ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO FICTION] ONE IPPON (KAISOO)

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAP 3

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 56


    CHAPTER 3



     

    ทันทีที่โดคยองซูก้าวเข้าห้องชมรมแพคฮยอนก็ยิ้มกว้างรีบเดินเข้าไปจูงมือมานั่งด้วยกันบนเบาะ คนตัวเล็กในชุดเสื้อยืดกางเกงวอร์มที่อุตส่าห์ไปรื้อหาทั้งตู้มาใส่ค่อยๆคลี่ยิ้ม รู้สึกผ่อนคลายสบายใจขึ้นมานิดหนึ่งเมื่อได้รับการต้อนรับที่เป็นมิตรจากสมาชิกในชมรมยูโด หลังจากที่เมื่อวานเขาต้องเจอกับประธานจอมโหดที่ชวนให้ใจไม่ดีเลย

     

    ทั้งรอยยิ้มมุมปาก ทั้งสายตาที่มองมาอย่างนึกสนุกที่ได้คาดโทษ ทั้งร่างสูงกำยำที่ขยับเข้ามาใกล้เหมือนจะดักทางไม่ให้หนีรอดไปไหน ทุกอย่างทำให้คยองซูรู้สึกหวาดเกรงคนๆนี้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น

     

    คนตัวสูงที่สุดในห้องที่แนะนำตัวก่อนหน้านี้ว่าชื่อปาร์คชานยอลทิ้งตัวนั่งลงข้างแพคฮยอน ส่วนข้างๆคยองซูอีกด้านหนึ่งถูกจับจองด้วยโอเซฮุนที่กำลังยิ้มละมุนส่งมาให้อย่างเป็นมิตร ทุกคนที่อยู่ที่นี่ตอนนี้ทำให้เขาลดความกดดันจากการที่ต้องมาฝึกซ้อมยูโดวันแรกไปได้มาก

     

    ต้องยอมรับอย่างไม่กลัวอายว่าคยองซูกลัวมาก เพราะนี่ไม่ใช่เพียงแค่การฝึกเล่นยูโดครั้งแรก แต่หมายถึงการฝึกเล่นกีฬาจริงๆจังๆเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาด้วยเหมือนกัน คนอ่อนแออย่างเขาที่ไม่เคยแม้แต่จะออกกำลังกายหนักๆ จู่ๆจะต้องมาเล่นกีฬาต่อสู้แบบนี้มันทำให้คยองซูหวั่นใจมากๆ ทั้งกลัวเจ็บ ทั้งกลัวทำไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับมันอย่างไม่มีทางเลือก

     

    ใช่สิ...เขารู้ตัวว่าเป็นคนผิดเองเต็มประตู

    เพราะฉะนั้นต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองมันก็ถูกแล้ว

     

    แต่ใครจะไปคิดล่ะว่าเจ้าทุกข์เขาจะเรียกร้องเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ยากที่สุดในชีวิตของโดคยองซูคนนี้

     

     

     

    “นายต้องทำคะแนนหนึ่งอิปป้งให้ได้ในกีฬามหาลัยปีนี้ แล้วฉันจะลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น”

     

    คยองซูอ้าปากค้างทันทีที่ได้ยินคำตัดสินจากเจ้าของชุดยูโดที่เขาเหวี่ยงลงน้ำด้วยอารมณ์ชั่ววูบ อีกฝ่ายยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัยที่ได้ถือไพ่เหนือกว่า ถึงจะไม่เคยเล่นกีฬาแต่เพราะคบหาอยู่กับอู๋อี้ฟานผู้ซึ่งเป็นนักยูโดระดับเทพก็ทำให้คยองพอจะรู้เรื่องเกี่ยวกับยูโดบ้าง รวมถึงรู้ด้วยว่าคะแนนที่ว่ามันได้มายากแค่ไหน

     

    ร่างสูงของกัปตันทีมละจากกรอบประตูแล้วยืนพิงกำแพงพลางกอดออกมองคยองซูที่สติยังไม่กลับเข้าร่องเข้ารอยหลังจากที่ได้ฟังข้อแลกเปลี่ยนชวนให้หนักใจที่สุดตั้งแต่เกิดมา ด้านสมาชิกชมรมที่เหลือแต่ละคนก็ออกอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชานยอลที่รู้เรื่องยูโดดีที่สุดพอๆกับจงอิน

     

     

    การได้คะแนนอิปป้งไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังต้องได้ในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัยที่จัดว่าเป็นงานใหญ่ที่สุดด้วยแล้ว

     

     

    “ฉ...ฉันทำไม่ได้”

     

    เสียงสั่นๆเอ่ยออกมาเบาๆ เรียกให้คิ้วคมเข้มแอบขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะถามทั้งที่ยังจดจ้อง

     

    “ทำไมถึงคิดว่าตัวเองทำไม่ได้?”

     

    “ฉันไม่ใช่นักกีฬา และที่สำคัญ...ฉัน...”

