ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ฟิคเสื่อม] กวาง The series - Chanbaek

    ลำดับตอนที่ #37 : Chapter : 33 พักใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 18.02K
      376
      6 ส.ค. 63




    แกร๊ก...

     

    บานประตูห้องถูกปิดลงช้าๆ ถุงสีขาวถูกนำไปวางไว้บนเตียง หลังจากที่ใช้เวลาเดินเล่นผ่อนคลายตัวเองจนรู้สึกดีขึ้นแบคฮยอนก็กลับมาห้องพร้อมของจากมินิมาร์ทถุงใหญ่สำหรับซุป เขาถอดกระเป๋าออกวางไว้บนพื้นห้อง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็คข้อความ กดเปิดเพลงก่อนจะเดินไปหยิบหม้อไฟฟ้ามาตั้งข้างเตียง

     

    ในวันที่อากาศหนาวและโดดเดี่ยวแบบนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้นั่งซดซุปร้อนพร้อมกับดูหนังเรื่องโปรด แบคฮยอนถอดเสื้อเชิ้ตของเขาเปลี่ยนออกเป็นเสื้อนอนตัวหลวมโดยที่ไม่ลืมหยิบเอาเสื้อไม่พรมมาสวมทับ

     

    เขาคลานไปโน้ตบุ๊กมาวางไว้ข้างตัวพร้อมกับเปิดมันขึ้น ในขณะที่หหยิบเอาต้นหอมญี่ปุ่น กับของสดต่างๆ ออกมาจากถุงเพื่อเตรียมหั่นของ เสียงเพลงจากมือถือยังคงดังไปไปตามท่วงทำนอง ที่ข้างเตียงนอนการประกอบอาหารมื้อค่ำเล็กๆ เกิดขึ้น แบคฮยอนยอมจ่ายเงินเยอะหน่อยเพื่อที่จะได้กินของอร่อย เพราะของอร่อยเยียวหัวใจเขาได้เสมอ

     

    คนตัวเล็กส่งเสียงฮัมเพลงงึมงำ ในขณะที่หยิบมีดและเขียงมาเริ่มหั่นพักกาด ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาหนึ่งทุ่มเศษแล้ว ถ้าเป็นที่บ้านก็คงหนาวมาก มงรยงจะต้องไปนอนซุกกับแม่อยู่ใต้เก้าอี้แน่ แบคฮยอนคิดถึงทั้งแม่นมและแม่จริงๆ ของเขา 


    ตอนนี้ในหัวไม่คิดอะไรนอกจากการกลับบ้านในวันหยุด การอยู่ตัวคนเดียวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บทำแบคฮยอนเหงาจับใจ

     

    ถ้ากลับบ้านก็คงจะอุ่นกว่านี้ ถ้ามีอี้ชิงอยู่ด้วยกันก็คงจะสุขกว่านี้...

     

    .

    .

    .

     

    “แม่เอาอีอ้วนมาคุยหน่อย มันอยู่ไหนอะ”

     

    เสียงหม้อต้มซุปกิมจิเดือดปุดๆ พ่นควันลอยปุดส่งกลิ่นหอมฉุยไปทั่ว แบคฮยอนปิดเตาไฟฟ้าก่อนจะย้ายโน้ตบุ๊กขึ้นไปวางบนที่นอนพร้อมกับหม้อใส่ซุปกิมจิ เขาเห็นแม่กำลังเดินตามหามงรยงไปทั่วบ้านพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือ

     

    [มันอยู่แถวนี้แหละ เมื่อกี้ยังเห็นอยู่เลย นั่นไง มงรยง~ มานี่เร็ว~ มาคุยกับพี่แบคฮยอน]

     

    “มงรยง~” แบคฮยอนส่งเสียงเรียกเข้าไปในลำโพงพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะออกมา เขาเห็นแม่นั่งลงบนพื้นหน้าโซฟาก่อนที่เจ้าหมาอ้วนส้มจะรีบวิ่งขึ้นมามุดตัก มันทำท่าดีใจเหมือนได้เจอเจ้าของ เห่าแล้วก็เดินวนไปมาจนแบคฮยอนแทบอยากจะทะลุตัวเข้าไปกอด

     

    มงรยงพยายามจะเดินวนไปรอบๆ มือถือเพื่อหาตัวแบคฮยอน แถมยังเอาแต่ส่งเสียงครางหงิงสลับกับเห่าออกมาไม่หยุด

     

    “มงรยง~ กินข้าวยาง”

     

    [แม่เพิ่งคลุกตับให้มันกิน]

     

    “แล้วไปเอาเสื้อใครมาใส่” เสื้อเด็กลายเจ้าหญิงที่ถูกผูกไว้ลวกๆ บนตัวเจ้ามาอ้วนเตี้ยทำแบคฮยอนอดขำไม่ได้ ที่จริงมันก็เข้ากับแม่มงมรยงดี แต่มันควรจะเป็นลายที่โตกว่านี้เพราะแม่มงของเขาเริ่มจะแก่แล้ว

     

    [เสื้อน้องแทจุน มันไปเล่นข้างบ้านแล้วเค้าใส่ให้มา]

     

    “เดี๋ยวหนูซื้อตัวสวยๆ จากโซลไปให้ แถวที่ทำงานมีเต็มเลย”

     

    [แม่กำลังถักให้มันอยู่ อันนี้ให้มันใส่ไปก่อน กลางคืนมันหนาวสั่นจนต้องเอาถุงน้ำร้อนให้มัน นี่แม่ก็ต้มน้ำให้มันอยู่ กลางคืนมันก็มานอนซุกอยู่ด้วยกัน]

     

    “เดี๋ยวซื้อเสื้อไปให้เยอะๆ เลย” น้ำเสียงของแม่และเรื่องเล่าของมงรยงทำแบคฮยอนเกือบจะน้ำตาไหลออกมาด้วยความคิดถึงแต่ก็ต้องอดทนเอาไว้ เพราะว่าอีกแค่ไม่กี่วันเขาก็จะได้กลับไปบ้านแล้ว

     

    [ทำอะไรกิน]

     

    “ทำซุปกิน ตอนแรกหนูอยากทำซุปวัวอะ แต่ทำไม่เป็น หาของไม่ได้ด้วยก็เลยไม่ทำ”

     

    [ไว้กลับบ้านมาทำกินกัน]

     

    เสียงสนทนายังคงดังต่อไปไปเรื่อยๆ แบคฮยอนซดซุปฮวบๆ มันทำให้เขาหายหนาวแล้วก็อารมณ์ดีขึ้นเยอะ หมึกทอดกรอบรสเค็มถูกวางลงบนข้าวที่พร่องไปเกือบหมดแล้ว ข้อความเตือนจากแชทของแฟนหนุ่มที่เด้งขึ้นมาทำให้คนตัวเล็กต้องวางถ้วยข้าวแล้วเอื้อมมือไปพิมพ์ตอบกลับ

     

    Chanyeol park : ถึงยัง

    Chanyeol park : ไม่รับโทรศัพท์อะ

    Bhyun Baekhyun : คุยกับแม่อยู่

    Bhyun Baekhyun : เด่วโทรกลับ

    Chanyeol park : k

     

    การสนทนาจบลงสั้นๆ อย่างรวดเร็ว แบคฮยอนกดปิดแท็บแล้วเข้าไปพิมพ์ตอบข้อความของเพื่อนรักบ้าง วันนี้เขายังไม่ได้โทรหาอี้ชิงเรื่องที่จะเมาท์กันเลย

     

    Byun baekhyun : เดี๋ยวกูโทรไป

    Byun baekhyun : คุยกับแม่แปบ

     

    . 

