คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #35 : Chapter : 31 กวางเจ้าสำราญ
เวลาสิบเอ็ดโมงกว่าในร้านห้างขายของตกแต่งบ้านที่มีบรรยากาศคึกครื้นมากเป็นพิเศษ
ลังของตกแต่งสำหรับวันคริสต์มาสถูกยกลงจากชั้นเป็นกล่องสุดท้าย แบคฮยอนหยิบเอาพุ่มสายรุ้งสีทองมาพันรอบคอแล้วเต้นสะบัดชายทั้งสองข้างไปมาอย่างอารมณ์ดี
เขาเข็นเอาลังใส่ของตกแต่งออกจากโกดังไปที่หน้าร้าน
วันนี้แบคฮยอนได้รับเลือกให้เป็นลูกมือตกแต่งร้านสำหรับวันคริสต์มาส เขามีปืนยิงแม็กเท่ๆ เหน็บอยู่ตรงเอว ในวันธรรมดาที่ร้านไม่ค่อยมีคนนัก เสียงเพลงอินดี้ในร้านเริ่มเปิดสลับกับเพลงคริสต์มาส แบคฮยอนชอบคริสต์มาส เพราะมันเป็นสัญญาณที่บอกว่าจะใกล้ปีใหม่แล้ว และปีใหม่ก็หมายถึงหยุดยาวสี่วันในหน้าหนาว
“ฮุน มึงเอานี่ติดด้วยได้ปะ”
คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นถามรุ่นน้องที่ยืนยิงสายรุ้งสีทองอยู่บนบันได ความอลังกาลของอุปกรณ์ประดับตกแต่งมากกว่าสิบลังทำแบคฮยอนอดตื่นเต้นไม่ได้
เขาเห็นต้นคริสต์มาสต้นใหญ่ถูกย้ายเข้ามาแล้วด้วย
“อันนั้นเอาไว้วางข้างล่าง เอาบอลมา ไอ้ลูกกลมๆ
อะ เออ หยิบมา” เซฮุนเอื้อมมือไปหยิบเอาบอลสีทองที่คนด้านล่างส่งให้ขึ้นมายิงมันติดกับพุ่มฝอยสีทอง
คงไม่มีใครเหมาะสมกับงานประดับมุมร้านให้เข้ากับเทศกาลไปมากกว่าเซฮุนที่เคยเรียนตกแต่งภายในอีกแล้ว วันนี้หน้าที่ของเขาทั้งวันคือจัดโซนคริสต์มาสที่จะเป็นไฮท์ไลต์ของร้านให้เสร็จโดยมีลูกมือเพียงแค่คนเดียว โซฟาราคาหลักแสนถูกขนออกมาจัดโชว์เนื่องในโอกาสพิเศษ มุมหนึ่งในโซนเฟอร์นิเจอร์ถูกจัดเหมือนห้องที่ตกแต่งสำหรับเตรียมฉลองงานคริสต์มาส
การร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลโดยมีผลพวงเป็นการกระตุ้นยอดขายถือเป็นเรื่องสำคัญของร้าน
เซฮุนปีนลงจากบันไดแล้วเดินไปยืนเท้าเอวอยู่ด้านหน้าเพื่อมองภาพรวมของห้องและคิดว่าควรจะวางต้นคริสต์มาสตรงไหนดีถึงจะไม่แย่งซีนโซฟา
“มึงหิวยัง จะออกไปกินข้าวปะ” แบคฮยอนที่กำลังง่วนอยู่กับการคัดแยกของในลังเอ่ยถามพลางก้มลงมองนาฬิกา
ตอนนี้เข็มสั้นใกล้ชี้เลข 12 แล้ว คนในร้านก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย
พวกเขาน่าจะไปพักหาอะไรกินกันก่อน
“ทำไม
หิวละอ่อ”
“เออ เดี๋ยวจะไปข้างนอกแป๊บ เอาไรปะเดี๋ยวซื้อมาฝาก”
“ไม่ต้องก็ได้ เดี๋ยวผมค่อยไป”
“มึงจะได้กินไรรองท้องก่อนไง
งั้นเดี๋ยวซื้อหนมมาฝากนะ” ว่าแล้วคนตัวเล็กก็ลุกขึ้นปัดมือเช็ดกับกางเกง แล้วเดินหายเข้าไปทางด้านหลังร้านแทนที่จะเป็นทางประตูหน้า
ปล่อยให้รุ่นน้องนั่งทำงานต่อไปคนเดียวเงียบๆ
เซฮุนที่เห็นว่ารุ่นพี่กำลังจะไปพักก็ไม่ได้ว่าอะไร
เขากลับไปสนใจลังใส่ของประดับที่ต้องจัดการต่อพลางลอบถอนลมหายออกมาเฮือกใหญ่ การจัดมุมต้นคริสต์มาสอาจดูเหมือนจะเป็นงานสบายที่น่าสนุกแต่เอาจริงๆ
แล้วเซฮุนไม่ค่อยสนุกเลย เขาอยากเดินไปเดินมาแบบพนักงานคนอื่นที่ว่างงานอยู่ตอนนี้มากกว่า
อย่างน้อยถ้ามีของประดับหายขึ้นมาพวกเขาก็ไม่ต้องรับผิดชอบ
“คุณเซฮุน อยู่นี่เอง ยังไม่เสร็จหรอครับ”
เสียงของผู้จัดการที่ดังมาจากด้านหลังเรียกชายหนุ่มให้ต้องละสายตาออกจากกองดาวสีทอง
เซฮุนหันไปมองรุ่นพี่ผู้จัดการของเขาพร้อมกับขานรับเบาๆ เซฮุนไม่ชอบเลยที่ถูกเรียกว่าคุณทั้งๆ
ที่ตัวเองอยู่ในฐานะรุ่นน้อง
“ครับ”
“เพิ่งประดับต้นคริสต์มาสหรอครับ”
“ครับผม พอดีเพิ่งไปจัดมุมหน้าประตูมา
พี่มีอะไรไหมครับ”
“อ๋อ เปล่าครับ
พอดีประธานจะเข้าร้านพี่จะให้ไปคอยรับประธานหน่อย”
แฮจินว่าพลางก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือ
“แล้วพี่เยซอนอะครับ ปกติเค้าทำนี่”
เด็กหนุ่มตัวสูงว่าในขณะที่หันไปสนใจต้นคริสต์มาสของเขาต่อ
เซฮุนไม่สนใจเท่าไหร่กับงานเดินถือตะกร้าแนะนำสินค้า ในเมื่อประธานมีคนคอยบริการประจำอยู่แล้วทำไมเขาจะต้องไปทำด้วย
“ก็เดี๋ยวจะให้ไปทักทายหน่อย”
“อ๋อ ได้ครับ เดี๋ยวผมไป” พยักหน้ารับปากไปส่งๆ
พร้อมกับยกยิ้มขืนๆ ขึ้นที่มุมปากก่อนจะหันไปสนใจงานของตัวเองต่อ ถ้าประธานมาแบบไม่มีกำหนดการแบบนี้คงจะแค่มาเดินซื้อของไปตกแต่งบ้านสำหรับเทศกาลเหมือนทุกที
เสียงสนทนาระหว่างผู้จัดการร้านและพนักงานหนุ่มหล่อเรียกโจควอนให้ต้องชะโงกหน้าออกมาจากชั้น
