คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : CHAP 2
CHAPTER 2
คิมจงอินยังจำได้ดีในช่วงเวลาที่ตัวเองยังเป็นแค่เด็กที่เพิ่งขึ้นชั้นมัธยมปลาย หน้าตาบ้านๆ ความสามารถไม่มี เรียนดีรึก็ไม่ เรียกได้ว่าเขาเป็นแค่เด็กม.ปลายธรรมดาๆที่แทบเป็นเพียงอากาศอยู่ในรั้วโรงเรียน ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครสนใจ ใช้ชีวิตไปวันๆเท่านั้นแหละ ชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้มันก็โอเคดีถึงจะน่าเบื่อไปสักหน่อยก็เถอะ
แต่แล้ววันหนึ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เรียกได้ว่าพลิกชีวิตของคิมจงอินราวกับเป็นหนังคนละม้วนเลยก็ว่าได้
จงอินอยู่หอพักแห่งหนึ่งใกล้ๆโรงเรียนเพราะตัวเองไม่ได้เป็นคนที่นี่ ทำให้เขาได้รู้จักกับรุ่นพี่นักเรียนจีนที่ย้ายตามครอบครัวมาเรียนที่เกาหลีคนหนึ่งซึ่งอยู่หอเดียวกัน รุ่นพี่คนนั้นชื่อลู่หานอยู่ชั้นม.5 โรงเรียนฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนของจงอิน เป็นผู้ชายตัวเล็ก ผิวขาว แถมหน้ายังหวานสุดๆ แต่เชื่อมั้ยว่านิสัยนี่คนละขั้ว เห็นอย่างนี้ลู่หานเป็นถึงนักฟุตบอลของโรงเรียน ห้าวจนบางครั้งจงอินยังต้องยอมเลยด้วยซ้ำ
“จงอิน วันนี้พี่มีประชุมทีมตอนเย็นว่ะ นายข้ามมารอที่โรงยิมโรงเรียนพี่ได้ป่ะ? แล้วเดี๋ยวค่อยกลับพร้อมกัน” คนหน้าหวานพูดขึ้นขณะกำลังเดินไปโรงเรียนพร้อมน้องชายตัวสูง
จงอินได้ยินก็พยักหน้าตอบอย่างว่าง่ายไม่ได้ติดใจสงสัยจะถามอะไรต่อ ปกติเขากับลู่หานจะเดินไปโรงเรียนพร้อมกันและกลับหอพร้อมกัน แต่จงอินก็ไม่เคยได้มีโอกาสย่างกายเข้าไปในโรงเรียนลู่หานที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเลยสักครั้ง ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นักเรียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะเข้ามาอีกฝั่งหลังเวลาเลิกเรียนแล้วก็ตาม ไม่รู้สิ คงเพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้ไปล่ะมั้ง
เย็นวันนั้นหลังเลิกเรียนแล้วจงอินจึงติดต่อโทรหาลู่หานเพราะไม่รู้ว่าโรงยิมที่ว่านั้นอยู่ตรงไหน เขาหิ้วกระเป๋าเดินงงๆเข้ามาในรั้วโรงเรียนแล้วแต่ยังไม่ยักเจออาคารโรงยิมที่ว่า ปลายสายบอกทางให้เขาอยู่สักพักในที่สุดจนอินก็เดินมาหยุดอยู่หน้าอาคารอเนกประสงค์หลังโตจนได้
พอกำลังจะก้าวเท้าเข้าไปข้างในก็ได้ยินเสียงตะโกนของนักกีฬาที่กำลังทำการฝึกซ้อมดังสลับกันเป็นจังหวะอย่างแข็งขัน จงอินนึกสงสัยว่ากีฬาอะไรกันนะที่ต้องออกเสียงกันคึกคักแบบนี้ บางเสียงเหมือนเปล่งออกมาเพื่อระบายความเหนื่อย ขณะที่บางเสียงก็เปล่งออกมาเพื่อเป็นจังหวะให้กับตัวเอง จงอินตัดสินใจทำลายความสงสัยนั้นทิ้งแล้วเดินเข้าไปในโรงยิมเพื่อหาที่มาของเสียงที่ว่า
สองขาเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเจอลานกว้างที่มุมหนึ่งในโรงยิม ตรงนั้นถูกยกพื้นขึ้นมาอีกประมาณสามนิ้วด้วยฟลอร์ไม้อัด ด้านบนปูทับด้วยเบาะแข็งสีน้ำเงินและสีเหลืองเรียงรายเป็นลานซ้อมรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส นักกีฬาหลายสิบคนกำลังฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขัน ทุกคนสวมชุดสีขาวเหมือนกันแต่สายคาดเอวต่างสี จงอินเห็นป้ายติดที่กำแพงด้านข้างว่า ‘ชุมนุมยูโด’ ทำให้รู้ว่าที่มาของเสียงร้องคึกคักนั้นมาจากกีฬาอะไร