    .

    .

     

    [เดี๋ยวแม่ดูหนังก่อนน้า ไว้ค่อยโทรมาใหม่]

     

    “จ้า~ เดี๋ยวหนูโทรหานะ”

     

    หลังจากที่ได้คุยโทรศัพทเก็บเกี่ยวกำลังใจจนพอแล้วแบคฮยอนก็ถึงเวลาต้องวางสายเมื่อแม่และมงรยงจะไปดูละครหลังข่าว เขากดวางสายวิดีโอแล้วย้ายหม้อใส่ซุปไปวางไว้บนพื้นข้างเตียงหลังจากที่จัดการมันจนเหลือค่อนหม้อ


    ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเกือบจะครึ่งแล้ว แบคฮยอนยังไม่ได้โทรหาชานยอลแต่ก็ส่งข้อความไปหาอยู่เรื่อยๆ ดูเหมือนว่าแฟนเขาจะต้องนอนค้างที่ห้องพักผู้ป่วยอีกแล้ว และแบคฮยอนก็ได้แต่หวังว่าชานยอลจะไม่ทำอะไรกับเพื่อนสาวในห้องที่แม่เองตัวนอนพักอยู่

     

    คนตัวเล็กหยิบหมอนมาวางรองใต้อกพลางหมอบตัวลงหน้าโน้ตบุ๊กในขณะที่สายวิดีคอลกำลังถูกต่อไปหาเพื่อนรัก เพียงไม่นานอี้ชิงก็กดรับสาย เหมือนเขาแสตนบายรอสายเรียกเข้ามานานแล้ว

     

    [ฮัลโหล~ ว่าไงคะ]

     

    “อิดอก เพิ่งคุยกับแม่เสร็จ ไหนมีไรเมาท์ว่ามา”

     

    [ก็ไม่มีไรหรอก เรื่องคลิปนั่นแหละ ก็ตามที่บอก แบบกูไปเจอคนที่บังเอิญรู้จักมันกับเพื่อนกลุ่มมันไง กูก็ถามมาให้เผื่อเพื่อนอยากรู้]

     

    “เออ แล้วมึงไปได้คลิปมาจากไหนวะ”

     

    [จากเด็กกู เด็กที่กูคุยอยู่ มันเรียนโรงเรียนเดียวกับชานยอล รุ่นเดียวกันด้วย คลิปบนเครื่องบินอะเพื่อนอีชานยอลเป็นคนถ่าย ละอัพแกล้งกันบนเฟสบุ้ก แล้วมีคนไปขอคลิปได้มา ก็เลยมาถึงมืออีเด็กที่กูคุยด้วยอยู่เนี่ย มันบอกว่ามันไม่ได้ขอมานะ เพื่อนมันส่งมาให้ดู แล้วมันก็บังเอิ๊ญ~ เก็บไว้]

     

    “หรอ อีดอก ถ้ากูไม่เห็นกูก็คงไม่รู้อะว่ามันเอาเพื่อนมัน” คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาไม่ได้กำลังหึงหวงอะไรกับคลิปเหล่านั้นหรอก มันก็แค่เรื่องในอดีต แต่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้แบคฮยอนรู้สึกไม่สบายใจและไม่สามารถจัดการได้

     

    [มึงก็เคยถามมันแล้วไม่ใช่อ่อวะ]

     

    “ก็เคยถามแหละ แต่มันก็ตอบเท่าที่ถาม ถามว่าเป็นอะไรกันมันก็บอกว่าเพื่อน รู้จักกันมานาน แบบครอบครัวสนิทกันเงี้ย แต่ไม่ได้บอกว่าเอากัน”

     

    [เพื่อนนี่เยกันด้วยหรอวะ]

     

    “ก็คงเพื่อนในแบบของมันอะ แม่ง กูเฟลว่ะ กูไม่รู้จะรู้สึกยังไง” ริมฝีปากบางงอคว่ำ แบคฮยอนรู้สึกเหมือนเขากำลังเดินวนอยู่ที่เดิมกับความรู้สึกเดิมๆ แล้วพอคิดว่าจะต้องจะต้องเดินหน้าต่อเขาก็กลับไปเดินวนอีก มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก

     

    [แต่คลิปมันนานแล้วนะ ป่านนี้คงเลิกกันแล้วแหละมั้ง กูตกใจตรงที่แม่งกล้าเอากันบนเครื่องบินนี่แหละ กูยอมเลย อีผู้หญิงนี่ไม่ดีจริงก็ทำไม่ได้นะ]

     

    “มึงคิดเหมือนกูใช่ปะ กูไม่ได้คิดไปเองใช่ปะ”

     

    [ก็อยากจะได้ซะขนาดนั้นอะ อีเหี้ย เกินไปว่ะ เป็นกูนะกูด่าอะ]

     

    “แต่กูทำไม่ได้ไงมึง กูจะเอาอะไรไปด่าเค้า แค่นี้บ้านเค้าก็เกลียดกูพอละ กูไม่ชอบเลยว่ะ”

     

    [แล้วมึงคุยกับผัวยังอะ]

     

    “ยังเลย ไว้รอให้สถานการณ์มันดีกว่านี้ก่อน ตอนนี้แม่มันก็ป่วยจะไปเอาไรกับมัน” แบคฮยอนถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างหมดสิ้นหนทาง เขาไม่อยากทำให้ชานยอลรู้สึกแย่อีกตอนนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรสำหรับเขา

     

    [แล้วมึงเป็นไงอะ กูเห็นมึงบ่นไรในเฟส]

     

    “เออ ไม่ได้เป็นไรหรอก กูอยากพักฮีลตัวเองเฉยๆ กูเหนื่อยหลายเรื่องอะ กูก็ไม่รู้นะว่ากูเป็นไร กูไม่ได้อยู่บ้านด้วยมั้งมันเลยแบบ บอกไม่ถูกอะ” แบคฮยอนที่แสนโดดเดี่ยวมุ่ยหน้าพลางพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะว่าต่อ “อยู่นี่กูอยู่คนเดียวอะ ทำไรกูก็กลัวนะ เมื่อก่อนเคยอยู่บ้าน เคยอยู่กับหมา แบบอยู่กับเพื่อน พอมาอยู่นี่กูอยู่คนเดียวแล้วกูก็ฟุ้งซ่านอะ”

     

    เสียงเล็กๆ เริ่มสั่นไหว แบคฮยอนไม่อยากพูดถึงมันนักแต่เขาก็อดไม่ได้ ทั้งความเหงาที่จับกินอยู่ใต้ก้นบึ้งของหัวใจ ชานยอลอาจทำให้แบคฮยอนมีความสุขและอบอุ่นได้แต่มันก็ไม่เหมือนบ้านอยู่ดี

     

    [ร้องไห้อีกละ]

     