เขาเห็นพี่แฮจินผู้จัดการร้านยิ้มให้กับรุ่นน้องพนักงานใหม่แล้วก็เดินไวๆ จากไป
ท่าทางแบบนั้นทำให้โจควอนอดคิดไม่ได้ว่าข่าวลือที่ว่านั้นอาจจะเป็นความจริง
โจควอนรู้จักแฮจินดีกว่าใคร ผู้จัดการเขาไม่ค่อยสุงสิงกับลูกน้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กใหม่ แฮจินจะสานสัมพันธ์แค่กับคนที่ตัวเองยอมรับหรือคนที่มีตำแหน่งดีกว่าเท่านั้น
และกับเซฮุนเองเขาก็มีท่าทางหยำเกรงไม่น้อย
“วันนี้ประธานจะเข้ามาอ่อวะ” โจควอนเดินออกไปถามรุ่นน้องที่ยังนั่งสาระวนอยู่กับการเอาฝอยสีทองคาดต้นคริสต์มาส เซฮุนพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะตอบออกมา
“อือ คงมาซื้อของเฉยๆ เค้าไม่เห็นบอกเลยว่าจะมา”
“หรอ แล้วอีแบ้กไปไหนอะ”
“ออกไปข้างนอก ไปซื้อไรกินมั้ง”
“มันไปกดน้ำส้มแดกอีกแล้วแน่เลย”
พูดยังไม่ทันขาดคำโจควอนก็เห็นรุ่นน้องของเขาเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำลายซินาม่อนของตัวเอง
ในมือเขามีถุงซาลาเปาจากร้านหน้าห้าง แบคอยอนหันซ้ายหันขวามองผู้จัดการก่อนจะรีบวิ่งตรงมาทันที
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าคงไปขโมยน้ำส้มอินเด็กซ์มากินอีกแล้วแน่
“นั่นไง กูว่าละ มึงไปไหนมา”
“ไปซื้อซาลาเปาให้ไอ้ฮุน แล้วก็ไปกดน้ำส้ม”
แบคฮยอนชูถุงซาลาเปากับแก้วน้ำสีฟ้าที่มีน้ำส้มฟรีจากตึกข้างๆ ใส่อยู่เต็มให้พี่รองผู้จัดการดู
เป็นการยืนยันหลักฐานว่าตัวเองไม่ได้ไปพักก่อนเวลา เขาแค่ออกไปหาอะไรมาให้พนักงานพิเศษกินรองท้องเท่านั้น
“นี่มึงเอาแก้วไปกดมาเลยหรอ อิบ้า
เค้าไม่ด่ามึงหรอ” โจควอนขมวดคิ้วนิ่วหน้าดุพนักงานรุ่นน้องที่แอบไปขโมยน้ำส้มจากร้านเฟอร์นิเจอร์มากินเป็นแก้ว
ตอนแรกเขานึกว่าแบคฮยอนจะกดใส่แก้วใบเล็กที่แจกฟรีมาซะอีก
“หนูไม่ได้เอาแก้วไปกดเจ๊
หนูกดใส่แก้วฟรีมาแล้วก็เอามาเทใส่แก้ว”
“แล้วเค้าไม่เห็นหรอ
มึงไปแดกทุกวันนี่เค้าจำหน้ามึงไม่ได้มั่งเลยหรอ”
“โอ้ย หนูไปกินจนเค้าจำได้อะ
แก้วเนี้ยผู้จัดการเค้าเป็นคนกดให้หนูเองนะ หนูไปตีสนิทกับเค้ามา
เค้าบอกเอาไปกินได้ ส่วนใหญ่มันไม่ค่อยมีคนกินหรอก เหลือทิ้งทุกวัน” คนตัวเล็กเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แบคฮยอนไปกดน้ำส้มฟรีจากร้านเฟอร์นิเจอร์ข้างๆ กินจนพนักงานจำได้แล้ว
ปกติเขาจะให้เซฮุนกดแก้วนึง ตัวเองกดแก้วนึง แล้วเอามาเทใส่แก้วน้อยลายหมาซินาม่อนผสมกับน้ำแข็งจะได้กินได้นานๆ
และเมื่อไม่นานมานี้แบคฮยอนก็เพิ่งไปตีซี้กับพนักงานสาวตึกข้างๆ
มาโดยที่เซฮุนเป็นทางผ่าน ดูเหมือนพนักงานตึกนู้นจะชอบเซฮุนกันมาก
แบคฮยอนไปทีไรก็ถามแต่ว่า ‘เพื่อนไม่มาด้วยหรอ’ แถมผู้จัดการร้านนั้นยังใจดีสุดๆ จนแบคฮยอนอยากจะย้ายที่ทำงาน
“โอ้ย อีดอก ดีไม่เอากระติกน้ำไปกด”
โจควอนจ้องมองแก้วสีฟ้าใบเล็กในมือรุ่นน้องพลางทำหน้าเครียด
ถึงแม้ว่าโฮมแคร์และอินเด็กซ์จะเป็นบริษัทญาติกันแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพนักงานจะข้ามตึกไปกดน้ำเขากินได้สบายแบบนี้
ยังดีที่แก้วน้ำของแบคฮยอนไม่ได้ใหญ่มากจนน่าเกลียด
ถ้าแบคฮยอนเอาน้ำส้มใส่กระติกมาโจควอนคงเครียดตาย
“เออ หนูไม่ได้ไปกดทุกวันหรอก
บางวันหนูใช้ไอ้ฮุนไปกด” ว่าแล้วแบคฮยอนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา เขาส่งถุงซาลาเปาให้เซฮุนก่อนจะยื่นแก้วน้ำส้มไปตรงหน้าพี่รองผู้จัดการแต่โจควอนก็เบ้หน้าปฏิเสธ
“วันนี้พี่แฮจินบอกว่าประธานจะมานะ
น่าจะแค่มาซื้อของ มึงก็ทำตัวให้มันเรียบร้อยๆ หน่อย
แล้วก็ภาวนาอย่าให้เค้ามาเจอมึง หรือถ้าเค้ามาบ่ายมึงไปพักเลยก็ดี”
รองผู้จัดการหนุ่มว่า การห้ำหั่นของแม่ผัวและสะใภ้อันเป็นปัญหาโลกแตกเป็นสิ่งที่โจควอนไม่อยากเจอมากที่สุด
เขาได้เห็นสิ่งที่ประธานเคยทำกับแบคฮยอนแล้ว มันคงไม่ดีถ้าจะให้แบคฮยอนออกไปข้างนอกไม่ต้องมายืนขวางหูขวางตา
เผื่อว่าเขาจะทำอะไรไม่ถูกใจประธานขึ้นมาอีก
“จริงดิ มากะใครอะ”
“ไม่รู้ว่ะ”
“งั้นหนูไปยืนอยู่แถวม่านแล้วกัน
แต่เดี๋ยวไปห้องน้ำก่อน” แบคฮยอนไม่ได้ว่าอะไร เขาแค่แปลกใจนิดหน่อยที่แฟนหนุ่มไม่ได้บอกว่าแม่เขาจะมาที่นี่ก่อน
คนตัวเล็กตัดสินใจเดินกลับไปยังโซนขายม่านและพรมที่เป็นมุมโล่งเพื่อที่จะได้เห็นว่าใครเดินมาก่อนจะได้หลบทันหากว่าประธานจะเดินมา
.
.
.
