ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] Puppy Doll :: ChanBaek

    ลำดับตอนที่ #4 : ( -㉦-)----> Chapter 3 - จักรยานกับซอยที่ 13

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 56




    Puppy Doll

    Author: mizallsunday

    Pairing: Chanyeol  Baekhyun

    *Rate: PG13




    .....
    .............................................


    Chapter 3 -- จักรยานกับซอยที่ 13 --






     

    กริ๊งงง…!!! ~ กริ๊งงงงงง…!!!~~



     

    โอ๊ยยยยย..... แสบแก้วหูชะมัด

    ผมคิดในขณะที่ค่อยๆ เหวี่ยงแขนของตัวเอง  เพื่อปิดเสียงมือถือที่ตั้งปลุกเอาไว้  นี่ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจริงๆ ผมคงไม่ตื่นแต่เช้าในวันหยุดสุดสบายแบบนี้หรอกนะครับ


    วันนี้เป็นวันที่ไอเพื่อนซี้สมัยเรียนม.ต้นกลับมาจากเมืองนอก  ตอนม.ปลายเราไม่ได้เรียนที่เดียวกันนะครับ  เพราะไอนี่มันไปเรียนที่ต่างประเทศมา  เห็นบอกว่าต้องตามครอบครัวไปที่นั่น  แต่ไม่รู้นึกยังไงถึงได้อยากกลับมาเรียนที่นี่อีก


    เพราะครอบครัวของมันที่นี่ก็ไม่มีใครแล้ว  มีก็แต่เพื่อนๆ ที่สนิทกัน  และผม “คิม จงอิน”  นี่แหละ ที่สนิทกับมันที่สุด


    มันเลยวานให้ผมหาที่พักให้มัน  เพราะมันจะเข้ามาเรียนที่มหาลัยเดียวกับผม  และที่สำคัญไม่ต้องสอบนะครับ  ไอนี่มันเก่ง  ถึงไม่เก่งมาก  แต่ภาษามันก็เก่งสุดๆ เลยล่ะครับ  ไปอยู่ตั้งแคนาดาตั้งสามปีพูดไม่ได้ก็ไม่ใช่แล้วล่ะมั้ง  อาจารย์รวมถึงอธิการบดี  รีบอ้าแขนรับนิสิตใหม่อย่างมันโดยที่ดูแค่คะแนนในใบทรานสคริปส์เท่านั้นเอง


    ผมถามมันนะว่าทำไมถึงได้อยากกลับมาที่นี่  มันก็บอกว่ามันเกิดที่นี่เลยอยากจะกลับมาอยู่ที่นี่  อีกอย่างมันคงคิดถึงแม่มันน่ะครับ  แม่แท้ๆ ของมันเสียตั้งแต่มันยังเล็กๆ และพ่อก็แต่งงานใหม่โดยที่มีลูกติดมาอีกคน  มันเลยได้พี่ชายต่างสายเลือดมาอยู่ด้วยกัน  แต่พี่มันกับมันก็ดูเข้ากันดีนะ  พี่ชายมันหล่อด้วย แต่น้อยกว่าผมนิดนึงนะ ^_^


    เห็นว่ากลับมาถึงวันนี้แล้วจะตรงเข้าไปที่อยู่ใหม่เลย  ผมกลัวมันจะไปไม่ถูก  จะให้ไปรับที่สนามบินก็ไม่ยอม  รู้ไหมครับว่ามันบอกผมว่าอะไร


    “มึงแน่ใจว่ามึงจะตื่นไปรับกูทัน”  ตอนนั้นอึ้งดิครับ  แม่ งดูถูกคิม จงอินคนนี้ไปล่ะ


    “..มึงเอาที่อยู่เพื่อนมึงมาดีกว่า  เดี๋ยวกูให้แท็กซี่ไปส่งก็ได้”


