วันเวลาดีๆที่ได้กำเนิดเด็กหนุ่มคนหนึ่งในท่ามกลางครอบครัวใหญ่ทั้งทางฝั่งพ่อ และครอบครัวใหญ่ทางฝั่งแม่ แต่เหมือนชะตาของเขาจะถูกกำหนดให้ชีวิตนั้นต้องดำเนินไปด้วยการต่อสู้ ไมว่าจะก้าวย่างไปทางไหน ในความทรงจำของเขานั้นคือต้องทำงาน ต้องดิ้นรน ต้องประหยัด ต้องเล่นคนเดียว แต่ด้วยความที่เขายังเด็ก เขาไม่รู้หรอกว่าความลำบากคืออะไร สิ่งที่ทำอยู่มันเหนื่อยไหม คิดเพียงว่าจะหาความสนุกหรือความสุขจากสิ่งที่ทำได้อย่างไร
ในแวดล้อมที่เขาอาศัยอยู่นั้น เขาไม่เคยรู้เลยว่าใครที่ดี ใครที่ไม่ดี ใครจริงใจ ใครไม่จริงใจ แต่เขานั้นมักจะได้รับความสงสารจากญาติๆของเขาเสมอ
จำความได้เขาก็ต้องช่วยเหลืองานที่บ้านทุกอย่างตั้งแต่การก่อเตาถ่าน ตักน้ำจากบ่อมาใส่เตรียมไว้ในตุ่ม ล้างจาน ซักผ้า หรือคิดง่ายๆก็คือ เขาต้องหัดดูแลและรับผิดชอบตัวเอง เพราะพ่อและแม่จะต้องทำงานหารายได้เพื่อให้มีเงินมาใช้กินใช้จ่ายอยู่ทุกวัน แต่เมื่อว่างจากงานที่ต้องรับผิดชอบเขาก็มักจะหายไปเล่นที่ใต้ถุนบ้านที่มีความสูงเพียง 3 ฟุต และก็นั่นอีกแค่ความสูงเพียงเท่านั้น จะมีอะไรให้เล่น แต่เขามีเพื่อนเล่น คือ แมงซ้าง ขุดๆ จับจากหลุมนี้ไปใส่หลุมนั้นบ้าง นั่งมองแมงพวกนั้นขุดหลุมบ้าง เด็กก็คือเด็ก ไม่รู้หรอกว่าความสุขที่มากกว่านั้นมันคืออะไร และต้องทำอย่างไรถึงจะได้ความสุขนั้น
เวลาผ่านมาจนเข้าเรียนชั้นประถม ได้เริ่มรู้จักเพื่อนใหม่ ได้รู้ว่าการที่ไม่ต้องเล่นคนเดียวมันสนุกแค่ไหน และนั่นมันทำให้เขาไม่เคยหยุดเรียนเลยถึงแม้ว่าเขาจะป่วย เพียงเพราะอยากมีเวลาเล่นกับเพื่อนๆ และได้มีคนที่ให้ความรักเขาเพิ่มขึ้น นั่นคือคุณครูทุกชั้นปีที่ได้รู้จักเขา ได้เงินมาโรงเรียนสูงสุดวันละ 5 บาท ต่ำสุดก็ 2 บาท วันไหนที่ได้ 5 บาท ก็จะมีเหลือไปหยอดออมสิน 2 บาท แต่ถ้าวันไหนได้ 2 บาท วันนั้นก็จะเดินกลับบ้านเพื่อประหยัดค่ารถสองแถว (โรงเรียนอยู่ห่างจากบ้าน 2 กิโลเมตร เดินเล่นไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึง) ส่วนเรื่องอาหารกลางวันเขาห่อใส่กระอับมากินถ้าวันไหนที่มีกับข้าว แต่ถ้าไม่ ก็มาอาศัยที่โรงเรียน ตั้งแต่ชั้นประถม1 จนถึงชั้นประถม6 ทุกการดำเนินชีวิตของเขาก็ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลง แต่กลับมีภาระที่เพิ่มมากขึ้นโดยเขาเองนั้นก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธได้ที่จะทำมัน เพราะมันต้องทำ