บนโต๊ะอาหารริมถนนท่ามกลางอากาศหนาว
ควันจากหม้อไฟลอยฟุ้ง น้ำซุปกิมจิส่งกลิ่นหอมไปทั่วบริเวณ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกเติมใส่แก้วขวดแล้วขวดเล่า
เสียงสนทนาดังขึ้นเบาๆ สลับกับเสียงหัวเราะ
เรื่องราวจิปาถะถูกหยิบยกขึ้นมาพูดไม่ขาดปาก ยิ่งเหล้าถูกเติมเข้ากระแสเลือดต่างคนก็ต่างเมา
มีเพียงแค่แบคฮยอนที่ดื่มเข้าไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขาเน้นซัดหมูและเนื้อมากกว่าของน้ำๆ อย่างโซจู
วันสิ้นเดือนทั้งทีทำไมแบคฮยอนจะไม่เก็บกำไรให้คุ้มค่า
“เออ ปีใหม่บริษัทเรามีจัดกินเลี้ยงปะวะ”
คนตัวเล็กเอ่ยถามขึ้นในขณะที่คีบหมูชิ้นใหญ่ใส่ปาก แบคฮยอนเคี้ยวจนแก้มตุ่ย
ยังไม่ทันที่เนื้อจะแหลกเขาก็กลืนมันลงคออย่างว่องไว
“เลี้ยงๆ พี่บัญชีทำเรื่องของบไปละ
มีแจกเครื่องซักผ้าด้วย”
“จริงปะ เครื่องซักผ้าละมีไรอีก”
“มีทีวี ไมโครเวฟ
แล้วแต่ของอันไหนที่มันค้างสต๊อกนานๆ อะ เค้าก็เอามาแจก”
“อยากได้เครื่องซักผ้าว่ะ”
“เออ เดี๋ยวนี้มึงกับประธานเข้าหน้ากันอยู่ปะวะ”
โจควอนเอ่ยถามขึ้นขณะยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ
เขาเห็นรุ่นน้องชะงักมือทำหน้าครุ่นคิดไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยมั่นใจนัก
“ไม่รู้ว่ะ กูว่าเค้าก็ไม่ได้ชอบกูนะ แต่หลังๆ
มานี้ไม่ค่อยอะไรแล้ว ไม่รู้ชานยอลมันไปทำไรไว้” แบคฮยอนว่าพลางทำหน้านิ่ว พักหลังๆ
มานี้เขาไม่ค่อยเห็นชานยอลมีปัญหากับแม่เท่าไหร่
ไม่รู้ว่าเจ้าตัวไปทำอะไรไว้แต่มันก็คงไม่ได้เกี่ยวกับเขาเท่าไหร่ “คงไม่ดีกันง่าย
แบบทำไงได้อะ เค้ามองกูไม่ดีไปแล้วอะเจ๊ ทำอะไรก็ไม่ดีหรอก
แต่ก็เข้าใจนะว่าลูกเค้ายังไงเค้าก็ต้องอวยลูกตัวเองไว้ก่อนอยู่แล้ว
เค้ารู้นะว่ากูมีแอคไรแบบนั้นอะ คือแปลกมะ รู้แอคลับกู แต่ไม่รู้ของลูกตัวเอง
กูแบบ เออ แล้วแต่”
“แล้วตอนนี้มึงยังเล่นทวิตเตอร์อยู่ปะ”
“เล่นอยู่ๆ แต่ไม่ค่อยได้เข้าไปเล่นละ เข้าไปนานๆ
ทีแต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปลง”
“ก็มึงอะชอบถ่ายรูปอ่อยๆ ลงทวิต อีดอก
มึงอยากดูดีมึงก็ต้องเปลี่ยนแนวไปแบบเข้าวัดทำบุญ แชร์ผ้าป่าทอดกระถินไรเงี้ย
มันถึงจะดูคลีนๆ มึงถ่ายแต่รูปแรดๆ ลงแล้วก็ฟอลแต่พวกนัดเย็*
เค้าก็คิดว่ามึงเป็นคนอย่างงั้น”
“โอ้ย หนูก็ถ่ายขำๆ ไปงั้นแหละเจ๊
ตอนนั้นหนูเพิ่งเลิกกับแฟนไง ก็หาเพื่อนคุยไปเรื่อย
แล้วในทวิตมันชอบมีแอคโชว์ใช่ปะ แบบถ้ากูไม่โชว์ก็ไม่มีใครคุยกับกูอะ
กูก็ถ่ายบ้างแต่ก็ไม่ได้น่าเกลียดมากปะวะ กูไม่เคยถ่ายคลิปชักว่าวลงเลยนะ
มันก็มีคนเข้ามาคุยอะ ไม่ใช่แค่เข้ามานัด มาโชว์โคยใส่งี้ มาคุยเป็นเพื่อนก็มี บางคนก็เปิดแอคไว้เล่นปกติอะ
ไม่ได้โชว์อย่างเดียว มีเพื่อนคุยเยอะดี” พูดออกไปพลางนิ่วหน้าหวังให้คนฟังช่วยเข้าใจกวางป่าสาวสวยที่แสนเปลี่ยวเหงา
แบคฮยอนไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าเพื่อนคุยจริงจริ๊ง “เพื่อนมันมีนะเจ๊
ไอ้พวกที่โชว์อย่างเดียวก็มี ส่วนพวกคลิปว่าวที่ผู้ส่งมาให้ดูไรเงี้ยก็เป็นกำไร”
“แล้วมีคนมาขอนัดมึงมั่งปะ”
“มีๆๆ หลายคนเลยแต่หนูไม่นัดนะ เคยไปนัดครั้งเดียวแต่ตอนนั้นมันหลอกหนูอะ
แบบแลกรูปกันช้ะ แล้วมันส่งหน้ามาคือหล่อมากกกกก หล่อแบบบบบ หนูเห็นแล้วอึ้งอะ หล่อจนพูดไม่ถูก
โคยแบบเก้านิ้ว หน้าวีไลน์ คิ้วเข้ม ทุกอย่างเพอร์เฟค มันขอนัดมาเว้ย หนูเห็นว่าหล่อหนูก็ตกลงเล้ย
ตอนนั้นหน้ามืดไม่คิดไรทั้งนั้น นัดมาหนูก็ไป ในใจก็คิดว่าแบบได้เจอของดีแน่ หนุ่มหล่อเมืองโซลเดี๋ยวเจอกัน”
“แล้วแบบสรุปพอไปเจอตัวจริง อีเหี้ย หนูไม่ได้ดูถูกนะ
หน้ามันไม่เหมือนในรูปเลยอะ ความวีไลน์ของหน้า ความขาวนวลเนียนแม่งหายไปหมด
เหลือแต่อะไรไม่รู้ แล้วโคยมันยังใช้แอพแต่งอะเจ๊ อีแอพไลน์คาเมร่าที่ใช้ขยายขนาดอะ
แต่งก็แล้วปรับสีให้มันดูฟรุ๊งฟริ๊งอะ คือมึงต้องหลอกกูซับซ้อนอะไรเบอร์นั้นอะ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”
“เออ แต่งรูปหน้าหนูยังพอเข้าใจนะ ใครก็อยากสวยอยากหล่อ
แต่โคยอะ โคยอะเจ๊ มึงต้องแต่งโคยให้มันฟรุ้งฟริ้งเพื่ออะไรวะ ขนาดมันไม่สำคัญปะ
มันอยู่ที่ลีลา แล้วบอกหนูว่าสูง 179 แต่ถอดเสริมส้นมาตัวเกือบเท่าหนูอะ
ตอนนั้นใจหายแว้บละ คิดว่านัดกูมาให้กูรุกปะวะ จะถอนตัวก็ถอนไม่ได้ ก็ไปแล้วอะ ให้ทำไง
ก็เลยเออรีบๆ ทำให้เสร็จแล้วก็กลับ เสียดายค่ารถชิบหาย” คนตัวเล็กขมวดคิ้วนิ่วหน้าเล่าด้วยท่าทางออกรสจนคนฟังอดขำไม่ได้