    ตอบตะกุกตะกักจนคนที่ได้ฟังต้องชิงพูดขึ้นมาตัดหน้า

     

    “ทำไม? หรือนายเกลียดยูโด? อ้อ ก็คงไม่แปลก เพราะไม่อย่างนั้นนายคงไม่เหวี่ยงเสื้อยูโดที่ฉันรักมากลงคูน้ำไปแบบนั้นหรอก”

     

    ประโยคประชดประชัดที่เสียดแทงหัวใจยิ่งทำให้คยองซูรู้สึกแย่หนักขึ้นกว่าเดิมถูกกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง คนตัวบางหน้าเสียและเครียดจนต้องเผลอขบฟันแน่น ใบหน้าหวานก้มลงมองพื้นพลางกรอกตาไปมาอย่างใช้ความคิดท่ามกลางความกดดัน

     

    ที่สุดเสียงเล็กที่ยังสั่นเครือด้วยความหวาดหวั่นก็กล่าวออกมาเสียงค่อย แต่ก็พอจะทำให้จงอินระบายยิ้มได้

     

    “มันไม่ใช่อย่างนั้น แต่ฉัน...เอ่อ ฉันไม่เคยเล่นกีฬาเลยสักอย่าง ฉันกลัวทำไม่ได้”

     

    “นั่นไม่ใช่ปัญหา ไม่มีใครเกิดมาแล้วเล่นกีฬาเป็นตั้งแต่แรก ทุกอย่างอยู่ที่การฝึกฝนและฝึกซ้อม”

     

    “ต...แต่นั่นแหละคือปัญหาสำหรับฉัน”

     

    คยองซูเงยหน้าขึ้นมาเผชิญกับคนพูด ใบหน้าน่ารักที่จงอินปรารถนาจะได้เห็นใกล้ๆนักหน้าซีดลงไปจนเหมือนกระดาษ เขาแทบอยากจะพุ่งเข้าไปประคองใบหน้าของอีกคนแล้วลูบเบาๆที่ข้างแก้ม กระซิบเบาๆว่าไม่เป็นไร ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น เขาไม่เคยโกรธมาตั้งแต่แรก แถมดีใจมากๆด้วยซ้ำที่ได้กลับมาเจอกันอีก แต่จงอินรู้ดีว่าเขายังทำมันตอนนี้ไม่ได้

     

    จงอินรวบรวมสมาธิและสติของตัวเองให้กลับมามั่นคงอีกครั้ง สั่งหัวใจให้หยุดเต้นระรัวไม่เป็นท่า เพราะหากคยองซูยอมตกลงรับข้อแลกเปลี่ยนนี้แล้วเขาจะต้องเป็นคนสอนยูโดให้คยองซูกับมือ แน่นอนว่าต้องใช้เวลาอยู่ด้วยกันกว่านี้อีกมากนัก เขาจะไม่ยอมให้โอกาสนี้หลุดลอยไปแน่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม คนตัวสูงถามกลับไปด้วยเสียงเข้ม

     

    “ปัญหายังไง?”

     

    “คือฉัน...นายคิดว่าร่างกายอย่างฉันจะสามารถเล่นกีฬาแบบนี้ได้เหรอ?”

     

    คยองซูถามกลับอย่างไม่มั่นใจ อีกฝ่ายส่ายหัวแล้วส่งยิ้มอย่างผู้มากประสบการณ์มาให้

     

    “ยูโดไม่ใช่กีฬาของคนตัวใหญ่ อีกอย่างยูโดเป็นกีฬาที่แข่งตามน้ำหนัก นายไม่มีทางได้แข่งกับคนที่ตัวใหญ่กว่าแน่เว้นแต่ลงรุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก ซึ่งแน่นอนว่าฉันไม่มีทางให้นายลงแน่ๆ”

     

    แหงล่ะ...ถ้าคยองซูโดนคนตัวใหญ่กว่าทุ่มจนบาดเจ็บขึ้นมาแล้วจงอินจะอยู่ได้ยังไง ร่างบอบบางแบบนี้แค่จะให้มาจับสาบชุดยูโดแข็งๆก็ยังต้องทำใจแข็งแล้วใจแข็งอีก

     

    จงอินเพ่งพินิจดูกิริยาอาการของคยองซู ดูเหมือนคนตัวเล็กของเขาจะกำลังต่อสู้กับความคิดตัวเองอยู่แต่ก็มีท่าทางที่เบาใจลงไปบ้างแล้วจากคำอธิบายของเขา

     

    “แล้ว...นายคิดว่ามันเป็นไปได้เหรอ?”

     

    คยองซูช้อนตาเงยหน้าขึ้นถามด้วยเสียงเคลือบความกังวลอีกครั้ง หากครั้งนี้มีบางอย่างที่ทำให้จงอินมั่นใจว่าจะเป็นการตัดสินใจของร่างเล็กแล้ว เขาจุดยิ้มพร้อมกับขยับแผ่นหลังออกจากผนังห้องที่พิงอยู่ เดินเข้ามาใกล้และก้มหน้ามองคนตัวเล็กกว่าที่ยังสบตาเขาอยู่เหมือนต้องการจะรู้คำตอบเพื่อให้มั่นใจ

     

    “มีแค่ตัวนายเองเท่านั้นที่จะทำให้มันเป็นไปได้ โดคยองซู”

     

     

     

    หลังจากที่ตกลงรับข้อเสนอแสนหนักหน่วงนั้น กัปตันทีมตัวสูงก็บอกให้เขาใส่ชุดวอร์มมาในวันถัดไปได้เลย โดยบอกสั้นๆแค่ว่าในขั้นพื้นฐานยังไม่จำเป็นต้องใส่ชุดยูโดก็ได้ คนตัวเล็กถอนหายใจออกมาเสียงดังจนทั้งสามคนที่นั่งอยู่ด้วยต้องหันมามองพร้อมกันเป็นตาเดียว เพียงแค่คิดถึงเรื่องเมื่อวานก็ทำให้เขาเหนื่อยตั้งแต่ก่อนจะได้ทำอะไรแล้ว

     

    “คยองซู เป็นอะไรเหรอ? หรือว่ากังวลเรื่องซ้อมวันนี้อยู่?”