แต่ยังไม่ทันจะได้พินิจพิจารณากีฬาแปลกใหม่ที่เพิ่งเคยพบเห็น(เพราะโรงเรียนตัวเองไม่มี) สายตาของจงอินก็ไปสะดุดเข้ากับใครบางคนที่ยืนพิงเสาอยู่ข้างเบาะซ้อมเสียก่อน
ร่างเล็กๆในชุดนักเรียนที่ยังคงความเรียบร้อยอยู่แม้จะเลยเวลาเลิกเรียนมานานมากแล้วกำลังยืนมองมายังเบาะยูโด ดวงหน้าหวานล้อมกรอบด้วยเส้นผมละเอียดสีเข้ม ดวงตากลมโตน่าค้นหา ริมฝีปากสีอ่อนประดับรอยยิ้มน่ามอง ผิวขาวราวน้ำนมบริสุทธิ์ ช่วงไหล่ก็เล็กนิดเดียว คนๆนี้ตัวเล็กมากเสียจนจงอินนึกว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูแล้วน่าปกป้องและทะนุถนอมเป็นที่สุด
ทุกอย่างราวกับภาพวาดที่สวยงาม สะกดสายตาให้หยุดไว้ที่ตรงนั้นตั้งแต่แรกเห็น แต่ท่าทางสนอกสนใจจดจ่ออยู่กับบางอย่างนั้นทำให้นึกสงสัย เขากำลังมองใครอยู่นะ
จงอินมองตามตากลมคู่นั้นมาที่เบาะยูโด นักกีฬามากมายกำลังฝึกซ้อมกันอยู่ ทุกคนยืนจับกันเป็นคู่ๆและเข้าท่าทุ่มกันอย่างแข็งแรง เขาไม่รู้หรอกว่าร่างบางนั้นกำลังมองใครอยู่ แต่ที่แน่ๆมีอยู่คนหนึ่งที่จงอินรู้สึกสะดุดตามาก
คนๆนั้นโดดเด่นกว่าคนอื่นที่อยู่บนสนามซ้อม เป็นผู้ชายตัวสูงโปร่งหากเมื่ออยู่ในชุดยูโดคาดสายดำแล้วดูเก่งกาจน่าเกรงขาม ใบหน้าหล่อคมราวกับรูปสลักระยับพราวด้วยเม็ดเหงื่อ เส้นผมสีเข้มลู่ลงตามโครงหน้าได้รูป ท่าทางจังหวะการเข้าท่าทุ่มสวยงามจนแม้แต่คนที่เพิ่งเห็นยูโดเป็นครั้งแรกอย่างจงอินยังดูรู้ ฝีมือคงจะไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว
แต่นั่นไม่สำคัญและดึงดูดจงอินได้เท่ากับคนที่ยืนอยู่ด้านล่าง คนตัวเล็กที่สามารถสะกดใจเขาได้ตั้งแต่วินาทีแรก
“เฮ้ยจงอิน มาทำอะไรตรงนี้เนี่ย?”
ทว่าจู่ๆก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นด้านหลังพร้อมกับมือที่วางลงบนไหล่กว้าง จงอินหันกลับไปก็พบกับลู่หานที่ยืนยิ้มบางๆส่งมาให้
“อ้าว พี่ลู่”
“นี่สนใจยูโดหรือหลงทาง?” ลู่หานหัวเราะขณะที่จงอินส่งยิ้มแห้งๆมาให้
“จริงๆก็หลงนั่นแหละ แต่ก็เห็นว่าน่าสนใจดีเลยมาหยุดดู”
พี่ชายหน้าหวานเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วถามต่อสั้นๆ
“ยูโด?”
“เปล่า”
ให้คำตอบก่อนจะย้ายสายตากลับไปมองร่างเล็กที่ยังยืนอยู่ตรงมุมเดิม รูปร่างบอบบางกับหน้าตาน่ารักนั้นช่างขัดแย้งเสียจริงกับกีฬาที่เจ้าตัวกำลังให้ความสนอกสนใจอยู่ จงอินยกยิ้มขณะที่สายตายังคงจับจ้อง
“สนใจคนมาดูยูโดมากกว่า”
++++++++++++++++++++++++
“หา!? มึงเจอโดคยองซูงั้นเหรอ!?”
ชานยอลร้องเสียงดังพร้อมกับเบิกตาที่โตอยู่แล้วให้กว้างหนักเข้าไปอีก เขามองตามคู่สนทนาที่ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจจะหันมาคุยด้วยกันนัก เพื่อนตัวสูงชำเลืองมองเขาแว้บหนึ่งแล้วหันกลับไปพร้อมส่งเสียงตอบ
“เออ”
“แล้วแถมเขาก็จำมึงไม่ได้ด้วยเนี่ยนะ!?”