โจควอนถึงกับต้องระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเขาใช้มือตีหน้าขาด้วยความชอบใจกับประสบการณ์นัดเยของรุ่นน้องที่โคตรเด๋อและโคตรฮาอย่างไม่น่าเชื่อ
ยิ่งได้เห็นสีหน้าท่าทางของแบคฮยอนโจควอนก็ยิ่งขำ เขาถึงกับต้องฟุบหน้าลงระเบิดเสียงหัวเราะกับโต๊ะเลย
“ฮ่าๆๆๆๆ”
“แล้วตอนนัดกับอีชานยอลหนูก็ไม่เชื่อนะ
แม่งหล่อจนแบบ พูดไม่ถูก แล้วหนูขอมันคอลวิดีโอมันไม่เคยให้คอลเลยเว้ย
ตอนก่อนเจอกันอะ แล้วแอคมันก็แอคแบบเพิ่งเปิดใหม่ ไม่มีสักทวิตเลย ตอนมันนัดหนูก็คิดนะว่าโดนหลอกแน่เลยว่ะแต่ก็อยากลองอะเห็นว่าเป็นคนหล่อ
อะ รู้ว่าหลอกแต่ก็เต็มใจให้หลอก ก็ไป คิดว่าคงไม่ได้แย่เท่าไหร่ แต่พอไปเจอตัวจริงเท่านั้นแหละจ้า
ซ่า!! เสียงน้ำกูเอง”
มือบางกางออกเป็นการบรรยายท่าน้ำสาดหลังจากที่ได้เจอผัวที่นัดกันครั้งแรก
แบคฮยอนยังจำความรู้สึกนั้นได้ดี เขาทึ่งมากๆ จนจะขึ้นเตียงอยู่แล้วก็ยังคิดอยู่ว่าตัวเองโดนหลอกหรือเปล่า
“อีแบ้ก อีเหี้ย อัปปรีย์ ฮ่าๆๆๆๆ!”
“เจ๊ มันหล่อจริงๆ
เว้ยตอนหนูเจอมันครั้งแรกหนูแบบ นี่เรื่องจริงอ่อวะ คือมึงมีเลศนัยไรปะ มึงเข้าใจปะ
มันหล่อจนหนูคิดว่าทำไมมึงมานัดกูอะ แล้วมาถึงก็ไม่ค่อยพูดนะ แต่เอาเก่งชิบหาย เอาเก่งไม่พอ
เอาโทรศัพท์กูไปด้วย” แบคฮยอนเบิกตากว้างพูดด้วยสีหน้าจริงจังเป็นการตอกย้ำคำพูดตัวเอง
เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
ชานยอลหล่อจนแบคฮยอนอดคิดไม่ได้ว่าตัวเองถูกหลอกมาทำอะไรไม่ดีหรือเปล่า
“ฮ่าๆๆๆๆๆ แล้วทำไมมันมานัดมึงวะ”
“หนูเคยถามเหมือนกัน มันบอกมันอยากลอง
มันไม่เคยลองกับผู้ชายมันก็เลยนัดหนู ตอนแรกอะมันถามหนูด้วยว่าแต่งหญิงได้ไหม
หนูก็ไม่เคยแต่งใช่ปะ แต่มึงหล่อขนาดนี้อะ ให้แต่งเป็นหมีก็เอา
หนูถามมันว่าทำไมต้องถามด้วยว่าแต่งหญิงได้ไหม มันบอกมันไม่เคยลองกับผู้ชาย
มันกลัวเอาไม่ลง”
“เอ้า
งี้ก็แสดงว่ามึงก็เป็นผู้ชายคนแรกของมันอะดิ”
“เออ หนูก็เพิ่งรู้ไม่นานนี้เหมือนกัน”
“แล้วสรุปเอาลงไหม”
“ลงไม่ลงทุกวันนี้ก็ยังไม่เลิกเอาอะ”
“โว้ยยยยยยยยยยยยยยย
อีดอกกูเกลียดดดดดดดดดด”
“ฮ่าๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังไปทั่วโต๊ะหม้อไฟของสองเก้งและหนึ่งเสือ
แม้แต่เซฮุนที่ไม่ค่อยจะแสดงสีหน้าเองก็ยังขำกับเรื่องไร้สาระของแม่กวางเจ้าสำราญที่เที่ยวหว่านเสน่ห์ใส่ใครไปทั่วจนตัวเองตกหลุมซะเอง
“อีดอก กูตลกจู๋ฟรุ๊งฟริ๊ง
แล้วของผัวมึงใช้แอพไหมวะ” โจควอนขำจนแทบจะสำลักโซจู
เขาคีบเอาลูกชิ้นปลาไส้ชีสเข้าปากอีกชิ้น ตอนนี้หม้อไฟเริ่มข้นแล้ว อีกไม่นานของที่เหลือในหม้อก็คงจะหมด
“หนูไม่บอก ความลับ!” คนถูกถามตบมือลงกับโต๊ะพลางทำสีหน้ากระลิ้มกระเหลี่ย
เพราะว่าเซฮุนที่ไม่รู้ว่าอยู่ข้างใครกันแน่นั่งอยู่ตรงนี้แบคฮยอนก็เลยไม่อยากพูดอะไรเกี่ยวกับชานยอลมาก
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ไว้ใจ แต่ยังไงปลอดภัยไว้ก่อนก็ดี
“อีดอก เกลียด”
แรงสั่นจากในกระเป๋ากางเกงเรียกแบคฮยอนให้ต้องละความสนใจออกจากหม้อไฟ
เขาล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดรับสายแล้วใช้มือป้องปากเพื่อกันเสียงรบกวนก่อนจะหมอบตัวลงกับที่นั่งว่างข้างๆ
“ฮัลโหล”
[อยู่ไหนอะ]
“อยู่ร้านแถวที่ทำงานอะ”
[จะกลับยัง]
“อีกสักพักนึงแหละ จะกลับแล้ว จะกลับเดี๋ยวโทรบอก”
[แล้วจะกลับยังไง ให้ไปรับไหม]
“ไม่ต้องก็ได้เดี๋ยวกลับละเดี๋ยวโทรบอก”
[อือ กลับไวๆ หน่อยนะ]
“คร้าบ~ กินเสร็จไปส่งพี่โจควอนเดี๋ยวก็กลับละ”
[จะให้ไปรับก็โทรมาบอก]
“เค แค่นี้ก่อนนะ”
[ครับ]
การสนทนาสั้นๆ จบลงอย่างรวดเร็ว แบคฮยอนเก็บมือถือลงกระเป๋ากางเกงแล้วกระดกแก้วน้ำอัดลมอึกสุดท้ายลงคอ
เขาดับเตาหม้อไฟเมื่อเห็นว่าน้ำข้นจนจะติดก้นหม้อแล้ว ตอนนี้นาฬิกาบอกเวลาสามทุ่มเกือบครึ่งอากาศด้านนอกเริ่มหนาวลงทุกที
เบียร์หยดสุดท้ายถูกเทใส่แก้ว
“ผัวโทรตามละดิ” โจควอนว่า ริมฝีปากหยักยกยิ้มกริ่มให้กับรุ่นน้องที่เพิ่งจะวางมือถือไป
เวลาออกไปกินข้าวสังสรรค์ข้างนอกด้วยกันทีไรชานยอลมักจะโทรมาเวลานี้ตลอด
ต่อให้แบคฮยอนไม่ต้องบอกเขาก็รู้ว่าใครโทรมา
“ไม่ตามหรอก โทรมาถามเฉยๆ”
“เออ กินหมดนี่ก็กลับละ มึงกินนี่ให้หมด”
“งั้นเดี๋ยวผมไปส่ง” เซฮุนเป็นคนอาสาไปส่งรุ่นพี่รองผู้จัดการเป็นการขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร
เขาจัดการเนื้อชิ้นสุดท้ายแทนแบคฮยอนที่เริ่มทำหน้าอิดออดหลังจากที่ซัดหม้อไฟไปหม้อใหญ่
โจควอนกวักมือเรียกคุณป้าเจ้าของร้านให้เข้ามาคิดเงินพร้อมกับล้วงกระเป๋าสตางค์ออกมาควักแบงค์พันจ่ายอย่างไม่คิดมาก