    ผมก็เลยตามใจมันไป  เพราะก็คิดว่ายังไงอาจจะไปรับมันไม่ทัน  เพราะอาจจะไม่ตื่นอย่างที่มันเพิ่งสบประมาทผมไป 


    แต่อีกใจก็หมั่นไส้มันครับ  แหม..ไม่อยู่เกาหลีตั้งสามปีอะไรๆ มันก็เปลี่ยนไปนะครับ  กลัวมันจะหลงน่ะสิ  แต่ช่างมันปล่อยมันไปเองแหละ  มันคงไม่โง่ขนาดที่จะหลงหรอกมั้ง ที่สำคัญมันก็นั่งแท็กซี่อยู่แล้วด้วย  จะไปหลงได้ไง


    ผมรีบลุกไปอาบน้ำแต่งตัวอย่างตื่นเต้น  เพราะอยากจะรีบไปเจอเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานถึงสามปี  จะว่าไปก็คิดถึงมันเหมือนกันนะเนี่ย  และก็คิดถึงเพื่อนสนิทของผมอีกคนด้วย  คนนี้นี่อยากจะคิดไม่ซื่อจริงๆ  ฮ่าฮ่าฮ่า


    รีบไปอาบน้ำแต่งตัวหล่อๆ ดีกว่า 

    ..........
    .....
    ...



     

    ผมกำลังขับรถตัวเองเพื่อไปยังสถานที่ที่คุ้นเคยเป็นปกติ  แต่วันนี้จะไม่ปกติ  ก็ตรงที่มีเพื่อนผมอีกคนที่กลับมาจากแคนนาดานี่แหละ  วันนี้ต้องสนุกมากแน่ๆ เลย 


    เอ๊ะ.. ผมว่าผมลองโทรหาแบคฮยอนดีกว่าว่าไอชานยอลเพื่อนผมมันมาถึงที่หมายได้ถูกที่รึป่าว  แม่ งให้เบอร์ไปก็ไม่โทรมาบอกกันบ้างเลย ว่าถึงที่หมายหรือหลงทางอยู่ที่สนามบินแล้วรึเปล่า


    ขณะที่ผมกำลังขับรถเพลินๆ จนเกือบจะเลี้ยวเข้าซอยหมู่บ้าน  โดยไม่ทันได้ระวัง หรือสังเกตว่ามีรถสวนทางมารึเปล่า ผมก็หักรถเลี้ยวเข้าปากทางหน้าหมู่บ้านโดยทันที


    เอี๊ยดดด..!!


    เสียงรถยนต์ของผมเบรกดังกึกก้อง  ยิ่งกว่าหนังแอคชั่นรถแข่งซะอีก  ก่อนที่จะหักหลบได้ทันท่วงทีที่มีรถจักรยานขับสวนมาอีกข้างของถนน  ผมตกใจเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน  ก่อนที่จะรีบตั้งสติแล้วเปิดประตูรถเพื่อไปหาคู่กรณีที่กระเด็นไปไกลพอสมควร


    ผู้ชายตัวเล็กๆ ที่ก้มหน้าก้มตาแล้วกุมมือที่แผลไว้ตรงเข่าด้านขวา  ผมเห็นเลือดที่ซึมออกมาจากแผลเล็กน้อย  และจักรยานของเขาก็กระเด็นไปอีกด้านหนึ่ง


    ความรู้สึกผิดแล่นเข้ามาในจิตใจผมทันที  ผมควรจะมีสติกว่านี้  และไม่ควรจะคุยโทรศัพท์ขณะขับรถเลย


    ให้ตายเหอะ 


    ผมอยากต่อยหน้าตัวเองชะมัด


    “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ”  ผมถามออกไปทันทีด้วยความรู้สึกผิด  และห่วงคนตรงหน้านี้มาก