“เออ”
จงอินตอบสั้นๆขณะก้มหน้าก้มตาเอาชุดยูโดตัวเก่งที่ตอนนี้สกปรกไปด้วยน้ำจากคูหย่อนลงในกะละมังที่มีน้ำสะอาดอยู่เต็ม แว่วได้ยินเสียงกัปตันทีมผิวเข้มถอนหายใจเบาๆหนึ่งครั้งขณะหยิบเศษผักตบชวาออกจากแขนเสื้อด้านในชุดยูโด เห็นแล้วชานยอลต้องเผลอถอนหายใจตามไปด้วย
หมดกัน...ชุดยูโดในตำนานของเทพไคไร้พ่าย
“กูกะจะเอาสายมาแขวนตากแดดไว้ด้วยก็เลยวกกลับมาห้องชมรม แต่ยังไม่ทันจะเดินขึ้นไปก็เจอเจ้าตัวเขาเหวี่ยงชุดกูลงน้ำไปซะก่อน” พูดจบก็หัวเราะแกนๆให้กับตัวเอง
ชานยอลที่หน้าตาดูเป็นกังวลกว่าคนที่เดือดร้อนเต็มๆถอนหายใจทิ้งอีกหนึ่งครั้ง หันกลับไปมองทางคนตัวเล็กสองคนที่นั่งคุยกันยิ้มแย้มอยู่บนเบาะโดยไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนอะไรตามไปด้วยเลย คนตัวสูงพ่นลมหายใจออกมาซ้ำอีกทีก่อนจะระบายยิ้มที่มุมปาก
...คนอะไรแค่นั่งคุยเฉยๆก็น่ารักสดใสจนอยากจะเข้าไปฟัดซะให้เข็ด
“มองไร?”
แต่แล้วความคิดทุกอย่างก็เป็นอันต้องสลายหายวับเมื่อคนที่ถูกจ้องหันกลับมาถามเสียงเข้ม ชานยอลหุบยิ้มแทบไม่ทัน แสร้งหันมองซ้ายขวาไปเรื่อยทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นการกลบเกลื่อนอย่างโง่ๆ ซึ่งแน่นอนว่าอีกฝ่ายไม่มีทางเชื่อได้แน่ๆ
ร่างบางมองคนตัวสูงอย่างจับผิด หันกลับมายิ้มให้โอเซฮุนเฟรชชี่ปีหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกันเหมือนจะบอกว่าขอพักการสนทนาสักประเดี๋ยวแล้วเจ้าตัวก็ลุกขึ้นยืน สาวเท้าเข้ามาใกล้ไอ้คนที่ยังหน้าด้านมองนกมองไม้นอกหน้าต่างไปเรื่อย คนตัวเล็กหยุดยืนนิ่งตรงหน้าแล้วยกยิ้มหวานซึ่งชานยอลรู้ดีว่ามันคือสัญญาณเตือน เขาจึงต้องหันกลับมาพลางยิ้มแห้งๆ
“ปาร์คชานยอล ตกลงเมื่อกี้มองอะไรฉัน” เสียงเล็กๆที่ปกติชานยอลชอบฟังนักหนายกเว้นเวลาแบบนี้ถามย้ำอีกครั้ง เมื่อจนหนทางรองประธานชมรมจึงต้องตอบกลับเสียงอ่อน
“พยอนแพคอ่า...ก็นายน่ารักนี่นา ฉันเลยอดมองไม่ได้”
“นั่นไง! นิสัยนะนายอ่ะ! นายทำให้ฉันรู้สึกเหมือนโดนไอ้โรคจิตคอยจับตามองตลอดเวลานะ!!”
ไม่พูดเปล่ากำปั้นเล็กๆยังชกเข้าที่ไหล่กว้างหนักๆด้วยหนึ่งครั้ง ตามมาด้วยข้อศอกที่กระทุ้งเข้าที่ท้องอีกหนึ่งที ถึงมันจะดูไม่รุนแรงอะไรเพราะคนที่ลงไม้ลงมือเป็นแค่ผู้ชายตัวเล็กๆน่ารักน่าฟัดคนหนึ่ง แต่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าชานยอลหรอกว่าพยอนแพคฮยอนน่ะมือหนักขนาดไหน นี่ขนาดว่าเขาแอบเกร็งหน้าท้องเอาไว้รอแล้วก็ยังแอบจุกเล็กๆ
เซฮุนที่นั่งอยู่ข้างหลังส่งเสียงหัวเราะคิกคักเมื่อเห็นว่าพี่รหัสตัวเองลงมือสั่งสอนคนที่ตามจีบอยู่เป็นปีๆ เห็นว่าจีบตั้งแต่แพคฮยอนอยู่ปี 1 แต่จนตอนนี้คนตัวเล็กแต่มือหนักก็ยังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นทั้งๆที่แพคฮยอนน่ะรู้อยู่เต็มอกว่าถูกชานยอลตามจีบมาตั้งแต่แรก เซฮุนก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมแพคฮยอนถึงยังไม่ยอมตอบรับเป็นแฟนกับชานยอลให้เป็นเรื่องเป็นราวสักที แต่ได้มาเห็นภาพหงุงหงิงแบบโหดๆอย่างนี้ทุกๆวันมันก็น่ารักดี
“ว่าแต่นายเถอะจงอิน อุตส่าห์ได้เจอคนที่เคยชอบมากๆแบบนั้นแล้วนายกลับปล่อยเขาไปเหรอ?”
