คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : CHAP 1
CHAPTER 1
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังคืนฝนตกเป็นอะไรที่ทำให้มนุษย์เราคร้านที่จะลุกจากที่นอนมากที่สุด
ร่างสูงโปร่งยังคงซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนที่นอนนุ่มๆแม้แสงตะวันจะทะลุกระจกหน้าต่างมาแล้ว หน้าหล่อๆตะแคงซุกหมอนใบโต รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปเมื่อในความฝันปรากฏภาพของใครคนหนึ่งที่คิดถึงตลอดเวลา พาลทำให้ยิ่งไม่อยากจะหลุดออกจากห้วงนิทราในยามเช้าตรู่
เด็กหนุ่มนักศึกษาคงจะนอนขี้เกียจอยู่ในหอของตัวเองเรื่อยๆเหมือนอย่างที่ทำทุกวันหยุดเช่นนี้ต่อไป หากไม่มีเสียงโทรศัพท์คู่ใจดังขึ้นรบกวนเสียก่อน
คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยพร้อมๆกับควานหาเครื่องมือสื่อสารสะเปะสะปะ กระทั่งพบว่ามันกำลังสั่นพลางแหกปากร้องลั่นอยู่ใต้หมอนที่หนุนอยู่ จรดนิ้วกดรับสายทั้งที่ยังไม่ได้ลืมตา แต่ยังไม่ทันจะได้กรอกเสียงง่วงๆตามลงไปปลายสายก็ส่งเสียงสะเทือนรูหูขึ้นมาเสียก่อน
“ไอ้ชานยอล มึงตื่นเดี๋ยวนี้เลย! นัดไม่เคยเป็นนัดเลยนะมึงอ่ะ!!”
“โอ้ยยย มึงหยาบคายใส่กูแต่เช้าแบบนี้ แล้ววันนี้ทั้งวันมันจะมีเรื่องดีๆเกิดกับกูมั้ยเนี่ย”
ทันทีที่รู้ว่าเป็นใครปาร์คชานยอลก็ส่งเสียงก่นด่าไอ้เพื่อนตัวดีที่โทรมาขัดเวลาฝันหวาน แว่วได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างเอือมระอามาจากปลายสาย
“มึงจะตื่นไม่ตื่น? ถ้าไม่ตื่นกูจะโทรไปให้แพคฮยอนมาพังประตูห้องมึง”
“เออ กูตื่นแล้ว แค่นี้ต้องเล่นของสูงเลยนะมึง!”
กระแทกเสียงใส่อย่างหงุดหงิดพลางเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง มือหนายกขึ้นขยี้ผมส่งๆแล้วหาวเสียงดังจนอีกฝั่งของสายต้องถอนหายใจอีกหน
“กูถามจริง มึงจะฟิตอะไรนักหนาวะ? นี่วันหยุดนะโว้ยยยยวันหยุดดดด วันหยุดสุดท้ายก่อนเปิดเทอมด้วย ขอนอนยาวๆสบายๆหน่อยไม่ได้หรือไง?”
ชานยอลยังคงบ่นปอดแปดขณะพาร่างโซเซของตัวเองลงจากเตียง คนถูกถามไม่ได้ให้คำตอบมาในทันทีแต่ชานยอลก็พอจะเดาออกว่าไอ้เพื่อนตัวดีที่มีตำแหน่งเป็นทั้งกัปตันทีมและประธานชมรมกำลังทำหน้ายังไงในตอนนี้ ระหว่างที่หนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่ขณะบีบยาสีฟันอยู่เสียงทุ้มจึงถามกลับมาแทนคำตอบ
และมันก็เป็นประโยคที่เขาต้องจำยอมทุกครั้งไปด้วย
“มึงอยากได้เหรียญกีฬามหาลัยปีนี้มั้ย?”
...กูว่าละว่าแม่งต้องพูดอย่างนี้
“เออๆ กูรู้แล้ว!!”
ชานยอลเบ้หน้าแล้วพูดอย่างเสียไม่ได้ หมอนั่นคงกำลังยกยิ้มมุมปากกวนๆที่สุดท้ายเขาก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้อยู่แน่ๆ ไอ้นี่มันเก่งนัก เก่งทั้งฝีมือทางด้านกีฬาและความเจ้าเล่ห์
“เดี๋ยวกูล้างหน้าแปรงฟันก่อน อีกสักพักจะออกไป”
“เออ ให้ไว กูรออยู่ที่สนามหอA ถ้าหกโมงครึ่งแล้วมึงยังไม่มาถึง แพคฮยอนถึงห้องมึงแทนแน่”
ดู...มันยังจะขู่ แค่อยู่หอเดียวกับแพคฮยอนนี่เอามาใช้เป็นข้ออ้างบีบเขาตลอดๆ แต่ที่น่าเจ็บใจคือมันได้ผลทุกครั้งด้วยสิ
แหงล่ะ เขายังต้องจีบแพคฮยอนต่อไปนะ ยังไม่อยากเสียชีวิตก่อนได้ใช้ชีวิตร่วมกัน(?)
“เอออออ รู้แล้วครับไอ้คุณประธานนนนน แค่นี้นะ กูจะแปรงฟัน!”