    “เปล่า แต่แบบ... มันเหงานะเว้ย กูมีเพื่อนก็จริงแต่มันก็ไม่เหมือนบ้านอะ แล้วกูมีมันแค่คนเดียวอะ กูก็มีความสุขนะ ก็รู้ตัวแหละ บางทีกูนอนอยู่คนเดียวกูก็คิดว่าวันนี้กูมีความสุขมาก วันนึงมันจะหายไปไหมวะ มันจะหายไปเมื่อไหร่ เหมือนมีความสุขรอวันทุกข์อะ” มือเล็กๆ ยกชึ้นเช็ดหยดน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่เต็มเบ้า แบคฮยอนไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายและเขาจะไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว มันเป็นเพียงแค่หยดน้ำตาที่จะช่วยทำให้ทุกอย่างดีขึ้น

     

    “วันนี้มันให้กูไปหาที่โรงบาล กูก็ไป แล้วมันก็เป็นอย่างที่กูบอกอะ กูก็คิดมากนะเว้ย บางทีอะ ถ้าเป็นกูลองทำแบบนั้นกับไอ้ฮุนดิ อยากรู้มันจะทนได้ไหม กูไม่ได้หึงนะเว้ยกูพูดจริงๆ แต่แบบ เวลากูทำอะไรที่มันไม่สบายใจ มันไม่ชอบกูก็ไม่ทำ พยายามทำให้มันสบายใจ แต่กูไม่รู้อะว่าถ้ากูไม่สบายใจบ้างมันจะคิดเหมือนกูไหม”

     

    [มึงอยากร้องไห้มึงก็ร้องออกมา กูรู้ว่ามันไม่ง่ายหรอก ยังไงกูก็เข้าข้างมึงอยู่ดี]

     

    คำพูดของเพื่อนสนิทยิ่งทำให้หนูขี้แยอย่างแบคฮยอนรู้สึกอ่อนแอ เขาคว้าเอาผ้าขนหนูมาเช็ดรอยน้ำตาลวกๆ ก่อนจะพูดต่อ

     

    “กูก็รู้แหละว่ามันเคยเป็นไง เออ กูไม่สนใจหรอก แต่แบบ...”

     

    [มึงอยากพูดไรมึงก็พูดมาเลย มึงไม่ต้องอ้อมค้อม]

     

    “กูไม่รู้จะทำไงว่ะ อีเหี้ยเพื่อนมันอะ ทำไมกูเจอมันทีไรมันต้องพยายามทำเหมือนเป็นเจ้าของผัวกูด้วยวะ มันชอบมาขิงใส่กูอะ ทำเหมือนเป็นเพื่อนสนิทนะ มาก่อนนะ แล้วอีเหี้ยชานยอลก็ไม่ทำไรเลยอะ คนดีๆ เค้าทำกันปะวะ ถ้ากูมีเพื่อนกูรู้ว่าเพื่อนกูมีแฟนแล้วเงี้ยอะ ถ้าเป็นมึงอะ มึงจะทำตัวแบบนี้ไหมอะ ทั้งที่มึงอยู่ต่อหน้าแฟนเค้าอะ”

     

    [อีเหี้ย]

     

    “มันหลายรอบละนะ กูพยายามไม่คิดมากนะเว้ย กูคิดว่ากูคิดไปเอง แต่พอเห็นแบบนี้แล้วกูว่ามันไม่ใช่อะ มึงมันเคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันมาก่อน คือถ้ากูไม่รู้กูก็ต้องคิดว่าเป็นเพราะตัวกูไม่มั่นใจไปตลอดเลยใช่ไหมวะ”

     

    ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ แบคฮยอนนึกอยากจะขำออกมาที่ตลอดเวลาเขาเอาแต่โทษตัวเองที่ไม่มั่นใจมากพอทั้งๆ ที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย ทำไมโคลอี้ต้องให้ของขวัญพิเศษกับชานยอล ของขวัญที่ทำให้พวกเขานึกถึงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันในต่างประเทศ ทำไมต้องทำตัวติดกันตลอด และแบคฮยอนก็ไม่ได้คิดไปเอง

     

    “กูรู้สึกเหมือนมันยอมให้เพื่อนมันมาเย้ยกูอะ ยอมให้มันมาแสดงความเป็นเจ้าของทั้งๆ ที่มันเป็นของกูอะ แล้วมึงจะให้กูคิดยังไงวะ...  แบบไม่เห็นใจกูเลยใช่ปะ กูไม่หึงหรอกเพื่อนอะ เมียเก่ามึงกี่คน มึงคุยผู้หญิงกี่คนกูเคยหึงเคยขอเช็คโทรศัพท์ปะ กูไม่เคยอะ แต่ทำไมต้องให้มันมาทำแบบนี้ด้วยวะ”

     

    รู้สึกได้ถึงความชื้นจากหยดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาอีกครั้ง คนตัวเล็กสูดน้ำมูกฟืดใหญ่ พยายามจะคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่น แบคฮยอนไม่อยากจะร้องไห้อีกแล้ว เขาเหนื่อยใจมากกว่าจะเสียใจกับปัญหาเดิมๆ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้อยากถอนหายใจออกมามากกว่าจะร้องไห้

     

    [ก็มันเหี้ยไงมึง ถ้าไม่เหี้ยจะกล้าเอากันบนเครื่องบินอ่อวะกูถาม]

     

    “แล้วสายตาที่เพื่อนมันมองกูอะ มองกูแบบ กูเป็นใครอะ มึงคิดดูดิ เค้ามากับแม่เค้า กับเพื่อนเค้าแล้วมึงต้องทำเหมือนไม่รู้จักเค้า แล้วเพื่อนมันก็ทำเหมือนกูเป็นคนนอกอีกคนอะ มันหลายครั้งแล้วนะเว้ย ที่สัมมนาตัวติดกันทั้งงานกูเคยพูดปะ ขนาดพี่โจควอนยังบอกเลย ทำไมทำแบบนี้อะ แบบมึงให้เกรียติเพื่อนมึงแต่มึงไม่นึกถึงกูเลยหรอวะ มึงคบมันมานานใช่ปะ มันเป็นเพื่อนมึง มันสำคัญกว่า มึงก็ไม่ต้องเห็นกูสำคัญก็ได้หรอ กูเชื่อนะว่ามันรักกู แต่แบบ...”

     

    “ให้กูไปหาที่โรงบาล รู้ว่าที่บ้านรู้ว่ากูเป็นพนักงานบริษัท รู้ว่ากูไม่กล้าไปแต่ก็ชวนคนอื่นไปด้วยอะ จะเอากูไปอยู่ตรงนั้นทำไมวะ จะทำให้กูอึดอัดทำไม มึงอยู่กับเค้าก็อยู่ไปดิ แล้วมึงค่อยมาหากูก็ได้กูก็ไม่ว่าหรอก”

     

    [เรื่องเดิมๆ ว่ะ]

     

    “กูรู้นะว่ากูนอยด์แล้วกูก็พาล แต่แบบกูทำทุกอย่างเพื่อให้มันสบายใจ แต่พอเป็นเรื่องของกูบ้างกูก็ไม่กล้าพูดอะไร แม่ง กูเบื่อว่ะ มึงก็รู้ปะ ทำไมกูไม่กล้าพูด เพราะกูไม่มั่นใจไงว่าถ้าพูดไปแล้วมันจะเลือกกู แบบกูมาทีหลังแต่ชีวิตมันเป็นแบบนั้นมันอยู่แบบนั้นมาตลอดอะ”

     

    “กูรักมันนะ กูก็รู้ว่ามันรักกู แต่กูไม่รู้จะพูดยังไงว่ะ...”

