คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ( -㉦-)----> Chapter 2 - ความลับกับโจ๊กใส่ไข่
Puppy Doll
Author: mizallsunday
Pairing: Chanyeol ☆ Baekhyun
*Rate: PG13
..................................................
Chapter 2 -- ความลับกับโจ๊กใส่ไข่ --
คือแบบว่า..
ตายห่าแล้วไง
ผมอุทานออกมาอย่างตกใจที่อยู่ๆ คนข้างหน้าผมก็เป็นลมล้มพับไปซะอย่างนั้น ดีที่ผมเร็วพอที่จะรับตัวเขาไว้ได้ก่อนที่จะได้เอาหัวโหม่งโลก ไม่งั้นมีหวังได้เลือดกันบ้างแน่ๆ
ผมค่อยๆ ช้อนคนตัวเล็กกว่าในอ้อมแขนและอุ้มเค้าไปไว้บนเตียงผ้าปูที่นอนใหม่เอี่ยมสีเทายกเซ็ตที่คนในอ้อมแขนเตรียมไว้ให้ผมโดยเฉพาะ
แต่ไหงเขาเองที่เป็นคนได้นอนก่อนผมล่ะเนี่ย
ผมปาร์ค ชานยอล ตอนนี้กำลังสับสนและงุนงงกับเหตุการณ์ประหลาดตรงหน้ามากๆ แบคฮยอนกรีดร้องออกมาก่อนจะเป็นลมล้มพับลงไป
มันเป็นการพบกันครั้งแรกของเราที่ค่อนข้างประหลาดดีแท้
ผมโคตรตกใจเลยให้ตายเหอะ
ตอนนี้ผมนั่งมองใบหน้าเรียวเล็กที่ซีดเซียวจนดูน่าเป็นห่วง และมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผลุดขึ้นตามไรผม
ผมลุกไปยังหน้าต่างและเปิดมันออกเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก แล้วค่อยๆ เอื้อมมือไปปลดกระดุมเสื้อให้แบคฮยอน เพื่อให้เขาได้หายใจสะดวกยิ่งขึ้น
ดีนะที่ผมเรียนลูกเสือมาสมัยประถม ผมเลยจำวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้
แบคฮยอนนี่ผิวขาวเนียนเหมือนกันนะเนี่ย - /// -
เอ่อ... และ ... และผอมมากจนเห็นไหปลาร้าเลย
แฮะๆ
ผมสำรวจไปรอบๆ ห้องใหม่ที่ผมจะใช้ชีวิตอยู่อีกนานเป็นปี ก่อนที่จะเดินออกจากห้องและลงบันไดไปแถวโซนครัวเพื่อหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาลเบื้องต้นในบ้านหลังนี้
ผมมองไปรอบๆ บริเวณบ้านขณะที่เดินลงบันไดไป บ้านหลังนี้ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก แต่ผมว่ามันก็ใหญ่เกินไปสำหรับแบคฮยอนที่ใช้ชีวิตอยู่คนเดียวล่ะนะ
เฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์นครบเซต ทั้งโซฟา โต๊ะ รวมถึงบรรดาตู้โชว์ต่างๆ ซึ่งเข้ากันได้ดีกับชุดโฮมเธียร์เตอร์ขนาดมหึมาในห้องนั่งเล่นนี้ และพรมหลังหนาสีน้ำตาลตัดสีดำที่เข้ากันได้ดี
ผมเหลือบไปเห็นกรอบรูปมากมายบนชั้นวางของ ดูแล้วน่าจะเป็นรูปครอบครัวของแบคฮยอน ในรูปคงเป็นพ่อแม่ พี่ชาย และแบคฮยอนสินะ
‘ พ่อแม่แบคฮยอนท่านเสียไปตั้งแต่แบคฮยอนอายุ 8 ขวบเอง กูจำได้ว่าแบคฮยอนร้องไห้จนป่วยต้องเข้าโรง’ บาลเลย’
คำบอกเล่าของจงอินเพื่อนผมเด่นชัดเข้ามาในความทรงจำ
คนพี่นี่หน้าตาคล้ายพ่อมาก และแบคฮยอนนี่คงได้แม่มาเยอะทีเดียว
แต่แบคฮยอนเคยอ้วนมาก่อนหรอเนี่ย?