พูดจบก็กดวางสายอย่างไม่คิดจะให้อีกฝ่ายได้ล่ำลา มือหนายกโทรศัพท์ออกมาจากหูแล้วส่ายหัว นี่ถ้าอยู่ใกล้ๆจะฝากฝ่ามือพิฆาตไปประเคนสักทีสองที
คิมจงอินเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกงวอร์ม สูดอากาศบริสุทธิ์ในยามเช้าหลังจากเพิ่งผ่านฝนเมื่อคืนไปจนเต็มปอด เงยหน้ามองท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดอ่อนๆ หยดน้ำบนยอดหญ้า เสียงนกร้องทักทาย บรรยากาศดีๆแบบนี้จะมัวมานอนอืดอยู่บนที่นอนไปทำไมกันล่ะ
ร่างสมส่วนตามแบบนักกีฬาค่อยๆขยับตัวอบอุ่นร่างกายพร้อมวิ่งเช้านี้ ไม่ใช่แค่จงอินที่ยอมสละเวลาอยู่บนที่นอนอุ่นๆเพื่อมาวิ่งเบาๆที่สนามกีฬาในมหาวิทยาลัย แต่ยังมีนักศึกษารวมถึงนักกีฬาจากที่อื่นที่มาขอใช้สถานที่แห่งนี้เพื่อออกกำลังกายในยามเช้าด้วย
อบอุ่นร่างกายยืดแข้งยืดขาพอให้กล้ามเนื้อเตรียมพร้อมออกกำลังไปได้สักพักร่างสูงในชุดกางเกงวอร์มกับเสื้อยืดสบายๆก็มาถึง แม้หน้าตาจะดูเหมือนคนยังไม่ตื่นดีแต่จงอินก็นึกขอบคุณที่เพื่อนร่วมทีมยังรักษาสัญญาแหกขี้ตาขึ้นมาวิ่งกับเขา
“มึงวอร์มไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูวิ่งรอ วอร์มเสร็จก็วิ่งตามกูมาล่ะ”
พูดจบก็ซอยเท้าอยู่กับที่เล็กน้อยก่อนจะออกตัววิ่งด้วยจังหวะการก้าวสม่ำเสมอไปตามลู่วิ่งรอบสนามฟุตบอล ชานยอลอ้าปากหาวหวอดอีกทีแล้วเริ่มยืดกล้ามเนื้อเตรียมไปวิ่งบ้าง
เขาและคิมจงอินเป็นนักกีฬาของมหาลัยใช้โควตาผู้มีความสามารถดีเด่นทางกีฬาเข้ามาเรียนที่นี่ได้ทั้งคู่ อันที่จริงทั้งชานยอลและจงอินอยู่กันคนละโรงเรียนแต่เป็นนักกีฬาที่เคยแข่งในรุ่นน้ำหนักเดียวกันมาตั้งแต่ม.ปลาย ทำให้คุ้นหน้าค่าตากันดี แถมออกจะสนิทสนมกันก่อนจะมาเป็นเพื่อนกันในมหาลัยด้วยซ้ำ เพราะเจอกันบ่อยๆ แข่งกันบ่อยๆเข้าจากเป็นคู่แข่งก็กลายเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยาก
ส่วนกีฬาที่เขาทั้งสองคนเล่นนั้นบอกใครไปก็แทบไม่มีใครเชื่อ อาจเพราะหลายๆคนพอได้ยินชื่อกีฬาประเภทนี้ก็คิดไปว่าจะต้องเฉพาะคนตัวใหญ่ๆแรงเยอะๆถึงจะเล่นได้ ทั้งที่ความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น
กีฬาประเภทนี้จะจัดแข่งกันตามรุ่นน้ำหนัก คนที่น้ำหนักใกล้เคียงกันก็แข่งด้วยกันยกเว้นรุ่นโอเพ่นเวทหรือรุ่นไม่จำกัดน้ำหนักที่คนตัวเล็กตัวใหญ่ก็แข่งด้วยกันได้ อีกทั้งกีฬาประเภทนี้ยังแยกเพศในการแข่งขันชัดเจน ผู้หญิงก็แข่งกับผู้หญิง ผู้ชายแข่งกันผู้ชาย จึงไม่มีการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝีมือและการฝึกซ้อมทั้งสิ้น
หนำซ้ำผู้คิดค้นเริ่มต้นกีฬานี้ยังเป็นเพียงชาวญี่ปุ่นตัวเล็กๆที่พยายามคิดหาวิธีป้องกันตัวและตอบโต้คนตัวใหญ่กว่าได้ ดังนั้นมันจึงเป็นกีฬาที่คนตัวเล็กก็สามารถจับคนที่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่าเหวี่ยงกระเด็นได้หากรู้และเข้าใจเทคนิคของมัน ความสมดุลของร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าพละกำลัง ดังวลีประจำกีฬาประเภทนี้ว่า “โอนอ่อนชนะแข็งกร้าว”
ใช่แล้ว...พวกเขาเป็นนักกีฬายูโด
เสียงหอบเบาๆพอให้รู้ว่าได้ออกกำลังเป็นสัญญาณดีที่บอกว่าสมรรถภาพร่างกายของตัวเองยังใช้ได้อยู่ จงอินยกมือขั้นเหลือหัวแล้วสูดอากาศหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด ขณะที่ชานยอลสะบัดมือและเท้าเบาๆเพื่อเตรียมยืดคลายกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายเสร็จ (**กระจกกระซิบ : บางคนเรียกว่าคูลดาวน์ค่ะ จะตรงข้ามกับวอร์มอัพซึ่งเป็นการอบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกาย คูลดาวน์จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้เราไม่ปวดเมื่อยหลังออกกำลังกาย)
แดดที่ร้อนขึ้นทำให้รู้ว่าเริ่มจะสายแล้ว ถ้าเป็นปกติพวกเขาคงจะแยกย้ายกลับหอ ไปอาบน้ำอาบท่าแล้วต่างคนต่างมาเข้าเรียนแล้ว แต่เพราะวันนี้เป็นวันหยุดทำให้ยังพอมีเวลานั่งสูดอากาศดีๆหลังเอาเหงื่อออกพร้อมกับนั่งคุยกันสบายๆข้างสนามได้บ้าง
จงอินส่งขวดน้ำให้คนที่นั่งข้างๆ ชานยอลรับมาโดยที่ไม่ได้กล่าวขอบคุณ แต่เอาเถอะ มันเป็นเรื่องเคยชินไปแล้วสำหรับเขาทั้งคู่ ลองให้มาขอบคุณกันสิคงจะกระดากปากพิลึกหูน่าดู
“ไม่ได้วิ่งนาน เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันแฮะ”
ชานยอลพูดหลังจากดื่มน้ำเปล่าไปหลายอึก จงอินชำเลืองมองเพื่อนตัวสูงที่พยายามปรับจังหวะการหายใจ
“แสดงว่าปิดเทอมไปมึงไม่ได้วิ่งเลยใช่มั้ยเนี่ย?”