แพคฮยอนหันกลับมาถามเพื่อนร่วมหอที่ตอนนี้กำลังละเลงผงซักฟอกลงในกะละมัง ชานยอลที่เพิ่งจะโดนประทุษร้ายเมื่อครู่หันกลับมาพยักหน้าตามไปด้วย
“เปล่าหรอก เขาขอกลับไปเรียนต่อตอนบ่ายให้เสร็จก่อนแล้วจะเข้ามา”
มือหนาวักน้ำที่ตีจนเกิดฟองใส่ชุดยูโดในกะละมังให้ชุ่มพลางเงยหน้ามองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง เข็มสั้นใกล้จะชี้เลขห้าแล้ว เลยเวลาเรียนชั่วโมงสุดท้ายของมหาลัยมาได้พักใหญ่ จงอินยกยิ้มนิดๆแล้วก้มหน้าเอาแปรงซักชุดยูโดของตัวเอง
“เดี๋ยวก็คงมาแล้วล่ะ”
“มึงนี่ก็บ้านะไอ้ไค ปล่อยเขาไปแบบนั้นมึงมั่นใจเหรอวะว่าเขาจะกลับมา? คนทำผิดนะเว้ย เป็นกูกูไม่มาให้มึงเห็นหน้าอีกละเนี่ย”
ร่างสูงพูดพลางทิ้งตัวลงนั่งบนเบาะยูโดข้างๆกับเซฮุนก่อนจะดึงแพคฮยอนให้ลงมานั่งด้วยกัน จงอินไหวไหล่ มือก็ยังออกแรงขัดรอยเปื้อนบนชุดยูโดตัวเก่งต่อไป ลองพลิกสาบเสื้อด้านในมาดูพร้อมกับคลี่ยิ้มเมื่อเห็นว่าสิ่งสำคัญอีกสิ่งหนึ่งด้านในตัวเสื้อยังคงอยู่ดีเหมือนเดิม
“เขากลับมาแน่” พูดเบาๆพร้อมกับจับจ้องไปยังสิ่งที่เย็บติดด้านในสาบเสื้อไว้ด้วย
“มั่นใจขนาดนั้นเลย?”
“ใช่”
จงอินเน้นย้ำคำตอบเดิมแล้วจับชุดยูโดหนักน้ำกดลงไปในกะละมัง ใช้มือขยี้แรงๆซ้ำๆสลับกับใช้แปรงขัดรอยเปื้อน ริมฝีปากคิมหยักไม่อาจหยุดยิ้มได้เลย จงอินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าที่ถึงชุดยูโดถูกเหวี่ยงลงน้ำจนเละเทะไม่เป็นท่าต้องมานั่งซักมือเองแต่ก็ยังอารมณ์ดีได้ถึงขนาดนี้
ทั้งหมดนี่ก็เพราะคนๆนั้นนั่นแหละ...ผู้ชายคนนั้นคือเหตุผลของทุกอย่าง
แม้จะเนิ่นนาน แม้จะเคยเจ็บปวด แม้จะเจ็บใจมากแค่ไหน แต่ความรู้สึกกลับไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด
“โดคยองซูต้องกลับมาแน่ คนอย่างเขาน่ะ...”
“เฮ้ย...ไอ้ไค...”
เสียงทุ้มต่ำของชานยอลที่ดังแทรกขึ้นมาเสียก่อนทำให้จงอินต้องเงยหน้าขึ้นมองเพื่อนสนิท ปาร์คชานยอลกำลังอ้าปากค้างมองออกไปทางประตูชมรมซึ่งอยู่ด้านหลังของเขา แพคฮยอนและเซฮุนก็ด้วย คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัยก่อนจะหันกลับไปมองบ้าง
ที่ตรงกรอบประตูห้องชมรม ร่างบอบบางของใครคนนั้นกำลังยืนหน้าเจื่อนๆเหมือนไม่รู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรหรือวางท่าทีอย่างไรในสถานการณ์เช่นนี้ ยิ่งตากลมโตคู่นั้นมองมาเห็นจงอินกำลังนั่งอยู่กับพื้นซักชุดยูโดที่ตัวเองเหวี่ยงทิ้งกับมือความรู้สึกผิดก็ยิ่งตีเข้ามาในหัวใจเต็มแรง
ทุกคนในห้องต่างพร้อมใจกันเงียบงันราวกับไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยคำพูดใดออกไปก่อน ไม่มีกระทั่งคำทักทายที่ควรมีให้กับคนที่เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรก ทั้งชานยอล แพคฮยอนและเซฮุนต่างก็เคยรู้จักคยองซูแค่เพียงจากที่เขาเล่าเท่านั้น ยิ่งต่างคนต่างเงียบความกดดันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