    เขาตัวก็เล็ก  แถมแผลถลอกออกขนาดนั้น  นี่ขาเขาต้องไถลไปกับพื้นแน่ๆ เลย


    เขาเงยหน้าขึ้นมองผม  ก่อนที่เขาจะเหลือกตาโตๆ นั่นใส่  และกลับไปก้มหน้าก้มตาอีกครั้ง  ก่อนจะตอบผมเบาๆ


    “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ  แค่ถลอกนิดหน่อยเอง”


    “ไม่นิดหน่อยแล้วมั้งน่ะ”  ผมพูดออกไปอย่างลดความเป็นทางการออก  เพราะผมแน่ใจได้เลยว่ายังไงเขาต้องอายุน้อยกว่าผมแน่ๆ หน้าเด็กแล้วยังตัวเล็กขนาดนั้น


    “ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก  เดี๋ยวทำแผลแปบเดียวก็หายแล้วล่ะ”


    “งั้นเดี๋ยวฉันพาไปโรงบาลเอง”  ผมตกลงรับผิดชอบความผิดครั้งนี้ด้วยการอาสาพาคู่กรณีตัวเล็กคนนี้ไปทำแผลที่โรงพยาบาล


    “ไม่เป็นไรหรอก  ฉันกลับไปทำแผลเองที่บ้านดีกว่า”


    “จะเอางั้นหรอ?” ผมถามออกไปอีกครั้ง  พลางใช้ความคิดว่าผมจะพาเขาไปยังไง


    “เดี๋ยวฉันก็ปั่นจักรยานกลับไง  บ้านฉันอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่”


    “งั้นฉันปั่นจักรยานไปส่งแล้วกัน”  ผมอาสาจะปั่นจักรยานไปส่งคนตรงหน้า  ที่ยังคงงงๆ และทำหน้าประหลาดใจอยู่แบบนั้น


    ผมเดินกลับไปที่รถแล้วขับให้จอดไว้ที่ข้างๆ ฟุตบาท  ก่อนจะล็อครถไว้แล้วเดินมาเก็บถุงและข้าวของที่กระจัดกระจายของเขา  พร้อมตั้งจักรยานไว้ก่อนที่จะขึ้นคร่อมขี่


    ผมยังคงเห็นสายตาของเขาที่ยังมีแววประหลาดที่ส่งมาให้อยู่ไม่เลิก  นี่เขาจะสงสัยอีกนานไหมนะ หรือหัวเขากระแทกพื้นด้วย!?


    “นายโอเคไหม?  จะให้ฉันพาไปส่งได้ยัง?  แล้วหัวนายไม่ได้โดนกระแทกใช่รึเปล่า?”  ผมถามพลางใช้สายตาสำรวจหาร่องรอยที่อาจจะมีบนศีรษะของเขา


    แต่ก็ไม่มีรอยแผลอะไรนี่นา  หัวก็ไม่โนด้วย..


    “หัวไม่ได้โดนกระแทกหรอก  มีแค่ถลอกที่เข่านี่แหละ”


    “งั้นฉันไปส่งนายที่บ้านแล้วกัน”


    “แล้วรถนายล่ะ”


    เขาถามออกมาอย่างสงสัยอีกครั้ง  ก่อนที่ผมจะตอบออกไปอย่างติดรำคาญนิดๆ ว่า


    “ก็จอดไว้แถวนี้แหละ  เดี๋ยวฉันค่อยเดินกลับมาเอามันเอง  หายข้องใจยัง?”


    “...”


    “งั้นก็ขึ้นมาซะ เดี๋ยวพาไปส่งที่บ้าน”


    “อืม”


    เขาตอบรับในลำคอ  พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตกลง  ก่อนที่เขาจะขึ้นมานั่งซ้อนท้าย


    “บ้านอยู่ซอยอะไร?” 