“โอ้ยยย กูไม่ได้ฟิตเหมือนมึงครับ อีกอย่างกูแข่งรุ่นไม่เกิน 73 กิโล กูหนักแค่ 70 เดิมก็แบกน้ำหนักอยู่แล้วมึงยังจะให้กูวิ่งให้น้ำหนักลงไปอีกทำไมวะครับ?”
พอได้ยินชานยอลบ่นยืดยาวแบบนั้นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ ไอ้รองประธานชมรมยูโดคนนี้มันขี้บ่นนัก ไม่รู้ไปติดนิสัยคนที่มันกำลังจีบอยู่หรือเปล่า รายนั้นอยู่เฉยๆก็น่ารักดี แต่อย่าไปทำอะไรขัดใจเข้านะ รับรองว่าหูชาหมอไม่รับรักษาแน่ๆ
“วิ่งเยอะๆจะได้ปอดใหญ่ๆ เวลาแข่งจะได้ไม่เหนื่อยไงมึง”
ชานยอลไหวไหล่ส่งๆเมื่อจงอินพยายามพูดถึงผลดีจากการวิ่ง
“ไม่จำเป็น กูทำกิจกรรมอื่นที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยพอจะทำให้ปอดขยายได้เฟ้ย” ยักคิ้วเพิ่มความกวนประสาทเข้าไปอีกหน่อย
“แถมยังทำได้เป็นคู่ กูกับแพคฮยอนนี่ได้บริหารปอดพร้อมๆกันเลย ฟินสุดๆ”
ชานยอลหัวเราะคิกคักจนน่าหมั่นไส้ แต่เล่นเอาจงอินอึ้งไปสักพักกับถ้อยคำชวนคิดลึกของเพื่อนตัวสูงที่หน้าด้านกล้าพูดออกมาแต่เช้าตรู่แบบนี้ ก่อนจะฟาดขวดเปล่าข้างตัวเข้าเต็มหัวเพื่อนรัก
“โหย ไอ้หื่นกาม!”
“โอ๊ย! เชี่ยไค! กูหมายถึงไปปั่นจักรยานรอบมหาลัยด้วยกัน มึงคิดไรเนี่ย!?” ชานยอลโวยวาย
“ไม่ต้องเลย หน้ามึงอ่ะไปก่อนเลยชานยอล! กูถึงว่าทำไมก่อนปิดเทอมไปเคาะห้องแพคฮยอนจะขอยากินไม่เคยเจอ ที่แท้มึงพาไปกกอยู่ที่หอนี่เอง”
“มันไม่ใช่อย่างนั้นโว้ยยยย!! มึงแม่งใส่ร้ายกู!!”
จงอินหัวเราะเสียงดังลั่นมือก็คอยปัดป้องอีกฝ่ายที่หมายจะพุ่งเข้ามาบีบคอเขาคืนให้ได้ด้วย ได้แกล้งหยอกคนขี้เกียจซะบ้างก็ช่วยทำให้อารมณ์ดีรับยามเช้าได้เหมือนกัน
อันที่จริงปาร์คชานยอลก็ไม่ใช่พวกขี้เกียจอะไรนักหนา แต่จะเป็นประเภทที่ว่าถ้าไม่กระตุ้นก็จะไม่กระดิกตัว จริงๆหมอนี่เป็นคนมีพรสวรรค์ มีอย่างที่ไหนไม่ค่อยซ้อมยังโชว์เสต็ปเทพทุ่มเอาๆจนกวาดเหรียญทองมาได้เกือบทุกแม็ทซ์การแข่งขัน ส่วนจงอินจะตรงกันข้ามกับชานยอลโดยสิ้นเชิง เขาเป็นประเภทที่ถ้าหยุดซ้อมไปปั๊บฟอร์มจะตกทันที แต่ถ้าเขาฝึกซ้อมเป็นประจำสม่ำเสมอจะแกร่งแค่ไหนก็ไม่มีทางล้มเขาได้ง่ายๆแน่นอน
มีอยู่ครั้งหนึ่งจงอินหยุดซ้อมไปเพียงอาทิตย์เดียวก่อนแข่ง พอรอบชิงชนะเลิศต้องแข่งกับชานยอลซึ่งตอนนั้นอยู่คนละทีม ผลคือจงอินแพ้ราบคาบ แต่แม็ทซ์หลังจากนั้นจงอินก็ฝึกซ้อมทุกวันจนกระทั่งไปล้างตาเอาชนะชานยอลคืนได้สำเร็จ หลังจากนั้นพวกเขาก็เป็นทั้งคู่แข่งและเพื่อนสนิทกันตลอดมาจนกระทั่งเข้าเรียนที่เดียวกัน แต่ที่น่าตลกอีกอย่างก็คือจนถึงป่านนี้ชานยอลยังคงเรียกเขาว่า ‘ไค’ ซึ่งเป็นอีกชื่อในวงการยูโดของเขา หมอนี่คงเรียกเสียติดปากจนบางครั้งก็ลืมชื่อจริงๆของเขาไปแล้ว
“กีฬามหาลัยมันก็ตั้งเทอมหน้า แต่เท่าที่ดูนี่มึงเตรียมจะนัดซ้อมแล้วสินะ?”