ท้ายที่สุดประธานชมรมเจ้าของเรื่องวุ่นวายทั้งหมดลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินไปหาคนตัวเล็กที่ยืนตัวแข็งอยู่ตรงหน้าประตู ริมฝีปากคมได้รูปกระตุกยิ้มเล็กๆขณะที่ดวงตากลมโตไหวระริกนั้นมองกลับมาอย่างกล้าๆกลัวๆ
คยองซูกำลังตัดสินใจจะอ้าปากกล่าวคำขอโทษซ้ำอีกครั้งเพื่อเริ่มต้นและทำลายการสนทนาที่น่าอึดอัดนี้ แต่กลับต้องชะงักงันด้วยเสียงทุ้มเข้มของอีกฝ่ายเสียก่อน
“ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องกลับมา โดคยองซู”
++++++++++++++++++++++++
ร่างหนาในชุดนักเรียนฝั่งตรงข้ามนั่งอยู่ข้างสนามบอลแต่กลับชะเง้อคอมองเข้าไปในโรงยิมตลอดเวลา พยายามราวกับว่าทำอย่างนี้แล้วมันจะเห็นการเคลื่อนไหวของคนที่อยู่ด้านในตัวตึก ลู่หานที่เพิ่งตะโกนสั่งรุ่นน้องให้วิ่งรอบสนามหันกลับมามองน้องชายร่วมหอ พอเห็นท่าทางแบบนั้นแล้วก็ต้องคลี่ยิ้มพลางส่ายหน้าเบาๆ
“คอจะเป็นยีราฟอยู่แล้ว”
คนที่ใกล้จะเป็นยีราฟอยู่รอมร่อหันกลับมาทางคนพูดก่อนจะหัวเราะเก้อๆที่ถูกจับได้ ลู่หานส่งเสียงแซวค่อยๆในลำคอให้เจ้าน้องชายตัวแสบ
พักนี้เจ้าเด็กนี่ขยันขอข้ามมาฝั่งโรงเรียนเขาบ่อยเสียเหลือเกิน เดาได้ไม่ยากหรอกว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไร แต่ก็ยังจะอุตส่าห์อ้างว่าอยากมาดูลู่หานซ้อมเพื่อเตรียมไปแข่งกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ดูประสาอะไรของมัน คองี้แทบหมุนกลับหลังหันไปทางโรงยิมได้อยู่แล้ว แต่กระนั้นลู่หานก็ยังเป็นพี่ชายที่ดีพยายามสืบหาข้อมูลของคนตัวบางที่จงอินมันหมายตาไว้มาให้แม้มันจะใช้เขาเป็นข้ออ้างในการมาส่องก็เถอะ
โดคยองซู นักเรียนม.ปลายที่ได้รับเลือกให้เป็นรองประธานฝ่ายกีฬาในการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนในปีนี้ ตัวเล็ก ตาโต น่ารัก การเรียนอยู่ในระดับดีถึงดีมาก แต่ที่น่าแปลกคือเจ้าตัวไม่เคยแม้จะแตะกีฬาใดๆมาก่อนเลยแต่กลับพยายามเสนอเรื่องจนได้รับหน้าที่สำคัญในงานครั้งนี้จนได้ ซึ่งมันค่อนข้างจะขัดกันกับทุกคนที่เคยได้รับหน้าที่มาก่อนในปีที่แล้วมา
มีหลายคนเคยเห็นคยองซูยืนอยู่แถวเบาะยูโดในโรงยิมทุกๆเย็นเพื่อดูการฝึกซ้อมของนักยูโดโรงเรียน บ้างก็ว่าคนตัวเล็กมาดูการซ้อมของนักกีฬาตามประสาคนที่มีหน้าที่หลักเกี่ยวกับกีฬา แต่ก็น่าแปลกเพราะว่าในการแข่งขันครั้งนี้ไม่ได้มีแข่งยูโดด้วยเนื่องจากโรงเรียนฝั่งตรงข้ามไม่มีการฝึกสอนยูโด จึงเกิดคำถามตามมาว่า แล้วเพราะเหตุใดกันจึงพบโดคยองซูอยู่ที่นั่นบ่อยๆ
ต่อมาเริ่มมีข่าวลือมาว่าโดคยองซูมาคอยมองอู๋อี้ฟานนักยูโดคนดังของโรงเรียน แต่เพราะอู๋ฟานเป็นหนุ่มฮ็อทที่มีแต่คนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่แล้วพอมีข่าวลือแบบนี้จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจนัก อาจจะเพราะคยองซูไม่ได้โดดเด่นมากมายอะไรในโรงเรียนแม้จะมีกลุ่มคนที่ชื่นชอบอยู่บ้างก็ตาม อีกอย่างคงเพราะไม่มีใครคิดว่าคนที่ทุ่มให้กีฬาอย่างอู๋ฟานจะมองใครในตอนนี้ แม้จะมีสาวสวยสุดมากมายมาข้องเกี่ยวแต่ก็ไม่เห็นอู๋ฟานจะให้มากกว่าความเป็นเพื่อนเลยสักนิด เวลาผ่านไปคนก็เลิกสงสัยกันไปในที่สุด