     

    พอได้ระบายทีแบคฮยอนก็เอาแต่พูดๆๆๆ ออกมาจนหมด นี่เป็นช่วงเวลาเดียวที่เขาจะสามารถระบายความรู้สึกออกมาได้ แบคฮยอนมีเพื่อนที่ดี มีครอบครัวที่น่ารัก เขาไม่กลัวอะไรทั้งนั้นถ้ายังมีพวกเขาเหล่านี้คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังเสมอ ไม่ว่าจะกำลังเผชิญกับความรู้สึกแบบไหน

     

    [เฮ้อ...]

     

    “แล้วมันบอกกูว่าโคลอี้เป็นเพื่อนมัน แต่แม่งเอากันอะ อย่างงี้มันก็คือแฟนเก่าแล้วปะวะ มึงเคยชอบเค้า เคยพิเศษกับเค้า มึงบอกกูดิอีอี้ว่ากูคิดมากอะ ไม่เข้าใจเลยอะ ทำไมต้องมีมันอยู่ด้วยตอนที่อยู่กับกูอะ ทำไมต้องยอมให้มันทำแบบนี้กับกูวะ”

     

    “กูเสียใจนะเว้ย แฟนเก่ามาแสดงความเป็นเจ้าของ มาแสดงความเป็นคนรู้ใจแล้วแฟนเราก็ปล่อยให้เค้าทำอะ เออ รู้ว่าเพื่อนสนิท แต่ใจกูไม่สำคัญเลยใช่ปะวะ”

     

    เอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงกึ่งจะใส่อารมณ์ก่อนที่จะถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความเหนื่อยใจ แบคฮยอนพยายามจะไม่จมดิ่งไปกับความเศร้าของตัวเอง เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไม่รู้เลยว่าทำไมถึงทำให้รู้สึกหมดกำลังใจขนาดนี้

     

    “เหมือนกูผิดที่คิดมากเพราะเค้ามาก่อนอะ เค้าอยู่ตรงนั้นมาตั้งนานแล้ว กูมาทีหลังแล้วกูก็คิดไปเอง มันแบบ อีเหี้ย...”

     

    [ตบเลยปะล่ะอีสัส จะได้จบ ให้แม่งจบๆ ไป ผัวคนเดียวหาใหม่ก็ได้]

     

    “กูรักมันอะ แม่งพูดแล้วก็เฟลว่ะ กับแม่มันอะ กูก็คิดว่ามันดีขึ้นแล้วนะเว้ย ไอ้ฮุนมันก็บอกว่าเดี๋ยวนี้เค้าไม่ได้พูดอะไรถึงกูแล้ว แต่อีนี่คือแบบ ไม่จบอะ ตั้งแต่วันแรกกูรู้สึกกับมันยังไง กูก็ยังรู้สึกอย่างงั้นอะ”

     

    [แล้วมึงจะทำไงอะ ถ้ามันเป็นอย่างงี้อะ]

     

    “ก็คงต้องรอคุยกับมันตรงๆ แหละ แต่มันจะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ช่างมันเหอะ กูไม่ได้อยากเก็บเรื่องเก่าๆ มาคิดนะ เรื่องคลิปเรื่องไรเงี้ย มันผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แต่เรื่องวันนี้แบบ... นะ ตอนวันเกิดมันบอกว่าอยากฉลองคริสต์มาสด้วยกันกูก็วางแผน กูก็ขอเค้าทำงานแลกวันหยุด แล้วก็มาบอกกูว่าต้องไปต่างประเทศ กูก็เข้าใจ”

     

    “แม่มันโดนรถชน กูก็ไปนั่งเป็นเพื่อนทั้งคืน มันแบบ... กูไม่ได้จะทวงบุญคุณอะไรนะ แต่ตอนลำบากกูอยู่กับมัน แล้วพอทุกอย่างดีขึ้นมันกลับไปอยู่กับอีกคน แล้วมันก็แบบ... เหมือนมันไม่สนใจกูอะ รู้ว่ากูไม่ชอบเค้า ก็ชวนเค้ามาอะ” คนตัวเล็กหยุดพูดเมื่อรู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลอออกมาซ้ำ แบคฮยอนกลืนก้อนน้ำตาลงคอ สูดลมหายใจเข้าลึกเต็มปอดก่อนจะพูดต่อ

     

    “กูเข้าใจนะว่ามันบินมาไกล แต่ถ้าเป็นงั้นก็ไม่ต้องชวนกูก็ได้ปะวะ แบบกูนึกไม่ออกเลยอะว่ากูจะรู้สึกยังไงถ้ากูเข้าไปนั่งอยู่ในห้องอะ พ่อเค้า แม่เค้า เพื่อนเค้า แล้วห้องแบบ อิเหี้ย กูนึกว่าโรงแรม เป็นห้องพักที่มีห้องรับแขกในห้องอะ กูคงเป็นธาตุเป็นอากาศอะ”

     

    [ฟังแล้วกูโมโหว่ะ ทำไมมันไม่เคยเรียนรู้เหี้ยไรเลยวะ ผัวมึงดูแล้วก็เป็นคนไม่เอาใครนะ คงยากแหละว่ะ ถ้าไม่ให้มันเลือกมันก็คงทำเบลอๆ แบบนี้ไปจนมึงเลิกกันอะ มันเหมือนเด็กยังไม่โตอะ มึงก็ต้องบังคับมันหน่อยแหละ ไม่งั้นมันก็ผิดลู่ผิดทางแบบนี้ไปตลอดอะ]

     

    “แล้วปีนี้เพื่อนมันเรียนปีสุดท้ายแล้ว ปีหน้าจะกลับมาอยู่เกาหลี คือขนาดมึงอยู่ต่างประเทศมึงยังมาหาผัวกูบ่อยขนาดนี้ ถ้าอยู่เกาหลีด้วยกันไม่อยู่กับผัวกูมากกว่ากูเลยอ่อวะ คงแบบอยู่ด้วยกันจันทร์ถึงศุกร์ แล้วเสาร์ – อาทิตย์ก็เป็นเวลาของเมียน้อยอย่างกูงี้อะ”

     

    [โอ้ยย อีเหี้ย เกลียดว่ะ กูโคตรเกลียดผู้หญิงบบนี้อะ มันคงคิดว่ามันจองไว้นานแล้วอะดิ แบบยังไงก็ต้องได้อะ คิดว่ายังไงตัวเองก็เหนือกว่างี้อะ]

     

    “เออ สายตามันที่มองกู การกระทำแม่งแบบนี้เลย”

     

    [งั้นมึงก็รอให้มันดีๆ ก่อน ค่อยพูดกับมัน ไม่รู้เรื่องก็ตบอิสัส]

     

    “ก็คงอย่างงั้นแหละ กูโกรธมันไม่นานหรอก กูได้ระบายเดี๋ยวกูก็หายละเนี่ย” แบคฮยอนสูดน้ำมูกอีกครั้ง เขาทำหน้าบึ้งใส่กล้องก่อนจะเลื่อนมาส์ไปยังแท็บ youtube เพื่อเปิดเพลงเศร้าให้เข้ากับอารมณ์


    แบคฮยอนรู้ตัวว่าเขาโกรธชานยอลได้ไม่เคยนาน ถึงจะงอนแค่ไหนพอกลับไปคุยกันทีไรก็ใจอ่อนทุกที 