     

    พยอนแพคฮยอนเอียงคอมองเขาแล้วถามด้วยความเป็นห่วง คยองซูยิ้มบางแล้วพยักหน้า

     

    “ไม่ต้องกลัวหรอกฮะ แรกๆเป็นการฝึกตบเบาะ ไม่มีอะไรมากแต่อาจจะปวดเนื้อปวดตัวสักหน่อย เซฮุนเคยผ่านมาแล้ว รับรองสบายมาก”

     

    น้องเล็กปี1 ยิ้มกว้างอย่างเป็นมิตรพร้อมกับตบเบาๆบนแผ่นหลังเล็กของคนอายุมากกว่า คยองซูอยากขอบคุณคนเหล่านี้มากจริงๆที่คอยพูดให้กำลังเขาตลอด ทำให้รู้สึกปลอดภัยเหมือนกับมีเพื่อนที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ไม่เห็นเหมือนกับตากัปตันทีมจอมโหดนั่นเลย

     

    ว่าแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ ผู้ชายตัวสูงหน้าคมคนนั้นวันนี้ไปไหนกันนะ? เป็นคนนัดเขามาแท้ๆ

     

    “แล้ว...ประธานชมรมคนนั้นไปไหนล่ะวันนี้?”

     

    “จงอินน่ะเหรอ?”

    แพคฮยอนทวนคำถามของคยองซูกลับมาก่อนจะหันไปทางชานยอลเหมือนถามต่ออีกทอด

     

    “ไคมันบอกว่ามีประชุมเรื่องกีฬามหาลัยปีนี้น่ะ เดี๋ยวอีกสักพักก็คงมา”

     

    คยองซูพยักหน้ารับรู้ ความจริงนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อของคนตัวสูงคนนั้น แม้เมื่อวานจะพอได้ยินอยู่ว่าชานยอลเรียกว่าไค แต่คยองซูก็คิดไว้แล้วว่าคงจะเป็นชื่อในวงการยูโดมากกว่า เพราะอย่างอู๋อี้ฟานก็ยังมีชื่อในวงการยูโดที่ใครๆต่างเรียกว่าคริสเลย

     

    จะว่าไปแล้วจริงๆเขาก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมจงอินถึงได้เรียกชื่อเขาออกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันตรงข้างโรงยิม แม้จะเบามากเหมือนพูดกับตัวเองมากกว่า แต่จากการมองริมฝีปากคู่นั้นกับสีหน้าอึ้งๆก็พอจับได้ว่าพูดชื่อของเขาออกมา และยิ่งมั่นใจมากขึ้นเมื่อเขาย้อนกลับเขามาอีกครั้งเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ประธานชมรมตัวสูงไม่มีความลังเลที่จะกล่าวชื่อโดคยองซูออกมาเลยด้วยซ้ำ

     

    ถึงจะยังนึกสงสัยแต่คยองซูก็ไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจ เพราะถ้าจะให้รู้คำตอบก็คงต้องถามกับเจ้าตัว ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ทำให้เขารู้สึกหวาดหวั่นตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันทำเอาคยองซูไม่กล้าแม้แต่จะคิดอ้าปากถาม ปล่อยๆมันไปเถอะ แค่เรื่องชื่อคงไม่มีอะไรสลักสำคัญ

     

    ระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆ ร่างหนาของคนที่กำลังนึกถึงก็เดินผลักประตูกระจกห้องชมรมเข้ามาพร้อมกับแฟ้มเอกสารในมือ ใบหน้าหล่อคมหันมามองทางเขาทันทีที่มาถึง คยองซูเงยหน้าสู้สายตาอย่างกล้าๆกลัวๆ ก่อนที่ริมฝีปากคู่คมนั้นจะยกยิ้ม

     

    “ตรงเวลาใช้ได้”

     

    เสียงทุ้มทรงอำนาจเพียงกล่าวสั้นๆแค่นั้นก่อนจะเดินไปถอดรองเท้า ก้มหน้าเคารพตรงขอบเบาะหนึ่งครั้ง** และก้าวขึ้นไปนั่งเกือบกลางเบาะ หลังจากนั้นชานยอล แพคฮยอน เซฮุนก็ลุกจากขอบเบาะ ทำเหมือนจงอินแล้วจึงเดินไปนั่งรวมอยู่กับประธานชมรมตรงนั้น คยองซูที่เป็นสมาชิกใหม่เก้ๆกังๆมองซ้ายขวาทำอะไรไม่ถูกก็ถูกแพคฮยอนดึงมือพาให้ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนั่งด้วยกัน

     

    เรานั่งล้อมกันเป็นวงกลมระหว่างนั้นจงอินก็กระจายเอกสารต่างๆในแฟ้มออกมา เท่าที่มองดูคร่าวๆเดาเอาว่าคงจะเกี่ยวกับกำหนดการแข่งขันต่างๆ ชานยอลหยิบกระดาษใบหนึ่งขึ้นมาดู

     

    “กำหนดการออกเร็วดีแฮะปีนี้ แต่นักกีฬาเรานี่สิ มีกันอยู่แค่เนี้ยะ”

     

    คนตัวสูงกล่าวยิ้มๆพลางวางกระดาษในมือลงบนเบาะ จงอินไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ หันไปหยิบดินสอในกระเป๋าแล้วรื้อเอากระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาวางไว้หน้าสุด มือหนาจดปลายดินสอพร้อมๆกับพูดไปด้วย

     

    “มึงลงแข่งรุ่นไม่เกิน 73 กิโล โอเคมั้ยชานยอล?”