ชานยอลว่าพลางชำเลืองมองเจ้าของผิวเข้มข้างๆหลังจากที่เปิดศึกนอกสนามกันไปแล้วเมื่อครู่ จงอินดื่มน้ำอีกครั้งก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ
คนตัวสูงไหวไหล่ คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นอย่างนี้ ก็นั่นมันแม็ทซ์ใหญ่ที่สุดของมหาวิทยาลัยแล้ว การเริ่มซ้อมตั้งแต่เนิ่นๆนับเป็นเรื่องที่ดี
“จริงๆก่อนหน้ากีฬามหาลัยมันยังมีแข่งแม็ทซ์ย่อยๆพวกเชื่อมความสัมพันธ์ต่างมหาลัยอยู่นะ กูว่าต้องเริ่มเข้ามาซ้อมกันได้แล้ว เดี๋ยวถึงเวลาไปแข่งจะแย่เอา” จงอินพูดต่อ อีกฝ่ายพยักหน้าเบาๆ
“จริงของมึง เซฮุนกับแพคฮยอนก็ห่างสนามแข่งมาพักใหญ่แล้ว กลัวไปแข่งอีกทีจะตื่นสนามเหมือนกัน”
“เออ มึงเองก็ซ้อมหนักหน่อยล่ะ กูว่ามหาลัยMต้องส่งพี่อู๋ฟานลงเล่นรุ่นมึงแน่ๆ”
ท้ายประโยคที่ปรากฏชื่อของใครคนหนึ่งทำให้จงอินเงียบไปชั่วอึดใจ ชานยอลลอบมองเพื่อนสนิทที่เหม่อมองไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าก่อนที่จะกลบเกลื่อนด้วยการยกน้ำขึ้นดื่ม นอกจากจะเป็นการบ่ายเบี่ยงพฤติกรรมที่ไม่เนียนแล้ว ไอ้สีหน้าเหมือนหมาถูกทิ้งแบบนั้นก็ยังฟ้องกันอยู่ทนโท่ ร่างสูงระบายลมหายใจเบาๆครั้งหนึ่ง
“กูบอกไว้ก่อนนะ แพ้ลงมาห้ามโทษกู มึงก็รู้อยู่ว่าพี่เขาเก่งระดับเทพ”
ชานยอลลองแกล้งพูดยิ้มๆ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาจากคนที่นั่งข้างๆมีเพียงสีหน้าที่หมองเช่นเดิม
“กูรู้ว่าพี่เขาเก่ง” เว้นจังหวะเพื่อถอนหายใจพร้อมยิ้มจาง
“คนเก่งใครๆก็รัก รวมถึงคนๆนั้นด้วยเหมือนกัน”
ได้ยินเพียงเท่านั้นชานยอลอยากจะตบเข่าสักฉาด ไม่รู้ทำไมเวลาเดาข้อสอบไม่ยักตรงเผงแบบนี้บ้าง เดาไม่เคยผิดจริงๆ มันมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่จะทำให้ไอ้กัปตันทีมสุดโหดนี่เป็นหมาหงอยได้
“กูว่าละ นี่มันก็หลายปีมาแล้วนะเว้ยไอ้ไค”
“อืม ตั้งแต่ ม.5 แน่ะ”
“มึงยังจะมีหน้ามา ‘อืม ตั้งแต่ ม.5 แน่ะ’ อีกนะไอ้ดำ!”
ชานยอลพูดใส่คนที่นั่งทอดสายตามองพื้นเบื้องหน้าพลางอมยิ้มเศร้า แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยให้มันหลุดออกจากห้วงความทรงจำเก่าเก็บนั้นได้เลย ถึงแม้เขาและจงอินจะอยู่กันคนละทีม อยู่กันคนละโรงเรียน แต่เพราะได้เป็นเพื่อนกันจากการแข่งขันเลยทำให้ชานยอลพอจะรู้เรื่องราวชีวิตของไอ้คนที่นั่งข้างๆนี่มาบ้าง ยิ่งมาเป็นเพื่อนกันในรั้วมหาลัยจงอินก็ยิ่งเล่าเรื่องส่วนตัวให้เขาฟังมากขึ้น จึงไม่แปลกที่ชานยอลจะรับรู้เรื่องราวหนักหัวใจของคิมจงอินรวมถึงความรู้สึกของเพื่อนตัวสูงในตอนนี้ด้วย
ชานยอลลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปถามอีกฝ่ายเสียงเรียบ
“เมื่อไหร่มึงจะลืมเขาได้วะ?”