     

    [แต่มันก็ไม่ได้แก้ปัญหาปะวะ ถึงมึงบอกมึงแค่นอยด์เดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ปัญหามันยิ่งทับถมนะเว้ย]

     

    “ก็เดี๋ยวค่อยพูดกับมันแหละ กูไม่อยากคิดเองเออเอง เดี๋ยวก็มาหาว่ากูคิดมาก คิดไปเองอีก”

     

    [แล้วเป็นเหี้ยไรเปิดเพลงเศร้าบิ้วตัวเอง]

     

    “ก็กูเศร้าอ้ะ” คนตัวเล็กทำหน้านิ่ว ก็ตอนนี้แบคฮยอนเศร้าเขาเลยอยากฟังเพลงเศร้าๆ ให้มันสะเทือนใจเล่น เดี๋ยวคืนดีกับชานยอลแล้วจะไม่ได้เศร้าอีก แน่นอนแบคฮยอนยังคาดหวังว่าเขาจะได้ปรับความเข้าใจกับคนรักเร็วๆ นี้ก่อนที่จะคิดทุกอย่างไปเองจนกลัวไปหมด 

     


    เสียงเพลงเพลงยังคงไปเรื่อยๆ คนตัวเล็กส่ายหัวไปมา ขยับปากร้องเพลงอย่างกินอารมณ์ คนเศร้ากับเพลงเศร้าที่เป็นของคู่กัน ในคืนวันอันหนาวเหน็บ แบคฮยอนคว้าเอาโทรศัพท์มากดเช็คโซเชี่ยลต่างๆ เขาเข้าไปในแอพ Instagram เพื่อดูว่าแฟนหนุ่มอัพอะไรบ้าง แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ

     

    คนตัวเล็กชั่งใจอยู่นานว่าจะกดเข้าไปดูไอจีของผู้หญิงคนั้นดีไหม สุดท้ายเขาก็อดใจเข้าไปสอดรู้ไม่ได้ อินสตาแกรมของโคลอี้ลี เธอไม่ได้อัพเดทอะไรแต่มีอัพ IG story ใหม่โผล่ขึ้นมา

     

    แบคฮยอนได้แต่ภาวนากับตัวเองว่าขอให้มันไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับชานยอล เขาหรี่ตากลั้นใจแล้วกดเข้าไปดูอย่างไว แต่แล้วคำภาวนะก็ถูกทำลาย คนตัวเล็กได้แต่เบ้หน้าใส่จอมือถืออย่างนึกเซ็ง โคลอี้อัพรูปชานยอลที่กำลังนอนหลับอยู่บนโซฟาพร้อมกับแคปชั่น Sleepy bear และอีโมติค่อนหมีน่ารัก ถ้าหากว่าใครไม่รู้ก็คงจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแฟนกัน

     

    “อีอี้ มึงดู มึงดูความร่านของมัน” แบคฮยอนหันหน้าจอมือถือโชว์ใส่กล้องให้เพื่อนซี้ดู ตอนนี้ใจเขาเดือดดาลด้วยความโกรธมากกว่าจะรู้สึกน้อยใจเมื่อรู้ว่านี่คือสิ่งที่หญิงสาวพยายามทำในขณะที่แฟนตัวจริงต้องนอนร้องไห้

     

    [กะหรี่ อีสัส แม่งหน้าด้านว่ะ เหมือนพยายามจะอวดเลย ดูต้องการให้คนเข้าใจผิดอะ]

     

    “มึงคิดเหมือนกูใช่แมะ?”

     

    [มึงไม่คิดอะ แม่งเรื่องจริงเลย]

     

    “แล้วแบบนี้มันจะให้กูคิดยังไงวะ ตั้งแต่กูคบกับมันมานะกูไม่เคยอัพรูปมันลงเฟสสักอัน กูรู้ว่าพ่อแม่เค้ามีหน้ามีตากูก็ไม่อยากอะไรมาก แล้วมึงดูมันทำดิ กูเป็นแฟนกูต้องวางตัวหลบๆ ซ่อนๆ แล้วมึงดูเพื่อนสนิทมัน เหมือนกูไว้หน้ามันแต่แม่งไม่เคยไว้หน้ากูเลยอะ เหมือนถูกเยาะเย้ยปะ?”

     

    นึกแล้วก็โมโหขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แบคฮยอนเชื่อเลยว่าถ้าเขาถามชานยอลว่าทำไมโคลอี้ต้องอัพรูปนี้ ชานยอลคงบอกว่าไม่มีอะไร โคลอี้ก็แค่ทำเหมือนอย่างทุกที ใช่ ก็มันไม่มีอะไร แบคฮยอนนั่นแหละที่คิดมากไปเอง

     

    [ทักไปด่าเลยปะล่ะ สัส ไม่จบก็ตบ เรียนสูงซะเปล่า ผู้ดีซะเปล่า มารยาทแค่เนี้ยไม่รู้จัก สวยแต่เสือกไร้สมอง ต้องตบให้คิดได้]

     

    “คิดไม่ได้หรือคิดได้แต่ไม่อยากทำวะ? แม่ง โมโหว่ะ” 

     

    [ด่าแม่งออกเฟส เอาให้สะเทือนทั้งผัวทั้งเมีย]

     

    “เดี๋ยว ผัวนี่ผัวกูปะ ไม่ใช่ผัวมัน”

     

    แบคฮยอนมุ่ยหน้าด้วยความไม่พอใจก่อนจะกดเข้าไปที่แอพฯ เฟสบุ้กของเขา เล้วเข้าไปในสเตตัสเพื่อพิมพ์ข้อความจิกกัดเล็กๆ ให้พอแสบคัน


    Byun baekhyun

    ไม่ห่างเขา ห่างกะเราก็ได้นะ


    Byun baekhyun 

    สำคัญระดับไหนบอก จะได้เว้นระยะถูก

     

    [กูบอกให้นะ อีพวกเหี้ยเนี่ยกูเจอบ่อย แม่งจองมาแต่แรกแล้วดิ มันคือคนพิเศษอะมึง ซึ่งมันก็แล้วแต่ว่าผัวมึงจัดลำดับคนพิเศษกับแฟนไว้ยังไง เนี่ยกูไม่ได้พูดให้คิดมากนะ อิเด็กกูยังบอกเลยว่าใครก็คิดว่าเค้าคบกัน]

     

    “มึงรู้ปะ อีฮุนอะ ขนาดมันบอกว่ามันชอบกูมันยังไม่ยุ่มยามเลยนะเว้ย แบบไม่เคยเลยอะ ตั้งแต่กูบอกมันว่าแฟนกูไม่ชอบมันก็ไม่อะไรเลยนะ แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกันปกติอะ นี่คือสิ่งคนมีสติเค้าทำกันปะวะ”

     

    ยังไม่ทันจะได้เลื่อนไทม์ไลน์ไปไหนสายเรียกเข้าที่ดังขึ้นกับรายชื่อปลายสายก็ทำแบคฮยอนถึงกับต้องหัวเราะหึ เขาโชว์มันให้กับเพื่อนซี้ดูก่อนจะบอกให้อีกฝ่ายเงียบแล้วกดรับสาย

     

    “มันโทรมาละ มึงเงียบนะ”

     

    [แหม ทีนี้ล่ะไวเชียวนะ]

     