“อยากไปหาก็ไป ฝากหิ้วกระติกไปเติมน้ำให้ด้วยแล้วกัน”
ลู่หานยื่นกระติกน้ำทรงสี่เหลี่ยมให้คนเป็นน้องอย่างรู้ทัน ยกยิ้มพลางยักคิ้วล้อจนจงอินรู้สึกเขินแปลกๆ มือหนายกขึ้นเกาปลายจมูกอย่างลืมตัวก่อนจะรับกระติกในมือกัปตันทีมฟุตบอลมาแล้วเดินไปทางโรงยิม
แม้จะรู้อยู่แล้วว่าแท็งก์น้ำอยู่ด้านข้างของตัวอาคารแต่จงอินก็ยังอุตส่าห์เดินเข้าไปด้านในแล้วตรงไปยังเบาะยูโดเพื่อที่จะแอบไปดูใครคนนั้น เขาหวังเพียงว่าวันนี้จะเห็นโดคยองซูมายืนอยู่มุมหนึ่งใกล้ๆเบาะซ้อมเหมือนอย่างทุกวัน เพราะแต่ละครั้งที่เขาหาเรื่องข้ามมาโรงเรียนฝั่งนี้ ลู่หานก็มักจะหางานนั้นงานนี้ให้เขาเป็นข้ออ้างในการมาส่องคยองซูอยู่ตลอด และจงอินก็สมความตั้งใจทุกครั้ง ไม่เคยมีวันไหนเลยที่เขาไม่พบโดคยองซู
ผู้ชายคนนี้ยิ่งมองยิ่งน่ารัก ยิ่งได้เห็นยิ่งชอบ แต่ก็ต้องยอมรับอย่างหน้าไม่อายว่าจงอินปอดจนไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปทำความรู้จัก เลยได้แค่แอบมองเขาไปเรื่อยๆอยู่แบบนี้ทุกวัน
และวันนี้ก็เช่นกัน เจ้าของร่างเล็กตาโตยังคงมายืนมองการซ้อมของเหล่านักยูโดอยู่ที่เดิม มุมเดิม ด้วยรอยยิ้มเดิม จงอินหลงใหลในรอยยิ้มนั้น ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากได้รับกลับมาบ้าง แต่จงอินคงไม่อาจกล้าคาดหวังไปไกลขนาดนั้น แค่ได้เห็นคยองซูยิ้มก็ทำให้เขายิ้มได้ แม้จะไม่เคยได้คุยกันสักคำแต่แค่ได้มองไกลๆแบบนี้ทุกวันก็เพียงพอแล้ว
จงอินเก็บภาพความสวยงามนั้นไว้อีกครู่ใหญ่ก่อนจะตัดสินใจเดินออกมาเพื่อไปทำงานที่ลู่หานฝากเอาไว้ เขาหิ้วกระติกใบไม่ใหญ่แต่ก็ไม่เล็กเกินไปเดินมาที่ข้างโรงยิม มีแท็งก์น้ำตั้งอยู่ตรงนั้นจริง แต่ป้ายที่ติดว่า ‘งดใช้ กำลังซ่อมแซม’ ก็ทำให้จงอินต้องถอนหายใจยาว
ตอนแรกกะว่าจะกลับไปมือเปล่าแต่ก็ต้องเปลี่ยนความคิด จงอินเกรงใจลู่หานที่อุตส่าห์รู้เห็นเป็นใจให้เขาได้มาส่องคยองซูทุกวันแบบนี้ อีกอย่างคนอื่นๆในทีมก็คงจะกำลังรอน้ำดื่มจากเขาอยู่ด้วย สุดท้ายจงอินนึกขึ้นมาได้ว่าถัดจากตัวอาคารโรงยิมไปอีกหน่อยจะมีร้านขายน้ำข้างโรงเรียนอยู่ อาจจะต้องเสียเงินซื้อน้ำขวดมาใส่กระติกให้แทนแต่ก็ยังดีกว่าเดินสะเปะสะปะไม่รู้ทางไปหาแท็งก์น้ำที่อื่นในโรงเรียน
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว จงอินก็หิ้วกระติกไปที่ร้านขายน้ำและเทน้ำจากขวดใส่กระติกพร้อมน้ำแข็งพอประมาณ เสร็จเรียบร้อยก็จ่ายเงินและเดินหิ้วลัดเลาะข้างตัวอาคารเพื่อที่จะกลับไปยังสนามบอล ตอนนี้เขาควรจะรีบเอาน้ำไปให้พวกนักกีฬาที่กำลังตั้งใจซ้อมอย่างหนักด้วยการคุมทีมของลู่หาน
แต่ทว่า เรื่องที่ไม่คาดคิดจนจงอินขอเข้าข้างตัวเองว่าเป็นพรหมลิขิตก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
“เฮ้ย!!”
โครมมม...