    “ซอย 13 น่ะ”


    แล้วผมก็เริ่มต้นปั่นจักรยานไปยังจุดมุ่งหมายทันทีที่ได้รับคำตอบ


    ผมไม่ได้ปั่นจักรยานแบบนี้มาหลายปีแล้ว  เพราะผมติดสบายอยู่กับรถเก๋งดีๆ ราคาแพงซะจนเคยตัว  ไม่คิดเลยว่าการได้มาปั่นจักรยานแบบนี้อีกครั้งในรอบหลายปี  มันก็สนุกไม่เบา


    สายลมอ่อนๆ ที่พัดเสยหน้าและผมของผมจนไม่เป็นทรงไม่ได้ทำให้ผมหงุดหงิดเลย  ทั้งๆ ที่ปกติแค่ผมไม่เป็นทรงหรือผิดทรงนิดหน่อยผมก็ต้องรีบจัดให้มันเข้าที่เข้าทางไปแล้ว


    เย็นดีจริง...  รู้สึกหายใจโล่งดีจริงๆ


    โอ๊ะ...


    เพราะมัวแต่ซึมซับอากาศดีๆ และบรรยากาศรอบๆ เลยลืมไปเลยว่าผมไม่ได้มาคนเดียว  ยังมีผู้โดยสารตัวเล็กที่ซ้อนท้ายมาด้วย


    ผมแอบชำเลืองไปด้านหลังนิดหน่อย  เห็นเขากำลังก้มหน้าก้มตา  ไม่ได้ชมวิวข้างทางเหมือนกับผม


    ผมจึงตั้งใจปั่นจักรยานต่อไป...


    ป้ายข้างหน้าที่มีป้าย ซอย 13 นั่น  เป็นสัญญาณบอกว่าผมใกล้จะถึงที่หมายปลายทางแล้ว


    ผมเลี้ยวรถเข้าไปในซอยนั่น  แล้วถามคนซ้อนท้ายที่นั่งเงียบมาตลอดทาง


    “บ้านนายหลังไหนหรอ?”


    “หลังที่รั้วสีขาวนั่นน่ะ”


    เขาพูดพลางชี้ไปที่บ้านหลังนั้น  ก่อนที่จะผมจะรีบปั่นจักรยานตรงไปยังบ้านเป้าหมายในทันที


    ผมจอดรถไว้ที่ประตูรั้ว  ก่อนที่จะรู้สึกได้ว่าผู้โดยสารที่ซ้อนท้ายผมมานั้นได้ลงจากรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


    “ขอโทษนะ”  ผมพูดขอโทษออกไปอีกครั้งกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้  และส่งสายตาบอกว่าผมรู้สึกผิดจริงๆ


    เขาเพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆ กลับมาและพูดแค่ว่า


    “ไม่เป็นไร... มันเป็นอุบัติเหตุนี่นา”


    ได้ยินแบบนั้นบวกกับรอยยิ้มหวานๆ ที่ส่งมาให้  ทำให้ผมส่งยิ้มกลับไปอย่างไม่รู้ตัว


    “งั้นฉันต้องขอตัวก่อนนะ  ฉันมีธุระน่ะ”


    ผมหันหลังกลับเพื่อจะเดินไปตามทางที่ผ่านมาซักครู่ เพื่อกลับไปเอารถ 



    “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!!


    เสียงเรียกที่ดังขึ้นมาทำให้ผมต้องหันหน้ากลับไป


    “เอ่อ... นายชื่ออะไรหรอ?”


    คนตรงหน้ามีท่าทีลนลานนิดหน่อยกับประโยคที่ตัวเองนั้นพูดออกมา 


    ผมหัวเราะ หึหึ ในลำคอก่อนจะตอบคำถามที่เขาอยากรู้กลับไป


    “ฉันคิม จงอิน”


    “ฉันโด คยองซูนะ  ยินดีที่รู้จัก  ขอบใจมากนะที่มาส่ง”


    “ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนายนะคยองซู  ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก”  คนตรงหน้าที่บอกว่าตัวเองชื่อ คยองซู นั้นส่งยิ้มกลับมาให้ผมอีกครั้ง 


