คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Hemera 1 : บันไดร้านหนังสืออาจทำให้เราเจ็บตัวได้
Hemera 1 : บันไดร้านหนังสืออาจทำให้เราเจ็บตัวได้
ลัทธิล่าอาณานิคมกำลังรุ่งเรือง
หลายพื้นที่ของโลกเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการแย่งชิง ผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้สิ่งที่ต้องการไปโดยไม่มีใครสนว่าประชาชนพื้นเมืองจะอยู่เช่นไร คนที่แข็งแกร่งกว่าเท่านั้นที่จะได้รับสิ่งที่หมายปอง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ เม็ดเงิน หรือเกียรติยศ
แต่ ‘เธอ’ ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้นแม้แต่น้อย เธอแค่ทำในสิ่งที่ตนอยากทำ
ล่าอาณานิคม ต่อกรกับจักรวรรดิยักษ์ใหญ่เพื่อฮุบอำนาจ รวบรวมเมืองเล็กเมืองน้อยให้เป็นหนึ่งก่อนจะรวบมาเป็นของตัวเอง
นั่นแหละสิ่งที่ ‘เจ้าอาณานิคมแห่งไฟ’ กระทำ…
.
.
.
“โห… เขียนจนฉันดูเลวไปเลย…”
นี่คือสิ่งที่หญิงสาวคนหนึ่งพูดขณะพลิกหน้ากระดาษของหนังสือในมือด้วยสีหน้าน้อยใจนิดๆ หน้ากระดาษถูกพลิกไปเรื่อยๆด้วยความเร็วที่มากขึ้นๆ เมื่อพบว่าเนื้อหาไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่เธอก็ตัดสินใจปิดมันทิ้งแล้วส่งคืนให้กับเจ้าของ… หรือเพื่อนสนิทที่กำลังทำหน้าหน่ายอยู่ข้างๆ
“ก็แกมันเลว”
“เลวอะไรเล่า!?” หญิงสาววางมือลงบนโต๊ะก่อนจะเอ่ยประท้วง “คิดดูดิ! มีเจ้าจักรวรรดิที่ไหนดูแลประชาชนให้อยู่ดีกินดีอย่างฉันบ้าง ทั้งทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญ ทั้งปรับปรุงการศึกษาให้ไม่มีการสอบ! แกคิดว่ามีใครโอบอ้อมอารีเท่าฉันบ้างหา!!?”
ยิ่งหญิงสาวยืนกรานเสียงแข็งมากเท่าไหร่ คู่สนทนาก็ยิ่งทำหน้าเอือมใส่
“แล้วถ้าแกโอบอ้อมอารีจะมีกบฏมะ?”
“ไม่”
“สรุปว่าแกเลว”
“ลูซี่ ฉันเป็นเพื่อนแกนะ…”
หลังพูดจบ หญิงสาวก็แทบจะทรุดลงไปนั่งกับเก้าอี้ เธอปล่อยตัวเองให้เอนหลังบนเก้าอี้ไม้แข็งๆของบาร์พลางเอานิ้วเคาะโต๊ะเป็นจังหวะตามเสียงเพลงที่บรรเลงในร้าน
“แล้วเมื่อไหร่ปลาหมึกราดซอสฉันจะมาเนี่ย?” เธอหันไปคุยกับเพื่อนสาว “พ่อครัวไปจับปลาหมึกที่ทะเลแวนการ์ดเรอะ?”
ลูซี่หันขวับ “แวนการ์ดมันอยู่เหนือสุดของเฮเมร่าเลยนะ”
“เพราะงี้ฉันเลยเปรียบเทียบให้มันดูไกลๆไง”
ลูซี่ไม่ต่อปากต่อคำเพื่อนขี้โม้ของเธอต่อ ทำให้คนรอปลาหมึกได้แต่นั่งเท้าคางรออาหารที่สั่งอย่างเงียบๆ ความจริงก็ไม่เงียบเท่าไหร่… เพราะสาวเจ้าเริ่มเอานิ้วชี้เคาะโต๊ะตามจังหวะเพลงแก้เซ็งอีกครั้ง ดวงตาสีส้มดั่งเปลวไฟกวาดมองไปทั่วร้าน ทั้งบรรดาลูกค้าที่นั่งกันเต็มไปหมด ทั้งนักดนตรีเวทที่กำลังเล่นอยู่บนเวที เธอมองซ้ำไปซ้ำมารอบแล้วรอบเล่าจนเริ่มรู้สึกเบื่อ ยิ่งมองเพื่อนตัวเองที่เอาแต่นั่งจ้องภาพอะไรก็ไม่รู้ในกระจกเวทก็ยิ่งเบื่อหนักเข้าไปใหญ่
ในที่สุด เธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน ลูซี่ที่กำลังมองภาพในกระจกเวทอยู่เบือนสายตามาทางเธอช้าๆ
“จะไปไหน?”