สิ้นเสียงร้องเหวอได้ไม่ทันเท่าไหร่ก็ตามมาด้วยเสียงกระติกน้ำกระเด็นกระแทกพื้น น้ำเย็นๆที่เพิ่งแบกมาเมื่อกี้สาดกระจายทั่วพื้น ฝ่ายที่ทะเล่อทะล่าพุ่งเข้ามาชนกระติกน้ำและร่างของจงอินลงไปนั่งแหมะอยู่กับพื้น
จงอินรีบเข้าไปหาคนที่ท่าทางจะเจ็บซึ่งนั่งร้องโอดโอยอยู่ แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาเขากลับกลายเป็นใบ้ไปเสียดื้อๆ
ตากลมโตของโดคยองซูมองมาที่เขาอย่างรู้สึกผิดเต็มที่ และนั่นกลับทำให้จงอินหัวใจสั่นระรัวไม่เป็นท่า
“ข...ขอโทษนะครับ ผมไม่ทันระวังเอง”
คนตัวเล็กเอ่ยเสียงอ่อยพลางลูบแขนตัวเองป้อยๆ จงอินที่เหมือนโดนแช่แข็งไปแล้วรีบเรียกสติตัวเองกลับมาแล้วค่อยๆประคองร่างบอบบางนั้นให้ลุกขึ้นช้าๆ พยายามควบคุมลมหายใจแล้วสั่งให้ร่างกายเปล่งเสียงพูดออกไป
“ไม่...ไม่เป็นไรครับ”
สั่น...เสียงสั่นมาก สั่นจนจงอินกลัวว่าคยองซูจะจับได้ว่าเขากำลังประหม่าแค่ไหน
เจ้าของตากลมโตยังคงมีสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิด ค่อยๆลุกขึ้นยืนตามการประคองของอีกคน คยองซูสำรวจชุดนักเรียนที่จงอินใส่แล้วก็ยิ่งต้องรู้สึกแย่เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าไม่ใช่นักเรียนของที่นี่แต่เป็นโรงเรียนฝั่งตรงข้าม นี่เขาจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองโรงเรียนแย่ก่อนจะต้องแข่งกีฬากันหรือเปล่า
ระหว่างที่กำลังวิตกกังวลเมื่อลุกขึ้นทรงตัวได้มือบางก็รีบเอื้อมไปคว้ากระติกที่นอนกลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมาตั้ง ไม่เหลืออะไรเลยข้างในกระติกนั้น คยองซูหันมามองหน้าเพื่อนต่างโรงเรียนพลางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ให้ได้
“ขอโทษจริงๆนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวไปซื้อใหม่ก็ได้ ร้านขายน้ำอยู่แค่ตรงนี้เอง”
จงอินพยายามควบคุมเสียงไม่ให้สั่นแล้วพูดออกไปพร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรไมตรีไปให้ เขายังไม่ทันได้เตรียมใจว่าจะได้เจอโดคยองซูใกล้ขนาดนี้ รวมถึงไม่คาดคิดมาก่อนด้วยว่าครั้งแรกของการสนทนาจะกลายเป็นอุบัติเหตุที่ทำให้คยองซูต้องรู้สึกแย่ บอกตรงๆว่าจงอินจัดการประมวลความรู้สึกที่ตีวนอยู่ภายในไม่ถูกแล้ว
ใบหน้าน่ารักส่ายหน้าเบาๆหลังจากที่จงอินเอ่ยออกไป มือขาวคว้าหูหิ้วกระติกน้ำแล้วทำท่าจะก้าวเดินแต่ก็ต้องชะงักพร้อมร้องครางเบาๆ รู้สึกว่าที่ล้มกระแทกเมื่อกี้จะทำให้แขนข้างหนึ่งของเขาได้รับบาดเจ็บเสียแล้ว
“คุณ...เอ่อ...นายรออยู่ตรงนี้แป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันมา”
คยองซูแก้คำสรรพนามในตอนแรกเมื่อแอบเห็นสัญลักษณ์บนเสื้อนักเรียนบอกว่าคนตรงหน้านี้อยู่ระดับชั้นเดียวกับตัวเอง ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดหรือตอบรับอะไร คนตัวเล็กก็วิ่งหายออกไปจากตรงนั้นเสียแล้ว
คิมจงอินหยุดนิ่งอยู่กับที่มองแผ่นหลังเล็กที่ค่อยๆห่างออกไปราวกับว่าคำของคยองซูเป็นคำประกาศิต หัวใจเต้นแรงมากจนน่ากลัวว่าจะหลุดออกมา ใจหนึ่งเขายังไม่หายตื่นเต้นกับการที่ได้พบและพูดคุยกันอย่างไม่คาดคิด แต่อีกใจจงอินก็เป็นห่วงคยองซูเหลือเกิน แรงกระแทกเมื่อกี้ไม่เบาเลยและดูจากท่าทางของคยองซูตอนหิ้วกระติกเมื่อกี้ก็ยิ่งทำให้เขาเป็นห่วง
คยองซูตัวเล็กแค่นั้น บอบบางเสียจนไม่อยากจะให้หยิบจับอะไรหนักๆ ไหล่ก็เล็กแค่นิดเดียว ยิ่งได้เห็นใกล้ๆก็ยิ่งรู้ว่าคยองซูตัวเล็กกว่าที่คิดเยอะ