    “ยังไงฉันก็อยากจะขอบคุณน่ะ”


    “ก็ตามใจนาย  ว่าแต่อย่าลืมทำแผลด้วยล่ะ”


    “อื้ม.. หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะจงอิน”


    “ฉันก็หวังแบบนั้นนะ”


    สิ้นประโยคสนทนาเหล่านั้น  ผมก็ค่อยๆ เดินออกมาจากซอยนั้นและเดินย้อนกลับไปยังรถของผม


    จากที่ผมปั่นจักรยานมาจากจุดที่ผมจอดรถไว้นั้น  คำนวณจากสายตาแล้วมันก็ประมาณ 2 กิโลล่ะนะ  แม่เจ้าซวยจริงๆ วันนี้


    ชานยอลอ่าแบคฮยอนอ่ารอฉันก่อนนะ  T_T






    ..........................................................................





    อากาศยามสายๆ ที่แสนสบาย ลมพัดพลิ้วไหวพาให้ต้นไม้ริมทางพลิ้วไหวไปตามลม  แดดที่ไม่แรงจนเกินไป  ทำให้วันนี้รู้สึกสดชื่นดีจริงๆ


    อ่า  เช้านี้ช่างสดใสซะ!!


    ถ้าไม่ติดว่าการปั่นจักรยานยามเช้านี้  เป็นการปั่นจักรยานที่ไม่ได้มีเป้าหมายมาชมนกชมไม้    แต่มีเป้าหมายเป็นตลาดที่อยู่นอกตัวหมู่บ้านของผมออกไป


    ระยะทางกว่า 5 กิโลเมตร  ซึ่งถือว่าไกลจากหมู่บ้านผมพอตัว  ทำให้การปั่นจักรยานเช้านี้  ไม่ได้ดูเบิกบานเท่าที่ควร


    เหงื่อไคลที่ไหลย้อยตามใบหน้า  บ่งบอกถึงความเหน็ดเหนื่อยจากผมได้เป็นอย่างดี


    พี่ซูโฮอ่า  แค่อาหารเจ้าเปี๊ยกหมดให้กินปลากระป๋องก่อนก็ได้นี่นา  ไม่เห็นต้องให้ผมปั่นจักรยานมาซื้ออาหารให้มันตั้งแต่เช้าตรู่แบบนี้เลย  รอไปซื้อของเข้าบ้านครั้งใหญ่ก็ไม่ได้


    คยองซูคนนี้เหนื่อยนะพี่   T 0 T



    ขณะที่ผมกำลังปั่นจักรยานและบ่นกระปอดกระแปดในใจถึงพี่ชายสุดที่รักอยู่นั้น


    ผมก็ต้องหักแฮนด์จักรยานอย่างกระทันหันเพื่อหลบยานพาหนะขนาดใหญ่ที่สวนทางมาข้างหน้าและปาดหน้าจักรยานผมอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว


    รู้สึกตัวอีกทีผมก็ล้มอยู่บนถนนลาดยางข้างริมฟุตบาท  พร้อมด้วยความเจ็บที่แล่นริ้วเข้ามาที่เข่าด้านขวา  แถมจักรยานและอาหารเจ้าแมวเปี๊ยกของผมก็กระเด็นไปคนละทิศละทาง


    บ้าชะมัด!!  ทำไมวันนี้ซวยแบบนี้เนี่ย!?



    เจ็บ!!~


    ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากรถยนต์คันหรูที่เป็นต้นเหตุให้ผมต้องมาประสบอุบัติเหตุแบบนี้


    ผมไม่ได้ขับรถผิดเลนส์หรือขวางถนนเลยนะ  แล้วนายนี่ขับรถพุ่งมาจากไหนล่ะเนี่ย?