ไม่มีคำตอบให้กับคำถามเดิมๆที่ถูกถามซ้ำแล้วซ้ำอีกจนไม่อาจนับครั้งได้
บรรยากาศยามเช้าวันอากาศดีหมองลงไปเมื่อความเงียบโรยกายรอบเด็กหนุ่มทั้งสอง ชานยอลไม่ได้ถามอะไรต่อ เขาเพียงนั่งเอนหลังพิงกับแสตนที่นั่งเงียบๆ ปล่อยให้จงอินได้คุยกับความรู้สึกตัวเองบ้างเผื่ออะไรมันจะดีขึ้น
++++++++++++++++++++++++
“เออๆ เดี๋ยวกูเข้าไปเปิดห้องชมรมเอง โทษทีว่ะไค กูไม่นึกว่ามันจะมาซวยเครื่องอบแห้งเสียวันที่เอาชุดยูโดไปซักพอดี” ชานยอลกรอกเสียงใส่โทรศัพท์ไปขณะที่อีกมือก็หอบหิ้วชุดยูโดที่ยังไม่แห้งดีของตัวเองกับจงอินไปด้วย สองขายาวรีบก้าวๆขึ้นบันไดเพื่อไปยังห้องชมรมซึ่งเป็นสถานที่ซ้อมยูโดด้วยบนชั้น 2
“เดี๋ยวกูตากแดดทิ้งไว้ให้ คิดว่าตอนเย็นที่เข้ามาซ้อมกันน่าจะแห้งแล้วล่ะ”
หนีบโทรศัพท์ไว้กับไหล่แล้วจัดแจงไขประตูห้องให้เปิดออก ด้านในเป็นห้องสี่เหลี่ยมกว้างพอประมาณ มีเสื่อทาทามิสีน้ำเงินและสีเหลืองปูเรียงเป็นระเบียบ ที่แห่งนี้เองที่พวกเขาใช้ฝึกซ้อมกันอยู่ทุกวัน (**กระจกกระซิบ : เสื่อทาทามิจะค่อนข้างหนาจึงทำให้ส่วนใหญ่เรียกว่า เบาะ มากกว่า แต่ก็ไม่ได้นุ่มเหมือนเบาะทั่วๆไปนะคะ สามารถดูรูปประกอบได้ท้ายเรื่องค่ะ)
ชานยอลวางชุดยูโดชื้นๆลงบนเบาะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตาม ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้าหล่อเหลาลวกๆแล้วกรอกเสียงลงโทรศัพท์ต่อ
“เออ เดี๋ยวก่อนซ้อมกูไปรับแพคฮยอนกับเซฮุนมาเอง ถ้ามึงเรียนเสร็จก่อนก็มาที่ห้องชมรมก่อนแล้วกัน แค่นี้นะ กูจะได้รีบตากชุดแล้วไปเรียน เออๆ ตอนเย็นเจอกัน” มือหนากดวางสายก่อนจะถอนหายใจหนักๆออกมาหนึ่งที ชำเลืองมองชุดยูโดที่หนักกว่าเดิมเพราะชื้นน้ำแล้วก็ยังนึกรู้สึกผิดกับกัปตันทีมไม่หาย
หลังจากเช้าวันนั้นที่เขาไปวิ่งด้วยกัน จงอินก็ฝากชุดยูโดของตัวเองให้เขาซึ่งอยู่หอใกล้ร้านซักอบรีดซักพร้อมกับชุดของชานยอลเองด้วย ที่ต้องลงทุนให้ร้านซักก็เพราะชุดยูโดนั้นอุ้มน้ำมาก เดิมทั้งชุดก็หนักร่วม 1-2 กิโลอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเปียกน้ำไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะหนักแค่ไหน คนเดียวซักมือคงไม่ไหวแน่ อีกอย่างที่ร้านก็มีเครื่องอบแห้งด้วย (**กระจกกระซิบ : เราจะไม่รีดชุดยูโดกันนะคะ เพราะชุดยูโดเนื้อผ้าหนามาก ซักแล้วอบ หรือซักแล้วตากแดดก็พอ) แต่คงเป็นดวงซวยเครื่องอบที่ร้านถึงได้เสียวันที่ชานยอลส่งชุดยูโดไปซักพอดี
นั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วร่างสูงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหิ้วชุดยูโดสีขาวทั้งสองชุดเดินไปยังหน้าต่างห้องชมรม มือหนาเลื่อนเปิดหน้าต่างกระจก ด้านนอกมีราวเหล็กยาวๆที่พวกเขาทำไว้เพื่อตากชุดยูโดหลังซ้อมเสร็จ เพราะเห็นว่าตรงนี้ลมโกรกดี อากาศถ่ายเทและคงจะไม่มีใครปีนกำแพงขึ้นมาขโมยได้
ชานยอลใช้ไม้แขวนเสื้อที่หนากว่าปกติแขวนชุดยูโดทั้งของเขาและจงอิน โดยเฉพาะของจงอินนี่ต้องระวังเป็นพิเศษหน่อย เพราะชุดยูโดชุดนี้ไม่ใช่ชุดซ้อมธรรมดา แต่มันเป็นชุดที่มีคุณค่าทางจิตใจสำหรับคิมจงอินมาก
ชานยอลก็พอจะเข้าใจอยู่เพราะมันเป็นชุดที่ใช้ใส่แข่งกับคนที่มันอยากชนะมากที่สุด แถมยังสามารถชนะคนๆนั้นได้อย่างที่ตั้งใจไว้ได้อีกด้วย ถึงมันจะดูเป็นเหตุผลกุ๊กกิ๊กยังไงชอบกลแต่สำหรับคนที่มุ่งมั่นตั้งใจอย่างจงอินมันคงเป็นเรื่องเล็กๆที่มีค่ามากจริงๆ
ร่างสูงจัดแจงแขวนชุดเสร็จเรียบร้อยก็รีบออกจากห้องชมรมแล้วรีบไปเรียนต่อ ชานยอลตรวจสอบว่าตัวเองล็อคห้องเรียบร้อย จะกลับเข้ามาอีกทีก็คงเย็นๆตอนก่อนซ้อมตามที่จงอินนัดเอาไว้
ร่างสูงรีบวิ่งจากไป... โดยที่ไม่ทันได้รู้ว่าน้ำหนักของชุดยูโดตัวเก่งของคิมจงอินมากเกินกว่าที่ไม้แขวนเสื้อจะรับไหว
ชุดสีขาวร่วงลงไปสู่พื้นด้านล่าง
++++++++++++++++++++++++
พี่อู๋ฟาน
มหาลัยพี่ก็คงเปิดแล้วใช่มั้ยฮะ?