     

    “แน่นอน กูจ้องจะลงรุ่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรละ จะให้กูลดน้ำหนักไปลงไม่เกิน 66 กิโลคงจะไหวหรอก”

     

    “ดี ทำตัวไม่มีปัญหา ไม่ซ้อนรุ่นกับกูด้วย”

     

    จงอินพูดยิ้มกวนๆพร้อมกับเขียนชื่อชานยอลลงไปด้านหลังข้อความที่เขียนว่า รุ่นน้ำหนักมากกว่า 66 แต่ไม่เกิน 73 กิโลกรัมชายขณะที่เขียนชื่อตัวเองหลังบรรทัด รุ่นน้ำหนักมากกว่า 60 แต่ไม่เกิน 66 ชายมือหนาเคาะหัวดินสอลงบนเบาะเป็นจังหวะเบาๆเหมือนกำลังใช้ความคิด

     

    “แพคฮยอน ปีนี้นายลงไม่เกิน 55 กิโลอีกได้มั้ย? ตอนนี้หนักเท่าไหร่?”

     

    จงอินหันไปถามแพคฮยอน คนตัวบางคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

     

    “ประมาณ 58

     

    “ลด 3 กิโลไหวมั้ย?”

     

    “อืม...จะลองดูนะ”

     

    แพคฮยอนตอบตกลงอย่างไม่มั่นใจนัก ความจริงก็อยากจะอ้าปากขัดหรอกนะว่าขี้เกียจลดน้ำหนัก อย่างปีที่แล้วหนัก 56 ลดมาแค่กิโลกว่าๆยังต้องคุมน้ำหนักและวิ่งแทบตาย แต่เพราะรู้อยู่ว่าเพราะอะไรจงอินถึงตัดสินใจวางรุ่นน้ำหนักแข่งขันแบบนี้ก็ไม่อยากจะไปขัดใจพ่อคุณเขา

     

    อีกอย่างเขาก็มีมือดีคอยช่วยดูแลตอนลดน้ำหนักอยู่แล้วด้วยคงไม่น่ามีปัญหา อย่าถามว่าใคร เพราะไอ้การที่มือหนาแอบเนียนมากุมมือเขาแล้วบีบเบาๆพร้อมกับส่งยิ้มที่คิดว่าหล่อที่สุดมาให้แบบนี้มันก็พอจะบอกได้อยู่แล้ว แพคฮยอนทำหน้าเอือมก่อนจะทุบกำปั้นเข้าที่ไหล่กว้างของไอ้คนชอบเนียน

     

    “โอเค ถ้าอย่างนั้นคยองซูลงรุ่นไม่เกิน 60 กิโล เพราะฉันดูแล้วน้ำหนักนายคงไม่เกินจากนี้แน่”

    ตาคมกล้ามองมายังร่างเล็กที่ยังนั่งหน้ามึนอยู่ข้างๆแพคฮยอน

     

    “นายหนักเท่าไหร่?”

     

    “ป...ประมาณ 60

     

    “ดี ต่อจากวันนี้ก็คุมน้ำหนักให้อยู่เท่านี้ได้จนถึงวันแข่งก็แล้วกัน แต่ฉันว่าคงไม่มีปัญหา เพราะถ้านายได้ซ้อมเรื่อยๆเดี๋ยวน้ำหนักก็จะค่อยๆลดลงไปเองจนคงที่นั่นแหละ”

     

    มือหนาเขียนชื่อคยองซูลงท้ายรุ่นน้ำหนักมากกว่า 55 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 60 กิโลกรัมชาย หลังจากที่เขียนชื่อแพคฮยอนลงในรุ่นน้ำหนักมากกว่า 50 กิโลกรัมแต่ไม่เกิน 55 กิโลกรัมแล้ว เป็นอีกครั้งที่คยองซูนึกแปลกใจที่คิมจงอินเขียนชื่อเขาได้ถูกต้องแม่นยำไม่ผิดสักตัวอักษร

     

    “ส่วนเซฮุน ปีนี้คงยังไม่ได้ลงแข่งนะเพราะรุ่นมันซ้อนกัน พี่ไม่อยากให้นายลงโอเพ่น(รุ่นไม่จำกัดน้ำหนัก)เหมือนกัน ตัวนายผอมบางแค่นี้กลัวจะกระดูกหักซะก่อน”

     

    พูดติดตลกพลางหัวเราะเบาๆให้น้องเล็ก เซฮุนหัวเราะตามแล้วพยักหน้ารับ ไม่มีท่าทางเสียใจหรือเสียดายที่ไม่ได้ลงแข่งขันในแม็ทซ์ใหญ่นี้ เซฮุนคิดว่าบางทีนี่อาจจะดีแล้วก็ได้ เพราะแรกเริ่มเขาก็ไม่ได้ตั้งใจมาเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย เพียงแค่ตามพี่รหัสอย่างแพคฮยอนมาลองฝึกดูเท่านั้น พอฝึกไปนานๆแล้วก็ติดใจเลยยังเล่นมาจนถึงตอนนี้

     

    “แต่เดี๋ยวก่อนหน้ากีฬามหาลัยจะมีแข่งเชื่อมความสัมพันธ์ 6 มหาลัย พี่จะให้นายลงเดี่ยวรุ่นไม่เกิน 60 กิโลนะ โอเคมั้ย?”