อ้วนจ้ำหม้ำ น่ารักแฮะ >_<,
แต่ปัจจุบันนี่ผอมลงเยอะเลย ตอนที่อุ้มเขาไว้เมื่อกี้นี่ ผมแทบไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะตัวเบาขนาดนั้น
ก่อนที่ผมจะจินตนาการและพรรณนาถึงรูปร่างแบคฮยอนไปมากกว่านี้ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมต้องไปหาอุปกรณ์ปฐมพยาบาล ไม่ใช่มามัวเดินชมบ้านและคิดอกุศลอยู่แบบนี้
คิดได้ดังนั้นก็รีบกุลีกุจอเข้าไปหาของที่ต้องการในโซนห้องครัว แล้วไปสะดุดตากับตู้ยาสามัญประจำบ้านพอดี
ผมรีบเดินไปเลื่อนบานตู้กระจกเพื่อหายาจำพวกแอมโมเนียไปให้คนที่นอนสลบอยู่ข้างบนบ้าน
...
....
......
เวลาผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมง คนตัวเล็กที่หมดสติไปก็ฟื้นขึ้นมา แพขนตายาวกระพริบเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ ลืมตา เขามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเบิกตาโพลงเมื่อสบตาเข้ากับผม
แบคฮยอนค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นมาพิงกับหัวเตียง ก่อนจะมองไปรอบๆ ห้องอย่างหวาดระแวง
ผมส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้ ^__^
เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยและยิ้มตอบผมกลับมา
ผมเดินไปนั่งที่ข้างเตียงและถามถึงอาการของเค้า
“เป็นยังไงบ้างแบคฮยอน”
ผมเลือกที่จะข้ามคำถาม “ทำไมถึงเป็นลม?” นี่ไปก่อน
เพราะดูเหมือนว่าการที่เค้าล้มตึงไปแบบไม่รู้ตัว และร้องเสียงดังขนาดนั้น มันเป็นอะไรที่ดูไม่ค่อยปกติ
ผมนึกถึงสาเหตุหลายอย่าง... แต่สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ
ตุ๊กตาหมาขนปุกปุยสีขาวที่ผมแบกมันข้ามน้ำข้ามทะเลมา เพื่อให้เป็นของขวัญแก่เจ้าบ้านที่ผมจะมาอาศัยอยู่ด้วยที่ดูจะเป็น เหตุผล ที่ไม่ค่อย สมผล ซักเท่าไหร่
และมันมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับไอเจ้าตุ๊กตาตัวนี้
แต่ผมเลือกที่จะให้เจ้าตัวเป็นฝ่ายบอกเองจะดีกว่า
“เอ่อ..ไม่เป็นไรแล้วล่ะ”
แบคฮยอนตอบมาแบบนั้น ทั้งๆ ที่สีหน้าไม่ได้บ่งบอกถึง ความไม่เป็นไร เลยซักนิด
“นายแน่ใจนะ” ผมถามออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ต้องการคำตอบหรือคาดคั้นอะไร
“งั้นนอนพักซักแปบดีไหม?” ผมพูดพลางนึกได้ว่านี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว น่าจะได้เวลาอาหารกลางวันพอดี
ผมปิ๊งไอเดียเรื่องอาหารกลางวันขึ้นมาทันที
“ขอยืมครัวหน่อยได้ไหม?” ผมเอ่ยถามเจ้าของบ้านเพื่อยืมสถานที่ก่อนจะบอกถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง
“....” แบคฮยอนมองผมอย่างสงสัย และเอียงคอเล็กน้อย และภาพที่เห็นมันก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่าแปลกๆ
“เห็นใกล้เที่ยงแล้ว..ก็เลยจะทำอาหารให้กินน่ะ” แบคฮยอนยิ่งทำหน้าสงสัยมากขึ้นกว่าเดิม และตาเป็นประกายทีเดียว ก่อนที่เค้าจะยิ้มออกมาจนตาหยี
“ใช้ได้สิ ตามสบายเลย ต่อไปบ้านหลังนี้ก็เหมือนบ้านของนายเหมือนกันแหละ”
“อื้ม..ขอบคุณนะ” ผมยิ้มตอบรับเค้าออกไป “งั้นก็ฝากเนื้อฝากตัวอีกครั้งนะ”
“อืม.. มีนายอยู่เป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน” รอยยิ้มที่ดูน่ารัก และบรรยากาศรอบตัวเขาที่เปล่งประกายจนทำให้ผมต้องเผลอยิ้มตามไปอีกครั้ง
“เอ่อ.. อันที่จริงครัวที่นี่ก็เหงามานานแล้วล่ะ ฝากนายช่วยเป็นเพื่อนกับมันหน่อยนะ”
“ไม่ค่อยทำอาหารกินเองหรอ?”
