ว การ์ตูนจิ๊ปากอย่างขัดใจ แม้จะหงุดหงิดที่โดนตัดสายใส่ แต่ยังไงก็ยังเป็นห่วงไอ้เพื่อนบ้านั่นอยู่ดี เมื่อไหร่การแข่งบ้าๆนี่จะจบซะที





              จินเบ้ปากน้อยๆ เมื่อแต่ละก้าวเดินของเขานั้นช่างเจ็บปวดเหลือเกิน หัวฟ้าๆโผล่ออกมาจากห้องพยาบาล เมื่อเห็นบรรดาแฟนคลับที่เคยยืนออกันหายไปหมดแล้ว ริมฝีปากรูปกระจับก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะค่อยๆสอดตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ แต่ก็ไม่ลืมที่จะหันไปขอบคุณอาจารย์ห้องพยาบาลอย่างที่ยอมให้เขาสิงอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง
              ร่างเพรียวเดินกระเผลกอย่างน่าสงสาร จินเบะปากอย่างหงุดหงิด นัยน์ตาเรียวสวยเหลือบมองนาฬิกาเป็นพักๆ ทั้งๆที่รีบขนาดนี้ ทำไมขาต้องมาเจ็บแบบนี้ด้วยนะ



              หลังจากเดินลงบันได และผ่านสายตาที่มองมาแปลกๆระคนสงสารอย่างทุลักทุเล ในที่สุดจินก็มาถึงบริเวณหน้าป้ายรถเมล์จนได้ นัยน์ตาเรียวเหลือบมองไปยังตารางเวลาเดินรถ โชคดีที่เขายังมาทัน รอไม่นานรถเมล์ที่มีหมายเลข 3 ติดอยู่ตรงกระจกหน้ารถก็เคลื่อนมาจอดตรงหน้า
             จินก้าวขึ้นรถอย่างยากลำบาก แต่ละก้าวทำเอาเขาร้องซี้ดเป็นระยะ หันซ้ายหันขวามองหาที่นั่ง เพราะถ้าจะให้เขายืนบนรถเมล์คงจะไม่ไหว รถโดยสารบ้าอะไรขับอย่างกับอยู่บนสนามฟอร์มูล่าวัน
              ริมฝีปากรูปกระจับคลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อเห็นมีนักเรียนคนหนึ่งพึ่งลงจากรถไป ทำให้มีที่นั่งว่างหนึ่งที่ในเวลาที่คนพากันกลับบ้านแบบนี้ ร่างเพรียวเดินกระโผลกกระเผลก ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งจังหวะเดียวกันกับที่คุณป้าคนหนึ่งก้าวขึ้นมาและตรงมายังที่นั่งนั้นพอดี
              “นี่เธอ เป็นผู้ชายภาษาอะไรกันหา” น้ำเสียงแหลมปรี๊ดดังขึ้น จินเหลือบมองไปทางต้นเสียงอย่างงงๆ ก่อนจะพบกับคุณป้าร่างท้วมกำลังยืนเท้าสะเอวมองมาทางเขาอย่างเอาเรื่อง
              “ครับ?” จินถามกลับอย่างงงๆ เพราะมัวแต่สนใจสภาพข้อเท้าของตัวเอง เขาไม่ได้มองสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากนัก คุณป้าคนนี้มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
              “ต๊าย ทำหน้างงได้น่าเกลียดมากเลยนะยะ ก็เห็นๆอยู่ว่าชั้นเป็นผู้หญิง แถมยังสูงอายุด้วย แต่ยังกล้าเดินตัดหน้ามาแย่งที่ชั้นอีก” น้ำเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆเรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี จินจิ๊ปากอย่างหงุดหงิด
              “คือ...ผมไม่เห็นน่ะครับ อีกอย่างพอดีผมเจ็บข้อเท้า” เห็นแก่ว่าเป็นคุณป้าแก่ๆหรอกนะ จะไม่เอาเรื่องแล้วใช้อารมณ์ใส่ แถมตอนนี้เขาก็เริ่มที่จะอายสายตาของผู้โดยสารคนอื่นๆจนอยากจะมุดดินหนีแล้ว 
              “โธ่ นี่หรือคำแก้ตัว เด็กสมัยนี้มันไม่ได้เรื่อง ไหน เธออยู่โรงเรียนอะไร เอาตราโรงเรียนมาดูซิ ชั้นจะได้ไม่ส่งลูกหลานไปเรียนโรงเรียนนี้” พูดพลางถือวิสาสะกระชากไหล่จินให้หันด้านที่มีตราโรงเรียนติดอยู่บนอกมาให้ดู คิ้วเรียวกระตุกเป็นระยะ พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ลงไม้ลงมือกับผู้หญิงสูงอายุ
              “ต๊าย โรงเรียนไฮโซด้วยนี่ ดีแต่ขูดรีดเอาเงินจากผู้ปกครอง แต่การสอนย่ำแย่ ไม่รู้จักสอนเด็กเกี่ยวกับมารยาทกับศีลธรรม นี่ชั้นพูดขนาดนี้แล้วยังไม่ลุกหนีอีก บอกให้ลุกยังไงล่ะ” จากพูดเสียงดังกลายเป็นตะคอก จินแทบจะประมวลคำพูดว่าร้ายเหล่านั้นไม่ทัน มือท้วมนั้นก็เริ่มคุกคามเขามากขึ้น ทำท่าจะกระชากตัวเขาให้ลุกยังไงยังงั้นแหละ
              นัยน์ตาเรียวเหลือบมองรอบข้างอย่างอายๆ ผู้โดยสารคนอื่นๆต่างมองมาทางเขาอย่างเห็นใจ แต่ที่นั่งอื่นก็ถูกบรรดาเด็กตัวเล็กและผู้หญิงนั่งกันไปหมดแล้ว จินถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ เพราะขนาดตอนที่เขามองไปทางอื่น ยัยป้านี่ก็ยังคงด่าเขาฉอดๆ เออๆ ลุกก็ได้วะ จินพึมพำกับตัวเองอย่างหงุดหงิด ตวัดสายตามองป้านั่นอย่างไม่พอใจ