     

    “ตอนนี้เซฮุนหนักประมาณ 62 แต่เซฮุนจะเริ่มคุมน้ำหนักให้ทันไปแข่งนะฮะ”

     

    “เก่งมากเด็กดี”

     

    มือหนาของคนเป็นพี่เอื้อมยีกลุ่มผมของโอเซฮุนจนยุ่งเหยิง เฟรชชี่ตัวขาวเบ้หน้าใส่เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนตรงนั้นได้เป็นอย่างดี คยองซูเองก็เผลออมยิ้มตามไปด้วย เซฮุนเป็นเด็กที่ดูว่านอนสอนง่ายดี น่ารักอีกต่างหาก ส่วนประธานรมชมหน้าเข้าคนนี้ทีกับเขาล่ะทำโหดใส่ แต่กับคนอื่นๆไม่เห็นจะทำแบบนั้นมั่ง

     

    มือหนารวบรวมเองการทุกอย่างใส่กลับไปในแฟ้มอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ทุกคนลุกขึ้นตามจึงทำให้คยองซูต้องลุกยืนตามไปด้วย

     

    “เอาล่ะ เปลี่ยนชุดเตรียมซ้อมได้แล้ว ส่วนนาย รอแป๊บนึง แล้วมาเคารพเบาะ**พร้อมกัน”

     

    ต้นประโยคพูดเสียงดังให้ได้ยินกันทุกคน ส่วนท้ายประโยคหันมาพูดกับเขา คยองซูพยักหน้าเบาๆ อีกฝ่ายไม่ได้ว่าอะไรต่อ เพียงแค่ยกยิ้มแล้วเดินลงเบาะไป คยองซูสังเกตเห็นว่าก่อนจะลงเบาะทุกคนหันมาก้มโค้งให้เบาะกว้างอีกหนึ่งครั้งแล้วจึงแยกย้ายกันไปเปลี่ยนชุด

     

    เพียงครู่เดียวทั้งแพคฮยอน เซฮุน ชานยอล รวมทั้งจงอินก็กลับขึ้นมาบนเบาะด้วยชุดยูโดสีขาวสะอาด เสื้อยูโดตัวเก่าของจงอินถูกซักเสียจนไร้คราบ ยิ่งทำให้คยองซูยังรู้สึกผิดอยู่เมื่อมั่นใจว่ามันเป็นชุดยูโดที่จงอินรักมากจริงๆ

     

    ทุกคนไม่ได้ใส่เสื้อยืดด้านใน คือสวมเสื้อยูโดเนื้อหน้าทับร่างเปลือยท่อนบนไปเลยก่อนจะมัดสายยูโดที่เอวอย่างเป็นขั้นเป็นตอน เซฮุนกับแพคฮยอนคาดสายขาว ส่วนจงอินกับชานยอลคาดสายดำ ที่ปลายสายของจงอินมีตัวหนังสือภาษาญี่ปุ่นด้ายสีทองปักลงไปด้วย

     

    หลังจากพร้อมหน้ากันแล้ว ทุกคนก็เดินตามจงอินไปที่หัวเบาะยูโด** ตรงที่มีหิ้งพระพร้อมรูปของปรมาจารย์คาโน จิโกโร ผู้คิดค้นกีฬายูโดแขวนอยู่ ชานยอลยืนข้างจงอิน ห่างกันประมาณหนึ่งช่วงแขนเป็นหน้ากระดานหันหน้าไปทางหิ้งพระ ส่วนเซฮุนและแพคฮยอนที่คอยดึงมือคยองซูให้อยู่ด้วยกันยืนอยู่อีกแถวด้านหลังถัดจากแถวของชานยอลและจงอิน

     

    เมื่อคิดว่าทุกคนพร้อมแล้ว จงอินก็เอ่ยออกคำสั่งเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อบอกให้นั่งลงเตรียมเคารพเบาะ

     

    “เซซะ”

     

    สิ้นเสียงทุกคนก็ค่อยๆนั่งลง โดยแพคฮยอนคอยอธิบายให้คยองซูฟังเบาะๆอยู่ข้างๆ แพคฮยอนบอกว่าคำสั่งนี้หมายถึงให้นั่งลง วิธีการนั่งที่ถูกต้องคือถอยขาซ้ายไปก่อนแล้ววางเข่าลงกับเบาะ ชันเข่าอีกข้างขึ้นแล้วจึงค่อยๆคุกเข่าพร้อมกันสองข้าง จากนั้นจึงค่อยนั่งทับขาของตัวเองอีกทีเหมือนเวลานั่งไหว้พระ สองมือให้วางไว้บนหน้าตัก หลังตั้งตรง และอยู่ในอาการสงบ

     

    “มกโซะ”

     

    คำสั่งถัดมาคือให้หลับตาลงและทำสมาธิ เพียงแค่ช่วงสั้นๆก่อนจะถึงคำสั่งถัดไป

     