เสียงพูดคุยยังคงดังเบาๆ ระหว่างรอเงินทอน
ท่ามกลางอากาศหนาว
แบคฮยอนแวะซื้อโกโก้ร้อนให้กับตัวเองหนึ่งแก้ว
พวกเขาพากันเดินข้ามไปยังลานจอดรถหน้าบริษัท
แบคฮยอนเปิดประตูด้านหลังแล้วโยนกระเป๋าเข้าไปก่อนแต่ยังไม่ทันทีจะได้ย้ายตัวเองเข้าไปนั่งรุ่นพี่ที่เริ่มเมาก็เข้ามาสะกิด
“กูขอนั่งหลังนะกูจะนอน”
“ได้ ๆงั้นเดี๋ยวหนูไปนั่งหน้า”
พอแบคฮยอนได้ยินอย่างนั้นเขาก็ตอบรับอย่างว่าง่าย คนตัวเล็กย้ายตัวเองไปนั่งเบาะหน้าข้างคนขับพร้อมกับคาดเข็มขัดให้ตัวเองเสร็จสรรพ
เมื่อประตูด้านหลังถูกปิดลงโจควอนก็เอนตัวลงนอนทับกระเป๋าของรุ่นน้องทันที
รถยนต์คันหรูถอยออกจากลานจอดรถแล้วขับมุ่งตรงสู่ถนนใหญ่
ท่ามกลางความเงียบแบคฮยอนหยิบเอามือถือขึ้นมาส่งข้อความรายงานแฟนหนุ่มว่ากำลังจะกลับบ้านแล้ว
บนท้องถนนเรียบโล่งไฟข้างทางเริ่มถูกประดับเตรียมรอรับงานเทศกาลที่กำลังจะเกิดขึ้น
แบคฮยอนหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างตลอดทาง เขาได้ยินเสียงพี่โจควอนเริ่มกรนฟี่เบาๆ
เซฮุนก็ขับรถอย่างตั้งใจ สุดท้ายก็เลยได้แต่นั่งมองไฟข้างนอกไปฆ่าเวลา
“เปิดเพลงปะ” เจ้าของรถเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าความเงียบทำให้เกิดช่องว่างที่สร้างความอึดอัด
เซฮุนหันไปมองคนข้างๆ เขาแต่อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่เป็นไร พี่โจควอนนอน”
“จะให้ผมไปส่งที่ห้องปะ หรือจะให้ส่งขึ้นรถ”
“ส่งกูลงตรงป้ายรถเมล์ก็ได้ เดี๋ยวนั่งรถกลับ”
“แต่มันดึกแล้วนะ อีกแค่นิดเดียว
เดี๋ยวผมไปส่งละกัน”
เมื่อเซฮุนพูดแบบนั้นแบคฮยอนก็ได้แต่เออออห่อหมกไปตามเรื่องเพราะเห็นว่ามันก็จริงอย่างที่รุ่นน้องว่า
คนตัวเล็กหยิบเอามือถือขึ้นมากดถ่ายเซลฟี่หน้ายิ้มส่งไปให้แฟนหนุ่มดูเพื่อเป็นการยืนยันว่าอยู่บนรถแล้วจริงๆ
แบคฮยอนเลือกถ่ายหน้าเขาให้ติดภาพศพพี่โจควอนที่นอนตายเป็นพื้นหลังไปด้วย ฃานยอลจะได้ไม่เป็นบ้าเพราะคิดว่าอยู่กับเซฮุนแค่สองคน
“เออ ปีใหม่มึงไปไหนวะ”
คำถามทำลายความเงียบถูกยกขึ้นมาพูดคุยเป็นการฆ่าเวลาระหว่างขับรถ แบคฮยอนยื่นแก้วโกโก้ของเขาไปให้คนข้างๆ
แต่เจ้าตัวก็เบี่ยงหน้าปฏิเสธ
“ไม่รู้ว่ะ คงไม่ไปไหน นอนอยู่บ้าน”
“ไมชีวิตมึงเหงาจังวะ ไม่ไปเที่ยวบ้างอ่อ”
“เที่ยวไหนอะ”
“เออ ลืมไป มึงอยู่บ้านนี่หว่า”
เหมือนแบคฮยอนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าบ้านเซฮุนอยู่ในเมืองอยู่แล้ว
เขาไม่ใช่คนต่างจังหวัดที่ต้องกลับบ้านทุกวันหยุดเทศกาล
“ก็อาจจะกลับบ้าน แต่ต้องดูก่อนว่าแม่ว่างไหม”
“อ้าว แล้วไม่ได้อยู่บ้านกับแม่อ่อ”
“เปล่า ผมอยู่คอนโด บ้านอยู่ไกล ขี้เกียจขับรถ”
“อ๋อ แล้วพ่อมึงไปไหนอะ ไม่ค่อยเห็นพูดถึงพ่อเลย”
พอสบโอกาสแบคฮยอนก็ไม่ลืมแย๊บถามถึงข่าวลือที่ได้รู้มา เขาแอบชำเลืองตาลอบมองสีหน้าของรุ่นน้อง
แต่เซฮุนก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงเรียบเฉยเหมือนอย่างทุกที
“พ่อผมก็อยู่กับครอบครัวเค้า ผมไม่ค่อยสนิทกับเค้าหรอก”
“อ้าว หรอ โทษที”
“ไม่เป็นไร ผมไม่ซีเรียส”
“ถ้ากูถามอะไรมึงอย่างนึงมึงจะโกรธกูไหม
มึงไม่ตอบก็ได้นะ ถ้าไม่อยากตอบ แต่กูอยากรู้อะ” พอเกริ่นนำไปแล้ว แบคฮยอนก็เลือกที่จะถามออกไปตรงๆ
เพราะมันเป็นวิธีของเขา ถ้าเซฮุนไม่อยากจะตอบก็ได้แบคฮยอนก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาไม่ได้มีสิทธิ์รู้เรื่องอะไรอยู่แล้ว
“จะถามว่าผมเป็นลูกประธานใช่ปะ”
คนตัวสูงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนที่จะส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ
เซฮุนก็รู้ตั้งแต่ที่แบคฮยอนเกริ่นแล้วแหละว่าเขาจะถามอะไร
ตอนนี้ข่าวลือมันแพร่ไปแทบจะทุกที่ในบริษัท แม้แต่เขาเองก็ยังรู้เลย
“มึงรู้ได้ไงวะ”
“เค้าพูดกันไปทั่วและ”
“แล้วตกลงจริงปะ”
“ถ้าเป็นคนอื่นผมจะบอกว่าไม่จริงนะ
แต่ถ้าเป็นพี่ผมก็ไม่โกหก เพราะผมเคยสัญญาแล้วว่าจะไม่โกหก”
นิ้วเรียวเคาะลงบนพวงมาลัยรถเป็นจังหวะ เซฮุนเลือกที่จะพูดความจริงกับแบคฮยอนตามที่เคยสัญญาเพราะเขาคิดว่ามันอาจจะซื้อความเชื่อใจที่เสียไปให้กลับคืนมาได้
เรื่องนี้มันไม่ได้สำคัญกับเซฮุนนัก ไม่ได้สำคัญไปกว่าเรื่องที่ว่าวันนี้เขากินข้าวกับอะไร
มันก็แค่เรื่องเก่าๆ
“ตกลงเป็นเรื่องจริงอ่อวะ”
“อือ แต่ผมไม่ได้สนิทกับเค้าหรอก จริงๆ
ก็เหมือนพนักงานในบริษัทั่วไปแหละ”
“คือเป็นลูกคนละแม่งี้ปะ แล้วก็ไม่ได้สนิทกัน?”