    “เป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ” 


    เสียงทุ้มนุ่มดังขึ้นเพื่อไถ่ถามอาการของผม


    ผมเงยหน้าขึ้นมองเจ้าบ้าที่ทำให้ผมต้องซวยแต่เช้าขนาดนี้  แม่จะด่าให้เละเลย


    เอ่อ... ทำไม...


    ผู้ชายตัวสูง และเอ่อ.. หน้าตาดีแหะ  ถึงผิวจะคล้ำไปหน่อยแต่คนตรงหน้านี้ดูหล่อเอามากๆ เลย  o_o*


    ผมมัวแต่ตะลึงในความหล่อ...


    เอ้ย!!  ไม่ใช่ครับ  ผมมัวแต่ตกใจที่อยู่ๆ คนตรงหน้าก็รีบลงจากรถแล้วเข้ามาช่วยพยุงผมไว้และช่วยประคองผมไปนั่งที่ข้างริมฟุตบาทอีกด้วยต่างหาก


    “ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ  แค่ถลอกนิดหน่อยเอง”


    ผมที่กำลังงงๆ และสติยังกลับมาไม่ครบ  รู้สึกตัวอีกทีผมก็นั่งอยู่ข้างๆ ริมฟุตบาทซะแล้ว


    “ไม่นิดหน่อยแล้วมั้งน่ะ” 


    ผมยังคงจ้องหน้าเขาอยู่อย่างพิจารณา  คนอะไรเท่ชะมัดเลย



    “ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอก  เดี๋ยวทำแผลแป๊บเดียวก็หายแล้วล่ะ”  เชื่อไหมว่าผมไม่ได้โกหก  แผลแค่นี้ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกแค่แสบๆ นิดหน่อยเอง  เพราะผมจักรยานล้มบ่อยๆ ตอนเด็กๆ มันเลยชินน่ะครับ  แฮะๆ


    “งั้นเดี๋ยวฉันพาไปโรงบาลเอง”


    เอิ่ม.. คือ..  ผมก็บอกไปแล้วว่าไม่เป็นไร  แต่เขายังคงยืนกรานจะแสดงความรับผิดชอบด้วยการพาผมไปโรงบาล  แต่ผมคงไม่ไปนะ  ถ้าไปจริงๆ หมอคงแบบว่า


    แผลแค่นี้ต้องมาหาหมอด้วยหรอ?  เว่อร์ไปนิดไหม?  อะไรทำนองนี้


    ก็แผลผมมันไม่ได้ดูร้ายแรงอะไรเลยซักนิดนี่นา


    “ไม่เป็นไรหรอก  ฉันกลับไปทำแผลเองที่บ้านดีกว่า”


    “จะเอางั้นหรอ?”


    “เดี๋ยวฉันก็ปั่นจักรยานกลับไง  บ้านฉันอยู่ในหมู่บ้านนี่แหละ ไม่ไกลเท่าไหร่”


    “งั้นฉันปั่นจักรยานไปส่งแล้วกัน” 


    อึ้งนะครับ  ทำไมเขาถึงได้ดูรู้สึกผิดแล้วอยากจะรับผิดชอบมากมายขนาดนี้เนี่ย  อันที่จริงแค่ชนแล้วไม่หนีก็ถือว่าโอเคแล้ว  นี่นอกจากเขาจะอาสาพาไปโรงพยาบาลแล้ว  ยังจะอาสาพาไปส่งที่บ้านอีก


    คนอะไรเท่ซะ  >.<



    ผมที่ยังคงงงๆ และประหลาดใจกับการที่เขาเดินไปที่รถตัวเองแล้วขับให้จอดไว้ที่ข้างๆ ฟุตบาท  จากนั้นก็ลงมาจากรถแล้วเก็บถุงอาหารแมวที่กระจัดกระจายตามถนน พร้อมตั้งจักรยานไว้ก่อนที่จะขึ้นคร่อมขี่  ก่อนจะส่งสายตามาให้ผมประมาณว่า