              “ไม่ต้องลุกหรอก” แต่ก่อนที่จินจะได้ลุกขึ้น น้ำเสียงทุ้มๆที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหนก็เอ่ยขึ้นขัด มือหนายื่นมาดันไหล่เขาเอาไว้แล้วกดให้นั่งลงเหมือนเดิม
              “นี่เธอ!!! ทำอะไรของเธอน่ะ” คุณป้ามหาปลัยขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ ก่อนจะตวัดสายตาไปมองยังผู้ที่มาขัดขวางการหาที่นั่งของเธอ ก่อนที่คำด่าทั้งหมดจะติดอยู่ที่ปาก และกลืนลงคอกลับไป เพราะอึ้งกับคนตรงหน้า จินเมื่อเห็นป้าจอมวีนเงียบไป เลยมองไปยังผู้ที่มาช่วยเหลือตัวเองบ้าง

              ใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างกับรูปสลัก นัยน์ตาคมคายที่แสนมีเสน่ห์ ผมสั้นสีเปลือกไม้ที่ถูกไถเกรียนด้านข้าง แต่ไว้ยาวเล็กน้อยที่ด้านบนนั้นเข้ากับร่างสูงโปร่งอย่างนักกีฬา เขาจำบุคคลคนนี้ได้ดี บุคคลที่ทำให้เขาต้องเลิกกับแฟน บุคคลที่เคยส่งสายตาแพรวพราวมาให้จนเขาหมั่นไส้
              ‘แอสตัน’


              “ขอโทษนะครับ แต่น้องเค้าเจ็บข้อเท้าจริงๆ ขนาดตอนจะเดินขึ้นรถยังแทบจะขึ้นไม่ไหว” น้ำเสียงทุ้มน่าฟัง พูดให้เหตุผล จินแอบเห็นผู้โดยสารคนอื่นพยักหน้าเห็นด้วย แอสตันหยุดคิดนิดหน่อยก่อนจะก้มลงมาถามเขา
              “อีกไกลไหม ป้ายที่จะลงน่ะ” จินเผลอจ้องหน้าคนตรงหน้าชั่วครู่ ก่อนจะสะดุ้งเพราะเสียงกระแอมไอจากยัยป้าปากมาก เด็กหนุ่มเลิกคิ้วนิดหน่อย ตัดสินใจเมินยัยหญิงแก่ปากจัดนี่
              “น่าจะอีกประมาณสิบนาทีมั้งครับ” เสียงนุ่มตอบอุบอิบ เมื่อโดนสายตาทิ่มแทงจากร่างท้วมที่กำลังยืนค้ำหัวเขาอยู่ แอสตันเลิกคิ้วนิดหน่อยก่อนจะหันไปถามคุณป้าคนนั้นบ้าง เมื่อรู้ว่าเธอต้องนั่งไปจนสุดสาย ใบหน้าปานเทพบุตรนั้นก็คลี่ยิ้มบางๆทำเอาสาวๆพากันแอบกรี๊ดเบาๆ
              “งั้นให้น้องเขานั่งไปก่อนได้รึเปล่าครับ แค่สิบนาทีเอง ที่ข้างหลังพอจะมีมุมที่พิงได้อยู่ เชิญไปแทนที่ผมตรงนั้นก็ได้ครับ” พูดพร้อมกับพยักเพยิกไปด้านหลัง คุณป้าคนนั้นเหลือบมองแอสตันค้างอยู่สักพัก จินเลยแกล้งกระแอมใส่บ้าง ยัยป้าจอมวีนหันมาถลึงตาใส่ ยอมละจากที่นั่งของจินแต่โดยดี แต่ก่อนที่ร่างอวบนั้นจะเดินไป แอสตันก็โพล่งประโยคที่ทำเอาใครหลายคนต้องแอบเห็นด้วยในใจ



              “อ๋อ แล้วอีกอย่างนะครับ เวลาคนอื่นพูดก็น่าจะฟังเขาบ้าง การโวยวายไปก่อนแบบนั้น ไม่ได้ทำให้คนอื่นอยากจะสละที่นั่งให้หรอกนะครับ”  










    ----------------------------------

    ***สถานที่ในเรื่องมาจากจินตนาการไรท์ล้วนๆเลอ***

    Talk : จะบอกว่ามหาลัยพึ่งเปิดเทอม...ชีวิตไรท์ว๊างว่าง 'w'

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×