คนตัวเล็กขมวดคิ้วทำหน้านิ่ว แบคฮยอนพยายามจะถามคำถามให้เซฟที่สุดเพราะกลัวว่าความซื่อของเขาจะทำให้เผลอพูดอะไรที่ไม่สมควรออกไป
ที่จริงเซฮุนไม่ต้องตอบก็ได้ แต่แบคฮยอนแค่อยากรู้เรื่องของเขาบ้าง
เผื่อจะได้รู้ว่าตัวเองสำคัญในระดับไหน
“อือ แต่บอกคนละแม่ก็ค่อยไม่ถูกว่ะ เพราะแม่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า
แม่ผมเคยทำงานกันพ่อแล้วแอบก็มีไรกันแล้วก็พลาดท้อง แต่ตอนนั้นพ่อผมแต่งงานกับแม่ชานยอลแล้วนะ
แล้วตอนแม่รู้ตัวว่าท้องเค้าก็ออกจากบริษัทแล้วด้วย ก็คือแม่ผมก็ไม่ได้เป็นอะไรกับเค้าเลยอะ
ไม่ใช่เมียน้อย ไม่ได้รักกัน แต่ผมดันพลาดเกิดมาไง”
คำตอบที่ฟังดูตัดพ้อทำคนฟังอดรู้สึกเศร้าไปด้วยไม่ได้
แบคฮยอนหน้าจ๋อยลงอย่างอัตโนมัติ
พอเซฮุนเห็นอย่างนั้นเขาก็หันมาหัวเราะใส่อย่างอารมณ์ดี
“เป็นไร ทำไมทำหน้างั้น”
“มึงอะ แล้วงี้พ่อมึงเค้ามาสนใจดูมึงมั่งไหมวะ”
“ไม่อะ กว่าผมจะรู้ว่าพ่อเป็นใครก็ประมาณ 7 – 8
ขวบแล้ว ประธานเค้าไม่ให้พ่อมายุ่งกับแม่ผมเลย แม่ชานยอลอะ ไม่ให้เจอกันแต่เค้าให้ส่งเสียเลี้ยงดูนะ
ก็เหมือนคนไม่รู้จักอะ นานๆ จะส่งของขวัญวันเกิดมาที แต่ผมเพิ่งจะมาเห็นเค้าจริงๆ ก็ตอนเรียนจบมหาลัย”
สีหน้าของเซฮุนยังคงไม่แสดงถึงความรู้สึกทุกข์ร้อนอะไร
ถ้าเป็นสมัยเมื่อก่อนเขาคงน้อยใจอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เซฮุนโตแล้ว และเขาแยกแยะเป็น
“แม่ง... เศร้าว่ะ แล้วมึงไม่โกรธเค้ามั่งอ่อวะ
มึงเห็นหน้าเค้ามึงมาทำงานกับเค้าอะ”
“เศร้าทำไมวะ มันไม่ได้อะไรขนาดนั้นนะ ผมโตมากับแม่ก็ไม่รู้สึกว่าขาดอะไร
ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆ เวลาผมถามแม่แม่ผมก็ตอบตรงๆ นะว่าพ่อมีครอบครัวอยู่แล้ว
เค้ามาอยู่ด้วยไม่ได้แต่แม่ก็รักผม เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ก็คิดแหละ
แต่โตมาก็ไม่ได้คิดแล้ว”
“แล้วเวลาเห็นหน้าเค้ามึงไม่รู้สึกไรมั่งหรอวะ
แบบเห็นหน้าพ่อที่ไม่เคยมาดูมึง เห็นหน้าแม่ชานยอลที่เค้ากีดกันแม่มึงอะ”
“ไม่อะ อย่างที่บอกแหละผมมาเจอเค้าตอนโตแล้วไงเลยไม่ค่อยอะไร
แล้วแม่ผมไปเป็นกิ๊กเค้าเองจะให้ผมเรียกร้องไรวะ อย่าว่าแต่กิ๊กเลย
เมียน้อยยังไม่ใช่”
“แล้วแม่ชานยอลอะ มึงไม่โกรธเค้าอ่อ”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าเค้าเป็นคนร้ายๆ นะ แต่ผมว่าเค้าก็มีเหตุผลของเค้าแหละ
เค้าก็ต้องปกป้องครอบครัวเค้า ตอนผมไปทำงานเค้าก็ไม่ได้เขม่นผม ทำงานดี
ตั้งใจทำงานเค้าก็เอ็นดู”
“อือ...”