“ใช่ พี่ชายกับฉันทำอาหารกันไม่ค่อยเก่งน่ะ เต็มที่ก็ต้มราเมนกับพวกเมนูไข่น่ะ” นี่แสดงว่าแบคฮยอนก็ทำอาหารไม่เป็นน่ะสินะ
“งั้นต่อไปนี้นายก็ต้องฝากท้องกับฉันแล้วล่ะ ฉันนี่พ่อครัวหัวเห็ดเลยนะ ฮ่าฮ่าฮ่า”
“งั้นผมพยอน แบคฮยอน ขอฝากท้องตั้งแต่วันนี้เลยนะครับ” แบคฮยอนพูดพร้อมทำมือตะเบ๊ะที่หัวคิ้วและทำหน้าตาจริงจัง ก่อนที่จะหลุดหัวเราะออกมา
“ได้เลยครับ ตั้งแต่วันนี้ผมจะเป็นทั้งเพื่อน ทั้งห้องครัว ให้คุณเลยครับคุณแบคฮยอน” ผมพูดพลางตะเบ๊ะมือที่หัวคิ้วตอบแบคฮยอนกลับไป แล้วเราสองคนก็ระเบิดหัวเราะออกมาพร้อมกัน
สิ่งที่ผมพูดออกมาทั้งหมดนั้น ผมพูดออกมาจากความรู้สึกจริงๆ ซึ่งมันเป็นนิสัยของผมที่มักจะสนิทและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย
เพราะงั้นคงไม่แปลกใช่ไหม... ที่ผมจะถูกชะตาเพื่อนใหม่คนนี้เข้าซะแล้ว
“งั้นเดี๋ยวไปทำอะไรให้กินแล้วกัน ตู้เย็นนายมีอะไรบ้างอ่า?”
“ไม่รู้สิ นายลองไปรื้อดูเอาเองล่ะกัน ฮ่าฮ่าฮ่า”
“โอเค” ผมพูดก่อนที่จะรีบวิ่งลงไปด้านล่าง เพื่อตระเตรียมอาหารมื้อนี้อย่างเร็ว เพราะไม่อยากให้คนบนห้องต้องรอนาน และนี่ก็เป็นอาหารมื้อแรกของผมกับเพื่อนใหม่คนนี้ด้วย เลยอยากจะทำให้ประทับใจซักหน่อย
ผมวิ่งลงบันไดตรงไปยังห้องครัวของบ้านหลังนี้อีกครั้ง พร้อมความมุ่งมั่นและความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับอาหารมื้อนี้ และหวังอย่างมากว่าเพื่อนใหม่คนนี้จะประทับใจกับมัน
แต่ที่ผมมั่นใจแน่ๆ เลย คือ แบคฮยอนต้องปลื้มกับ อาหาร มื้อนี้ของผม มากกว่า เจ้าตุ๊กตาหมา ตัวนั้นอย่างแน่นอน
......................................................................