ตั้งใจเรียนนะฮะ แล้วก็ตั้งใจซ้อมด้วย
ผมจะคอยเป็นกำลังใจให้พี่เสมอ
รักพี่นะครับ
โดคยองซู
ปลายนิ้วจิ้มสัมผัสตัวอักษรตัวสุดท้ายหากชะงักค้างอยู่ที่เครื่องหมายกดส่ง ริมฝีปากสีอ่อนถูกแผงฟันคมงับไว้เบาๆ ดวงตากลมโตไหวระริก ตัวหนังสือที่เรียงรายอยู่บนหน้าจอไม่ได้ยาวมากแต่กลับทำให้ยากที่จะตัดสินใจ เขากำลังชั่งใจเหมือนอย่างทุกครั้ง มีทางเลือกอยู่สองทาง แค่ส่งกับไม่ส่ง
แต่ท้ายที่สุดเขาก็เลือกลบข้อความทั้งหมดที่พิมพ์มาทิ้งไป
คยองซูถอนหายใจแล้วเก็บเครื่องมือสื่อสารเครื่องเล็กใส่กระเป๋า เหตุการณ์เช่นนี้มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง หลายครั้งที่ตั้งใจจะส่งข้อความไปหาใครคนนั้นและทุกครั้งจะต้องจบลงด้วยการที่เขาลบข้อความทั้งหมดที่พิมพ์ด้วยตัวเองทิ้งไป
นี่ก็ผ่านมาตั้งเกือบครึ่งปีแล้วแต่เขาก็ยังไม่สามารถทำใจยอมรับมันได้เสียที
คยองซูยังจำได้ดีว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนเมื่อตอนที่ได้มีคนๆนั้นอยู่ใกล้ๆ แม้แต่ในตอนที่คบหากันอย่างเปิดเผยแล้วเขายังแทบไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้เป็นแฟนกับคนที่ใครๆต่างหมายปองเอาไว้
อู๋อี้ฟานเป็นผู้ชายเพอร์เฟ็ค ทั้งหน้าตาหล่อเหลาขนาดที่สามารถเป็นดาราได้สบายๆ ทั้งเป็นลูกครึ่งจีนที่มีหุ่นสมบูรณ์แบบ ทั้งโดดเด่นทางด้านกีฬาจนได้มีชื่อในวงการว่า ‘คริส’ เป็นนักยูโดคนดังที่ว่ากันว่าภายในหนึ่งแม็ทซ์นั้นเขาสามารถทำคะแนนอิปป้งได้อย่างสมบูรณ์แบบชนิดที่หาใครเทียบเท่า
แล้วใครจะไปคิดล่ะว่าคนที่เหมือนตกลงมาจากสวรรค์แบบนี้จะตกลงคบกับคนธรรมดาๆที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลยอย่างโดคยองซู
แต่เอาเถอะ...ยังไงตอนนี้มันก็เป็นอดีตไปแล้ว อดีตที่เป็นได้แค่ความทรงจำเก่าเก็บ
ร่างเล็กพาตัวเองเดินมาเรื่อยๆจนถึงข้างอาคารศูนย์กีฬาของมหาลัย ไม่ใช่ว่าอยากจะเข้าใกล้อะไรที่เกี่ยวกับกีฬานักหรอก บอกตรงๆว่าตอนนี้คยองซูแทบอยากจะวิ่งหนีมันไปด้วยซ้ำ เพราะไม่ใช่เฉพาะกับยูโด ไม่ว่ากีฬาอะไรก็ตามมันมีแต่พาลจะทำให้เขานึกถึงแต่อู๋อี้ฟาน
...นึกถึงแต่ผู้ชายใจร้ายคนนั้น
คนใจร้ายที่เคยให้คำสัญญาต่อกันไว้ว่าต่อให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยแล้วก็จะไม่ใช่ระยะทางมาเป็นอุปสรรคระหว่างกัน ยืนยันว่าจะไม่ทิ้งเขาไปไหน คยองซูอุตส่าห์เชื่อมั่นในคำสัญญานั้นแต่ไม่นึกเลยว่ายิ่งไว้เนื้อเชื่อใจมากเท่าไหร่ไอ้ความไว้ใจบ้าๆนั่นแหละที่จะกลับมาทำร้ายตัวเองอย่างแสนสาหัส
คนตัวเล็กค่อยๆทิ้งร่างกายเหนื่อยล้านั่งบนพื้นหญ้าข้างๆอาคาร พื้นที่ตรงนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่านมากโดยเฉพาะเวลาเรียน แต่แม้จะถึงเวลาเลิกเรียนแล้วคนก็ยังเดินผ่านน้อยมากทั้งๆที่เขาคิดว่ามันเป็นที่ๆบรรยากาศดีใช้ได้ ลมโกรก แถมยังร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่หลายต้นและคูน้ำเล็กๆรอบๆบริเวณอาคาร
คยองซูซบหน้าลงกับเข่าตัวเอง พยายามอย่างมากที่จะกลั้นก้อนสะอื้นที่จุกอยู่ในคอ เขาสัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่อ่อนแอ และมันก็เป็นสัญญาที่เขาเคยบอกกับอู๋ฟานเช่นกัน เพราะคยองซูบอกตัวเองเสมอว่าคนที่คู่ควรกับคนเก่งอย่างอู๋ฟานได้จะต้องเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ และต้องไม่ร้องไห้ง่ายๆ