    “ฮัลโหล” แบคฮยอนกดปิดเพลงในโน้ตบุ๊ก เขาพลิกตัวนอนหงายก่อนจะหยัดตัวขึ้นนั่ง

     

    [ทำไร นอนยัง]

     

    “ยังอะ ยังคุยกับเพื่อนอยู่เลย”

     

    [คุยกับใคร ยังคุยไม่เสร็จอีกอ่อ]

     

    “คุยกับอีอี้ แล้วนี่อยู่ไหนอะ อยู่โรงบาลปะ”

     

    [อือ เมื่อกี้เผลอหลับ คุยกับเพื่อนเสร็จยังอะ]

     

    “เสร็จแล้วๆ แม่ดีขึ้นมั่งยังอะ”

     

    [อือ รู้ตัวแล้ว แต่หมอให้ยาก็เลยหลับๆ ตื่นๆ]

     

    “เออ ดีละ ละนี่อยู่กับใครอะ” แบคฮยอนหันไปมองกล้องพร้อมกับยกยิ้มให้เพื่อนซี้ เขาอยากรู้ว่าชานยอลจะตอบยังไงถ้าถูกถามแบบนี้ เขาจะโกหกไหม หรือแค่ยอมรับแต่ก็ไม่อธิบายอะไรเหมือนอย่างทุกที

     

    [อยู่กับเพื่อน ทำไรอยู่อะ]

     

    การเปลี่ยนคำถามที่แสนชานฉลาดของแฟนหนุ่มทำคนตัวเล็กถึงกับต้องหัวเราะออกมา ในใจเขารู้สึกเจ็บอยู่ลึกๆ แต่ก็ไม่รู้จะพูดมันออกไปยังไง แบคฮยอนจะเอาเรื่องในหัวเขาไปเป็นปัญหาของชานยอลได้ยังไง ในเมื่อจริงๆ แล้วมันเป็นปัญหาของเขาเอง

     

    “อ๋อ เพื่อนค้างปะ หรือมาแล้วก็กลับ”

     

    [ก็นอนนี่แหละ มันมีที่ให้นอน]

     

    “อือ”

     

    [เป็นอะไรปะ]

     

    “เป็นไรอะ”

     

    [เห็นโพสต์อะไรในเฟส]

     

    “ก็บ่นไปงั้นแหละ เบื่อๆ ฟังเพลงแล้วก็เหงา”

     

    [แน่ใจว่าไม่ได้โกรธผมอะ]

     

    “จะโกรธเรื่องไรอะ” ถึงจะบอกว่าไม่โกรธแต่แบคฮยอนก็รู้ดีว่าชานยอลต้องรู้ตัวอยู่แล้ว มันอยู่ที่ว่าเขาจะพูดมันออกมาไหมก็แค่นั้นเพราะมันเป็นเรื่องเดิมๆ ที่เคยมีปัญหากันไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนคบกันแบคฮยอนก็ถูกโคลอี้ห้ำหั่นจนเสียหลัก ถ้าชานยอลยังไม่รู้ตัวอีกเขาก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

     

    [พูดงี้แสดงว่ามีเรื่องโกรธแน่เลย ให้เดา เรื่องเพื่อนปะ]

     

    “ทำไมถึงคิดว่าเป็นเรื่องเพื่อนอะ”

     

    [ก็มันไม่มีเรื่องอื่นแล้วอะ]

     

    “อือ... ก็นะ ไม่ได้โกรธหรอก” แบคฮยอนอยากจะพูดออกไปว่า รู้ตัวด้วยหรอ แต่ก็ทำไม่ได้ เขาได้แต่ถอนหายใจออกมาก่อนจะกลิ้งตัวไปนอนบนหมอนอีกครั้ง


    ชานยอลยังคงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบฟังดูเหมือนไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนเหมือนอย่างทุกที แบคฮยอนล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าข้างในเขากำลังรู้สึกแบบนั้นไหม หรือแค่พยายามทำเหมือนควบคุมสถานการณ์อยู่

     

    [งั้นเรื่องไร]

     

    “มันไม่มีไรหรอก เหนื่อยหลายอย่าง... แล้วก็คิดมากอะ”

     

    [หึงอ่อ]

     

    “หึงได้ด้วยอ่อ?”

     

    [งั้นหึงแน่เลย หึ... เค้ามาเยี่ยมแม่เฉยๆ เดี๋ยวก็กลับแล้ว]

     

    “อือ ก็รู้แหละ...”

     

    [รู้ได้ไงอะว่าผมอยู่กับเพื่อน]

     

    “จะไม่รู้ได้ไงอะ ก็เพื่อนมึงประกาศซะขนาดนั้นอะ”

     

    [ประกาศไร]

     

    “หึ... ในไอจีอะไม่เห็นอ่อ ไม่บอกนี่กูนึกว่าอวดผัวนะ”

     

    [เค้าก็อัพไปงั้นอะ]

     

    “มึงดูไม่ออกจริงดิ”

     

    [ดูไรอะ คิดมากอะ]

     

    และแล้วคำพูดที่ไม่อยากได้ยินที่สุดก็ถูกเอ่ยออกมา รู้สึกราวกับมีมือที่มองไม่เห็นกำลังบีบหัวใจจนปวดหน่วง แบคฮยอนได้แต่ถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่กับความรู้สึกที่แสนหนักหนา เขาได้แต่หลุบตาลงมองฝ่ามือแห่งความน่าอดสูของตัวเอง


    “อือ... กูไม่อยากพูดเพราะกูไม่อยากได้ยินคำนี้ไง เหมือนกูผิดอะ ไม่น่าพูดเลยว่ะ มึงปล่อยให้กูฮีลตัวเองไปก็ดีละ”

     

    [ไม่ ผมไม่ได้หมายความว่างั้น จะให้ผมบอกให้เค้าลบปะล่ะ จะได้สบายใจ]

     

    “ไม่ต้องหรอก มันไม่เกี่ยวไรกับเค้านี่”

     

    [เดี๋ยวเค้าก็กลับแล้ว จะมาเยี่ยมไหม]

     

    “คงไม่ไปหรอก ไม่รู้จะไปทำไรว่ะ ถ้าแม่มึงดีขึ้นก็ดีแล้ว จะได้ตื่นมาโขกสับกูต่อ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้และพยายามจะเปลี่ยนเรื่องแบคฮยอนก็ไม่อยากพูดอะไรต่อ เขาเหลือบตาไปมองหน้าจอโน้ตบุ๊กและเห็นว่าอี้ชิงวางสายไปแล้ว ตรงมุมขวาด้านบนจอมีการแจ้งเตือนเล็กๆ แสดงอยู่

     

    คนตัวเล็กหยิบหูฟังมาเสียบต่อมือถือแล้วเข้าไปเช็คข้อความในเฟสบุ้กขณะที่ยังต่อสายคุยกับแฟนหนุ่มไปด้วย

     

    세훈 แสดงความคิดเห็นบนโพสต์ของคุณ

     

    Byun baekhyun : สำคัญระดับไหนบอก จะได้เว้นระยะถูก

    세훈 : สำคัญระดับไหนจะได้เป็นแฟนอะ

     

                ข้อความสุดอ้อร้อจากรุ่นน้องทำแบคฮยอนอดหัวเราะออกมาไม่ได้ เขารีบรัวนิ้วลงบนแป้นพิมพ์เพื่อส่งข้อความตอบกลับไปทันที