ความทรงจำในชีวิตของคนเรา... อาจจะมีทั้ง ความทรงจำที่ดี และ ความทรงจำที่ไม่ดี
คนที่มีความทรงจำที่ดีมาก นั่นอาจจะน่าอิจฉาที่สุด และคนที่มีความทรงจำที่ไม่ดีเยอะก็น่าสงสาร
แต่คนที่ไม่มีความทรงจำเลยนี่สิ อาจจะเป็นคนที่น่าสงสารที่สุดก็ได้...
ผมรู้สึกตัวขึ้นมาหลังจากที่ตกใจ และล้มหมดสติไป
ตอนนี้ผมกำลังนั่งพิงกับหัวเตียงบนเตียงของเพื่อนใหม่ ซึ่งผมมีโอกาสได้นอนเตียงบนผ้าปูที่นอนชุดใหม่ก่อนเจ้าของซะแล้ว
ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้
ใช่ครับ ไอตุ๊กตาหมาบ้านั่นแหละ
ผมก็ไม่รู้ทำไม... ผมถึงรู้สึกกลัวและไม่กล้าเข้าใกล้มันมากขนาดนี้
ผมจำได้แต่ว่า ตอนเด็กๆ ผมรักมันและชอบมันมาก แต่มันทำให้ผมนึกถึงวันที่พ่อและแม่ของผมต้องจากไป ผมจำได้เพียงเลือนรางว่า ผมนั่งกอดตุ๊กตาเจ้าหมาน้อย ที่พ่อและแม่ให้เป็นของขวัญในวันเกิดครบรอบ 8 ขวบของผม
ผมนั่งกอดมันและร้องไห้ไม่หยุด เมื่อรู้ว่าพ่อแม่ประสบอุบัติรถคว่ำ และยิ่งร้องไม่หยุดในตอนที่พี่ชายเดินเข้ามากอดผมและบอกว่า...
พ่อแม่พวกเราไปสวรรค์แล้วนะ
ตอนนี้ผมรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลลงมาตามแก้ม
ความทรงจำที่ผมอยากจะลืม... แต่ผมก็ทำมันไม่ได้
สายตาผมเหลือบไปรอบๆ ห้อง เพื่อให้ตัวเองมั่นใจว่าไม่มีตุ๊กตาหมานั่นอยู่ในสายตาของผม แต่ผมก็อดนึกกลัวไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าเพื่อนใหม่ของผม ชานยอล จะเอามันไปเก็บหรือเอาไปทิ้งไว้ที่ไหน
ตอนนี้ผมอยากจะให้ชานยอลรีบๆ ทำอาหารที่เขาอาสาจะไปทำรีบทำให้เสร็จเร็วๆ และขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนผม
เพราะตอนนี้ผมรู้สึกอ่อนแอ และไม่อยากอยู่คนเดียวในห้องนี้ ทั้งที่ยังไม่มั่นใจว่าเจ้าตุ๊กตานั่นอยู่ในห้องนี้หรือไม่
ผมพยายามจะฝืนยิ้มให้กับตัวเองและพยายามหยุดน้ำตาที่ไหลออกมานี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ชานยอลจะกลับขึ้นมา
อย่างน้อยตอนนี้สิ่งที่ทำให้ผมอุ่นใจก็คือ ชานยอล
เขาดูเป็นคนดีและดูพึ่งพาได้
เขาดูอบอุ่น ใจดี และเข้ากับผมได้
อีกอย่างเซ็นส์ของผมมันบอกว่าเขาน่ะเป็นคนดี
ถึงคนเราจะดูที่หน้าตา หรือตัดสินกันไม่ได้ในช่วงเวลาแปบเดียวก็เถอะ
แต่จงอินก็การันตรีมาแล้วนี่นา ว่าเพื่อนเขาปาร์ค ชานยอลเป็นคนดีจริงๆ
ถึงชานยอลจะยังเชื่อใจไม่ได้ แต่ผมเชื่อใจจงอินนะ เพราะเขาเป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจที่สุดเลย ^^
ความจริงจงอินก็อยากจะมาอยู่กับผมนะ แต่ผมปฏิเสธไป เพราะว่าไม่อยากทำให้เขาต้องเป็นภาระกับครอบครัว เพราะผมคงไม่ได้ให้อยู่ฟรีๆ ผมต้องการเงินเพื่อใช้และเก็บออมไว้ เพราะตัวผมเองก็ไม่อยากจะรบกวนพี่ชายตัวเองมากนัก
ก๊อก... ก๊อก... ก๊อก..