แต่เขาเพิ่งจะรู้ตอนนี้เองว่ามันทำได้ยาก...ยากมากๆ
พยายามคิดทบทวนหาเหตุผลที่ทำให้ตนถูกทิ้งมาตลอดเวลาเกือบครึ่งปีที่เลิกกันแม้จะพอรู้เหตุผลอยู่แล้วลึกๆในใจ หลังจากอู๋ฟานบอกเลิกกับเขาไม่นานก็ไปคบกับอีกคนที่เป็นเพื่อนร่วมทีมที่มหาลัย คยองซูคิดว่าทั้งสองคนคงจะเริ่มต้นความสัมพันธ์แบบนี้ได้พักใหญ่แล้ว เพียงแต่รอเวลาว่าเมื่อไหร่อู๋ฟานจะถอดเขาบนหัวของเขาออกก็เท่านั้น
“เพราะเขาเก่งใช่มั้ย? เป็นนักยูโดเหมือนพี่ใช่มั้ย? เพราะเขาใกล้ชิดพี่มากกว่าผมใช่มั้ยพี่ถึงได้ทิ้งผมไป”
พูดกับตัวเองเสียงเบาหวังเพียงเพื่อจะระบายความอ่อนแอที่น่ารังเกียจนี้ออกไปได้บ้าง คนตัวเล็กอย่างเขาจะทำอะไรได้ล่ะ กีฬาสักชนิดก็ไม่เคยคิดจะเล่น แถมร่างกายยังบอบบางอย่างนี้ใครเขาอยากจะชวนให้ไปเล่นกีฬาอะไรล่ะ
ทว่าระหว่างที่ทิ้งตัวเองให้จมอยู่กับความอ่อนแอและพยายามกลืนน้ำตาลงไปนั้นเอง คยองซูก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงบางอย่างดังมาจากทางด้านหลัง
เขาเงยหน้าขึ้นจากเข่า หันกลับไปดูตามต้นเสียง ข้างๆกำแพงอาคารมีอะไรบางอย่างกองอยู่ตรงนั้น เหมือนเสื้อแขนยาวสีขาวเนื้อหนา ลองเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนก็พบเสื้อยูโดสีขาวอีกตัวตากเอาไว้บนราวแขวน ข้างๆกันมีไม้แขวนเสื้อเปล่าๆแขวนอยู่ด้วย
คยองซูพอจะเดาได้ว่าสิ่งที่กองอยู่ตรงนั้นคงจะเป็นเสื้อยูโดที่ร่วงลงมาจากราวแขวนข้างบนนั้นเอง ร่างเล็กลุกขึ้นยืนก่อนจะค่อยๆเดินไปยังเสื้อสีขาวที่กองอยู่บนพื้น มือบางหยิบมันขึ้นมาแต่ก็ต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำหนักของมันมากกว่าที่เคยได้หยิบชุดยูโดของอู๋ฟานมาก่อน
ความชื้นที่รู้สึกได้บ่งบอกว่าชุดยูโดชุดนี้คงยังไม่แห้งดีเท่าไรนัก แต่ใครจะไปสนใจล่ะ คยองซูก้มมองชุดยูโดสีขาวในมือแล้วเหยียดยิ้มหยัน
หึ...ยูโดเหรอ
กีฬางี่เง่าที่แย่งคนรักไปจากเขา กีฬาป่าเถื่อนรุนแรงแบบนี้มันมีดีอะไรนักหนา!?
เมื่อก่อนคยองซูเคยคิดจะรักมัน รักเหมือนอย่างที่อู๋ฟานรัก ผู้ชายคนนั้นมักจะพูดกับเขาอยู่เสมอว่านี่คือสิ่งที่ตัวเองรักมาก ไม่ได้เป็นแค่กีฬาแต่หมายถึงส่วนหนึ่งของชีวิต คนที่ไม่เคยสัมผัสกับกีฬาอะไรเลยในชีวิตอย่างเขาอาจจะเข้าใจมันได้ยากแต่คยองซูก็รู้ว่าอู๋ฟานพูดออกมาจากใจจริง รอยยิ้มบนริมฝีปากคมหยักบอกเขาอย่างนั้น
แต่มันก็เพราะอู๋ฟานรักยูโดมากไม่ใช่หรือที่ทำให้คยองซูถูกบอกเลิก ด้วยเหตุผลง่ายๆแต่ทำร้ายจิตใจคนฟังได้อย่างสาหัส เหตุผลที่ไม่รู้ว่ามันคือเหตุผลหรือข้ออ้างกันแน่
อู๋ฟานบอกว่าต้องการทุ่มเทเวลาให้กับการเป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัย
คยองซูรู้ว่ามันเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่การที่กลับเอาเวลาที่ว่าอยากทุ่มเทให้กับกีฬาไปคบคนใหม่นั่นคืออะไรกันล่ะ หรือแค่ระยะทางที่ห่างกันมันจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปด้วย หรือแค่เพราะเขามันอ่อนแอเกินไปไม่เหมาะสมกับคนที่โดดเด่นแบบอู๋อี้ฟาน
ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นใจ เขาอยากทำลายทุกอย่างที่ทำให้นึกถึงอู๋ฟาน เขาไม่ต้องการนึกถึงมันอีก!