หายไปไม่ถึงห้านาทีร่างบางก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับมือไม้ที่พะรุงพะรังไปด้วยขวดน้ำเปล่า จงอินเห็นดังนั้นก็ตาโตรีบปรี่เข้าไปช่วยคยองซูถือน้ำทันที คนน่ารักส่งยิ้มมาให้แทนคำขอบคุณก่อนจะเดินมาที่กระติกเปล่าที่วางเอาไว้ มือขาวเปิดฝาขวดน้ำแล้วเทใส่ไปในกระติก
“ขอโทษด้วยนะ ฉันแบกกระติกไปไม่ไหวเลยเอาน้ำกลับมาให้แทน”
ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด แม้จะมีรอยยิ้มประดับบนริมฝีปากสีอ่อนแต่จงอินก็ดูออกว่ามันเป็นรอยยิ้มฝืน คยองซูคงจะรู้สึกแย่มากจริงๆที่ทำให้เขาต้องลำบาก
“ไม่เป็นไรจริงๆ ความจริงคุณ...เอ่อ...นายไม่ต้องลำบากขนาดนี้ก็ได้ เท่าไหร่? เดี๋ยวจ่ายเงินให้”
“ไม่ต้องๆ ฉันทำน้ำนายหกนะ ฉันก็ต้องรับผิดชอบสิ”
“แต่นายก็ไม่ได้ตั้งใจไม่ใช่เหรอ? ความจริงไม่ต้องทำแบบนี้หรอก ฉันไม่ได้ถือโทษโกรธอะไร”
คยองซูส่ายหัวพร้อมกับส่งยิ้มจางๆมาให้ มือบางแตะเบาๆที่ข้อมือหนาเพื่อบอกจงอินว่าไม่ต้องช่วยเทน้ำใส่กระติก คนตัวเล็กเอ่ยบางอย่างกับจงอินที่ทำให้เขายิ่งรักผู้ชายคนนี้จนถอนตัวออกมาไม่ไหว
“ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่ถ้าทำให้ใครต้องลำบากหรือรู้สึกแย่ เราก็ต้องรับผิดชอบทั้งนั้นนั่นแหละ”
...ประโยคนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในสมองและความทรงจำของคิมจงอินมาจนถึงตอนนี้
ริมฝีปากหนาได้รูปกระตุกยิ้มพลาย ดวงตาคมดุจเหยี่ยวมองไปยังใบหน้าหวาน ดวงตากลมโตน่าค้นหาแม้แววตาจะเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกผิดเต็มที่ จงอินเท้าขยับไปด้านข้างอีกนิดพลางเท้าแขนลงกับกรอบประตูทำให้คยองซูต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว
หน้าตาแบบนี้แหละ หน้าที่เหมือนเด็กเตรียมจะร้องไห้อยู่รอมร่อ
“นายได้รับผิดชอบอย่างถึงที่สุดแน่ โดคยองซู”
ไม่ใช่หมายถึงแค่ชุดยูโด
แต่ทั้งที่นายเคยทำให้ฉันเสียใจจนแทบเสียสติ และทั้งหัวใจที่มันยังเต้นแรงเมื่ออยู่ต่อนายกระทั่งตอนนี้
ทุกอย่าง...นายต้องรับผิดชอบ
TBC.
Mirror* Talk : แอร๊ ตอนที่สองมาแล้ว ขอโทษที่มาช้านะคะทุกคน TvT และเราก็ขอบคุณมากๆที่มีคนให้ความสนใจเรื่องนี้จนมันไม่ได้หยุดลงแค่ตอนแรก ฮือออ เราจะพยายามนะ ถึงมันจะยากมากยังไงแต่เราก็จะลองดู เพราะอย่างที่รู้ว่าเรื่องของกีฬาปกติจะอธิบายให้นักกีฬาเข้าใจก็ยากอยู่แล้ว มันต้องฝึกเอง ลองเอง ปฏิบัติเอง แล้วนี่ต้องมาเขียนบรรยายให้คนอ่านเห็นภาพอ่ะ ฮือออ บอกเลยว่ามันยากมากจริงๆ เราจะทำให้ดีที่สุดนะคะ ขอกำลังใจให้เราด้วย ฮึกกกก
เอาล่ะ ในตอนนี้ก็ยังไม่มีเทคนิคยูโดใดๆโผล่มา ฮา แต่รับรองว่าตอนหน้ามันจะมาแล้วค่ะ TvT เราจะทำโดคยองซูขึ้นเบาะซ้อมแล้ว การเริ่มต้นฝึกยูโดครั้งแรกของผช.ตัวเล็กจะเป็นอย่างไรโปรดให้กำลังใจน้องคยองซูและคนเขียนด้วยนะคะ(?)
ส่วนในตอนนี้ยังไม่มีเกล็ดยูโดนะคะ แต่ถ้าใครสงสัยอย่างไรก็สามารถถามได้เลยค่ะ ตอนหน้าจะอธิบายไว้ให้จ้า
แล้วก็ ต่อไปถ้ามีเกล็ดยูโดอยู่ในเรื่อง เราจะทำสัญลักษณ์ ** ไว้ให้นะคะ แล้วให้มาอ่านคำอธิบายแบบเชิงอรรถกันข้างล่าง เราจะไม่แทรกในเนื้อหาเพื่อที่จะได้ไม่สะดุดตอนอ่านเนอะ
ขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้น ทุกสายตาที่กวาดอ่านทุกตัวอักษรค่ะ
สวัสดีปีใหม่ทุกคนด้วยค่ะ ^^
ความคิดเห็น