ก้าวสู่ชั้นมัธยม เขาได้เรียนโรงเรียนประจำอำเภอแต่ไม่ได้เดินทางไปเรียนยังโรงเรียนแม่ เพียงแต่เรียนอยู่ที่โรงเรียนสาขาใกล้บ้าน เพราะเดินมาเรียนได้ระยะทางเพียง 300 เมตร เพื่อนเดิมจากชั้นประถมบางส่วนก็เรียนที่เดียวกัน และก็มาได้เพื่อนใหม่ที่ไม่เคยพบหน้ากันเพิ่มขึ้น และได้ทำกิจกรรมต่างๆของทางโรงเรียนมากขึ้น นำพารางวัลมายังโรงเรียน และรางวัลที่มีคุณค่าให้กับตัวเอง ได้เป็นนักเรียนดีเด่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ดีเด่น เยาวชนดีเด่น กตัญญูดีเด่น ยังคงเป็นที่รักใครของเพื่อนและคุณครู เติบโตขึ้นแต่ภาระที่ต้องรับผิดชอบก็ยังคงต้องดำเนินไป อารมณ์และความรู้สึกของเขาได้เริ่มเปลี่ยนไป จากเด็กที่เคยร่าเริง ก็เริ่มจะเป็นเด็กที่ขี้อาย ชอบเก็บตัว ไม่ชอบการตอบคำถาม ถูกล้อปมด้อยบ่อยครั้งจากคนใกล้ตัว จะหันไปคุยหรือไปปรึกษากับใครก็ไม่มี มันยิ่งทำให้เขาเริ่มคิด เริ่มเหงา เริ่มที่ต้องการจะมีความอบอุ่น
จุดเปลี่ยนอีกหนึ่งที่ได้เปลี่ยนทั้งชีวิตและความรู้สึกของเขาคือเมื่อจบชั้นมัธยม3 เขาได้ถูกเพื่อนชวนให้ลองไปสอบเข้าเรียนอาชีวะที่ต่างจังหวัด นั่นคือการเดินทางออกต่างจังหวัดของเขาเป็นครั้งแรกด้วยวัย 15 ปี ต้องจากครอบครัวไปอยู่กับเพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่วัยประถมกันเพียง 2 คน ด้วยที่เกรดเฉลี่ยของเขานั้นสามารถเข้าเรียนได้เลยโดยไม่ต้องสอบ เขารู้สึกดีใจและตื่นเต้นที่จะได้เรียน แต่ก็ต้องห่อเหี่ยวใจเมื่อรู้ว่าจะต้องจ่ายค่าเทอม เทอมละ 8,500 บาท เพราะการเงินของที่บ้านเขานั้นไม่พร้อมกับค่าใช้จ่ายพวกนี้เลย **ลืมบอกไปว่าเป็นครอบครัวใหญ่ทั้งทางครอบครัวฝั่งพ่อ และครอบครัวฝั่งแม่ แต่ครอบครัวเขาไม่ได้มีกินมีใช้เหมือนคนอื่น บ้านที่อาศัยอยู่ตั้งแต่เด็กก็ใช่ว่าจะเป็นบ้านของครอบครัวเขาไม่** แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ได้เรียนเพราะตาของเขาอยากให้เขาได้เรียนหนังสือจึงเอ่ยปาก "ให้มันเรียนไป เดี๋ยวค่าเรียนจะเป็นคนออกให้"