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่ผมจะเห็นปาร์ค ชานยอลถือถาดอาหารในมือขวา และใช้มือซ้ายเปิดประตูเข้ามา
กลิ่นหอมๆ ของโจ๊กอบอวลไปทั้งห้องเมื่อชานยอลถือถาดใบนั้นเข้ามา
ชานยอลวางถาดที่มีโจ๊กใส่ไข่อยู่สองชาม มันเป็นโจ๊กที่ไม่มีเครื่องอะไรเลย นอกจากไข่แดงๆ ที่อยู่บนโจ๊กขาวๆ นั่น และหมูที่มากับโจ๊กในซอง
มันคงเป็นซองโจ๊กหมูกึ่งสำเร็จรูปที่ผมกับพี่ชอบซื้อตุนเอาไว้ที่บ้านนั่นแหละ
จ๊อก.. จ๊อก.. ~~
เสียงท้องร้องประท้วงออกมา เมื่อทนไม่ไหวกับกลิ่นหอมที่ส่งกลิ่นอบอวลไปทั่วทั้งห้อง ผมรู้สึกเขินจนต้องหลบสายตาชานยอลที่มองกลับมาพร้อมใบหน้าที่กลั้นยิ้มเอาไว้
“หิวแล้วใช่ไหม?” ชานยอลถามพร้อมกับส่งยิ้มโชว์ฟันสวยๆ ของเขา
“ก็นิดนึงอ่า.. ฉันยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เช้าน่ะ”
ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเขินแปลกๆ เมื่อชานยอลส่งสายตาที่เหมือนกำลังพิจารณาอะไรบางอย่างจากผม เหมือนเขาต้องการอยากจะรู้ความจริงบางอย่าง เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยออกมา
ในใจผมก็รู้นะครับว่าชานยอลต้องสงสัยเกี่ยวกับเรื่องของผมแน่ๆ เป็นใครก็ต้องสงสัยใช่ไหมครับ ว่าทำไมอยู่ดีๆ ก็เป็นลมล้มไปแบบนั้น คนที่ไม่สงสัยนี่สิแปลก
“นายมีอะไรจะบอกฉันหรือเปล่า?” จู่ๆ ชานยอลก็พูดโพล่งขึ้นมา ทำผมสะดุ้งสุดตัวเพราะตกใจที่อยู่ๆ เขาก็ถามออกมาแบบนั้น
“เอ่อ..คือไม่มีอะไรนี่ นายหมายถึงอะไรหรอ?”