    “ยาเมะ”

     

    คำสั่งให้ลืมตาขึ้นมา

     

    “โชเมนนิ เระ”

     

    คำสั่งให้เคารพพระ ทุกคนจะวางสองมือไปบนเบาะด้านหน้าแล้วก้มหลังพร้อมก้มหน้าลงบนเบาะระหว่างมือทั้งสองข้างด้วยท่าทางนอบน้อม เพียงช่วงสั้นๆไม่กี่วินาทีก่อนจะกลับขึ้นมาสู่ท่าเดิม ชานยอลบอกกับคยองซูตอนที่เปลี่ยนชุดเสร็จว่ากีฬายูโดเป็นกีฬาที่สุภาพอ่อนโยน เพราะฉะนั้นทุกขั้นตอนพิธีในการเคารพพระและเคารพกันและกันจึงเต็มไปด้วยความอ่อนน้อมและสวยงาม

     

    “เซนเซนิ เระ”

     

    คำสั่งให้เคารพอาจารย์ แพคฮยอนแอบบอกเขาเสียงเบาว่าปกติแล้วถ้ามีอาจารย์หรือโค้ชมาร่วมเคารพเบาะด้วย อาจารย์หรือโค้ชก็จะหันกลับมาพร้อมกับเคารพให้กันและกัน แต่ในกรณีนี้ที่ใช้คำสั่งนี้แม้ไม่มีโค้ชก็จะถือว่าเป็นการเคารพปรมาจารย์คาโน จิโกโร ผู้คิดค้นกีฬายูโด

     

    หลังจากสิ้นคำสั่งนี้ทุกคนก็ค่อยๆยืนขึ้น แพคฮยอนบอกว่าวิธีการยืนที่ถูกก็มีด้วยเช่นกันกับการนั่ง คือการชันขาขวาขึ้นก่อน ขาซ้ายยังคุกเข่าอยู่กับเบาะก่อนจะลุกขึ้นยืนขึ้นมาเต็มตัว ว่าง่ายๆคือเวลานั่งให้ถอยขาซ้ายลงก่อน ส่วนเวลาให้ชันเข่าขวาขึ้นก่อน แต่ส่วนใหญ่นักกีฬาเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการลุกหรือนั่งอย่างถูกวิธีตามฉบับญี่ปุ่นแท้กันแล้ว แต่เพราะจงอินเคยไปฝึกอยู่ที่ญี่ปุ่นมาราวเดือนหนึ่งจึงทำให้เจ้าตัวค่อนข้างใส่ใจกับขั้นตอนต่างๆที่ถูกต้อง

     

    “เระ”

     

    นี่คือคำสั่งสุดท้าย ทุกคนยืนตรงแล้วก้มโค้งพร้อมกัน หลังจากนั้นก็ต่างคนต่างแยกย้ายกระจายกันไปทั่วเบาะ เพื่อนใหม่ตัวเล็กยังบอกคยองซูอีกว่าจริงๆยังมีอีกคำสั่งก่อนหน้าจะยืนขึ้น คือให้หันกลับมาเคารพกันและกัน แต่จงอินเคยบอกว่าพวกเรามีน้อยและอยู่กันแบบไม่เคร่งครัดระบบอาวุโสหรือระดับขั้นสาย จะตัดคำสั่งเคารพนี้ออกไปก็ได้เหมือนกัน

     

    หลังจากเคารพเบาะทุกคนจะกระจายกันเป็นวงกลม โอเซฮุนก้าวไปยืนอยู่กลางวง พร้อมกับปรบมือสองครั้งเพื่อให้สัญญาณวอร์มร่างกายโดยทำตามเซฮุนซึ่งเป็นคนนำวอร์ม เริ่มจากท่าแรกที่วอร์มตั้งแต่ร่างกายส่วนบนคือคอก่อนจะไล่ลงไปเรื่อยๆ เปลี่ยนแต่ละท่าด้วยการปรบมือสองครั้งให้สัญญาณ

     

    คยองซูทำตามเซฮุนที่กำลังนำวอร์มอยู่อย่างไม่ค่อยคล่องแคล่วเท่าใดนัก บางท่าก็ต้องอาศัยความตัวอ่อนค่อนข้างมาก แล้วคนที่ไม่เคยแตะต้องกีฬาอะไรเลยอย่างเขามีหรือจะทำมันได้สวยๆแบบคนอื่น

     

    “วอร์มร่างกายเยอะๆ เวลาซ้อมจะได้ไม่เจ็บ”

     

    เสียงทุ้มต่ำของจงอินที่วอร์มอยู่ใกล้ๆบอกกับคยองซูเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กวอร์มได้ไม่เต็มที่เท่าไรนัก คยองซูหันกลับมามองครู่หนึ่งแล้วหันกลับไปวอร์มต่อ เป็นโอกาสให้จงอินได้ระบายยิ้มหลังจากต้องตีหน้าเข้ม

     

    เชื่อเถอะว่าต่อให้เป็นไอ้พี่คริสก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นเจ้าของตากลมโตวอร์มร่างกายอย่างไม่ประสีประสาแบบนี้ มองเพลินตายังกับมองเด็กน้อยกำลังเตรียมเรียนชั่วโมงพละ แต่คิมจงอินคงจะมองนานเกินไปจนได้ยินเสียงกระแอมไอเบาๆจากปาร์คชานยอลเพื่อนรักที่วอร์มอยู่ใกล้ๆ