เขาได้ใช้เวลาเรียนอยู่ 5 ปี คือชั้นปวช. และชั้นปวส. ภายใต้ภาระที่เขาต้องทั้งทำงานหาเงินมาจ่ายค่าหอพัก ค่ากิน และค่าเทอม ที่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องหาเองไม่เคยได้รับการช่วยเหลือจากใครเลยแม่แต่สลึง เลิกเรียนก็ต้องนั่งสองแถวเข้าเมืองไปทำงานในห้าง เป็นพนักงานขายของร้านหนึ่งในห้าง แต่โชคดีที่เจ้และเฮียให้ความเอ็นดูเขาและไว้ใจให้เขาดูแลทุกอย่างในร้าน ได้ค่าตอบแทนหลังเลิกเรียนเดือนละ 2,700 บาท เขาก็ต้องเก็บไว้ ใช้ให้น้อยที่สุด มากสุดที่จะใช้กินได้ฟุ่มเฟือยได้เพียงแค่เดือนละ 500 บาท แต่ก็อีกครั้ง ยังโชคดีที่เขายังหาความสุขได้จากเพื่อนของเขาและกิจกรรมของโรงเรียนที่เขาได้ทำเพื่อให้เขาไม่ต้องคิดเรื่องที่ไม่ควรจะคิด สุดท้ายเขาก็สามารถเรียนจนสำเร็จชั้น ปวส.ด้วยความรับผิดชอบของเขาเอง
จบแล้วจะทำอะไรต่อตอนนั้นเขาไม่ได้คิดอะไรเลย แต่แว๊ปแรกที่คิดได้คือ บวชก่อนแล้วค่อยคิดทำอย่างอื่น เขาได้ตัดสินใจบอกพ่อและแม่ว่าจะบวชให้ แต่เพียง 15 วัน แม่ดีใจแต่ที่มากกว่าคือพ่อของเขาดีใจอย่างที่สุดด้วยทุกการกระทำที่แสดงออกมา เพราะพ่อเองก็คงไม่ได้คาดคิดว่าลูกชายของเขาจะคิดบวชให้เขา เพราะเขาและลูกชายนั้นไม่ค่อยได้คุยกันเลย ตั้งแต่เด็กจนโตแทบจะนับคำได้
15 วันผ่านไป เขาตัดสินใจเข้าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และสิ่งที่จะให้เขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เดิมทีอารมณ์ของเขาก็น่าเป็นห่วงแล้ว แต่มันกลับทำให้เขาเป็นหนักขึ้น เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เขายังคงได้เพื่อนที่ดี ไม่ว่าจะผ่านมากี่ชั้นปี นั่นอาจจะทำให้เขามีความสุขแต่ก็เป็นเพียงเวลาที่เขาได้อยู่กับกลุ่มเพื่อนเท่านั้น เมื่อเขาได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเอง มันทำให้เขาคิดทุกเรื่องที่เคยผ่านมา วนอยู่ในหัว อาการของเด็กเก็บกด เริ่มปลีกวิแวกไปอยู่คนเดียว เริ่มเกลียดการตอบคำถาม เริ่มเป็นคนที่ขี้หงุดหงิด ความสุขที่มันเคยสนุกมันกลับกลายเป็นการแสร้งยิ้ม แต่เขาก็คิดว่าเดี๋ยวเรียนจบทุกอย่างมันจะดีขึ้น
แล้ววันที่สำคัญของเขาและสิ่งที่ครอบครัวคาดหวังก็มาถึง "วันรับปริญญา" เขารู้สึกตื่นเต้นกับวันแห่งความสำเร็จนี้ แต่อย่างไรดี ความสำเร็จของเขา ใช่มันคือของเขาไม่ใช่ของคนอื่น มองไปรอบๆก็ไม่มีใคร สรุปได้คือรูปรับปริญญาของเขาคือมีเพียงเขากับแม่ของเขา จากกล้องถ่ายรูปของเพื่อน "ขอบคุณปริญญาที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันเป็นวันที่แย่ที่สุด"
ก้อนถ่านสีดำ
ความคิดเห็น