ชานยอลจ้องเขม็งเข้ามาในตาของผมอย่างคาดคั้นถึงคำตอบ
“ก็ที่นายเป็นลมล้มไปน่ะ นายเป็นอะไร?” เหมือนว่าคำถามของชานยอลค่อยๆ ไล่ต้อนผมให้จนมุมไปเรื่อยๆ จนผมรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมานิดๆ
“ฉันก็ไม่ได้เป็นไรนี่ ก็เอ่อ.. คือ” ผมพยายามนึกเหตุผลอะไรก็ได้ เหตุผลที่ทำให้คนตรงหน้ายอมเชื่อในสิ่งที่ผมจะบอก “ฉันไม่ได้กินข้าวเช้า ก็เลย... เอ่อ...อ.. หน้ามืดเป็นลมไปน่ะ”
“แต่ดูเหมือนนายจะกลัวตุ๊กตาหมาของฉันนะ มีอะไรรึเปล่า?” ชานยอลยังคงไม่เชื่อเหตุผลที่ผมโมเมขึ้นมา ยิ่งตอนนี้เขาเอ่ยชื่อไอตุ๊กตาหมาบ้านั่นออกมาจากปากอีก มันทำให้ผมรู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
ผมเลือกที่จะหลบสายตาของชานยอลที่จ้องมองมา และเลือกที่จะโกหกออกไปอีกครั้ง
“ฉันไม่ได้กลัวไอตุ๊กตาบ้านั่นซักหน่อย ไม่เกี่ยวกันเลย” ผมยังรู้สึกได้ถึงสายตาของชานยอลที่ยังคงจ้องมองมาที่ผมแม้ผมจะหลบสายตาเขาไปแล้วก็ตาม เหมือนเขาจะพยายามเค้นเอาความจริงจากผมให้ได้
“งั้นหรอ?? งั้นฉันก็เอามันมาให้นายได้น่ะสิ ฉันซื้อมันมาให้นายโดยเฉพาะเลยนะ” พูดจบชานยอลก็ทำท่าจะลุกออกจากเตียงและจะเดินตรงไปที่ไหนซักที่ในห้องนี้
ผมรีบรั้งชานยอลไว้อย่างรวดเร็ว
“อย่า.. อย่านะ!!” ผมตกใจและรู้สึกหวาดกลัวจนเผลอตะโกนออกไปเสียงดัง
ผมเห็นท่าทีที่ตกใจของชานยอลก่อนที่จะรีบปล่อยมือที่รั้งชานยอลไว้
“ทำไมล่ะ?” ชานยอลยังคงถามไม่เลิก เหมือนชานยอลจะตะขิดตะขวงใจในเหตุผลของผม
ผมว่าเค้ารู้ เหตุผล นะ เพียงแต่เขาอาจจะยังไม่แน่ใจ
“คือ..ฉัน.. คือ..ว่า..”
ชานยอลเหมือนทำท่าจะลุกขึ้นมาอีกครั้งเพื่อไปหยิบไอเจ้าตุ๊กตานั่นมาให้ผม
ความหวาดกลัวเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจของผม อีกใจนึงก็กลัวว่าคนตรงหน้าจะหาว่าตัวเขาประหลาดที่กลัวอะไรไม่เข้าท่า
ผมตัดสินใจตะโกนบอกสิ่งที่ผมกลัวมันออกไป เพราะทนกับความอึดอัดแบบนี้ไม่ไหว
"ฉันกลัวตุ๊กตาหมาน่ะ!!"
สิ้นคำบอกกล่าวนั้น ผมยังคงหลับตาแน่น และรู้สึกถึงเหงื่อที่ท่วมไปทั้งตัว และมือก็ยังคงรั้งข้อมือของชานยอลไว้ไม่ให้ไปไหน
ผมหลับตาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้สึกถึงมืออุ่นๆ ที่กุมมือผมเอาไว้...
ผมจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
ภาพตรงหน้าที่ผมคิดว่าจะเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกใจ หรือสายตาล้อเลียนจากเขา กลับกลายเป็นสายตาที่แสนอบอุ่นและรอยยิ้มสดใสที่ส่งมาให้แทน
“ก็แค่นั้น” ชานยอลพูดออกมาแค่นั้น ก่อนที่จะกระชับมือที่กุมมือผมไว้แน่นขึ้นคล้ายจะปลอบใจ
“นายว่ามันแปลกไหม?” ผมพูดพลางก้มหน้าก้มตาไม่กล้าสบสายตากับชานยอล
ไม่รู้ว่าผมกลัวคำตอบจากเขา หรือว่าผมรู้สึกเขินที่เขาจับมือผมไว้กันแน่
“ถ้าบอกว่าไม่แปลกก็คงจะโกหกล่ะนะ ฉันว่าคนเราก็มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป”
“....”