     

    “เปลี่ยนท่าแล้วครับท่านไค กรุณามีสมาธิกับการฝึกซ้อมด้วยครับไอ้ประธาน”

     

    จงอินสะดุ้งนิดๆ ละสายตาจากร่างบางแล้วหันมามองเพื่อนตัวสูงของตัวเองที่กำลังยกยิ้มหยอกล้อเต็มที่ หน้าหล่อคมทำหน้าเอือมใส่ก่อนจะหันไปวอร์มตามเซฮุนต่อ แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักของไอ้หูกางตามหลังมาก็เถอะ

     

    หลังจากวอร์มร่างกายกันเสร็จแล้ว ทุกคนพากันไปยืนอยู่ท้ายเบาะเหมือนเป็นระบบการวอร์มและซ้อมที่ทำกันเป็นประจำทุกวัน แต่ครั้งนี้จงอินบอกให้ทุกคนนอนเรียงแถวกันหน้ากระดาน ห่างจากกันประมาณสองช่วงแขน

     

    “วันนี้เราจะตบเบาะตั้งแต่ท่าแรกพร้อมกันก่อน เพราะเรามีสมาชิกใหม่เพิ่งเข้ามาด้วย”

     

    จงอินยืนพูดในขณะที่ทุกคนล้มตัวลงนอนบนเบาะหมดแล้ว คยองซูมองแล้วนอนลงไปตาม

     

    “ฟังให้ดีคยองซู ฉันจะไม่พูดอะไรที่เป็นทฤษฎีที่มันวุ่นวายเข้าใจยาก จะบอกนายให้รู้แค่ว่า การตบเบาะคือพื้นฐานในการเล่นยูโด เป็นการกระจายน้ำหนักเพื่อที่เวลาโดนทุ่มจะได้ไม่เจ็บ เพราะฉะนั้นนายต้องตั้งใจกับมันให้มากเพื่อที่จะได้ฝึกในขั้นต่อไป”

     

    เจ้าของผิวเข้มในชุดยูโดดูน่าเกรงขามกล่าวพลางมองมาที่เขา คยองซูฟังเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกไป

     

    “การล้มตัวตบเบาะในยูโดมีทั้งหมด 8 ท่า แต่ละท่าจะค่อยๆยากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นนายจะต้องทำท่าแรกๆให้แม่นก่อนแล้วฉันถึงจะสอนท่าต่อไปให้นาย จำไว้ว่ายิ่งนายทำมันให้ถูกต้องได้เร็วเท่าไหร่นายก็จะยิ่งได้เรียนรู้เทคนิคอื่นๆของยูโดได้เร็วมากขึ้นเท่านั้น”

     

    แพคฮยอนที่นอนหงายอยู่ข้างๆคยองซูเริ่มขยับเปลี่ยนท่าทางแล้ว คนตัวเล็กในชุดยูโดสายขาวตั้งเข่าทั้งสองข้างขึ้น กางเข่าห่างกันประมาณหนึ่งช่วงตัวพอดี ยกมือทั้งสองข้างขึ้นตรงไปข้างหน้าแล้วยกศีรษะขึ้นมาจากพื้น เก็บคอจนคางชิดกับอก

     

    คยองซูมองแพคฮยอนและเลยไปมองเซฮุนกับชานยอลที่ก็ทำท่าแบบเดียวกันนี้แล้วด้วย ตากลมโตหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่เหมือนจะขอความช่วยเหลือ แต่จงอินไม่ได้ตอบอะไร ใบหน้าคมเข้มจริงดูจริงจังเมื่ออยู่บนเบาะยูโด ขณะที่กำลังทำคิดทำอะไรไม่ออก เสียงทุ้มของกัปตันทีมตัวสูงก็พูดขึ้นมาเรียบนิ่ง

     

    “เตรียมพร้อม เริ่มได้”

     

    TBC.





     

    **การเคารพตรงขอบเบาะก่อนขึ้นเบาะ เป็นการแสดงความเคารพสถานที่ซ้อมค่ะ เหมือนกับเวลาที่เราเจอผู้ใหญ่ก็ต้องไหว้ทักทายก่อนนั่นแหละค่ะ แต่ตรงนี้เราไม่แน่ใจว่าเบาะที่อื่นทำเหมือนกันหรือเปล่า แต่ตั้งแต่เราเล่นยูโดมาก็ถูกสอนให้เคารพเบาะก่อนขึ้นแบบนี้เป็นประจำอยู่แล้วค่ะ เพราะถือว่าเบาะคือสถานที่ให้เราได้ซ้อมเหมือนๆกับที่คุณครูเคยบอกเราตอนเด็กๆว่าให้เคารพโต๊ะเรียนอย่าขึ้นไปนั่งอะไรทำนองนั้นเลยค่ะ ฮา
             **หัวเบาะยูโด ปกติแล้วลักษณะห้องซ้อมของแต่ละที่จะต่างกันออกไปค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปสี่เหลี่ยวจตุรัส มันก็จะมี 4 ด้านใช่ป่ะ เราก็ยึดเอาด้านหนึ่งนับเป็นหัวเบาะ ส่วนอีกฝั่งนับเป็นท้ายเบาะแล้วแต่ว่าแต่ละที่แต่ละเบาะจะกำหนดกันเอง คล้ายๆกับหน้าบ้านหลังบ้านนี่แหละค่ะ เวลาซ้อมจะได้เข้าใจตรงกัน อย่างเช่นโค้ชสั่งว่าให้ไปรวมกันตรงหัวเบาะแล้วค่อยม้วนหน้าไปท้ายเบาะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น