    ขึ้นมาสิ


     “นายโอเคไหม? จะให้ฉันพาไปส่งได้ยัง  แล้วหัวนายไม่ได้โดนกระแทกใช่รึเปล่า?”  เขาถามพลางใช้สายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า


    “หัวไม่ได้โดนกระแทกหรอก  มีแค่ถลอกที่ขานี่แหละ”  ผมรู้สึกขัดเขินกับการที่เขาใช้สายตาแบบนั้นสำรวจผม


    “งั้นฉันไปส่งนายที่บ้านแล้วกัน”  เขาบอกพร้อมกับส่งสายตาเป็นเชิงเร่งให้ผมมาซ้อนที่ท้ายจักรยานสักที


    แต่ว่า... แล้วรถของเขาล่ะ?  จะทำยังไง?


    “แล้วรถนายล่ะ?”


     “ก็จอดไว้แถวนี้แหละ  เดี๋ยวฉันค่อยเดินกลับมาเอา หายข้องใจยัง?”


    “...”



    “งั้นก็ขึ้นมาซะ เดี๋ยวพาไปส่งที่บ้าน”


    “อืม” ผมตอบรับในลำคอ  พร้อมกับพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตกลง  ก่อนที่จะขึ้นมานั่งซ้อนท้ายคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันบนจักรยานของตนเอง


    “บ้านอยู่ซอยอะไร?”


    เขาถามขึ้นมาระหว่างที่ปั่นไปได้ไม่ไกลนัก


    “ซอย 13 น่ะ”


    แล้วเขาก็เริ่มต้นปั่นจักรยานเร็วขึ้นทันทีที่ได้รับคำตอบจากผม


    นอกจากซูโฮพี่ชายผมแล้ว  ผมก็ไม่เคยซ้อนท้ายจักรยานใครเลยสักคนนะครับ  ผมเคยชินและชอบปั่นจักรยานคนเดียวมากกว่า  มันทำให้ผมรู้สึกจิตใจสงบ  และยังช่วยบรรเทาความเศร้าให้ผมเวลาที่ผมรู้สึกไม่สบายใจด้วย 


    แต่ทำไมตอนนี้จิตใจของผมมันปั่นป่วนชอบกล  เป็นเพราะคนปั่นจักรยานไม่ใช่พี่ซูโฮหรือเปล่านะ 


    ผมมัวแต่รู้สึกปั่นป่วน  ฟุ้งซ่านแปลกๆ ซะจนไม่ได้เชยชมกับทัศนียภาพข้างทางที่สวยงามของหมู่บ้านนี้อย่างเคย


     “บ้านนายหลังไหนหรอ?”  เสียงคนปั่นถามผู้โดยสารอย่างผมขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ


    “หลังที่รั้วสีขาวนั่นน่ะ” ผมตอบออกไป  ทั้งที่รู้สึกไม่อยากจะตอบคำถามนั้นเลยสักนิด


    ความรู้สึกเหมือนผมยังไม่อยากให้ถึงบ้าน  และอยากจะนั่งซ้อนท้ายจักรยานของคนขับคนนี้ต่อไปอีก


    เขาขับได้นุ่มนวล  และนั่งสบายดีนี่นา


    จักรยานได้ถูกจอดไว้ที่หน้าประตูรั้ว  และผู้โดยสารอย่างผมที่ซ้อนท้ายก็ได้กระโดดลงจากรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


    “ขอโทษนะ”  เขาพูดขอโทษออกมาอีกครั้งกับอุบัติเหตุก่อนหน้านี้  และส่งสายตาบอกว่าเขารู้สึกผิดจริงๆ


    ผมเพียงแค่ส่งยิ้มน้อยๆ กลับไปและพูดว่า


    “ไม่เป็นไร... มันเป็นอุบัติเหตุนี่นา” ^^


    ผมพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มไปให้


    “งั้นฉันต้องขอตัวก่อนนะ  ฉันมีธุระน่ะ” 