โดยที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ คนตัวบางก็เหวี่ยงเสื้อยูโดของใครก็ไม่รู้ในมือไปสุดแรง ชุดนั้นลอยละลิ่วไปไกลและสุดท้ายก็หล่นลงไปในคูน้ำรอบอาคารพอดิบพอดี เสื้อยูโดค่อยๆเปียกและจมลงพร้อมๆกับที่รู้สึกว่าตัวเองไม่อาจกลั้นน้ำตาต่อไปได้ไหว
เขาเกลียดตัวเองที่อ่อนแอ เกลียดมือคู่นี้ที่ใครๆต่างก็บอกว่านุ่มนิ่มจนไม่อยากให้หยิบจับอะไรหนักๆ เกลียดร่างบอบบางของตนเอง เกลียดดวงตากลมโตที่ไม่ว่ามองอะไรก็ยังปรากฏภาพใครคนนั้น และที่เกลียดที่สุดคือน้ำตาที่เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าตนเองเป็นได้แค่ฝ่ายแพ้พ่าย
ชั่วขณะที่เสียงสะอื้นกำลังเล็ดลอดออกจากริมฝีปากสั่นริก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เขาได้ยินเสียงของใครบางคนร้องลั่นอยู่ทางด้านหลัง
“เฮ้ย!! ทำบ้าอะไรของนายน่ะ!!??”
เสียงทุ้มที่ตะโกนขึ้นมาทำให้คยองซูต้องหันกลับไปทางมุมอาคาร
ร่างสูงในชุดนักศึกษากำลังมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง คยองซูมั่นใจในวินาทีนั้นว่าคนๆนี้คงจะเป็นเจ้าของชุดยูโดที่เขาเพิ่งเหวี่ยงทิ้งด้วยความโมโหชั่ววูบไปเมื่อกี้แน่นอน ดูเอาจากสายตาฉายแววโกรธเคืองในตอนแรกที่ได้สบตา หากแต่วินาทีถัดมามันกลับเปลี่ยนไป
ตาคู่นั้นมองมาเหมือนได้พบเจอกับคนรู้จักที่ไม่ได้พบกันมาแสนนาน หากสิ่งที่ทำให้เขาตกใจกว่าคือการที่ชายแปลกหน้าคนนี้กลับเปล่งเสียงเรียกชื่อของเขาออกมาทั้งๆที่เราไม่น่าจะรู้จักกัน
“นาย...โดคยองซู...”
TBC.
ภาพเสื่อทาทามิที่ใช้เป็นสถานที่ซ้อมยูโด (JUDO DOJO) หรือที่เรียกกันว่า เบาะยูโด ค่ะ
เมื่อก่อนจะเป็นสีเขียว-แดง แต่ปัจจุบันตามกฎสากลจะใช้เป็นสีน้ำเงิน-เหลืองค่ะ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าที่ไหนจะใช้สีอะไร
ลักษณะคือเป็นสีเหลี่ยมจัตุรัส มีเบาะวางเป็นกรอบรอบดังที่เห็นในรูป ซึ่งมันจะเกี่ยวข้องกับกฎกติกาค่ะ
อย่างเช่น ถ้าแข่งๆกันไปแล้วพากันลากออกไปนอกกรอบนั้นก็จะสั่งหยุดการแข่งขันชั่วคราวเพื่อให้กลับเข้ามาด้านใน
ในตอนต่อๆไปจะค่อยๆอธิบายให้เห็นภาพกันนะคะ ยังไม่ต้องตกใจค่ะ :)
Mirror* Talk : ออกตัวก่อนเลยว่ากระจกเป็นนักยูโดค่ะ 55555* เล่นยูโดมาจนถึงตอนนี้ก็เข้าปีที่ 13 แล้ว เคยคิดมานานแล้วว่าอยากลองเขียนฟิกชั่นที่เกี่ยวกับยูโดสักเรื่อง เพราะเราคลุกคลีอยู่กับตรงนี้มาหลายปีทำให้เราเห็นเรื่องราวบางเรื่อง บางแง่มุม ประสบการณ์บางอย่างที่คาดว่าคนที่ไม่เคยมาสัมผัสต้องไม่รู้แน่นอน เมื่อก่อนเรายังใสๆ(?)เราเลยไม่คิดอะไร แต่พอมาเป็นสาววายแล้วนี่เพิ่งรับรู้ได้ว่ากีฬาที่ตรูเล่นนี่แม่มโคตรวายเลยเหอะ 55555*
และขอบอกล่วงหน้าว่า ฟิกเรื่องนี้เราไม่รู้ว่าเราจะพามันไปรอดตลอดรอดฝั่งมั้ย TTvTT ถ้ามันไปไม่รอด เกิดล่มกลางทางนี่ก็ไม่ต้องแปลกใจนะคะ ฮือออออ ถ้าไม่มีใครอ่านเราก็จะขอจบมันไว้แค่ตอนแรกพอนะ #เดี๋ยวนะ ฮา มันยากจริงๆนะทุกคน แต่เราก็จะพยายามนะคะ อยากให้ทุกคนได้ลองสัมผัสกับยูโดจริงๆ มันเป็นกีฬาที่สวยงามอย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยล่ะ :)
ปล.ใครที่ไม่เข้าใจส่วนไหนของเรื่องที่เกี่ยวกับยูโดสามารถถามเราได้ตลอดเลยนะ ยินดีตอบจ้า
ขอบคุณทุกสายตาที่ไล่กวาดตัวอักษรของเราค่ะ
ความคิดเห็น