     

    Byun baekhun : เด๋วมึงหมี่เหลืองฮุน

     

    [เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปรับที่ทำงาน ไปหาไรกินกัน]

     

    “แล้วไม่เฝ้าแม่อ่อ”

     

    [แม่มีพยาบาลเฝ้าแล้ว]

     

    “อือ มาดิ แต่สักสองทุ่มได้ปะ ต้องไปเลือกของขวัญจับปีใหม่ก่อนอะ”

     

    [ได้ เลิกตอนไหนก็โทรบอก]

     

    “อือ งั้นเดี๋ยวเจอกัน”

     

    [แล้วตกลงหายโกรธยัง]

     

    “ก็บอกละว่าไม่ได้โกรธ เดี๋ยวค่อยคุยกันพรุ่งนี้ก็ได้” คนตัวเล็กเผลอถอนหายใจออกมาเสียงดังจนอดคิดไม่ได้ว่าคนในสายอาจจะได้ยิน 


    แบคฮยอนไม่อยากพูดอะไรตอนนี้เพราะเขากำลังจะโกรธ โกรธไปหมดทุกอย่างจนอยากจะพูดอะไรแรงๆ ออกไป แต่ถ้าทำอย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่จะมานั่งเสียใจกับคำพูดนั้นก็คงมีแต่แบคฮยอนเอง

     

    เกลียดที่สุดเวลาที่คุยกันตอนอารมณ์ไม่ดีแล้วต่างฝ่ายก็ต่างสาดคำพูดแย่ๆ ทำร้ายจิตใจกัน ไม่ว่าจะเป็นตัวเขาหรือใคร สุดท้ายก็มีแต่แบคฮยอนที่มักจะถูกทำร้ายอยู่คนเดียวเสมอเพราะใจไม่แข็งพอที่จะทำร้ายจิตใจคนอื่น

     

    [คุยตอนนี้ก็ได้]

     

    “จะคุยอะไรอะ บอกละว่าเดี๋ยวก็หายโกรธ”

     

    [ไม่คุยเดี๋ยวก็เก็บไปคิดมากอีก]

     

    “แล้วมึงจะให้กูทำไงอะ หยุดคิดอ่อ กูทำได้กูไม่นั่งคิดมาถึงตอนนี้หรอก...”

     

    [ผมขอโทษ เดี๋ยวผมบอกเค้าให้ลบ โอเคปะ]

     

    “มันไม่เกี่ยวเรื่องลบไม่ลบหรอกรูปอะ ถามจริง ทำไมเค้าต้องทำเหมือนเป็นแฟนมึงด้วยวะ” 

     

    [ก็เป็นเพื่อนกันอะ เค้าไม่รู้ตัวหรอก แต่ถ้าไม่สบายใจเดี๋ยวผมบอกให้]

     

    คำพูดที่ฟังดูเหมือนจะปกป้องเพื่อนสนิททำแบคฮยอนเริ่มหวั่นอีกครั้ง คิ้วเรียวขมวดย่นเข้าหากัน ริมฝีปากบางงอคว่ำด้วยความน้อยใจ ทำไมชานยอลถึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังพูดให้คนรักเสียกำลังใจอยู่ มันทำให้แบคฮยอนอดเสียความรู้สึกไม่ได้


    “ถามจริงๆ นะเว้ย ถามตรงๆ เลย ไม่ต้องอ้อมค้อม มึงกับเค้านี่เคยเป็นอะไรเกินเพื่อนกันใช่ไหม อาจจะไม่ใช่แฟนก็ได้ แต่ไม่ใช่แค่เพื่อนอะ อย่าโกหกกูนะ ถ้าโกหกกูวางเลยนะ”


    [ทำไมคิด...]


    "แค่ตอบว่าใช่ไม่ใช่" 


    [...…..]

     

    คนปลายสายไม่ได้ตอบอะไร และความเงียบก็เป็นสิ่งที่ยืนยันคำตอบได้เป็นอย่างดี คนตัวเล็กได้แต่ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สุดท้ายชานยอลก็แค่พยายามปกป้องป้องตัวเขาเอง เขาอาจจะอ้างก็ได้ว่าที่ไม่บอกเพราะไม่อยากให้กังวล แต่แบบนี้มันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย

     

    “ใช่ปะ เค้าเคยเป็นคนพิเศษมึง”

     

    [ทำไมคิดงั้นอะ]

     

    “มึงจะทำเหมือนกูโง่ไปอีกนานแค่ไหนวะ มึงคิดว่าถ้าไม่บอกอะไรกูก็จะไม่รู้เลยใช่ปะ มึงคิดว่ามึงเข้าถึงกูได้คนเดียวอ่อวะ”

     

    [ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น เค้าป็นเพื่อนผม มันไม่มีอะไร แต่ผมบอกแล้วว่าถ้าพี่ไม่ชอบให้เค้าทำแบบนี้ผมจะบอกเค้า]

     

    “ทำไมมึงต้องบอกเค้าวะ เค้าไม่รู้อ่อว่ามันไม่ควรทำอะ ทั้งมึงทั้งเค้าด้วย มึงอาจจะอ้างว่ามึงไม่คิดอะไรก็ได้ แต่ไม่รู้ดิ บางทีกูก็รู้สึกเหมือนมึงยอมให้เค้าทำอะ กูอาจจะคิดมากไปเองก็ได้นะ แต่ถ้ากูมีเพื่อนแล้วเพื่อนกูมีแฟนกูไม่ทำแบบนี้หรอกว่ะ ไปไหนมาไหนตัวติดกัน จับมือ ทำให้คนอื่นคิดว่าอยู่ด้วยกัน ถ้าเป็นกูนะกูไม่ทำหรอก”

     

    [ผมขอโทษ... ผมไม่รู้ว่าทำให้พี่รู้สึกแบบนี้... ขอโทษครับ...]

     

    “อือ ก็รู้สึกแหละ รู้สึกมานานแล้วด้วย ไม่รู้นะว่ามีเหตุผลอะไร แต่กูไม่สบายใจหรอก”

     

    [ออกมาเจอกันไหม]

     

    “ไม่ออกไปแล่ว หนาว เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยเจอกัน”

     

    [ผมไม่รู้ว่าทำให้คิดมากอะ แต่ผมจะบอกเค้านะ]


    “ถามจริงๆ นะ มึงยังชอบโคลอี้อยู่ปะวะ”

     

    [ผมไม่เคยชอบเค้า]

     

     คำตอบของแฟนหนุ่มยิ่งตอกย้ำให้แบคฮยอนเข้าใจถึงบางสิ่ง เขาเชื่อในสิ่งที่ชานยอลพูดจริงๆ แล้วก็ไว้ใจด้วย แต่แบคฮยอนไม่ชอบโคลอี้เลย เธอทำเหมือนรอกลับไปยืนตำแหน่งเดิมตลอดเวลา และชานยอลก็ยอมให้เธอยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ว่ามันจะด้วยเหตุผลอะไร

     

    “แต่ดูท่าทางเค้าชอบมึงนะ”

     

    [แล้วผมต้องทำไงอะ เค้ามาแค่วันนี้ เดี๋ยวก็กลับไปเรียนต่อแล้ว ตอนเค้าถ่ายรูปผมไม่รู้ด้วยซ้ำ]

     

    “มันไม่ใช่เรื่องรูปมึง มันหลายเรื่อง หลายทีแล้ว”

     

    [ผมก็ทำแล้ว ผมพยายามห่างเค้าแล้วแต่จะให้ผมทำไงอะ ผมไม่ดูแลเค้าก็ไม่ได้อะ มันก็แค่นานๆ ที]

     

    “............” 