ถึงแม้ว่าเซฮุนจะพูดแบบนั้นแต่แบคฮยอนก็อดจินตนาการถึงความรู้สึกที่ต้องเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนที่ไม่แยแสต่อความเจ็บปวดของเราได้ทั้งๆ
ที่พวกเขาเป็นต้นเหตุ ทำไมทั้งพ่อและแม่ชานยอลถึงได้เป็นคนที่เย็นชาแบบนี้ “แล้วทำไมมึงกลับมาทำงานที่นี่วะ”
“ก็พ่อผมนั่นแหละชวนมา ที่เค้าไปเจอผมวันรับปริญญา
ตอนแรกเค้าก็ไม่ได้บอกผมด้วยนะว่าเค้าเป็นเจ้าของบริษัท เค้าบอกแค่ว่าทำงานที่นี่ แต่ผมก็รู้อยู่แล้วแหละ”
“มึงคิดจะกลับมาฮุบบริษัทปะ
แบบกลับมาทวงทุกอย่างคืนไรงั้นอะ”
คำถามที่เหมือนกับหลุดออกมาจากละครทำเซฮุนถึงกับหลุดขำ เขาส่งเสียงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อ
“เอามาทำไรวะบริษัท พูดเป็นละคร
มันไม่ได้บริหารง่ายๆ นะบริษัทอะ ยิ่งธุรกิจใหญ่ๆ เอามาก็ต้องเอามาดูแล
คิดว่ามันสนุกอ่อเป็นผู้บริหารอะ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ลำบาก บ้านผมก็มี รถก็มี
ผมทำงานแบบนี้ดีกว่า มาเช้าเย็นกลับไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก มีเวลาเป็นของตัวเอง ผมมาทำงานผมแค่อยากให้เค้าเห็นว่าผมโตแล้ว ผมเลี้ยงตัวเองได้
ผมไม่เคยอยากได้อะไรจากเค้าเลย”
แบคฮยอนได้แต่พยักหน้าหงึกหงักกับความคิดที่แสนเป็นผู้ใหญ่ของรุ่นน้อง
เซฮุนเป็นคนที่โตและมีความรับผิดชอบมากจริงๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่ชานยอลแค่ปีเดียว
อาจจะเพราะว่าเขามีชีวิตที่ต้องผ่านทุกอย่างมาด้วยตัวเอง
แบคฮยอนคิดว่าทั้งเซฮุนและชานยอลมีความเหมือนกันในคนละแบบ แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นพวกมีโลกส่วนตัวสูงและความลับเยอะพอๆ
กัน
“แล้วมึงไม่อิจฉามั่งอ่อวะ
แบบน้องมึงได้ทุกอย่างมีทุกอย่าง แต่มึงแทบไม่ได้ไรเลยอะ”
“แล้วผมไม่มีอะไรอะ ผมก็ไม่ได้ลำบากนะ จริงๆ
ผมไม่เคยอยากได้อะไรที่เค้ามีเลย ทั้งสมบัติหรือบริษัท ของมันไม่ได้ดูแลง่ายๆ ไม่ใช่จะเอาใครไปนั่งบริหารก็ได้
ดูอย่างชานยอลดิ ขนาดแม่ยัดเยียดให้มันทุกอย่างมันยังไม่เอาเลย แล้วทำไมผมต้องอยากได้ด้วย
ผมออกจะสงสารเค้าด้วยนะ รู้ปะแม่ผมบอกว่าไง
เค้าบอกว่ามันอาจจะดีแล้วก็ได้ที่ผมไม่ไปยุ่งกับครอบครัวเค้า”
“อือ ถ้ามึงมองด้านนั้นมันก็จริงอะ”
แบคฮยอนได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เขาเห็นด้วยกับทุกอย่างที่เซฮุนพูด
การเป็นผู้บริหารที่ต้องจัดการกับทรัพย์สินในนามบริษัทมากมายอาจไม่ใช่เรื่องง่าย
เพราะแม้แต่คนที่ถูกยัดเยียดความเพียบพร้อมให้ทุกอย่างยังไม่อยากได้
และแบคฮยอนก็ได้เห็นแล้วว่าชานยอลเป็นยังไงกับการเติบโตมาในครอบครัวที่ขับเคี่ยวเรื่องความรับผิดชอบ
พูดแบบไม่อิจฉาแบคฮยอนคิดว่าเป็นเขาก็คงเลือกเกิดเป็นเซฮุนมากกว่า
“ถ้าผมจะแย่งอย่างเดียวก็คือแฟนเค้านั่นแหละ”
ว่าแล้วเซฮุนก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา
แบคฮยอนที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้แต่ตั้งท่าเหมือนจะทุบแต่ก็ไม่ทุบเพราะเห็นว่ารุ่นน้องกำลังขับรถอยู่
“แล้วพ่อเค้าส่งเสียให้มึงเยอะปะวะเมื่อก่อนอะ”
“เดือนละประมาณสองแสน รวมทั้งผมทั้งแม่นะ ค่าเทอมเค้าออกทุกอย่าง”
“หือ ได้ยินงี้ละกูไม่น่าสงสารมึงเลยว่ะ” คำตอบของรุ่นน้องทำให้แบคฮยอนเริ่มคิดกลับมาสงสารตัวเองก่อนที่จะใส่ใจคนอื่น
เอาจริงๆ ถึงจะบอกว่าเซฮุนเป็นลูกแฟนเก็บ หรือลูกเมียน้อย
ยังไงเขาก็ยังเป็นลูกคนรวยอยู่ดี
“บางทีผมก็หมั่นไส้มันนะชานยอลอะ
มันมีทุกอย่างแต่มันกลับไม่เอาไรเลย แต่ก็ต้องยอมรับแหละว่าเพราะมันเป็นอย่างงี้มันถึงเป็นชานยอล
ถ้ามันไม่ใช่คนแบบนี้มันอาจจะไม่มาสนใจพี่ก็ได้”
“อือ ก็จริงแหละเนอะ ถ้าเป็นคนรวยๆ
ทั่วไปมันคงไม่มาสนใจกู”
“เรื่องเดียวที่ผมอิจฉามันก็มีแต่แฟนเนี่ยแหละ”
“หมายถึงกูหรือโคลอี้วะ”
“ผมหมายถึงพี่ ผมไม่ได้จะแทรกกลางหรือดึงดันเอาไรนะ
ผมแยกแยะได้ ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนเป็นพี่น้องกัน เป็นอะไรก็ได้ แต่ผมรอได้ ผมรอเฉยๆ
ไม่ทำอะไร” คนตัวสูงเอ่ยออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยราวกับกำลังพูดเรื่องฝนฟ้าอากาศ
เซฮุนไม่ได้ดูถูกความรักของแบคฮยอน แต่เขาไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ในระยะยาว
ถ้าแบคฮยอนคบเซฮุนเขาจะบอกให้ใครในบริษัทรู้ก็ได้
ถ้าแบคฮยอนคบเซฮุนพวกเขาไม่ต้องหลบซ่อน ถ้าแบคฮยอนคบเซฮุน
ไม่ว่าจะเจอปัญหาแบบไหนเซฮุนก็คิดว่าเขาจัดการได้ไม่แพ้ชานยอล และที่สำคัญไม่มีช่องว่างทางสังคมให้ต้องกังวล
แบคฮยอนสามารถเป็นคนที่เขาอยากเป็น ทำในเรื่องที่เขาอยากทำได้
จะให้ไดอารี่ซื่อสัตย์สักร้อยเล่มเป็นของขวัญก็ยังได้ ทำไมเซฮุนถึงจะไม่มีโอกาสบ้าง...
“มึงอย่าพูดอย่างงั้นดิวะ มึงอะ”
“ไม่ๆ ผมไม่ได้เสียใจหรือทรมานนะ
อย่างที่บอกผมมาทีหลังผมไม่เรียกร้องอะไร ผมไม่ก้าวก่าย
แต่ถ้าพี่รู้สึกว่าไปด้วยกันกับเค้าไม่ได้ แค่ให้โอกาสผมก็พอ”
สิ่งเดียวที่เซฮุนต้องการก็มีเพียงแค่โอกาส
เซฮุนรอได้เรื่อยๆ
ตราบใดที่เขายังสามารถอยู่ตรงนี้ได้ในฐานะน้องชายหรือเพื่อนร่วมงานของแบคฮยอนและได้รับการดูแลเอาใจใส่จากแบคฮยอน
เซฮุนไม่รีบร้อนเลย...
“มึงพูดอย่างงี้มึงคิดว่ากูจะสบายใจไหมอะ”
“ผมบอกแล้วไงว่าผมไม่ได้ทุกข์ร้อน ไม่ได้เจ็บปวดอะไร”
“แล้วมึงจะรอกูไปถึงเมื่อไหร่วะ”
“จนกว่าผมจะชอบคนใหม่อะ”
“เอ้า โถ่ กูก็นึกว่าจะรอแบบรอไปเรื่อยๆ”
“ใครจะไปทำได้วะ แต่ผมก็ไม่ได้ชอบใครง่ายๆ นะ”
.
.
.