“ทุกคนก็มีสิ่งที่ตัวเองหวาดกลัวกันทั้งนั้น”
ผมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองคนตรงหน้า เพราะรู้สึกว่าความหวาดกลัวค่อยๆ ลดลงไป กับคำพูดสองประโยคนั่นของเขาที่เหมือนจะทำให้ใจของผมค่อยๆ สงบลง
“แต่ฉันกลัวตุ๊กตาหมานะ นายว่ามันไม่ตลกหรอ” ไม่รู้ว่าเพราะอะไรผมจึงถามเขาออกไปแบบนั้นด้วยท่าทีที่สบายๆ มากขึ้นเหมือนเพื่อนที่รู้จักกันมานาน ทั้งๆ ที่เราเพิ่งจะรู้จักกันและเจอกันครั้งแรกเท่านั้น
แต่ความรู้สึกของผมมันบอกว่าคนตรงหน้านี้ ปลอดภัย
“แล้วทำไมนายถึงกลัวมันล่ะ?”
ชานยอลถามออกมา แต่คราวนี้ดูเหมือนเขาไม่ได้คาดหวังคำตอบจากผมมากนัก
“ฉันมีความทรงจำไม่ดีกับมันน่ะ พอเห็นมันแล้วนึกถึงวันที่พ่อแม่เสียไป” ผมก้มหน้าลงอีกครั้ง รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหลลงมายังไงยังงั้น
“ขอโทษจริงๆ นะแบคฮยอน ฉันไม่รู้น่ะ เกือบทำให้นายต้องเป็นอันตรายซะแล้ว”
ชานยอลพูดอย่างหงอยๆ ราวกับรู้สึกผิดกับเรื่องนี้มากๆ
แต่รู้ไหมว่าผมไม่โกรธหรอกนะ... ก็เพราะว่าเขาไม่รู้นี่นา
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องที่ฉันกลัวมันก็ไม่มีใครรู้นะมีแค่พี่ชายของฉันเท่านั้นที่รู้ แม้แต่จงอินก็ไม่รู้”
“งั้นฉันก็เป็นผู้กุมความลับด้วยอีกคนน่ะสิ ฮ่าฮ่าฮ่า” >0<
ชานยอลหัวเราะออกมาราวกับว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ แต่มันก็ทำให้ผมโล่งใจขึ้นนะ การที่เขารู้ถึงความลับของผมแบบนี้มันก็อาจจะทำให้เราสนิทกันได้ไว และผมก็จะรู้สึกปลอดภัยขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลแล้วว่าเขาจะพาไอตุ๊กตาบ้านั่นเข้ามาที่บ้านเมื่อไหร่
เพราะต่อไปนี้เราจะใช้ชีวิตอยู่ใต้ชายคาเดียวกันแล้ว...
“แล้วทำไมนายไม่บอกจงอินล่ะแบคฮยอน”
คำถามของชานยอลทำให้ผมรู้สึกแปลกใจกับตัวเอง
นั่นสินะ ทำไมผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับจงอิน
ผมคิดว่าโอกาสที่จะบอกจงอินยังมาไม่ถึง และอีกอย่างความลับคนยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ยิ่งดี
“ก็ไม่มีโอกาสจะบอกน่ะ เลยยังไม่ได้บอกเลย แฮะๆ ” ^^;
“งั้นเอาเป็นว่าฉันจะช่วยเก็บความลับนี้ไว้แล้วกันนะ แล้วไอเจ้าตัวนั้นไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันจะเอามันไปกำจัดทิ้งนะ” ^__^
“ขอบคุณนะชานยอล” ‘^^’
“ไม่เป็นไรหรอกแบคฮยอน” ^++^
แล้วเราสองคนก็หัวเราะกันงุ้งงิ้งอยู่แบบนั้นจนกระทั่ง..