“จะไปร้านหนังสือแถวนี้ ไว้ปลาหมึกกับแม่หญิงนาซีมาแล้วส่งเลททิต้า (จดหมายเวทมนต์) มาหาฉันด้วย”
“รับทราบ”
ลูซี่รับคำเพียงแค่นั้นก่อนจะก้มลงไปมองกระจกเวทต่อ ซึ่งคนเป็นเพื่อนสาบานเลยว่ามันต้องเป็นภาพนักร้องเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังที่ลูซี่กำลังปวารนาตัวเป็นสาวกอยู่แน่ๆ!
นี่ฉันมีค่าแค่เวลาที่เธอเหงาใช่มะลูซี่!!!
หลังจากตัดพ้อในใจจบ สองขาก็พาร่างในชุดเกราะเบาสีแดงฉานใต้ผ้าคลุมสีดำเดินออกมานอกร้าน แต่แค่เดินออกมานอกร้านเธอก็รู้สึกหนาวขึ้นมาทันที ส่งผลให้เจ้าของร่างจำต้องกระชับผ้าคลุมให้แนบเข้าหาตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ ดวงตาสีส้มมองซ้ายขวาหาสะพาน ก่อนจะใช้มันเดินข้ามไปอีกฝากทันที
อาการหนาวแบบนี้เป็นเรื่องปกติของคนธาตุไฟที่มาเยือนอาณาจักรแห่งสายน้ำ เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีเพราะไฟมักแพ้ทางน้ำ แถมอาณาจักรนี้ยังเต็มไปด้วยแม่น้ำมากกว่าร้อยสาย ทว่าตึกรามบ้านช่องทุกหลังผสานกับแม่น้ำที่รายล้อมได้อย่างลงตัว บนหอคอยบัญชาการประจำอาณาจักรมีผลึกธาตุน้ำที่คอยควบคุมอาณาจักรประดับอยู่ด้วย
ถึงจะทรมานคนธาตุไฟไปหน่อย แต่ที่นี่สวยมากทีเดียว
หญิงสาวรีบเดินมาจนถึงร้านขายหนังสือ เธอกระชากประตูร้านให้เปิดออกก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน ตะเกียงมากมายที่อยู่เต็มร้านพอจะทำให้รู้สึกอุ่นขึ้นมาบ้าง เจ้าของดวงตาสีส้มเดินตรงไปที่เค้าท์เตอร์ ก่อนจะทำการแจ้งรายชื่อแก่ชายชราที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าร้านตามธรรมเนียมการเข้าใช้
“เพิร์ลลิโซเร่ เบรเวลค่ะ”
ชายชราที่เค้าท์เตอร์หรี่ตา ก่อนจะมองเจ้าของชื่อหัวจรดเท้าอย่างอึ้งๆ “เจ้าของอาณานิคมแห่งไฟเรอะ?”
“แม่นโลด!” เพิร์ลลิโซเร่ชูนิ้วโป้งพร้อมกับยิ้มแป้น “เท่ใช่มั้ยละลุง แต่ดูสิ… หนังสือประวัติศาสตร์ทุกเล่มเขียนซะยังกับหนูเป็นฆาตกรฆ่าข่มขืน!!”
การเป็นบุคคลหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์มันก็ดีอย่างเสียอย่าง ถ้าเขาไม่เขียนว่าคุณเป็นนางฟ้ามาโปรด ก็ต้องเขียนให้คุณเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามแบบสุดๆ!
ดูเหมือนสิ่งที่เพิร์ลลิโซเร่ หรือ ‘เพิร์ล’ พูดจะไม่เข้าหูลุงแกสักเท่าไหร่ ลุงคนเฝ้าร้านยังคงมองเธออย่างตกตะลึง อาการคล้ายกับกำลังตาค้าง แรกๆเธอก็รู้สึกว่าตัวเองเท่ดี แต่หลังจากผ่านไปห้านาที… ไม่สิ หกนาที เธอก็เริ่มกลัวๆขึ้นมาทำลุงแกช็อคตายไปรึเปล่า จึงตัดสินใจจะชิ่งไปอ่านหนังสือที่ชั้นสอง ถ้าไม่ติดว่าโดนลุงแกทักขึ้นมาเสียก่อน
“ได้ข่าวว่าโดนกบฏโค่นอำนาจนี่… ลำบากแย่เลยนะแม่หนู”
ดวงตาที่ส่องประกายสดใสมาตลอดกระตุกวูบ ก่อนที่เจ้าตัวจะส่ายหน้าเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“เรื่องธรรมดาของเจ้าอาณานิคมน่าลุง”
เพิร์ลเค่นยิ้มฝืดๆ ก่อนจะสะบัดตัวหนีไปอ่านหนังสือที่ชั้นบน เธอแนบแผ่นหลังกับตู้หนังสือที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะเริ่มไล่สายตาหาหนังสือสักเล่มที่มันพอจะสะดุดตาแล้วเอาไปอ่านฆ่าเวลาซะบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง… หนังสือ ‘คู่มือทวงคืนอาณานิคม’ ซึ่งเพิร์ลลิโซเร่หวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะมี! ถ้าไม่มีเธอคงต้องตรงไปที่โรงพิมพ์กลาง แล้วเค้นคอนักเขียนสักคนให้เขียนคู่มือนี่ออกมาซะ!