    แบคฮยอนถึงกับพูดไม่ออก เขาพอจะเข้าใจความอึดอัดใจของแฟนหนุ่มในฐานะคนกลางแต่ก็ยังน้อยใจอยู่ดี ชานยอลต้องดูแลโคลอี้เพราะว่าเขายังมีใจกับเธอ หรือทำเพราะอะไรก็ไม่มีใครทราบ แต่แบคฮยอนคนนี้ล่ะสำคัญหรือเปล่า ไม่รู้ว่าชานยอลกำลังคิดอะไรแต่มันทำให้แบคฮยอนอึดอัดใจได้ไม่แพ้กัน

     

    [ทำไมเงียบอะ]

     

    “ถามจริง ระหว่างเค้ากับกูมึงแคร์ใครมากกว่ากันวะ”

     

    [ก็ต้องเป็นพี่ดิ]

     

    “มึงไม่ได้มีสายสัมพันธ์อะไรกับเค้าใช่ปะ มึงห้ามโกหกกูนะ”

     

    [ไม่มีครับ]

     

    “กูจะแน่ใจได้ไงอะว่ามึงไม่ได้โกหกกูอะ”

     

    [นี่โกรธผมแค่เรื่องภาพใช่ปะ ไม่ได้มีเรื่องอื่นใช่ไหม?]

     

    “อือ มันก็หลายเรื่องแหละ กูบอกละกูเหนื่อยแล้วกูก็นอยด์ แต่เอาไว้คุยกันพรุ่งนี้ก็ได้ กูไม่ได้โกรธไรแล่ว”

     

    [พูดอย่างงี้ผมไม่สบายใจนะ เหมือนผมไปทำไรผิดไว้เลยอะ]

     

    “หึ ความผิดมึงเยอะขนาดนึกไม่ออกเลยอ่อ” คนตัวเล็กว่าแล้วก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะคลานไปปิดโน้ตบุ๊กเมื่อเริ่มรู้สึกง่วง 


    อย่างน้อยตอนนี้แค่ชานยอลยอมพูดคำว่าขอโทษก็ดีแล้ว เขาขอโทษออกมาโดยที่ไม่เถียงอะไรสักคำ และนั่นก็ทำให้แบคฮยอนใจเย็นลงมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าชานยอลจะยอมรับความผิดตัวเองแล้วพูดว่าขอโทษ อย่างน้อยมันก็แสดงให้เห็นว่าเขาแคร์จริงๆ และยอมอ่อนให้แทนที่จะเถียงกันเรื่องที่ว่าใครงี่เง่า และอันที่จริงมันก็เริ่มทำให้แบคฮยอนใจอ่อนแล้ว ถ้าไม่นับว่ามีเรื่องนั้นอยู่ในใจ

     

    [แสดงว่ามีอย่างอื่นอีกใช่ไหม]

     

    “มีไรจะสารภาพปะอะ”

     

    [ไม่มีอะ ช่วงนี้ผมไม่ได้ทำไรเลยนะ]

     

    “เออ ไว้คุยกันพรุ่งนี้”

     

    ผ้าห่มผืนหนาถูกถลกขึ้นคลุมถึงคอ แบคฮยอนพลิกตัวนอนตะแคงกอดหมอนเน่าของเขาเอาไว้พลางซุกหน้าลงคลอเคลีย เสียงของแฟนหนุ่มยังคงดังอยู่ในหู ชานยอลเริ่มเดาไปต่างๆ นาๆ ด้วยความกระวนกระวายและมันก็ทำให้คนตัวเล็กนึกขำ

     

    เด็กชายผู้แตกสลายที่คว้าทุกอย่างเอาไว้เป็นกำลังใจเป็นหลักสำคัญให้ตัวเอง แต่กลับไม่เคยรู้วิธีที่จะให้ความสำคัญกับใคร เขาเติบโตมาด้วยทรัพย์สินและความว่างเปล่าในจิตใจ และคิดว่าเงินทองที่สร้างความสะดวกสบายจะสามารถซื้อทุกอย่างได้

     

    มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเมื่อไม่มีใครถูกหรือผิดเลย ชานยอลก็แค่เป็นตัวเขา และแบคฮยอนก็แค่เป็นตัวเอง

     

    แบคฮยอนที่ไม่ชอบให้คนอื่นต้องมาเซื่องซึมไปด้วยเพราะปัญหาของตัวเอง แล้วก็ไม่ชอบสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเอามากๆ

     

    แบคฮยอนที่มีพลังวิเศษสามารถเยียวยาหัวใจของใครๆ ให้สดใสได้ ทำไมคนถึงชอบคิดว่าเขาจะไม่เป็นไร การที่แบคฮยอนสมารถเยียวยาตัวเองได้และไม่จมอยู่กับความทุกข์นานๆ มันไม่ได้แปลว่าใครจะทำให้เขารู้สึกแย่สักกี่ครั้งก็ได้ แบคฮยอนที่มักจะสนุกสนาน หาความสุขให้ตัวเองได้ง่ายๆ และชอบที่จะให้ผู้คนสดใสร่าเริง

     

    แบคฮยอนที่ต้องร้องไห้หลายครั้งด้วยเรื่องความรัก เพราะเขามีความปารถนาที่จะทำให้คนอื่นมีความสุขอยู่ตลอดเวลา พอแคร์ใครมากๆ เข้าก็มักจะเก็บเรื่องหยุมหยิมมาคิดให้ตัวเองเสียใจอยู่เรื่อย แล้วก็เจ็บเองคนเดียวทุกที

     

    เป็นแบคฮยอนที่อ่อนไหวแต่ไม่จมปลักอยู่กับความทุกข์ เขาอดทนและเข้มแข็ง แบคฮยอนที่ต้องการเพียงแค่กระเป๋าเล็กๆ ใส่กำลังใจสำรองของเขาที่ได้จากการเก็บเกี่ยวความสุขง่ายๆ ในแต่ละวัน และเขาพร้อมที่จะแบ่งปันมันให้ผู้อื่นเสมอ

     

    ชานยอลอาจคิดว่าเขามีกำลังใจสำรองที่ไม่จำกัดแต่มันผิดถนัด แบคฮยอนเองก็ท้อแท้ได้เหมือนกันเพียงแค่เขาพยายามจะพยุงตัวเองให้ผ่านไปได้โดยที่ไม่ร่ำร้องบอกใคร ไม่ใช่ว่าไม่รับรู้ความพยายามที่จะแสดงความรักของชานยอล แบคฮยอนรับรู้มาตลอดและรู้สึกดีกับมันอยู่เสมอ แต่สิ่งเดียวที่เขาต้องการตอนนี้มีเพียงความเชื่อมั่นและความสบายใจ


    สำหรับแบคฮยอนแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าสองสิ่งนี้ ถ้าชานยอลอยากจะทำให้ความรักครั้งนี้มั่นคงและยืนยาว เขาควรจะต้องให้สิ่งที่แบคฮยอนต้องการจริงๆ สักที





    #ฟิคกวาง




     








    CR.SQW
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×