เวลาห้าทุ่มเศษบนเตียงนอนที่แสนคุ้นเคย แบคฮยอนนอนเป่าผมอยู่หน้าพัดลมในขณะที่คุยกับแฟนหนุ่มผ่าน
small talk ไปด้วย
เขารื้อเอาเสื้อผ้าในกระเป๋าเป้ที่ซักเก็บมาจากห้องชานยอลออกมาแล้วโยนมันไว้บนพื้นด้วยความขี้เกียจ
ไดอารี่ซื่อสัตย์เล่มสีเขียวถูกหยิบออกพร้อมกับซองขนมธัญพืชที่ลักมาจากรถแฟนหนุ่ม
[พรุ่งนี้ไปหาได้ปะ]
“มาดิ แช่นมไว้ให้เต็มเลยเนี่ย ไม่มีคนกิน”
คนตัวเล็กว่าในขณะที่ปากก็กัดฉีกซองขนมไปด้วย นับวันแบคฮยอนจะยิ่งติดโรครักสุขภาพจากชานยอลมามากขึ้นทุกวัน
ขนมที่เขาเคยบอกว่าจืดไร้รสชาติพอกินไปกินมาเริ่มคิดว่ามันอร่อยดี
และตอนไปอยู่คอนโดแบคฮยอนก็กินมันรองท้องทุกเช้าระหว่างนั่งรถไปทำงานจนชิน
[นี่กินอะไรอยู่ใช่ไหม
ดึกแล้วยังกินอีกอ่อ]
“ฮ่าๆๆๆ ขนมที่หยิบมาจากในรถเมื่อวันก่อนอะ
เจอในกระเป๋าเลยเอาออกมากิน” แบคฮยอนหัวเราะขำ เขาเปิดไดอารี่ซื่อสัตย์อ่านไปพลางๆ
เป็นการทบทวนเนื้อหาที่ตัวเองเขียนลงไป
[แล้ววันนี้กลับกี่โมง]
“ก็กลับตอนที่มึงโทรไปแหละ วางสายเสร็จก็กลับ ไปส่งพี่โจควอนก่อนละก็กลับมาขึ้นรถ
จริงๆ ตอนแรกว่าจะไปต่อร้านอื่นด้วยแหละ แต่เค้าเห็นมึงโทรมาก็เลยกลับ”
[กินเหล้าปะ]
“กินไปจิ๊ด~เดียวเอง ไม่อยากกินมาก เดี๋ยวเมาแล้วกินไม่คุ้ม
เปลืองท้องด้วย ต้องเก็บไว้ใส่เนื้อ เดี๋ยววันที่ 29 ก็กินเลี้ยงอีก
กินเลี้ยงแล้วพี่โจควอนก็เลี้ยงต่ออีก สบายท้องเลยอะช่วงนี้”
[งั้นก็ต้องกลับดึกดิ]
“เออ นานๆ ทีก็ออกไปเที่ยวให้มันสุด เผื่อได้ผัวกลับมาอีกคน”
[ให้มันน้อยๆ หน่อยครับ]
“จ้าพ่อ~ เดี๋ยววันที่ 30 ก็ว่าจะกลับบ้าน
ไปด้วยกันปะ ไปหามงรยง”
พูดไปก็เปิดหน้าสมุดดูไปเรื่อยเปื่อย ดูเหมือนว่าไดอารี่ซื่อสัตย์ของแบคฮยอนจะมีแต่คำบ่นมากกว่าคำสารภาพความในใจ
แทนที่เขาจะเขียนคำพูดหวานๆ ลงไปกลับเขียนถึงสิ่งที่ตัวเองเป็นกังวลซะส่วนใหญ่
ทว่าถึงอย่างนั้นแบคฮยอนก็ไม่ลืมคำขอบคุณสำหรับสิ่งดีๆ ที่ผ่านมา คำอวยพร หรือการบอกรักที่แสนหวาน
ไม่นับรวมรูปวาดหัวใจบนหน้ากระดาษพร้อมกับคำถามที่ว่า ‘นี่คืออะไรเอ่ย?’ และคำตอบก็ถูกเขียนกลับหัวไว้อีกด้าน
ถ้าชานยอลจะอ่านมันเขาต้องกลับด้านหนังสือซะก่อน
และเมื่อหัวใจถูกพลิกคว่ำลงคำตอบก็จะปรากฏออกมา
คำตอบคือ ‘ไข่จิงโจ้จ้า~’
พออ่านมุกตลกของตัวเองจบแบคฮยอนก็หัวเราะใหญ่
เขาฟุบหน้าลงกับสมุดแล้วเปิดอ่านหน้าถัดไปที่มีรูปแปะอยู่
‘มึงขำปะ กูคิดตั้งนานไม่รู้จะเขียนไรละอะ
ขอให้มีความสุขมากๆไปทุกปีเลยนะ ตั้งใจทำงานแม่จะได้เอ็นดูให้เงินกินขนมเยอะๆ มึงจะได้เอามาเลี้ยงกูอีกที ขอให้ปีหน้าได้ฉลองวันเกิดด้วยกันอีก
ขอให้มีความสุขมากๆ เป็นคนดีเชื่อฟังๆ รักนะคร้าบพี่หมาใหญ่
จากลูกสาวแม่มงรยงคนสวย’
ที่ใต้ข้อความอวยพรมีรูปแบคฮยอนที่ถ่ายกับแม่มงรยงของเขาแปะไว้
พร้อมกับสติ๊กเกอร์น่ารักรายล้อมรอบด้าน ไดอารี่ซื่อสัตย์ที่ควรจะจบลงแค่นั้นกำลังจะถูกปิดลง
แต่แล้วสายตาของแบคฮยอนก็ดันเหลือบไปเห็นข้อความสั้นๆ ที่ถูกเขียนเอาไว้อีกหน้ากระดาษด้วยปากกาสีดำ
แว้บแรกที่มองเห็นเขาคิดว่าตัวเองเขียนอะไรเอาไว้แล้วลืมหรือเปล่า
จนกระทั่งได้กวาดสายตาอ่านจนจบ
อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนหัวจะระเบิดขึ้นมา ใบหน้าร้อนเห่อไปจนถึงใบหู
หัวใจเต้นโครมครามผิดปกติ ยิ่งได้ยินเสียงคนรักที่กำลังพูดอยู่ในหูฟังแบคฮยอนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเขากำลังจะระเบิด
ความรู้สึกเก่าๆ ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง อย่างกับเป็นวันแรกที่ได้เริ่มคุยกัน
[………]
“ห... ห้ะ”
[ถามว่าวันหยุดไปไหน]
“ก็อาจจะกลับบ้าน
ไม่รู้จะไปไหนอะ คิดถึงหมา อยากกลับไปหาอิอ้วน”
คนตัวเล็กฟุบหน้าลงกับหมอนด้วยความเขินอายเมื่อได้รับรู้ว่าไดอารี่ซื่อสัตย์ของตัวเองถูกเปิดโปงแล้ว
หัวใจของแบคฮยอนเต้นรัวไม่หยุด เขากวาดตาอ่านข้อความนั้นอีกครั้ง ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนที่รอยยิ้มกว้างๆ
จะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
ในหัวแบคฮยอนเอาแต่จินตนาการว่าจะเป็นยังไงถ้าเขาได้ยินเสียงชานยอลพูดคำนี้ด้วยตัวเอง
แบคฮยอนคงจะเขินจนทำอะไรไม่ถูกเลย
‘ไว้ฉลองปีหน้าด้วยกันใหม่ให้ดีกว่านี้
อยู่กับผมไปนานๆนะ khob khun kub :)’
ความคิดเห็น