ครั้งหนึ่ง… เพิร์ลเคยเป็นเจ้าของอาณานิคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเฮเมร่า และเป็นมานานแสนนานจนกระทั่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้น…
เหตุการณ์ที่มีชื่อว่า… ‘กบฏแห่งอาเคเธอร์’
“…ช่างมัน!”
อดีตเจ้าอาณานิคมแห่งไฟสบถออกมาเบาๆ ก่อนจะให้ความสนใจกับตู้หนังสือตรงหน้าต่อ ชั้นหนังสือทุกชั้นในห้องนี้ต่างสูงจรดเพดาน การจัดเรียงค่อนข้างเป็นระเบียบ แต่ด้วยความสูงของมันทำให้คนไม่ค่อยสูง หรือที่เรียกอย่างหนึ่งว่าเลยเกณฑ์คำว่าเตี้ยมาไม่กี่เซนอย่างเพิร์ลได้แต่เงยหน้ามองจนคอแทบจะหักไปด้านหลัง
และแล้ว สายตาก็ไปเจอกับหนังสือเล่มหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นเกือบบนสุด สันปกของมันเขียนไว้ว่า ‘ความฝันของอัศวิน พิมพ์ครั้งที่ 77’
นิยายแฟนตาซีเรอะ? เพืร์ลถามตัวเองในใจ ก่อนจะยืดแขนสุดความยาวไปหยิบหนังสือเล่มนั้น
…
วืด…
เธอจับได้เพียงอากาศเปล่า…
เพิร์ลจิ๊ปาก ก่อนจะยกปลายเท้าขึ้นเพื่อทำการเขย่งสุดชีวิต เธอเอื้อมมือไปหมายจะให้โดนสันปกของหนังสือเล่มนั้น แต่ก็…
วืด…
ความเตี้ยไม่เคยปราณีใคร…!
“บ๊ะ ฮึบ!”
เธอพยายามลองแล้วลองอีก ลองจนนิ้วเท้าแทบจะหักดังกร๊อบ แต่ก็แตะได้แค่ความว่างเปล่า เธอเริ่มปีนตู้หนังสือ แต่จุดให้เกาะมีน้อยเกินไป ทำให้การเขย่งบันลือโลกเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเพิร์ลอยากจะถีบตู้คว่ำ ให้หนังสือกองลงมากระจัดกระจายจะได้หยิบอ่านได้ง่ายๆ แหม… โชคดีที่อดีตเจ้าอาณานิคมเพลิงมีจิตสำนึกมากพอที่จะไม่ทำแบบนั้น
“…”
เพิร์ลย่อตัวลง เตรียมเขย่งใหม่อีกที กะว่าคราวนี้ถ้าไม่ถึงอีกเธอจะยอมแปลงร่างเป็นจิ้งจกไปหยิบหนังสือ
ว่าแต่เธอทำได้เรอะ!?
“ช่วยหยิบมั้ยครับ?”
“ฮะ คะ?”
ไม่ทันจะได้ลองยืดตัวเพิ่มความสูงอีกรอบ ก็มีเสียงๆหนึ่งหยุดเธอเอาไว้ เพิร์ลหันไปมองตามต้นเสียงทันทีที่ได้ยิน สิ่งแรกที่เห็นคือร่างสูงในชุดคลุมสีดำ ตัดกับเส้นผมสีเงินและดวงตาสีฟ้าบนใบหน้าที่จัดได้ว่าหล่อลากไส้… ไม่ๆ หล่อขนาดนี้มันถึงขั้นหล่อฉุดกระชากลากถูไส้เลยด้วยซ้ำไป…!