             **เคารพเบาะ หมายถึง พิธีสั้นๆเพื่อแสดงความเคารพอาจารย์และเคารพกันและกันก่อนจะทำการซ้อมค่ะ จะว่าไปก็คงคล้ายๆกับการไว้ครูของมวยประมาณนั้น บ้างก็เรียกกันว่าไหว้พระ ไหว้เบาะ เคารพพระ ก็แล้วแต่แต่ละที่แต่ละเบาะจะเรียกค่ะ คำสั่งที่เราเอามาให้อ่านคือคำสั่งจริงๆที่โค้ชญี่ปุ่น(เซนเซ)เป็นคนสอนเราเอง อาจจะมีผิดเพี้ยนเมื่อพิมพ์เป็นภาษาไทยบ้างต้องขอโทษด้วยนะคะ ฮา และเช่นเดียวกันค่ะ แต่ละที่แต่ละเบาะก็จะมีวิธีไหว้เคารพเบาะต่างกันออกไปบ้าง อย่างของเบาะเดิมของเราที่จันทบุรีถ้าไม่มีเซนเซมาซ้อมด้วยจะแทรกการไหว้พระแบบไทยไปก่อนจะสั่งทำสมาธิ(มกโซะ) บางทีก็ถึงกับลงไปกราบก่อนสั่งภาษาญี่ปุ่นเลยก็มี แล้วแต่เลยค่ะ

     

    ส่วนนี่เป็นรูปการเคารพเบาะค่ะ คงเข้าใจเหมือนกันเนอะ

     

     

    และนี่เป็นคลิปการสอนตบเบาะทั้งหมดรวมถึงท่าทุ่มพื้นฐานที่รับรองว่าจะได้เจอกันในฟิคแน่นอนค่ะ (ถ้าคนเขียนไม่ตายไปก่อน TvT) เราเพิ่งไปเจอว่าทรูเคยมาถ่ายพี่เล้งไว้ด้วย อธิบายดีมากๆ เข้าใจละเอียดมากๆเลยค่ะ แนะนำว่าควรเปิดคลิปนี้หลังจากอ่านการตบเบาะในทุกๆตอนนะคะ ฮา พี่เล้ง(คนในคลิป)เป็นหนึ่งในกรรมการยูโดที่เป็นผู้หญิงเพียงไม่กี่คนของวงการยูโดประเทศไทยค่ะ ในซีเกมส์ครั้งที่ผ่านมาก็ไปกวาดเหรียญทองมาให้ประเทศไทยแล้วด้วย เยี่ยมมากๆแถมยังน่ารักมากๆด้วยเนอะ ^^
     

    ท่าทุ่มและท่าตบเบาะพื้นฐาน กีฬายูโด โดยพี่ปิ๊กเล้ง ปิติมา ทวีรัตนศิลป์

     http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=17749&mul_source_id=028726

     

     Mirror* Talk : เป็นไงกันบ้างคะ ตอนนี้เริ่มเข้าสู่การซ้อมยูโดแล้ว (แถมยังยาวได้มหาศาลมาก TTvTT) ได้ศัพท์ใหม่ๆไปอื้อเลยใช่มั้ย? อย่าเพิ่งเบื่อเพราะคิดว่าเนื้อหามันหนักยังกะหนังสือเรียนนะ TTvTT พอผ่านช่วงนี้ไปได้รับรองทุกคนจะฟินและได้ความรู้กันถ้วนหน้า ระหว่างนี้เราก็จะนำเสนอความฟินให้ทุกคนเป็นระยะ อิอิ(?) โปรดติดตามกันด้วยนะคะ เรียนรู้ไปพร้อมๆกับน้องคยองซูนะ

    และขอบอกเลยว่าตอนนี้เหนื่อยมากกกกก นี่คือขนาดยังไม่เข้าเนื้อหาแบบเต็มตัวนะยังเหนื่อยขนาดนี้ TvT คือใช้เวลาเขียนนานมากนะ เราพยายามเขียนให้ทุกคนเข้าใจกันง่ายที่สุด บางอย่างเราอาจอธิบายไม่ละเอียดเพราะไม่อยากให้มันกลายเป็นหนังสือเรียนวิชาพละไปซะก่อน บางทีอาจจะรวบรัด ถ้าผู้ใดมีความรู้ยูโดมากกว่าเราโปรดอย่าตำหนิเราเลยค่ะ TvT เราเข้าใจทุกกระบวนท่ากระบวนการจริงๆ เพียงแต่มันยากมากๆจริงๆที่จะนำเสนอออกมาในรูปแบบของฟิคชั่น

    เอาล่ะ ไม่รู้จะมาต่อตอนต่อไปเมื่อไหร่ แต่เราให้สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าอย่างน้อยก็จะมาต่อทุกอาทิตย์ให้ได้ เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะ TvT เราตัดสินใจว่าจะเขียนแล้วเราก็จะไม่ทิ้งฟิคของเราไปไหนเหมือนกัน ฮือออ

    ขอบคุณทุกคอมเม้นและทุกสายตาที่ไล่กวาดทุกตัวอักษรค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×