จ๊อกกก.. จ๊อกกก... ~~
เสียงประท้วงร้องเรียกอาหารดังขึ้นอีกครั้ง เพราะโจ๊กหมูที่ยังคงส่งกลิ่นหอมลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง พอหมดเรื่องกังวลใจ เรื่องสำคัญที่รองลงมาคงไม่พ้นเรื่องกินล่ะครับ
ชานยอลมองผมด้วยสายตาประหลาดเหมือนสัตว์ประหลาด ก่อนจะหัวเราะดังขึ้นมากกว่าเดิม
“ฮะฮะ..เอ่อ..ถ้าหิวก็กินกันเลยนะ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะกันเลยนะ ก็คนมันหิวนี่นา ตื่นมาจัดของทำความสะอาดบ้านเพื่อนายจนลืมกินข้าวเลยเนี่ย ยังมีน่ามาขำกันอีก" - 3-;
“ขอโทษๆ ก็นายน่ารักดีนี่นา ตลกด้วย ฮ่าฮ่าฮ่า”
ปาร์ค ชานยอล ไอหูกางเอ้ย หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้เลยนะ!!!
ผมได้แต่ก่นด่าในใจเพราะไม่กล้าพูดมันออกมา
“นายก็หัวเราะต่อไปนะ ฉันกินก่อนก็แล้วกัน” ได้ผลครับ นายหูกางหยุดหัวเราะทันควัน แต่เหมือนจะยังกลั้นขำเอาไว้ไม่อยู่
“โทษที กินกันเลยก็ได้ ว่าแต่บ้านนายไม่มีอะไรติดครัวเลยนะ ฉันค้นแล้วเจอแค่โจ๊กซองกับไข่ในตู้เย็นเอง เลยได้ออกมาเป็นเมนูนี้แหละ”
ผมว่าชานยอลนี่ก็ตลกเหมือนกันนะ เขาดูจริงจังกับเรื่องที่ทำ ไหนจะสายตาที่ออดอ้อนราวกับสัตว์เลี้ยง และรอยยิ้มที่ถ้าใครเห็นเป็นต้องยิ้มตามได้เลย นี่เขาเป็นแฮปปี้ไวรัสหรือยังไง?
“ขอโทษนะที่ไม่มีอะไรติดครัวไว้เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก นี่ๆ โจ๊กหมูใส่ไข่ฝีมือพ่อครัวปาร์คสุดหล่อเลยนะ” >++<
นอกจากชานยอลจะตลกแล้ว ยังเป็นพวกหลงตัวเองด้วยหรอเนี่ย - -*
“ถือว่าเป็นอาหารต้อนรับฉัน แล้วก็เป็นของขวัญแทนไอเจ้าหมาตัวนั้นนะ”
“เอ่ออ..อืมม” ผมตอบรับในลำคอก่อนจะลุกออกจากเตียงแล้วไปนั่งข้างโต๊ะเขียนหนังสือใกล้ๆ ชานยอล
ก่อนที่ผมจะนั่งกิน โจ๊กใส่ไข่ ฝีมือเขา และเปิดใจรับเขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตพร้อมกับฝากความลับที่แปลกประหลาดของผมเอาไว้ด้วย
ความทรงจำในวันนี้... แม้ว่าจะดูแย่ที่มีใครมาล่วงรู้ ความลับ ของผม
แต่เพราะเป็น ปาร์ค ชานยอล คนนี้ เพราะงั้นคงไม่เลวร้ายเท่าไหร่
และอีกอย่าง โจ๊กใส่ไข่ ชามนี้ก็อร่อยสุดๆ ไปเลยด้วย
ผมคงลืมอาหารมื้อนี้ไม่ลงเลยทีเดียว...
..........
writer talk: มาต่อให้แล้วนะคะ เสาร์ - อาทิตย์ที่ผ่านมาไรเตอร์ติดภารกิจมากมายเลยไม่มีเวลาเลย แต่อัพแล้วนะหวังว่าคงจะชอบกันนะคะ เจอกันตอนหน้าถึงเวลาคู่รองแล้วค่ะ อิอิ รักคนอ่านทุกคนนะคะ แต่รักคนเม้นท์มากกว่านิดนึง \(> ㉦<)
ความคิดเห็น