    ทำไมผมถึงรู้สึกหงุดหงิดแปลกๆ กับประโยคนี้ เหมือนว่าเขากำลังพูดอะไรไม่เข้าหูผมอยู่


    เขาเดินหันหลังกลับเพื่อจะเดินย้อนกลับไปตามทางที่เรานั่งจักรยานมาด้วยกัน


    เขาคงกลับไปเอารถเขาสินะ


    “เดี๋ยวก่อนอย่าเพิ่งไป!!  ผมตะโกนเรียกเขาเอาไว้  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเรียก


    รู้สึกแค่ว่าอยากจะรู้จักเขา  และอยากจะเจอกับเขาอีก 


    ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นมาตอนที่ผมเห็นป้าย ซอย 13  ของบ้านผม


    เหมือนกับว่า... ไม่อยากให้ถึงบ้าน  ทั้งๆ ที่วันนี้ผมอยากจะรีบกลับมาบ้านขนาดไหน 


    “เอ่อ... นายชื่ออะไรหรอ?”


    “ฉันคิม จงอิน” 


    ไม่รู้ทำไมผมถึงได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นแรงขนาดนี้  นี่ผมเป็นอะไรไป...


    “ฉันโด คยองซูนะ  ยินดีที่รู้จัก  ขอบใจมากที่มาส่งนะ”  ผมพยายามกลั้นยิ้มสุดๆ ที่ได้รับคำตอบที่ต้องการรู้ทันทีที่ถามออกไปแบบนั้น


    “ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษนายนะคยองซู  ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก” 


    “ยังไงฉันก็อยากจะขอบคุณนะ”  ใช่..ยังไงฉันก็ต้องขอบคุณนาย  เพราะนายอุตส่าห์ทิ้งรถตัวเองเพื่อปั่นจักรยานมาส่งฉัน  แถมต้องลำบากเดินกลับไปอีก


    “ก็ตามใจนาย  ว่าแต่อย่าลืมทำแผลด้วยล่ะ”


    “อื้ม.. หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะจงอิน”


    “ฉันก็หวังแบบนั้นนะ”


    สิ้นประโยคสนทนาเหล่านั้น  ผมก็เห็นจงอินค่อยๆ เดินจากไป


    บางทีในวันที่มีแต่เรื่องร้ายๆ  มันก็อาจจะมีเรื่องดีๆ อยู่ด้วยก็ได้ 



    ผมเชื่อแล้วว่า... ใน ความโชคร้าย  มักจะมี  ความโชคดี  เสมอ

     







     

    ……………………………………………………………….




     

    writer  talk : ขอโทษน้าทุกคน~~~  ไรเตอร์หายไปน๊านนานอย่าเพิ่งทิ้งกันนะ  ติดภารกิจมากไปหน่อยเลยไม่ได้มาอัพเลย  แถมตอนนี้เป็นตอนสำคัญของคู่รองด้วย  รู้กันแล้วใช่ไหมว่าเป็นไคโด้ 5555+  ฉากการพบกันของสองคนนี้มันดูโรแมนติกยังไงไม่รู้  แบบว่าแต่งไปเขินเลยอุบัติเหตุปิ๊งรักป่ะเนี่ย 5555+  และสงสัยกันรึเปล่าว่าทำไมต้องซอยที่ 13  ไรเตอร์ก็แบบว่าเอาวันระหว่างวันเกิดคยองซูกับจงอินน่ะ  เลยออกมาเป็นเลข 13 ประมาณนั้น >.< ยังไงฝากติชมด้วยนะคะ  ใครพูดถึงฟิคนี้ในทวิตก็รบกวนแท็ก #ppd ด้วยน้า  จะตามไปอ่านคำติชม อิอิ <3  เจอชานแบคตอนหน้านะคะ~~




     

    :)
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×