ทว่าเพิร์ลไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพรรณนาว่าไอ้หมอนี่หล่อนักหล่อหนาแค่ไหน เธอแค่สรุปในใจรวดเดียวว่ามันหล่อ ก่อนจะยกนิ้วชี้ไปที่หนังสือข้างบน
“เล่มไหนครับ?” เขาถามซ้ำ
“สันสีเหลือง ความฝันของอัศวินค่ะ”
“อ๋อ…” ชายหนุ่มลากเสียงหน่อยๆ เขาค่อยๆเขย่งปลายเท้านิดๆก่อนจะหยิบหนังสือเล่มที่เธอต้องการลงมาได้อย่างสบายๆ “นี่ครับ”
“ใช่ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ชายผมเงินยิ้มให้ “ไม่เป็นไรครับ”
เพิร์ลลิโซเร่ก้มหน้าลงก่อนจะเปิดหนังสือที่ชายหนุ่มเพิ่งจะส่งมันให้ เธอกวาดสายตาอ่านเรื่องคร่าวๆ ก่อนจะหลุดขำพรืด “โหย แหวกแนวสุดๆอะ พระเอกเป็นคนแก่”
หนุ่มผมเงินพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม “เรื่องนี้ดังอยู่นะครับ”
“บทบรรยายดีบรมเลย ทำไมฉันไม่แต่งได้แบบนี้มั่ง!”
คำพูดนั้นเล่นเอาคนหยิบหนังสือให้หัวเราะออกมา เพิร์ลยังคงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือในมือไปเรื่อยๆพลางหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อถึงฉากที่เป็นมุขตลก ทำให้ชายผมเงินที่เดินไปหยิบหนังสือของตัวเองมาอ่านบ้างหันกลับมามองก่อนจะหัวเราะตามเบาๆ
“คนแต่งหนังสือเล่มนั้นอยู่ที่แคว้นของผมเองครับ”
“โหยยยยย!” ดวงตาสีส้มเป็นประกาย “ว่างๆเอาลายเซ็นมากฝากมั่งก็ดีนะคะ!”
“ด้วยความยินดีเลยครับ ถ้าเราเจอกันอีกครั้งนะ”
เพิร์ล จู่ๆ บนบันไดก็มีก้อนอะไรก็ไม่รู้สีฟ้าๆลอยขึ้นมา ก่อนที่มันจะเดลิเวอรี่ลอยมากระแทกหน้าหญิงสาวอย่างแรง!
ซ่า!!
อา… เธอบรรลุแล้ว ไอ้นี่มันคือเลททิต้า แล้วไอ้ก้อนสีฟ้าๆที่เห็นเมื่อกี้เป็นน้ำ แล้วมันก็แตกตู้มตรงหน้าเธอ เยี่ยม… เยี่ยมอะไรขนาดนี้…
เพิร์ลลิโซเร่เอามือลูบน้ำที่เต็มหน้า เมื่อแน่ใจว่าน้ำจะไม่เข้าตาก็ค่อยๆจ้องมองไอ้จดหมายนรกที่ร่วงลงบนมือเธอเรียบร้อยแล้วอย่างอาฆาต เลททิต้าจะแสดงลักษณะตามธาตุของผู้ส่ง และไอ้น้ำบ้าๆนั่นก็เป็นเครื่องการันตีชั้นดีว่าคนส่งเป็นคนธาตุน้ำแหงแซะ
“ลูซี่แน่ๆ…”
สาวในผ้าคลุมดำบ่นงึมงำ ขณะใช้มือคลี่จดหมายที่ไม่เปียกน้ำออกอ่านลวกๆ
รีบมาซะ!!!
ลูซี่
“ถ้าหล่อนจะเขียนแค่นี้นะ”
แม้คำพูดจะคล้ายกับว่าคนพูดกำลังโมโห แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพิร์ลหัวเราะในลำคอก่อนจะแบมือออก ก่อนที่เปลวไฟสีแดงฉานจะเผาจดหมายฉบับนั้นทิ้งไม่เหลือซาก เธอไม่ได้โกรธอะไรลูซี่เลยแม้แต่สักนิดเดียว เธอแค่ไม่รู้จะเก็บจดหมายที่มีแค่สามพยางค์บวกกับอัศเจรีย์บ๊องๆอีกสามตัวไว้ทำไมก็แค่นั้น
มือขวาดึงผ้าคลุมให้เข้าที่ ก่อนที่เพิร์ลจะหันหลังเดินลงบันไดร้านไปโดยไม่ลืมหันไปเอ่ยลาต่อชายหนุ่มผมเงินที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“ขอตัวนะคะ!”
เขายิ้มตอบพร้อมกับโบกมือลา “เดินดีๆนะครับ”
เพิร์ลหันมาผงกหัวให้กับคำพูดนั้นก่อนจะสับขาวิ่งลงบันไดต่อไป แต่แล้วเท้าเจ้ากรรมกลับเหยียบชายผ้าคลุมตัวเองเข้าเต็มๆ ส่งผลให้อดีตเจ้าอาณานิคมแห่งไฟกลิ้งหลุนๆๆๆ ตกบันไดลงมาในพริบตา!
“ไอ้รองเท้าเวรรรรร!!!”
อนิจจา เหมือนคำอวยพรจะไปไม่ถึงซะแล้ว…
ความคิดเห็น